วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 96, 97, 98, 99, 100, 101, 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 13:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรณีที่ที่บ้านมีสระน้ำ เนื่องจากทิ้งไว้นาน ทำให้มีคางคก กบ ลูกอ๊อดขึ้นในบ่อมากมาย ส่งเสียงดังมากๆกลัวว่าจะเป็นการรบกวนเพื่อนบ้านข้างเคียง ถ้าจะปล่อยน้ำในสระออกก็กลัวลูกอ๊อด ไร ต่างๆจะตาย ทิ้งไว้ก็จะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กรณีนี้มีวิธีใดที่พอจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้บ้างหรือไม่ อย่างไรคะ

ขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงที่เมตตา

คำตอบ

แก้ปัญหาด้วยการใช้สวิงตักลูกอ๊อดที่มีอยู่ในบ่อทั้งหมดไปปล่อยในแหล่งน้ำอื่น แล้วปล่อยน้ำในสระออกให้แห้ง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนถามเรื่องฝึกการนั่งสมาธิ

อยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ครับว่า ผมอยากจะฝึกนั่งสมาธิด้วยตัวเองจะทำได้ใหมครับ
แล้วมีแนวทางยังไงครับ แล้วต้องมีบทสวดมนต์ก่อนหรือเปล่าครับ เพราะผมทำงานอยู่ต่างประเทศช่วงนี้ ผมฟังอาจารย์บรรยาย ตามเวปไซน์ต่างๆครับ ผมคิดว่าผมทำกรรมมาเยอะพอสมควรครับ เพราะตอนเด็กๆเคยฆ่าสัตว์ต่างๆเผื่อทำอาหารครับ ผมอยากจะเสริมสร้างบารมีและแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมเผื่อจะให้บาปกรรมธุเลา เบาบางลงบ้างครับ

ขอบคุณครับ

คำตอบ

บุคคลสามารถฝึกสติอยู่ที่บ้านได้ ด้วยการสวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย (อิติปิโสภควา ... จนจบ , สวากขาโตฯ ... , สุปฏิปันโนฯ .... ) หลังจากสวดมนต์จบแล้วให้เจริญอานาปานสติ ด้วยการหายใจเข้ากำหนดว่า “ พุท ” หายใจออกกำหนดว่า “ โธ ” ประมาณ ๓๐ นาที หรือนานเท่าที่มีเวลาทำได้ หลังจากนั้นให้อุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกครั้งที่ทำกิจกรรมแล้วเสร็จ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันย้ายบ้านใหม่ บ้านเลขที่ 234/267 หน้าบ้านหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ดิฉันอยากทราบว่าจะหันหน้าโต๊ะหมู่บูชาด้านไหนของบ้าน เพราะตอนนี้หันโต๊ะหมู่หันหลังให้กับบ้านและมีคนทักว่าไม่ดี ต่อผู้ที่อยู่อาศัย และมองดูก็ตรงตามที่เขาทักมา จึงขอให้ท่าน ดร.สนองแนะนำด้วย ดิฉันสวดมนต์นักสมาธิทุกวัน

ขอขอบคุณค่ะ

คำตอบ

การประพฤตินอบน้อม หมายถึงการแสดงความเคารพอย่างสูง ผู้ใดประพฤติแล้วบุญย่อมเกิดขึ้น ในครั้งพุทธกาลไม่ว่าพระพุทธเจ้าสถิตอยู่ ณ ที่แห่งใด พระสารีบุตรแสดงกิริยานอบน้อมด้วยการนอนหันศีรษะไปทางที่พระพุทธเจ้าประทับ ฉะนั้นผู้ถามปัญหาวางโต๊ะหมู่บูชา แล้วเห็นว่าเหมาะกับการแสดงความเคารพอย่างสูงของตน คนอื่นที่ไม่เห็นด้วยจะทายทักอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 13:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกวันนี้ดิฉันมีความทุกข์มากค่ะไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไรดี ดิฉันเป็นคนที่มีโมหะมาก และก็มีอกุศลสัญญาเก็บไว้ในจิตเยอะมาก

คือดิฉันได้มีโอกาสเข้าร่วมปฏิบัติแนวของคุณแม่สิริ มาหลายครั้งทุกครั้งก็จะเห็นความไม่ดี(เลว) ของตัวเองเยอะมาก คือจะคิดไม่ดีต่อพระพุทธ พระอริยสงฆ์ และผู้มีพระคุณ แบบไม่มีสาเหตุ บางที่ไม่เคยรู้จักแค่ได้ยินชื่อก็พาลไม่ชอบ ด่าว่า แช่ง ไม่เข้าใจตัวเองเลย กลัวใจตัวเองมากค่ะ รู้ว่ามันปาบมาก พยายามรักษาสติแต่ก็ทำให้เลิกคิดไม่ได้ บางวันที่ตั้งใจรักษาสติ ให้อยู่กับการเดินหรือการหายใจมากๆ ความคิดอกุศสก็มีมากบางวันก็น้อย

ดิฉันควรจะทำอย่างไรดีค่ะ อยากขอความกรุณาท่านอาจาร์ยช่วยชี้แนะด้วยค่ะขอพระคุณมากค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ

คนที่รู้ว่ามีความไม่ดีอยู่ในตัว คนนั้นแหละที่จะมีโอกาสพัฒนาตัวเองให้ดีให้มีบุญเกิดขึ้นได้ในวันข้างหน้า

ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่มีเหตุผลกำกับ เป็นศาสนาแห่งความจริง ฉะนั้นการคิดไม่ดีต่อพระพุทธ พระอริยสงฆ์และผู้มีพระคุณ เหตุเป็นเพราะจิตของผู้คิดมีโปรแกรมติดลบเก็บบันทึกอยู่ภายใน คนประเภทนี้มีอัตตาสูงและมีกำลังของสติอ่อน “ อัตตา ” หมายถึงตัวตน หรือความเห็นแก่ตัว “ สติ ” หมายถึงระลึกได้ นึกได้ ไม่ลืม เมื่อปัจจัยทั้งสองทำงานร่วมกัน ความคิดที่เป็นอกุศลย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ดังนั้นผู้ใดปรารถนาให้ตนเองมีความคิดที่ดีงาม มีความคิดที่เป็นบุญเป็นกุศล ผู้นั้นต้องเอาศีลอย่างน้อยห้าข้อที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย มาคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วนำตัวเองไปพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้มีกำลังของสติกล้าแข็ง จนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วนำจิตไปพัฒนา (วิปัสสนาภาวนา) จนกระทั่งเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ได้เมื่อใดแล้วโอกาสที่อัตตาจะดับไป จึงมีได้เป็นได้ .... พิสูจน์ไหมครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 13:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โปรดชี้ทางสว่างให้แก่ชีวิตด้วยค่ะ ทุกวันนี้หนูได้รักษาศีล 5 และพยายามรักษา กาย วาจา ใจ ไม่ให้ทำร้ายผู้ใด พร้อมทั้ง รับใช้พระครูบารูปหนึ่ง ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่าน คอยอยู่ช่วยงานวัดและท่านตลอด นานหลายเดือนแล้ว แต่ชีวิตทุกวันนี้การปฏิบัติยังไม่ก้าวหน้า และ ชีวิตทางโลกก็ยังไม่ดีขึ้น ทั้งๆๆที่พระครูบาท่านมีเมตตาจิตที่สูงมากคอยสั่งสอนด้วยดีมาตลอด

อยากเรียนสอบถามว่าหนูควรแก้ไข อย่างไรดีค่ะ เพื่อชีวิตทางโลกของหนูจะได้ดีขึ้นมากกว่านี้ เช่น เวลาออกจากสมาธิหนูควรอธิฐานจิต กล่าวขอเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อย่างไรดีคะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
คนด้อยปัญญา

คำตอบ

สิ่งที่แก้ไขได้แล้วดี คือ พัฒนาจิตตัวเองให้มีคุณธรรมเหมือนกับที่ครูบาได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่นเดียวกันหากผู้ถามปัญหา ประสงค์ความเจริญในหน้าที่การงาน ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งและดี คนเก่ง คือ คนที่มีความรู้ มีความสามารถเหนือคนอื่น คนดี คือ คนที่มีคุณธรรม สถิตอยู่กับใจทุกขณะตื่น คนที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ เป็นคนที่ประสบความสำเร็จของชีวิต

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 13:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอายุ 24 ปี มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติกรรมฐานรบกวนอาจารย์ช่วยตอบด้วยนะครับ คือ ผมสนใจการปฏิบัติกรรมฐานครับและผมก็เริ่มปฏิบัติมาได้สักพักนึงแล้ว ผมนั่งสมาธิอย่างเดียวนะครับไม่ได้เดินกรม แต่ได้ทราบมาว่าการปฏิบัตินั้นควรจะมีอาจารย์ช่วยแนะนำจะได้ให้ผลเร็วขึ้น และไม่หลงทางหรือไม่เป็นอันตราย แต่ตอนนนี้ผมกำลังทำวิจัยอยู่ที่ USA ไม่มีอาจารย์คอยแนะนำ ก็เลยนั่งปฏิบัติไปเรื่อย ไม่รู้ว่าถูกหรือผิดอย่างไรและจะเป็นอันตรายหรือเปล่าครับ และระยะหลังมานี้รู้สึกว่าตัวเองนั่งได้ไม่นาน ไม่มีสมาธิเหมือนตอนเริ่มนั่งใหม่ๆ คือ ตอนเริ่มนั่งใหม่ๆ ผมนั่งได้เป็นชั่วโมง แต่ระยะหลังมานี้นั่งได้ไม่กี่สิบนาทีก็ฟุ้งซ้านไปหมดจนนั่งไม่ได้ ผมควรแก้ไขอย่างไรครับ รบกวนอาจารย์ให้คำปรึกษาด้วยนะครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


คำตอบ

ผู้ใดหวังความก้าวหน้าในการพัฒนาจิต ผู้นั้นต้องประพฤติตนให้มีศีลอยู่ครบและเป็นศีลที่บริสุทธิ์ อย่างน้อยศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น แล้วจึงนำตัวเองไปพัฒนาจิตให้มีสติ ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วเสร็จให้เจริญอานาปานสติ ด้วยการหายใจเข้ากำหนดว่า “ พุท ” หายใจออกกำหนดว่า “ โธ ” ให้จิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออก นานประมาณ ๓๐ นาที หรือมากกว่า หลังประพฤติแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง การประพฤติได้ถูกตรง ย่อมทำให้จิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ผู้มีจิตเป็นสมาธิ ย่อมมีความถี่ของคลื่นสมองเป็นระเบียบ ซึ่งส่งผลทำให้มีความจำเพิ่มมากขึ้น การศึกษาเล่าเรียนวิชาการทางโลกจึงเข้าถึงความสำเร็จได้ง่าย

ผู้ใดมีศีลที่ขาด มีศีลทะลุ มีศีลด่างพร้อย และไม่เอาศีลมาคุมใจ ความฟุ้งซ่านของจิตจึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดากับผู้นั้น ผู้ใดมีศีลในลักษณะตรงกันข้าม ผู้นั้นมีจิตเป็นสมาธิได้ง่าย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 13:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเคยอ่านหนังสือของอาจารย์ เล่มปกเขียวอ่อนๆเมื่อปีที่แล้ว พออ่านหนังสือธรรมะก็จะเกิดแรงบันดาลใจ ที่จะทำความดีมากๆกลัวว่าตายไปจะไปในที่ไม่ดีน่ะครับ

ขอเริ่มเรื่องที่ผมจะถามนะครับ
ปัจจุบัน ผมได้เดินทางมายังสหรัฐอเมริกา และได้ทำงานในคาสิโนที่ รัฐแคลลิฟอร์ โดยทำงานให้กับบริษัทที่เป็นเจ้ามือในคาสิโน หน้าที่ผมก็คือ คอยดูการแจกไพ่ของคนแจกไพ่ ให้เป็นไปตามกฏิกา และคอยดูว่าคนแจกไพ่ รับและจ่ายเงินให้ผู้เล่นได้อย่างถูกต้องตามจำนวนที่ แทง

ผมรู้สึกสับสนกับชีวิตของผม มากๆครับ คือ ที่ผมมาอเมริกานี้ ก็เพราะอยากปลีกตัวออกจากสังคมที่ประเทศไทย และก็เบื่องานในอดีตที่เคยทำคือ เป็นผู้อำนวยการทางด้านหลักทรัพย์ พูดภาษาชาวบ้านก็คือ หาคนมาเล่นหุ้น ตามเป้าหมายที่บริษัทมอบหมายมาให้ คราวนี้ พอลูกค้าที่ผมหามา เกิดการขาดทุนจากการลงทุน ผมก็รู้สึกผิด และเริ่มเบื่องานที่ทำ ทำให้เป้าหมายที่บริษัทวางไว้ไม่บรรลุ ก็เลยเหมือนโดนบีบออก ก็มีส่วนที่ทำให้ผมมาอยู่ที่อเมริกา พอมาอเมริกาก็หนีไม่พ้นงานที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนอีกครับ

เรื่องที่ผมอยากเรียนถามอาจารย์ก็คือ

1. การทำงานแบบนี้บาปไหมครับ ผมไม่สามารถเลือกงานที่อเมริกาได้ เพราะภาษาไม่ดี และคนที่นี่ที่มีการศึกษาสูงๆยังตกงานอีกมาก พอมาสมัครงานนี้ ทางบริษัทรับเข้าทำงานผมก็เลยต้องทำไปก่อนครับ

2. ผมยังหลงในวัตถุนิยมชอบซื้อนู่นซื้อนี่ เพราะคิดว่าเงินทองของนอกกายมีก็ใช้ใช้ซะ ทำอย่างไรจึงจะเลิกหลงในวัตถุนิยมครับ เพราะทุกวันนี้ ที่อยากมีเงินมีงานก็เพราะมาสนองตัณหาตัวนี้แหล่ะครับ

3. ใจหนึ่งก็คิดว่ารู้สึกเหงา อยากมีคู่ มาเป็นเพื่อน พราะอายุก็ไม่น้อยแล้วครับ ( ผมเกิดปี 4 มกราคม 2506) และคิดว่า เผื่อจะมีลูกด้วยกันที่อเมริกานี่ เพราะใจยังคิดอยู่น่ะครับว่าคนเราต้องมีคู่ชีวิตจะได้ไม่เหงาไม่รู้คิดถูก หรือผิด แต่ก็ตัดใจไม่ขาดสักที ทำอย่างไรถึงจะตัดใจได้ว่าไม่จำเป็นต้องมีคู่ และไม่รู้สึกเหงาๆด้วยครับ

4. มันเกี่ยวพันกับข้อ 3 ครับ ทำอย่างไรจะตัดขาดจากความรู้สึกทางกามารมณ์ได้ครับ เพราะทุกวันนี้ ถึงจะมีน้อยลงไม่เหมือนสมัยหนุ่มๆ แต่ก็ยังมีอยู่ครับ ทำอย่างไรที่จะสามารถตัดขาดไม่เกิดอารมณ์ทางเพศได้เลยครับ จะได้ไม่ต้องมีคู่ครอง

5. ผมเคยวาดฝันว่า สักวันผมจะต้องทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ มีเงินทองมาทำบุญมากๆๆๆๆ แบบสร้างวัดได้ด้วยตัวเอง ทำนองนี้น่ะครับ แต่จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่ประสบความสำเร็จสักที นึกแล้วเสียใจ น้อยใจในโชคชะตาชีวิต ที่ไม่ประสบความสำเร็จ( การศึกษาของผมก็มีส่วนกระตุ้นให้ผมอยากมีนั่นมีนี่ อยากทำธุระกิจให้เจริญรุ่งเรือง ด้วยครับ ผมจบ บัญชีจุฬาฯ และ MBA จุฬา ครับ) ทำอย่างไรจึงจะทำให้ความคิดนี้หมดไปจากใจได้สนิทใจครับเพราะทุกวันนี้เหมือน ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ถึงรวยขึ้นมา ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ได้แต่คิดปลอบใจตัวเองแบบนี้ตลอด ในขณะที่ใจลึกอยากประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง และมีเงินทำบุญมากๆ ตั้งโรงทานแบบ อณาบิณฑิก เศรษฐี ในสมัยพุทธกาล น่ะครับ

6. พอมันไม่เป็นไปตามที่เราคิดก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต น่ะครับ รู้สึกว่ามันเป็นทุกข์ จัง แต่เดี๋ยวกิเลสก็มากระตุ้นให้เรา กลับไปคิดอยากมี อยากเป็นอีกแล้วครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มากๆๆครับ

กราบสวัสดีครับ


คำตอบ

(๑). บาปครับ

(๒). ความหลง เกิดจากเหตุไม่รู้จริง (อวิชชา) จึงเอาสิ่งเศร้าหมอง (กิเลส) เช่นโลกธรรมและวัตถุมาทับถมใจให้หมดอิสรภาพ ผู้ใดประสงค์จะปลดจิตให้เป็นอิสระจากสิ่งเศร้าหมองเหล่านี้ ต้องพัฒนาความรู้ (ปัญญา) สูงสุดให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งมนุษย์มีความสามารถพัฒนาตัวเองให้เข้าถึงปัญญาได้ ๓ ระดับ คือปัญญาที่เกิดจากการฟัง การอ่าน (สุตมยปัญญา) ปัญญาที่เกิดจากการคิด การวิจัย (จินตามยปัญญา) และปัญญาสูงสุดคือ ภาวนามยปัญญา ซึ่งต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม เมื่อใดเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ความหลงจะหมดไป จิตจึงเป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุได้ ชีวิตย่อมดีทั้งชาตินี้และชาติหน้าได้แน่นอน

(๓). การมีชีวิตคู่ เป็นความเห็นถูกของผู้มีปัญญาทางโลก (สุตะฯและจินตามยปัญญา) แต่เป็นความเห็นผิดของผู้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง (ภาวนามยปัญญา) พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง (สัพพัญญู) และเป็นความรู้จริงแท้ คือวันนี้จริง อีกพันปีหมื่นปีแสนปี ฯลฯ ก็ยังคงเป็นความจริงที่ไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น (ปรมัตถะสัจจะ) พระพุทธะรู้ว่า มนุษย์มีทรัพย์สมบัติเป็นห่วงผูกขา ทำให้ไปไหนมาไหนยาก มีสามี/ภรรยาเป็นห่วงผูกมือ ทำสิ่งต่างๆได้ไม่อิสระ และมีบุตร/ธิดาเป็นห่วงผูกคอ ทำให้มีภาระต้องรับผิดชอบ ฉะนั้นจงพิจารณาเอาเองเถิด แล้วเลือกเอาตามที่ชอบ

(๔). จงพิจารณาซากศพบ่อยๆ หรือไปดูศพที่แขวนไว้ที่ Life Museum วัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี แล้วจิตจะสงบจากกามได้เอง

(๕). สร้างวัดเป็นการทำเหตุดี ได้ผลเป็นบุญ ตายแล้วพลังของบุญ สามารถผลักดันจิตวิญญาณที่หลุดออกจากร่าง ให้โคจรสู่สุคติภพเกิดเป็นเทวดา (สวรรคสมบัติ)

ผู้ใดอยากมีชื่อเสียงต้องหมั่นให้ทาน อยากมีเงินต้องให้ทรัพย์เป็นทาน แม้จะมีเงินมาเท่าใด ตายแล้วบาทเดียวก็เอาไปสู่ภพใหม่ไม่ได้ ต้องทิ้งไว้กับโลกให้เป็นทรัพย์กำพร้าเจ้าของ มีแต่บุญและบาปที่เก็บสั่งสมอยู่ในใจเท่านั้นที่ติดตามข้ามภพชาติได้

อนาถบิณฑิกเศรษฐี มิได้เพียงแค่ตั้งโรงทาน ยังสร้างวัดเชตวันถวายไว้ในพุทธศาสนา และยังปฏิบัติธรรมจนจิตบรรลุโสดาบันอีกด้วย ตายจากมนุษย์แล้วพลังบุญยังผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปเกิดเป็น อนาถบิณฑิกเทพบุตรโสดาบันอยู่ในดุสิตสวรรค์ อยู่จนทุกวันนี้

(๖). การพัฒนาปัญญาทางโลกจนสูงสุดระดับปริญญาเอก ก็ยังจัดว่าเป็นความรู้ที่ไม่จริงแท้ ยังมีความเบื่อหน่ายชีวิต ยังมีความทุกข์กายทุกข์ใจ ย่อมมีได้เป็นธรรมดา ผู้ตอบปัญหาได้พัฒนาปัญญาทางโลกมาจนถึงระดับสูงสุดแล้ว เกิดความไม่เชื่อคำสอนในพุทธศาสนา จึงได้นำตัวเองไปพิสูจน์ ด้วยการปฏิบัติธรรมและเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ทำให้ตัวเองมีความสะดวก มีความสบาย และมีความสุขอยู่ทุกขณะตื่น พิสูจน์ดูเองสิครับว่าสิ่งที่ตอบมานี้เป็นจริงแท้ทุกประการ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้ฟังการบรรยายธรรมจากท่านแล้ว รู้สึกซาบซึ้งมากและตอนนี้ตัวผมเองก็ใจเย็นขึ้นมาก

กระผมขอถามเรื่องกรรมจาก 4 อาชีพ คือผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ ตำรวจ

1. ผู้พิพากษา ในการลงโทษผู้กระทำผิดให้สมกับที่ทำไว้นั้น จะเป็นการสร้างกรรมได้อย่างไร และในกรณีลงโทษผู้บริสุทธิ โดยยึดตามแนวทางการสอบสวน ที่ฝ่ายตรงข้ามกุเท็จใส่ร้ายขึ้นมา โดยที่คนตัดสินไม่มีอคติ จะเป็นบาปหรือไม่ เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นครับ แล้วฝ่ายที่ใส่ร้ายจะรับกรรมอย่างไรบ้าง

2. อัยการ มีหน้าที่ฟ้องตามสำนวน ที่ตำรวจส่งมาทุกอย่าง ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน จะเกิดกรรมได้อย่างไร หากทำด้วยความบริสุทธิใจ

3. ทนายความ ที่ช่วยเหลือผู้ถูกกระทำให้ได้รับความยุติธรรม โดยการฟ้องร้องอีกฝ่ายให้ได้รับผิด ที่ก่อไว้ทำใมต้องเกิดกรรมด้วยครับ

4. ตำรวจ มีหน้าที่ปราบโจรผู้ร้าย ไม่ให้มาเกะกะระรานคนสุจริต ทำไมต้องรับกรรมด้วย หรือจะต้องปล่อยให้โจรผู้ร้าย ทำอะไรตามใจชอบครับ ทั้งหมดที่ถามท่านมานี้ หมายถึงเฉพาะผู้ที่ดำรงตนทำหน้าที่ อย่างถูกต้องตรงไปตรงมาเท่านั้น ไม่รวมถึงผู้ทุจริตรับประโยชน์ กินสินบนเพราะนั่นคือต้องรับกรรมแน่ๆ

5. อาชีพหมอ มีหน้าที่รักษาคนป่วย ให้หายจากโรคภัยต่างๆ ทำไมถึงต้องมารับกรรม จากการรักษาคนเหล่านั้นด้วย ตามที่อาจารย์บรรยายมาว่า หมอตาก็จะตาบอด หมอรักษามะเร็งก็เป็นมะเร็งตาย ทำใมถึงเป็นเช่นนั้นครับ หรือต้องให้โรคภัยเกาะกินร่างกายไปจนกว่าจะตายครับ

6. ทหาร เป็นอาชีพที่เสี่ยงกับการตกนรกหรือปล่าวครับ

สำหรับทางแก้ ที่ท่านอาจารย์บอกมา สำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงที่กล่าวมานั้นคือ ให้ทำบุญอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อที่จะหนีกรรมดังกล่าวไม่ให้ตามทัน หรือหนีไห้สุดๆนั้น รู้สึกเหมือนว่าจะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ สักวันก็จะต้องทันอยู่ดี ไม่ทราบว่ามีวิธีแก้ที่ต้นเหตุหรือไม่ครับ ทั้งหมดที่ถามมา เพื่อต้องการทราบ เพื่อจะได้ไม่ก่อเวรให้กับตัวเอง เพราะคิดที่จะประกอบอาชีพเหล่านี้ และสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้พวกเอาเปรียบสังคมเยอะเหลือเกิน แล้วเราจะทำอย่างไรกับคนที่ทำผิดกฎหมายดี หรือว่าต้องปล่อยให้พวกนั้นทำอะไรตามใจชอบครับ

คำตอบ

(๑). การตัดสินลงโทษผู้กระทำความผิด ให้ได้รับโทษตามกฎหมายที่สังคมบัญญัติขึ้น เป็นสิ่งถูกต้องที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต้องปฏิบัติให้ถูกตรง มนุษย์จะได้อยู่กับอย่างสงบ ตรงกันข้าม ในปรภพ พญายมมิได้ใช้กฎหมายของมนุษย์เป็นเครื่องมือประกอบอาชีพตุลาการ พญายมใช้กฎแห่งกรรมเป็นกฎหมาย คือทำความดีต้องได้รับผลดี ทำความชั่วต้องได้รับผลชั่ว และพญายมยังใช้ผลของกรรมที่ถูกบันทึกไว้ในจิตวิญญาณเป็นหลักฐาน ผู้ที่ตายจากมนุษย์ไปแล้วและมีจิตตกอยู่ใต้อำนาจของกาม ยังต้องพบกับพญายมแน่นอน พญายมจะตัดสินให้จิตวิญญาณโคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพใด ขึ้นอยู่กับข้อมูลกรรมที่จิตบันทึกไว้เป็นหลักฐาน อาทิ เป็นมนุษย์แล้วมีจิตตกอยู่ใต้อำนาจของความโกรธ ความโลภ ความหลง หรือประพฤติทุศีลย่อมมีหลักฐานบาปให้พญายมตัดสินชีวิตใหม่ ให้ไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ เกิดเป็นมนุษย์แล้วประพฤติตนมีศีล ๕ คุ้มครองใจอยู่เสมอ ย่อมเป็นหลักฐานบุญให้พญายมตัดสินชีวิตใหม่ ให้ไปเกิดเป็นรูปนามอยู่ใน มนุสฺสโลก เกิดเป็นมนุษย์แล้วบำเพ็ญทานรักษาศีล ๕ หรือประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ อยู่เนืองนิตย์ ย่อมเป็นหลักฐานบุญ ให้พญายมใช้ตัดสินชีวิตใหม่ ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่ในเทวโลก ฯลฯ

ด้วยเหตุนี้ผู้ใดเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนอกุศลกรรมของคู่กรณี ผู้นั้นย่อมต้องได้รับผลของบาปของคู่กรณีที่ยังผูกเวรกันอยู่

อนึ่ง ผู้ใส่ร้ายเป็นผู้สร้างบาปให้เกิดกับตัวเอง ยังต้องชดใช้หนี้เวรกรรมเมื่ออกุศลกรรมให้ผล ทั้งในชีวิตปัจจุบัน และ/หรือในชีวิตหน้าอีกด้วย

(๒). อัยการเป็นผู้ร่วมกระทำอกุศลกรรมกับตำรวจ เพราะไม่สามารถระลึกได้ว่า เรื่องราวแต่งขึ้นเป็นเท็จ จึงเป็นการทำบาปด้วยความบริสุทธิ์ใจนั่นเอง

(๓). ผู้ใดสามารถพัฒนาปัญญาสูงสุดให้เกิดขึ้นได้แล้ว ผู้นั้นย่อมรู้ เห็น เข้าใจในเหตุและผลว่า กฎแห่งการกระทำ (กฎแห่งกรรม) มีอยู่จริง ดังนั้นคู่กรณีคือ ผู้ที่ผูกหนี้เวรกรรม สืบต่อหลายภพชาติยาวนาน ทนายความไม่รู้ความจริงเช่นนี้ จึงเข้าไปมีส่วนร่วมในห้วงเวลาหนึ่งของการจองเวรของคู่กรณี ทนายความจึงต้องรับ (อกุศลวิบาก) บาปของคู่กรณีนั้นด้วยเหตุแห่งความไม่รู้จริงเช่นนี้

(๔). มนุษย์มีงานของชีวิตให้ทำอยู่สองงาน คือมีงานภายนอกที่ทำให้กับสังคมส่วนรวม และมนุษย์ยังต้องทำงานภายใน คือประพฤติและสั่งสมบุญให้กับตัวเอง ขณะยังมีชีวิตทั้งทนายและตำรวจ ต้องทำงานภายนอกให้ดีที่สุด เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แม้ภายนอกจะให้ผลเป็นทั้งบุญและบาปก็ต้องทำให้ดีที่สุด แต่ต้องทำงานภายในให้เกิดบุญใหญ่และส่งผลมากกว่าบาปที่ทำ ชีวิตจึงจะไม่วิบัติ ดังเรื่องที่จะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้
๑. ท่านเจ้าคุณโชดกได้เล่าให้ผู้ตอบปัญหาฟัง เมื่อครั้งที่ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ คณะ ๕ ท่านเล่าว่า มีผู้พิพากษาท่านหนึ่งมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่คณะ ๕ และสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้นาน ๒๔ ชั่วโมง นั่นหมายความว่า ผู้พิพากษาท่านนั้นมีสภาวะของจิตเป็นฆราวาสอนาคามี ตัดสินคดีความอย่างไร ก็จะไม่ต้องรับโทษไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิอีกต่อไป เพราะสามารถปิดอบายภูมิได้แล้ว

๒. ผู้ตอบปัญหาได้พบผู้พิพากษาท่านหนึ่งที่จังหวัดนครปฐม ได้เข้ามาฟังการบรรยายธรรมของผู้ตอบปัญหา และได้เล่าให้ฟังว่า ท่านได้รับคดีเกี่ยวกับรถชนคนตาย ท่านเฉลียวใจจึงไปดูที่เกิดเหตุก่อนมีการตัดสินคดีความ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ ได้มีชาวบ้านผู้เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นมาบอกเล่าให้ท่านฟัง ซึ่งมีสาระตรงกันข้ามกับคดีที่ท่านได้รับ ผลปรากฏว่า ก่อนมีการตัดสินคดีความ ผู้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องได้ถึงแก่ชีวิตในโรงพยาบาล ส่วนจำเลย ภายในวันเกิดเหตุ ดังนั้นเมื่อโจทก์และจำเลยไม่มีชีวิตอยู่ คดีความเป็นอันถูกยกเลิกโดยปริยาย ผู้ตอบปัญหาได้กล่าวกับท่านผู้พิพากษาว่า .... สาธุ รักษาคุณธรรมเช่นนี้ไว้ตราบจนหมดหน้าที่ตัดสินคดี คุณธรรมที่ว่านั้นคือ ท่านมีเบญจศีลและมีเบญจธรรม คุ้มครองใจ หรือเรียกได้ว่า มีศีลมีธรรมคุ้มครองใจ ย่อมมีเทวดาคุ้มรักษามิให้วิบัติ การประพฤติตนให้ได้เช่นนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีงานภายนอก (อาชีพ) เป็นตำรวจ อัยการ ทนายและผู้พิพากษา

(๕). อาชีพหมอ ย่อมได้บุญจากคนไข้ที่ตนเองช่วยให้คนไข้หายจากการเจ็บป่วย และหากการเจ็บป่วยเป็นผลจากการผูกพยาบาทจากเจ้ากรรมนายเวรกรรมที่มีกับคนไข้ หากต้องได้รับบาปจากการถูกจองเวรและไม่คบหาสมาคมด้วย

พระฉันนะได้ฟังถึงกลับเป็นลมสลบไป เมื่อตื่นฟื้นขึ้นมา ฉันนภิกษุได้ปรับตัวเองให้เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อรั้น ไม่กล่าววาจาเสียดสีพระผู้ใหญ่และภิกษุอื่นอีกต่อไป พร้อมกับนำตัวเองเข้าหาพระมหาเถระที่ป่าอิสิปตนมฤทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เพื่อขอร้องให้ท่านสอนธรรมให้ แล้วกลับมาหาพระอานนท์สอนธรรม (ปฏิจจสมุปบาท) ให้นำไปปฏิบัติต่อ จนสามารถบรรลุอรหัตตผลได้ในที่สุด

จากตัวอย่างทั้งสองที่ยกขึ้นมาแสดง จะเห็นได้ว่าผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง ไม่แก้ปัญหาที่ตัวของผู้อื่นให้เกิดเป็นเวรผูกพันต่อกัน แต่แก้ปัญหาที่ตัวเอง ปัญหาจึงยุติลงได้ด้วยความสวัสดี

ด้วยเหตุนี้ อาชีพทหารจะเสี่ยงต่อการตกนรก ต่อเมื่อมีเจตนาประพฤติปาณาติบาต ประพฤติคอรัปชั่น ประพฤติล่วงเกินลูกเมียผู้อื่น ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอาฆาตแค้น ฯลฯ การทำงานภายนอกที่ยังต้องข้องเกี่ยวอยู่กับคนไม่ดี หากมีเวรผูกพยาบาทกันไว้ ถือเป็นบาป จึงต้องทำงานภายใน ให้มีบุญยิ่งใหญ่เกิดขึ้น ให้มีพลังของบุญส่งผลอยู่เสมอ ย่อมนำพาชีวิตหนีความวิบัติได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2010, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ ที่เสียสละเวลาพักผ่อนมาตอบปัญญาให้คนไทยที่อยู่ทุกมุมของโลกอ่านกัน ถึงหนูจะอยู่คนเดียวที่อเมริกา หนูก็ไม่เคยรู้สึกมีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติธรรมเท่านี้ในชีวิตเลยคะ หนูไม่มีคำถามใดๆ ให้อาจารย์ตอบทั้งสิ้นค่ะ หนูเพียงอยากจะฝากบอกคนที่ถามกระทู้ 1552-3 ว่า หนูได้ไปปฏิบัติธรรม สอนโดยท่านโกเอนก้า ที่รัฐ Colorado และ Goergia ในช่วงปีที่ผ่านมา เป็นหลักสูตรเข้มข้น ปฏิบัติสิบวันโดยไม่พูด เป็นการฝีกสายเถรวาท เน้นระเบียบวินัยมาก ฝีกอานาปนสติก่อน แล้วจึงทำเวทนานุสติ หนูอยากฝากบอกให้คนไทยที่อยู่ในอเมริกา หรือ ประเทศอื่น ๆ ที่คิดว่าหาอาจารย์สอนกรรมฐานนอกเมืองไทยไม่ได้ลองปฏิบัติดูค่ะ จริง ๆ เค้ามีศูนย์ทั่วโลก ที่เมืองไทยก็มีค่ะ เข้าไปสมัครได้ที่ www.dhamma.org

หนูเคยคิดว่าเมื่อหนูเรียนจบปริญญาเอกที่นี่แล้ว จะรีบกลับไปกู้เงินไปซื้อที่ิดิน สำหรับทำสถานที่ปฏิบัติธรรมให้ใครที่สนใจมานั่งสมาธิด้วยกัน และวางระบบให้ดี ๆ เพื่อที่จะเป็นแรงบรรดาลใจให้คนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเห็นว่าธรรมะมี ประโยชน์กับชีวิตประจำวัน ทั้งส่วนตัวและสังคม

ตอนนี้หนูเปลี่ยนความคิดนิดหนึ่งคือว่า หนูควรจะปฏิบัติธรรมจนกระทั่งมีดวงตาเป็นธรรมก่อน แล้วค่อย ๆ เก็บเงิน เดินตามมรรคแปด จนพร้อมทั้งเงินและสติปัญญา จึงค่อยสร้างสถานปฏิบัติธรรมค่ะ หวังว่าหนูคงมีโอกาสได้เจออาจารย์อีกทีตอนหนูกลับไปอยู่ที่เชียงใหม่นะคะ

กราบสวัสดีค่ะ



คำตอบ

พระพุทธโคดมตรัสว่า “ การเป็นหนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ” การมีดวงตาเห็นธรรมขั้นพระโสดาบัน ยังมีโอกาสสร้างสถานปฏิบัติธรรมได้ หากสูงกว่านั้นหมดโอกาสครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 00:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันขอกราบ ฝากตัวเป็นศิษย์ อาจารย์ ได้มั้ยคะ หลังจากได้พยายามปฏิบัติตามรอย ครูบาอาจารย์อยู่เป็นประจำ

ปัญหา ข้อที่ 1 ด้วยดิฉันมีลูกชาย อายุ 8 ปี ลูกสาวอายุ 3 ปี ทำให้ดิฉัน เผลอมีโทสะกับลูกบ่อย ดิฉันก็อาศัยเจริญเมตตา เพื่อให้โทสะดับ แต่ลูกๆก็สร้างปัญหา ทำให้โทสะดิฉันเกิดบ่อยมาก ไม่รู้จะทำยังไง ดิฉันชวนลูกสวดมนต์ ลูกก็ไม่ค่อยอยากสวด ทั้งที่ดิฉันก็สวดเป็นตัวอย่างทุกวัน นั่งสมาธิให้ดูทุกวัน (ตอนนั่งสวดมนต์และทำสามธิเป็นช่วงที่ไม่มีโทสะนะคะ) ดิฉันจะทำยังไงดีคะ

ข้อที่ 2 ดิฉัน ทำตามที่อาจารย์แนะนำตลอดคือ พยายาม รักษาศีลให้คลุมใจ และกายตลอด ในทุกขณะตื่น พบว่าการทำสมาธิของดิฉันก็ยังสงบบ้างฟุ้งบ้าง ในช่วงที่เกิดความสงบตัวเบาสบาย ดิฉันก็บอกตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็ดับไป การบอกกับตัวเองใช่จิตเกิดปัญญาหรือไม่คะ และทำไมเวลาช่วงที่จิตอยู่ในอารมณ์สงบเบาสบาย ยังมีอีกจิตหนึ่งที่สามรถคิดได้อีกคะ

ข้อที่ 3 ทำยังไงจิตจะรวมเป็นสมาธิทุกครั้งไม่ฟุ้งคะ

ดิฉันไม่อยากอยู่ในวัฏสงสารแล้ว ขออาจารย์ แนะนำสั่งสอนศิษย์คนนี้ให้ข้ามภพข้ามชาติด้วยนะคะ ขอบุญบารมีที่อาจารย์เมตตา ต่อศิษย์และเพื่อนมนุษย์จงเป็นปัจจัยให้อาจารย์บรรลุมรคผลนะคะ

ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด

ศิษย์

คำตอบ

เมื่อใจผู้ถามปัญหา คิด พูด ทำ ถูกตรงตามธรรมวินัยที่ระบุไว้ในพุทธศาสนา เมื่อนั้นถือว่าเป็นศิษย์ เป็นอาจารย์กันโดยปริยาย

(๑). พระพุทธโคดมสอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ผู้ใดให้อภัยเป็นทานในทุกเหตุที่เป็นสิ่งข้องใจได้แล้ว เมตตาย่อมเกิดขึ้นและสั่งสมอยู่ในจิต ซึ่งส่งผลให้มีอารมณ์สงบเย็น ดังนั้นปัญหาที่ถามจึงมิใช่เมตตาที่แท้จริง เหตุที่เกิดโทสะ เพราะจิตมีกำลังของสติอ่อน จึงไม่สามารถระลึกได้ทันสิ่งขัดใจที่ลูกๆส่งให้ ลูกเป็นครูทดสอบกำลังใจให้แม่ได้เห็นจุดอ่อนของตัวเอง ปัญหานี้หมดไปด้วยการเจริญสติให้มีกำลังกล้าแข็ง

(๒). จิตเป็นพลังงานที่มีธรรมชาติ รู้ คิด นึก ขณะที่จิตอยู่ในอารมณ์สงบ เบาสบาย แล้วคิดได้ว่า อารมณ์ดังกล่าวย่อมดับไป การรู้ เห็น เข้าใจเช่นนี้ เป็นตัวปัญญาที่เกิดขึ้นในจิต ในหมู่นักปฏิบัติธรรมที่เข้าถึงสภาวะเช่นนี้ เรียกว่า เห็นจิตในจิต

(๓). ต้องเจริญสมถภาวนา จนจิตเข้าถึงความเป็นมหาสติ คือ สามารถระลึกทันทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต ผู้ใดมีจิตเป็นมหาสติ ผู้นั้นมีจิตสงบจากอารมณ์ปรุงแต่งอยู่ทุกขณะตื่น

ผู้ใดปรารถนานำพาชีวิตไปให้พ้นการเวียนตาย-เวียนเกิดใน วัฏฏะ ผู้นั้นต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง ขจัดความไม่รู้จริง (อวิชชา) ให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด การไม่วนมาเกิดเป็นรูปนามในวัฏฏะ จึงมีได้เป็นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 00:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีปัญหาเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ
1. หนูนั่งสมาธิโดยภาวนายุบหนอพองหนอ มีอาการปวดที่บริวเวณขา หนูก็ภาวนาว่าปวดหนอ ๆ
พร้อมกับเฝ้าดูพิจารณาอาการปวดนั้นว่าเป็นอย่างไร ปวดแบบไหน เช่น บางทีก็ปวดบิดเป็นเกลียว
บางทีก็ปวดแบบมีอะไรทิ่มแทงลงไป บางทีก็ปวดแบบพองออกเหมือนกับจะระเบิดออกมา
เมื่อภาวนาไปความปวดบริเวณที่ภาวนานั้นก็หายไป แล้วก็ไปปวดบริเวณอื่นแทน
เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนก่อนจะหมดเวลา หนูมีความรู้สึกว่า ร่างกายของหนูกำลังนั่งภาวนาอยู่
ส่วนความปวดนั้นก็ยังอยู่แต่แยกกันอยู่ ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงมาก ขณะนั้นมีความรู้สึกพะวักพะวน ไม่รู้จะกำหนดปวดหนอต่อดี หรือภาวนายุบหนอพองหนอดี จนกระทั่งหมดเวลาพอดีค่ะ หนูกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า หนูปฏิบัติถูกต้องหรือเปล่าคะ และต้องทำอย่างไรบ้างคะ

2. พระคาถาบทนี้ หมายถึงอะไรคะ มีความเป็นมาอย่างไร
ปะโต เมตัง ปะระชีวินัง สุขะโต จุติ จิตตะ เมตะ นิพพานัง สุขะโต จุติ

3. หนูเป็นคนที่มีจิตใจฟุ้งซ่านมากและขี้หลงขี้ลืม เลยพยายามบังคับตัวเอง โดย เมื่อเวลานั่งรถ หรือนั่งรอ ก็ท่องบทสวดบูชาพระพุทธคุณ อิติิปิโส ฯ ไปเรื่อย ๆ วิธีการแบบนี้ควรทำหรือเปล่า ดีหรือไม่ดีอย่างไรคะ

4. การที่เราทำบุญกับคนหมู่มาก เช่น การโอนให้กับมูลนิธิ-โรงพยาบาลต่าง ๆ ผ่านบัญชีธนาคาร ติดต่อกันครบ 7 วัน แบบนี้ถือว่าเป็นการสร้างมหาทานหรือเปล่าคะ และในช่วงที่เราสร้างมหาทานใน 7 วันนั้น ทุกวันก่อนนอนเราสวดมนต์ไหว้พระอธิษฐานจิตก่อนนอนเป็นปกติอยู่ ต้องงดอธิษฐานจิตในช่วงนี้ก่อนหรือไม่ แล้วค่อยอธิษฐานจิตในวันที่ 7 ทีเดียวไปเลยคะ

5. คุณพ่อของหนูเสียชีวิตไปเมื่อประมาณปี 38 เนื่องจากพลัดตกลงในแม่น้ำหน้าบ้าน ก่อนเสียชีวิตคุณพ่อไม่สบาย แต่ตอนนั้นหนูไม่ได้อยู่กับคุณพ่อ มารู้ทีหลังว่าคุณพ่อเป็นโรคซึมเศร้า ก่อนหน้านั้นคุณพ่อบอกว่าเวรกรรมตามทันแล้ว และอยากจะบวช แต่คุณแม่ไม่เห็นด้วย บอกว่าถ้าไม่สบายไปจะลำบากไม่มีใครดูแล แบบนี้คุณแม่จะบาปหรือไม่ คุณแม่หนูคิดว่าที่คุณพ่อตกน้ำนั้นคุณพ่ออาจฆ่าตัวตาย เพราะช่วงที่ไม่สบาย คุณพ่อเคยบ่นว่า ในเมื่อแก่แล้วทำงานไม่ได้ (ขาคุณพ่อลีบไปหนึ่งข้าง) จะอยู่ไปทำไม อันที่จริงคุณพ่อเคยบวชมาก่อนแล้ว และก็เคยพูดให้ฟังว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปต้องชดใช้กรรมเป็นร้อยชาติ หนูกราบเรียนถามอาจารย์ว่า คุณพ่อหนูตายเพราะอะไรคะ แล้วตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ

(๑). การปฏิบัติธรรมยังไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุที่ว่า การบริกรรมพองหนอ-ยุบหนอ เป็นการปฏิบัติเพื่อให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น ขณะบริกรรมแล้วยังเอาจิตไประลึกอยู่กับอารมณ์อื่นที่เกิดขึ้น เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ให้เห็นได้ว่า สติได้เคลื่อนออกไปจากองค์บริกรรม จึงถือว่า สติหลุด หรือ ขาดสติ ดังนั้นเมื่อมีอาการปลดเกิดขึ้น ต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนอาการปวดหายไป จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง

(๒). ผู้ใดพัฒนาจิตจนเกิดสติและเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ผู้นั้นย่อมเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าเอาจิตไปจดจ่ออยู่กับบทมนต์คาถา ผู้ตอบปัญหาไม่แนะนำให้เอาจิตไปสนใจอยู่กับสิ่งด้อยคุณค่า

(๓). ต้องทำด้วยเอาใจจดจ่ออยู่กับบทมนต์ที่สวด เพราะเมื่อใดมีจิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะ เมื่อนั้นสติย่อมเกิดขึ้นแน่นอน

(๔). การประพฤติดังที่บอกเล่าไป ถือว่าเป็นการสร้างมหาทานได้ และจะให้มหาทานมีผลมาก ก่อนทำต้องศรัทธา ขณะทำต้องตั้งใจ ทำแล้วต้องสบายใจ เมื่อทำครบ ๗ วันแล้ว จึงอธิษฐานครับ

(๕). บาปเกิดขึ้นเมื่อไปขัดขวางการทำความดีของผู้อื่น คุณพ่อตายด้วยกรรมตัดรอน แล้วทำให้ลมหายใจเข้า-ออก จำเป็นต้องหยุด อยากรู้ว่าคุณพ่อตายแล้วไปไหน ร่างกาย (ศพ) เอาไปเผา เอาไปฝัง ส่วนจิตโคจรสู่ปรภพตามแรงผลักดันของกรรม อยากรู้ว่าไปไหน ผู้ถามปัญหาต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌานได้แล้ว ให้ถอนจิตออกจากความทรงฌาน แล้วอธิษฐานพบคุณพ่อที่ตายไป ความสมปรารถนาจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 01:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูได้กระทำสิ่งที่ไม่ดีต่ออาจารย์ค่ะ คือ ในขณะที่ได้ฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์ในเว็บกัลยาณธรรม ขณะหนึ่งจิตของหนูคิดไม่ดีต่ออาจารย์ค่ะ แล้วหนูก็รู้สึกตัวว่า ไม่ควรทำเป็นความเห็นผิดที่คิดลบหลู่ครูบาอาจารย์ที่หนูศรัทธาและนับถือ ซึ่งจะมีผลทำให้ปฏิบัติธรรมไม่ขึ้น หนูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันที่อยู่ ๆ ก็มีความคิดไม่ดีแบบนี้ อาจารย์เคยบอกว่า ความคิดที่ไม่ดีแบบนี้ เกิดจากการที่มีกำลังสติอ่อน ซึ่งก็เป็นความจริงค่ะ ดังนั้นหนูขอกราบขอขมาต่อท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ด้วยกายกรรม 3 วจีกรรม 4 มโนกรรม 3 กรรมอันหนึ่งอันใดที่หนูได้ประมาท พลาดพลั้งล่วงเกินต่อท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ทั้งต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ขออาจารย์โปรดเมตตาอโหสิกรรมให้แก่หนูด้วยค่ะ หนูมีเรื่องเรียนถามอาจารย์ 1 ข้อค่ะ คือ

จากการฟังธรรมบรรยาย อาจารย์บอกว่า หากเรานอนสูงกว่าพ่อแม่ คือ พ่อแม่นอนชั้นล่าง ส่วนเรานอนชั้นบน จะทำให้เราทำอะไรก็ไม่เจริญ หากว่ามีความจำเป็นที่คุณแม่ต้องนอนชั้นล่าง เนื่องจากคุณแม่อายุมากแล้ว เดินขึ้นบันไดไม่ไหวค่ะ หนูบอกท่านแล้วว่ามันเป็นบาปกับหนู ท่านบอกหนูว่า ท่านไม่ถือ แล้วก็นอนตำแหน่งไม่ตรงกัน คงไม่เป็นไรหรอก

เรียนถามท่านอาจารย์ว่า อย่างนี้ถือเป็นบาปหรือไม่ค่ะ ถ้าเป็นบาปต้องแก้ไขอย่างไรค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ

อโหสิให้แล้วครับ
เมื่อใดพ่อแม่ไม่ถือว่าเป็นโทษ โทษนั้นย่อมไม่มีกับผู้ถามปัญหา ที่บอกเล่าไปสามารถทำได้ จะดียิ่งขึ้นหากผู้ถามปัญหาสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์กำหนดลมหายใจ (พุท-โธ) เมื่อเสร็จกิจทั้งสองแล้ว อุทิศบุญให้พ่อแม่ แล้วบอกให้ท่านอนุโมทนา และจะดีที่สุดหากผู้เป็นลูกมีความกตัญญูกตเวที ด้วยการประพฤติจริยธรรมของการเป็นลูกให้ถูกต้อง เช่น ท่านเลี้ยงมา เลี้ยงท่านตอบแทน ทำงานแทนพ่อแม่ ไม่ประพฤติโต้แย้งโต้เถียง ประพฤติตนไม่ให้วงศ์ตระกูลต้องเสื่อมเสีย ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 01:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกมีเรื่องอยากขอคำแนะนำจากอาจารย์ึค่ะ ขณะนี้ลูกมีฝึกงานอยู่ที่ต่างประเทศ และมีเรื่องที่ทำให้ลูกไม่สบายใจ เนื่องจากเพื่อนร่วมงานค่ะ ลูกเพิ่งได้รับงานที่มีความซับซ้อนเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้ลูกเกิดความทุกข์ใจ และส่งผลกระทบต่อลูกมากที่สุดคือเพื่อนที่ร่วมทำงานกับลูก เพราะลูกมีึวิตกจริตค่อนข้างมาก ทำให้เวลาที่ได้ยินเพื่อนร่วมงาน คุยกระซิบกระซาบ หูก็มักจะพยายามตั้งใจฟังว่าเขานินทาเราหรือไม่ บางครั้งลูกก็คิดว่าเขาพูดถึงลูกในแง่ลบ หรือหมั่นไส้ลูกเพราะนายของลูกมีความเมตตาต่อลูกมาก แต่เพื่อนที่ดีลูกคิดว่าเขาดีจริงๆก็มีค่ะ

อีกเรื่องคือ งานที่ลูกได้รับเป็นงานของเจ้านายอีกคนที่กำลังจะลาออกไป ซึ่งเป็นงานที่สำคัญต่อบริษัทมาก ลูกกลัวกว่าเขาจะมองเราว่าเพิ่งมาทำงาน ทำไมจึงได้รับมอบหมายงานเช่นนี้
ลูกควรทำอย่างไรคะ มีความทุกข์ใจเช่นนี้ เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของลูกมาก รู้เหมือนคนรอบๆมีความไม่จริงใจต่อเรา พูดกับเราดีต่อหน้าแต่แอบว่าเราลับหลังหรือไม่
ลูกอยากจะทำหูให้เป็นหูหม้อหูกระทะ เช่นที่อาจารย์เคยบรรยาย แต่มันยากเหลือเกินค่ะ ขณะนี้ลูกแทบจะนับวันรอกลับไทยเลยเพราะลูกรู้สึกโดดเดี่ยวมาก

อาจารย์ช่วยกรุณาแนะนำลูกด้วยค่ะ ลูกทราบว่าเหมือนโง่ที่ไปรับสิ่งที่ไม่ดีมาเก็บไว้ในจิต แต่ลูกก็ไม่ทราบว่าจะแก้อย่างไรตราบใดที่ลูกยังต้องได้ยินสิ่งที่ทำให้ลูก ไม่สบายใจเช่นนี้

คำตอบ

ที่บอกเล่าไปเป็นการแสวงบาปใส่ตัวที่คนโง่นิยมประพฤติกัน (ขออภัยที่พูดตรง) ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีสติ เช่น สวดมนต์ก่อนนอน เจริญอานาปานสติหลังสวดมนต์ เมื่อประพฤติจนเป็นปกติได้แล้ว จิตย่อมมีกำลังสติเพิ่มขึ้น มีปัญญาเห็นถูกตามธรรมเกิดขึ้น จิตที่มีสติปัญญาส่องนำทางให้ชีวิต จะไม่รับเอาบาปของคนอื่นมาเป็นบาปของตัว คนอื่นกระสับกระส่าย มันเป็นเรื่องของเขา แต่เราโง่เองที่ไปเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นเรื่องของตัว ดังนั้นผู้ใดประพฤติตามที่แนะนำได้แล้ว ปัญหาจึงจะหมดไปได้ เช่นเดียวกัน ใครประพฤติไม่จริงใจ มันเป็นเรื่องของเขา แต่เราต้องประพฤติจริงใจต่อทุกคนที่เข้ามามีสัมพันธ์ด้วย

การเข้ามาทำงานใหม่ แล้วได้รับมอบหมายให้ทำงานสำคัญของบริษัท นั้นเป็นเรื่องของศักยภาพในการทำงานของผู้ถามปัญหา มีสูงกว่าคนอื่นที่ทำงานมาก่อน ผู้ถามปัญหาได้รับมอลบหมายให้ทำงานสำคัญ เพราะเจ้านายผู้มีอำนาจสั่งการ เห็นว่าผู้ถามปัญหามีความสามารถเหมาะสมกับงาน จึงได้สั่งการเช่นนั้น

อนึ่ง ผู้ใดรู้ว่าตนเองโง่ ผู้นั้นมีโอกาสเจริญได้ในวันข้างหน้า และหากผู้ใดประพฤติตามคำชี้แนะ ผู้นั้นมีโอกาสพ้นไปจากปัญหาที่เกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 01:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีเรื่องอยากเรียนท่านอาจารย์ครับ คือ ปัจจุบันผมได้มาทำงานที่ต่างประเทศเกือบสิบปีแล้ว และห้าเดือนที่ผ่านมาผมได้คบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเธอก็มีแฟนอยู่แล้วแต่แฟนของเธอก็มีภรรยาอยู่ที่เมืองไทย เมื่อเธอได้เจอกับผมเธอก็ตัดสินใจมาอยู่กินกับผม เธอก็ดีกับผมและรักผมมากและผมก็รักเธอมากเช่นกัน เราตั้งใจจะสร้างอนาคตด้วยกัน แต่ความรู้สึกของผมเหมือนทำผิดที่พรากเธอมาจากผู้ชายคนนั้น แต่อีกใจนึงก็คิดว่าผู้ชายคนนั้นมีภรรยาอยู่แล้ว และไม่ได้รับผิดชอบเธอจริงๆ ผมเลยเกิดความสับสนอยู่ตลอดเวลา และหลังจากที่ผมได้ฟังการบรรยายธรรมจากท่านอาจารย์ และหลวงปู่เณรคำแล้ว ผมก็คุยกับเธอและเปิดคลิปการบรรยายธรรม ให้เธอฟังผมลองถามเธอว่า ถ้าผมจะไปบวชจะว่าอย่างไร เธอก็ไม่ยอมครับ ผมก็สงสารและเป็นห่วงเธอเช่นกันเลยตกลงกับเธอว่า เราสองคนจะบวชที่บ้าน คือต่อไปจะรักษาศีล๕และทานไม่ให้ขาด

เรื่องที่ผมอยากถามอาจารย์ ก็มีดังนี้ครับ
๑ ผมและเธอทำผิดศีลใช่ไหมครับ และผมควรเลิกกับเธอรึปล่าวครับ
๒ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมและเธอ จะตั้งใจรักษาศีลและทานไปตลอด ผมและเธอจะหลุดพ้นจากบาปได้ไหมครับ
๓ ผู้ที่เคยทำบาปมาแล้ว อย่างผมกับเธอวันนี้คิดจะทำแต่ความดี ขอให้ ท่านอาจารย์ได้โปรดชี้แนะแนวทางที่ถูกที่ควรด้วยครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ

เป็นความผิดที่ประพฤติทุศีลข้อสาม คือไปเอาหญิงอื่นมาเป็นภรรยา โดยเจ้าของ (พ่อแม่) มิได้ยกให้

(๑). ถือว่าผิดศีลข้อ ๓ ผู้ใดรู้ว่าทำผิดแล้วทำใหม่ให้ถูก คือไปสารภาพผิดต่อเจ้าของ แล้วขอมาเป็นภรรยาของตน เมื่อพ่อแม่ยกให้ ความผิดอันเป็นบาปจะยุติลงเท่านั้น แต่บาปที่ทำไว้ก่อนยังรอให้ผล

(๒). จะพ้นจากบาปนั้นได้ ต้องปฏิบัติทาน-ศีล-ภาวนา จนสามารถปิดอบายภูมิได้ ดังที่สิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธ ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วนั้นไง

(๓). สำหรับผู้ที่มีบุญบารมีเก่า สั่งสมมาแต่อดีตไม่มากนัก ต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม จนสามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้แล้ว บาปเก่าที่ยังถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิต ย่อมหมดโอกาสให้ผล

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 01:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีเรื่องทุกข์ใจอยากจะสอบถามหน่อยค่ะว่า ทำไมหนูจึงมีจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปมาก คิดวกวน มีนิสัยดื้อรั้น คือเริ่มเป็นคนสับสนในตัวเองอย่างมากค่ะ ไม่แน่ใจว่าที่คิดแบบนี้ถูกหรือผิด และก็กลัวไปเองในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจนบางคนเขาก็บอกว่าหนูบ้า เป็นโรคประสาท ไม่เต็มบ้างค่ะ ไม่ทราบว่าที่เป็น แบบนี้เขา เรียกว่าเป็นบ้าหรือจิตวิปลาสหรือเปล่าคะ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนใจร้อนรนคิดจะด่าว่าก็ทำโดย สนใจใครเป็นบางครั้ง จนรู้สึกว่าตัวเองทำเสียหายเสียชื่อเสียง และที่คิดจะเลิกกับแฟนเพราะเขาเป็นคนขี้เมา มีเมียเยอะแก่กว่าหนูหลายปีแต่ใจดีและ
หนูไม่สามารถทำอย่างที่เขาต้องการได้ ทั้งที่หนูก็รักเขาแต่หนูก็คิดจะตัดใจ เดี๊ยวบอกเลิก เดียวก็ไม่เลิกหนูควรจะทำอย่างกับเขาดีคะ จนเขาและเพื่อนเขาเริ่มจะสับสน และเบื่อหนูแล้วค่ะทำเหมือนคนไม่มีศักดิ์ศรีเลยไม่อยากเป็นแบบนี้เพราะ รู้สึกแย่

ทำไมหนูถึงเป็นแบบนี้ และควรจะทำอย่างไรดีคะถึงจะถูกต้องและมีชีวิตที่ดีขึ้นน่ะค่ะ
ขอบคุณท่านอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ

คนที่คิดสับสน คิดวกวน ถือว่าเป็นคนที่ขาดสติ หรือสติมีกำลังอ่อน ผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้ว ย่อมมีโอกาสเกิดปัญญาเห็นถูกตามมา ผู้ใดมีสติและมีปัญญาเห็นถูก เรียกผู้นั้นว่ามีสติสัมปชัญญะ ผู้มีสติสัมปชัญญะสามารถระลึกได้ทันสิ่งที่เข้ากระทบจิต เมื่อรู้ว่าดีแล้วประพฤติ เมื่อรู้ว่าไม่ดีแล้วไม่ประพฤติ ผู้มีการประพฤติเช่นนี้ย่อมมีพฤติกรรมดีงาม ความคิดสับสน คิดวกวนย่อมหมดไป ดังนั้นผู้ถามปัญหาปารถนาผ่านพ้นพฤติกรรมไม่ดีของชีวิต ต้องนำตัวเองไปพัฒนาจิต จนเกิดปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้เมื่อใด ความคิดวกวน ความคิดสับสน การมีพฤติกรรมไม่ดีย่อมหมดไป ผู้รู้ไม่ก้าวล่วงในชีวิตของใครผู้ใด แต่ชี้แนะแนวทางที่จะทำให้ปัญหาหมดไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 96, 97, 98, 99, 100, 101, 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร