ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=31403 |
หน้า 2 จากทั้งหมด 3 |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 10 พ.ค. 2010, 10:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
ถ้ายังชอบคำว่า"ขลังหรือศักดิ์สิทธิ์" ก็ให้เป็นอำนาจของกฏอิทัปป. อย่าให้เป็นความขลังศักดิ์สิทธิ์ ที่ตั้งรากฐานอยู่บนความงมงายเลย ถ้าเอาความขลังศักดิ์สิทธิ์มาใส่ในศาสนาแล้ว เราก็ไม่ต้องทำอะไรกัน นอกจากนั่งอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์,แล้วจะอยู่ได้อย่างไร? ระวังให้ดีในโบสถ์ที่มีแต่การอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น จะไม่มีธรรมอะไรเลยก็ได้ นอกจากการขอทาน หรือมิฉะนั้น ก็การติดสินบนที่เอาเปรียบ นิสสัยสัดานไม่เหมือนกัน ,.ไก่ตัวหนึ่งเมื่อเป็นโจก มีระรานไก่ทุกตัว,ต่อมาไก่ตัวหนึ่งปราบลง แต่แล้วไม่เกเรระรานใครเลย เราต้องการคนอย่างนี้ ชีวิตประกอบด้วยปัจจัยมากอย่าง คล้องเกี่ยวกันเหมือนห่วงโซ่ทั้งหลายปัจจัยเพียงอย่างเดียวเสียไปจริงๆชีวิตก็ดับ,ทั้งที่อีกมากอย่างยังมิได้เสียเลย,น่าเสียดาย ระบบกายขึ้นอยู่กับระบบจิต ระบบจิตอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี แก่ระบบกาย,ความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ จึงเกิดขึ้น(ปิติ-ทุกข์ร้อน-เกลียด-กลัว) การพิจารณาชนะกามโดยพิจารณาเป็นของปฏิกูล ดังที่สอนกันอยู่ มีทางสำเร็จน้อยกว่าพิจารณาโดยเป็นของธรรมดาของสัตว์ที่ยังมีความเป็น"สัตว์" ทุกอริยสัจ ทุกขเวทนา ทุกขลักษระ เหล่านี้มิใช่สิ่งเดียวกัน แต่มักเข้าใจผิด เพราะเรียกกันสั้นๆ ว่า "ทุกข์"เฉยๆ,ระวัง แม้ผู้พูดความจริงได้ตายแล้ว แต่ความจริงยังคงอยู่ มิได้ตาย,นั้นเพราะความจริงนั้น เป็นของธรรมชาติ ซึ่งไม่ตาย,เพียงอาศัยปากคนแสดงตนออก. ความดีชนิดเปลี่ยนได้ดับได้เป็นสังขตธรรม(กล่าว),แต่อีกชนิดหนึ่งตรงกันข้ามไม่เป็นเช่นนั้น(อริยธรรม)ระวังอย่าเอามาปนกัน เมื่อเราพูดถึงความดี อวัยวะสืบพันธุ์ มีไว้สำหรับผู้ต้องการสืบพันธุ์ไว้ หรือผู้ต้องการรสอร่อยอันเป็นค่าจ้างให้สัตว์สืบพันธุ์,แต่ไม่เป็นที่ต้องการของผู้จะอยู่อย่างสงบ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 10 พ.ค. 2010, 10:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
ทุกข์ ส่วนบุคคล - ส่วนสังคม. ธรรมชาติ บุคคล ระทมใจ เพราะคิดได้...คิดว่ามี ฉัน - ของฉัน เป็นห่วงสุขภาพของตน - คนรักของตน รบกวนด้วยปัญหา สุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บ รบกวนด้วยปัญหา เศรษฐกิจในครอบครัว รบกวนด้วยปัญหา เกียรติยศชื่อเสียง รบกวนด้วยปัญหา ความไม่ลงรอยในครอบครัวอย่างรุนแรง ประสพภาวะที่สมมุติเรียกกันว่า "โชคร้าย-ดวงไม่มี" กลัวแต่จะเป็นคน อกตัญญู อกตเวที จนไม่สบายใจ สังคม เบียดเบียน มีศัตรูอาฆาต คอยทำลายอยู่ ถูกประทุษร้าย ชีวิต-ร่างกาย-ของรัก-ทรัพย์-สิทธิ-เกียรติ โง่เง่า งมงาย บกพร่องในด้านสังคม เข้าใจในคำว่าสังคม-หรือสังคมสัมพันธ์(ตามพวกบ้า) ต้องการตอบแทนจากสังคม มากเกินไป เข้าใจว่า อยู่ในโลก คนเดียวได้ ใจแคบ ไม่เผื่อแผ่ เห็นแก่ตัว เป็นคนคด สั้น,.อกตัญญู..เสื่อมอยู่เป็นประจำ มีแต่เอา ไม่มีให้. |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 10 พ.ค. 2010, 12:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
คนไม่ถึงธรรม มีโอกาส ................แต่ไม่เรียน เรียน.....................แต่ไม่รู้ รู้.........................แต่ไม่มี(ตัวธรรม) มี.........................แต่ไม่ใช้ ใช้........................แต่ ไม่ถูกเรื่อง ถูกเรื่อง..................แต่ตื้น นิดเดียว เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้อง รู้สึกตัว และต้องระวัง เพราะกำลังมีอยู่ แม้กับสิ่งที่เรียกว่า "ศาสนา" |
เจ้าของ: | คนดีที่โลกลืม [ 10 พ.ค. 2010, 12:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
อ่านแล้วก็รู้ว่าท่าน พุทธทาส เข้าใจธรมะของพระพุทธเจ้าแค่น้อยนิด สมแล้วที่ท่านเป็นทาสพุทธเจ้า ท่านจะรู้มากคงไม่ได้ |
เจ้าของ: | O.wan [ 10 พ.ค. 2010, 12:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
ค่ะ สำหรับบทความดีๆที่นำมาแบ่งปันค่ะ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 10 พ.ค. 2010, 12:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
ปัญหาอยู่ที่จิตดวงเดียว แต่แสดงบทบาททุกอย่าง มิใช่เหมือนกับมีจิต ๒ ดวง(คนสองคน)ทำหน้าที่สองฝ่าย, มันมีแต่เจตสิกสองฝ่าย แย่งกันทำหน้าที่ปรุงจิต โดยมีสติเป็นตัวการสำคัญ ชีวิตเป็นเวที เป็นพื้นฐานของบทเรียนทั้งหลาย จนกระทั่งมันรู้จักแยก,รู้จักเลือก,อยางทั่วถึง เกิดระบบสติ สำหรับคุม-กั้นกระแส-แยกให้ถูกและรวดเร็ว พอที่จะทะลุกลางปล้อง ของความผิด ผลุงขึ้นมาเป็นความถูก ธรรมชาติทำหน้าที่ เรียน-เลือก-ฝึก-ปรับปรุง-อยู่ตลอดเวลา,ถ้าสำเร็จก็มีลักษณะสัตบุรุษสำเร็จ, มิฉะนั้น ก็เป็นพาล, ไม่อาจรู้สึกตัวฝ่ายกุศลอย่างทันท่วงที ในอัตราสายฟ้าแลบ กราทำให้เจตสิกฝ่ายกุศล เกิดเร็ว และมีกำลังมาก นี่เป็นสิ่งประเสริฐ ที่ชีวิตกระทำของมันเอง ทั้งโดยเจตนา(ที่เรากำลังพยายาม)และไม่เจตนา คือมันรู้จักเข็ดหลาบและละอาย-กลัว ของมันเอง จนถึงระดับที่เป็นการตรัสรู้ สรุปความยาก ,. คนเดียว เป็นทั้งผู้ฝึก และถูกฝึก, เป็นทั้งผู้ควบคุมและถูกควบคุม, ทั้งผู้สอน-ผู้เรียน, นี่แหละ อัตต หิ อัตตโน นาโถ ชั้นปรมัตถ์ จิตเดิม (แท้) อุบายวิธีสอนแบบหนึ่ง คำว่า"จิตเดิม" เป็นคำแปลก เข้าใจยากจนเกิดเป็นปัญหาถกเถียง และกลายเป็นคำสำหรับล้อเล่นไปเสียก็มี มันจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่หมายถึงจิตก่อนแต่จะรับอารมณ์ มาปรุงแต่งตัวเองเป็นจิต ต่างๆกัน หลายรูปแบบ(โลภะ-โทสะ-โมหะ-ฯลฯ) เสมือนจิตให้ม่วนไปในวัฏฏสงสาร กำลังเป็นปัญหาอยู่บัดนี้ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 10 พ.ค. 2010, 12:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
ครั้นทนทุกข์มากพอ ฉลาดขึ้นรู้สึกตัว ก็เปลี่ยนสภาพ เป็นจิตที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้,บริสุทธิ์อย่างถาวร,ไม่เวียนว่ายอีกต่อไป เรียกว่า กลับสู่สภาพเดิม หรือหน้าตาดั้งเดิม จงพยายามรู้จัก แล้วมันจะกลับไปสู่สภาพเดิมของมันเอง เพราะมันมีเชื้อแห่งปัญญา อยู่ในตัวมันเอง. จิตเป็นธาตุ ตามธรรมชาติ,ฝ่ายนาม ครั้นได้มาสัมพันธ์กับธาตุฝ่ายรูป จึงสูญเสียสภาพเดิม,(เกิดปัญหา),.ไม่บริสุทธิ์ ทนทุกข์ จนกว่าจะฉลาดและกลับสู่สภาพเดิม (โดยอุปมา) [b]จิตประภัสสร.[/b] จิตเดิมเป็นประภัสสร (เรืองแสง) มีลักษณะเหมือน"เดิม"มิใช่บริสุทธิ์แท้จริง,บริสุทธิ์ชั่วเวลาที่ไม่มีอะไรเข้ามาปรุงแต่ง,จึงเป็นประภัสสรชนิดชั่วคราว ครั้นถูกปรุงแต่ง ให้เป็นทุกข์นานพอสมควร ก็เริ่มฉลาด เบื่อหน่าย ต่อการทนทุกข์ จึงค่อยฉลาด ใช้ความรู้ที่ได้ผ่านมา ทำตัวเองให้กลับประภัสสรชนิดถาวร. ถือเป็นพระอรหันต์ ไม่กลับเศร้าหมองได้อีกต่อไป - ประภัสสรถาวร แต่แม้ในระยะทนทุกข์นี้ ก็ยังเก็บคุณสมบัติประภัสสรซ่อนไว้ ในตน,และแสดงออกมาทุกคราวที่กิเลสไม่เกิดขึ้น,(เช่นเวลา เป็นสมาธิ-จิตว่างชั่วคราว ฯลฯ)ซึ่งเรามักจะไม่ได้สนใจ หรือสังเกตกัน,เลยเห็นเป็นของแปลก หรือลึกลับ,ที่จริงพอจะเรียกได้ว่า คุณสมบัติเดิมของจิต,ก่อนแต่ถูกอะไรปรุง พุทธะ คือ ธรรมะที่ปรากฏแก่จิต จิตที่มีธรรมะปรากฏคือ พุทธะ พุทธะคือจิตที่ตรัสรู้ธรรม,.จิตคือพุทธะ ว่าง คือ ว่างจากตัวตน ตามความหมายทั่วไป,ว่างจาก การปรุงแต่ง(ปรม สุญญตา)ว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน,ว่างจากการรบกวนของอารมณ์(วิเวก) ว่างเพราะมี อตัมมยตา ลักษณะของจิตประภัสสร ระวังมีความหมายทั้งทางวัตถุ - ทางจิตใจ,มิใช่ไม่มีอะไรเลย(มิจฉาทิฏฐิ)มีทุกอย่าง ภาวะแห่งความว่างจากอุปทานตัวตน เป็นแก่นแท้ แห่งสัจจธรรม ของธรรมชาติ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 10 พ.ค. 2010, 19:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
สาธุ... อ้างคำพูด: จิตเดิมเป็นประภัสสร (เรืองแสง) มีลักษณะเหมือน"เดิม"มิใช่บริสุทธิ์แท้จริง,บริสุทธิ์ชั่วเวลาที่ไม่มีอะไรเข้ามาปรุงแต่ง,จึงเป็นประภัสสรชนิดชั่วคราว ครั้นถูกปรุงแต่ง ให้เป็นทุกข์นานพอสมควร ก็เริ่มฉลาด เบื่อหน่าย ต่อการทนทุกข์ จึงค่อยฉลาด ใช้ความรู้ที่ได้ผ่านมา ทำตัวเองให้กลับประภัสสรชนิดถาวร. ถือเป็นพระอรหันต์ ไม่กลับเศร้าหมองได้อีกต่อไป - ประภัสสรถาวร แต่แม้ในระยะทนทุกข์นี้ ก็ยังเก็บคุณสมบัติประภัสสรซ่อนไว้ ในตน,และแสดงออกมาทุกคราวที่กิเลสไม่เกิดขึ้น,(เช่นเวลา เป็นสมาธิ-จิตว่างชั่วคราว ฯลฯ)ซึ่งเรามักจะไม่ได้สนใจ หรือสังเกตกัน,เลยเห็นเป็นของแปลก หรือลึกลับ,ที่จริงพอจะเรียกได้ว่า คุณสมบัติเดิมของจิต,ก่อนแต่ถูกอะไรปรุง สาธุ... ธรรมะจากหัวใจ.. ผู้รู้..กล่าวได้ไม่มีขัดแย้งกันเลย.. ผู้ยังไม่รู้..เซซ้าย..เซขวา..ชนนั้น..ชนนี้..ไปทั่ว |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 11 พ.ค. 2010, 12:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
เรื่องของจิตต่อ.. เมื่อว่างจากตัวตนแล้ว คนธรรมดากับปรัชญาเมธี ก็เหมือนกัน. ถ้าไม่ว่างก็ใช้ไม่ได้ทั้งสองคน ความว่าง นำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ของคนธรรมดาถ้าฉลาดพอ, และใช้ในการทำงานทุกชนิด ด้วยจิตว่าง ในความหมายที่ถูกต้อง,. คนโง่ไม่อาจเข้าใจ ทำจิต ให้เหมาะสม ด้วยสมาธิภาวนา เพื่อเห็นความว่าง แล้วจิตก็จะว่าง เป็นจิตเดิมแท้ หรือจิตใหม่ แล้วแต่จะเรียก จิต มีพืชแห่งความพุทธะอยู่โดยกฏแห่งวิวัฒนาการ กระทั่งเป็นสัญชาตญาน หากแต่ทำผิดพลาดไปโดยถูกครอบงำด้วยอวิชชา จนเป็นสัญชาตญานไปอีก จนโง่ไปว่าเป็นคู่ หรือ คู่. ที่จริงเดี่ยวดิ่งไปเพื่อตรัสรู้, ไม่ต้องเสี่ยง. จิตมีลักษณะอะไรๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่า กายสิทธิ หรือ ศักดิ์สิทธิ์. ที่จริงมันก็ อ้ายอนัตตาธรรม ตามธรรมดา,แต่ก็ดีเหมือนกัน ที่จะทำให้มันศักดิ์สิทธิ์หรือกายสิทธิ์ จะรับใช้หรือทำงานได้ดีที่สุด จัดให้มันถูกควบคุมโดยสติ,อย่าให้ฟรีจากอำนาจของสติ จิตรู้จักจิต จนควบคุมจิต หรือตัวเองได้ดีที่สุด,เรื่องก็จบ, พรหมจรรย์ มีความหมายเพียงเท่านี้ มันไม่รู้จักตัวเอง จนโง่ กลายเป็นอัตตา ไปเสีย. จิต มีหลายความหมาย ยากที่จะเข้าใจ-ควบคุม. ๑) คิด ทำให้เกิดความรู้ได้ไม่สิ้นสุด-ผิด/ถูก ๒)ก่อ ทำให้เกิดสิ่งใหม่ มากออกไป. ๓)วิจิตร ทำอะไรได้แปลกๆ ไม่รู้สิ้นสุด. สวยงาม จิต หลุดพ้นจากการครอบงำของอวิชชา,ไม่ใช่อัตตา, กล่าวอีกอย่างหนึ่ง,. มันหลุดพ้นจากอัตตา หรือ อุปาทานนั่นเอง. จิตจึงสะอาด-สว่าง-สงบ-/เสรี.จิต ติด อัตตาด้วยอวิชชา แล้วหลุดด้วยวิชชา. |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 11 พ.ค. 2010, 13:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
จิต เมื่อสิ้น อุทธัจจอนุสัยสัญโยชน์ มันก็สงบเอง โดยไม่ต้องมีใครช่วยทำหรอก อุทธัจจะมันเป็นของอัตตา พองด้วยอุปาทาน ด้วยความหมายแห่งตัวกู/ของกู. สงบเพราะ หมด ตัวกู/ของกู. จิตล้วนๆ มีศูนย์ดิ่งลงสู่ความสงบ หรือความเป็นประภัสสร, แต่แล้วมันดิ่งไม่ได้ เพราะอวิชชาในรูปของกิเลสนานาชนิด กลุ้มรุมเอาไว้ เป็นสายระโยงยาว, ทำให้มันหลุดออกแล้วไปตามจุดศูนย์ดิ่งของมันเถิด จิตสงบ,..ภาวะที่จิตดิ่งลงสู่สภาวะประภัสสร,แล้วก็กลับไม่สงบเพราะสูญเสียภาวะประภัสสร จิตที่ไม่หลุดพ้น จึงสลับกันอยู่กับความ บวก-ลบ ของภาวะประภัสสร. จากจิตสู่จิต อุปมาเหมือนกระจกเงา ๒ บาน ส่องสะท้อนให้แก่กันและกัน โดยไม่ต้องมีสิ่งอื่นใดเกี่ยวข้อง จิตสงบเอง เมื่อมันเป็นอิสระคือประภัสสร ไม่มีอะไรเข้ามาปรุงแต่ง, เราเพียงแต่ทำให้สู่สภาวะเดิม แล้วมันก็จะจัดการให้แก่ตัวมันเองได้ (ทุกลำดับแห่ง ฌาน) จิตแท้ล้วนๆไม่ต้องการอะไรสักอย่างเดียว,แต่เมื่ออวิชชาครอบงำ เป็นกิเลสตัณหาอุปาทาน แล้ว มันต้องการ ยิ่งกว่าสารพัด,.อยากรู้อยากเห็น-อยากเกิด-ตาย-เกิดใหม่ ในทุกความหมาย จิตเป็นได้ทุกอย่างแล้วแต่ปัจจัย(อุปกิเลส)ที่ปรุงแต่ง ,.เป็นผี เป็นเทวดา - สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน ฯลฯ อะไรก็ได้ทุกชนิด แล้วแต่ตัณหาอุปทานของมัน.. จิตสงบสุขตลอดเวลาที่มันว่าง ไม่วุ่น ด้วยการปรุงแต่ง ของสังขารธรรมใดๆ.ดังนั้น "จิตเดิม"จึงสงบสุข ด้วยความว่างของมันเอง,"จิตทีหลัง"จึงวุ่นอยู่ด้วยความปรุงแต่ง อยู่ทุกกาละ เทศะ, ดังนั้น ปฏิบัติให้พบจิตเดิม(ประภัสสร). จิตสงบ ไม่ใช่เรื่องทำง่าย และเกี่ยวกับอุบาย คือทำให้ว่าง เมื่อว่างก็สงบ แต่มันก็ยากที่จะทำให้ว่าง,หรือเห็นทุกอย่างเป็นของว่าง-ว่างจากตัวตนอันเป็นที่ตั้งของอุปาทาน |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 11 พ.ค. 2010, 13:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
ถ้าไม่รู้จักสิ่งที่เรียก อุปาทาน ก็ไม่สามารถทำจิตให้ว่าง จากอุปาทาน มีแต่ชักใยพันตัวเองมากขึ้น ด้วยอุปาทานนั้นเอง แล้วก็ทึกทักเอาว่า นี้ ชีวิตนิรันดร์ เอาอุปาทานเป็นของตัวเองเสียแล้ว จะทำลายอุปาทานได้อย่างไร,มีแต่ตัวตน ที่ถาวรไปเลย. เห็นจิตด้วยจิต ,.ฝึกจิตด้วยจิต,จับจิตด้วยจิต,นี้ยากกว่าจับปลา,จับปลานั้นคนจับปลา,แต่นี่จิตจับตัวเอง คือ เกิดความรู้ขึ้นในจิต จนจิตรู้จักตัวเอง,จัดการกับตัวเอง,มันจึงยาก จิตเกิดความรู้ขึ้นในจิต แต่เรียกเห็นจิตเห็นจิต จิตพบจิต มันก็หยุดดิ้น เพราะมีความรู้ จักตัวเอง ว่าเป็นอย่างไร หรือควรจะเป็นอย่างไร,ตามปรกติ ไม่รู้จักจิต จึงมีแต่เพ้อฝันหรือถึงกับละเมอ ทำอะไรต่างๆ ดังที่ทำอยู่ทั่วไป พึ่งตัวเอง หมายถึงจิตเห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง จัดการกับตัวเองได้อย่างถูกต้อง จนหมดปัญหาทั้งปวง ด้วยตนเอง เท่ากับ พึ่งตัวเอง จิตกวนตัวเอง ด้วยการปรุง จึงขุ่นมัวไม่เห็นอะไร,พอ สงบไม่ขุ่น ก็เห็นตัวเอง,เหมือนน้ำขุ่นเมื่อกวน พอไม่กวนก็ใสเอง นี่มันเนื่องด้วยคนนอก, จิต ถูกปรุงแต่งด้วยสังขาร ให้กวนตัวเอง จิตสงบหลายแบบ ด้วยศรัทธาก็ได้ ด้วยสมาธิก็ได้ ด้วยวิปัสนาก็ได้, แต่รวมความได้ว่า สงบเพราะปรุงแต่งน้อยลง จนหมดการปรุงแต่ง, มีหลายแบบอย่างนี้ควรจะเลือกได้แบบหนึ่ง อย่างน้อยก็ศรัทธาในตัวเอง ว่ามีความถูกต้องแล้ว. อย่าเข้าใจผิดต่อพุทธศาสนา. พุทธศาสนาไม่ช่วยอะไรเลยแก่ผู้ที่มัวแต่ทำพิธีบูชาขอร้องอ้อนวอน นะโว๊ย!! ถ้าอย่างนั้น จะทำอย่างไร? ต้องทำให้มีพุทธศาสนาอยู่ในตน. ทำอยางไร? ต้องปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตน ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ปฏิบัติอย่างไร? ทำหน้าที่ทุกอย่างด้วยสติปัญญา ไม่มีอุปาทานกิเลสตัณหาเกิดขึ้น ในทุก กรณี สรณํ คัจฉามิ กันแต่ปาก พระรัตนตรัยเลยไม่รู้จะช่วยอย่างไร? ลองมีพระรัตนตรัยกันจริงๆ ดูบ้าง จะช่วยได้จริงหรือไม่. |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 12 พ.ค. 2010, 09:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
สอนระบบการดับทุกข์ ระบบการดับทุกข์ที่แท้จริงคือช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ ด้วยการทำหน้าที่อย่างถูกต้อง รู้สึกว่าพอใจ พอใจ และเป็นสุขอยู่ทุกอิริยาบถ ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่, เป็นระบบ"ธรรมชีวี" ที่เคยกล่าวมาแล้ว ถูกต้องทั้งฝ่ายวัตถุและจิตใจ อย่างควบคู่กันไป. ธรรมะต้องสอนกันอย่างนี้,และสอนได้แก่ทุกคน. ความรู้ที่ประเสริฐที่สุด ความรู้ที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด จำเป็นที่สุดของมนุษย์คือ ความรู้เรื่องหน้าที่ที่ถูกต้อง แก่ความรอด แต่การศึกษาในโลก ไม่มีการเกี่ยวข้องกับเรื่อง ที่กล่าวนี้เลย, มีแต่ความรู้สำหรับการชนะสงคราม ครองโลก และความรู้ที่ส่งเสริมการผลิต เพื่อการกอบโกย ความร่ำรวยมอมเมาตัวเอง การปฏิบัติหน้าที่คือการปฏิบัติธรรม ทุกคนควรตื่นอยู่ด้วยสติปัจจุบัน ในข้อเท็จจริงอันนี้ คนทั่วไปมุ่งแต่ สิทธิ หรือผลที่จะได้รับ, ไม่สนใจในหน้าที่ หรือเหตุ จึงทำงานไม่สนุก ไม่เป็นสุขกำลังทำงาน ความสุข ต้องเป็นเรื่องของปัจจุบัน ถ้าเป็นอนาคตจะมีประโยชน์อะไร และไม่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา,. จงปรารถนานิพพาน ชนิด เมื่อกำลังทำหน้าที่และตลอดเวลาที่ทำหน้าที่กันเถิด,เย็นเมื่อกำลังทำหน้าที่ และง่ายที่เย็นตลอดเวลา การปฏิบัติหน้าที่ มิใช่เพื่อสุขหรือสวรรค์ในอนาคต, แต่เมื่อทำหน้าที่ นั่นแหละ ให้เป็นสวรรค์ อยู่ในตัว.เป็นสุขอยู่เมื่อทำหน้าที่ การกระทำหน้าที่ทุกอย่าง ต้องมีความเย็น(นิพพาน)เป็นไส้ในอยู่ตลอดเวลา จึงจะเป็นการกระทำหน้าที่ถูกต้องของพุทธบริษัทในพุทธศาสนา. พอใจมีธรรมปิติในหน้าที่ มีนิพพานอยู่ในหน้าที่.นิพพานหาได้ในวัฏฏสงสาร. |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 12 พ.ค. 2010, 10:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
นิพพาน นิพพาน คือสิ่งปัจจุบัน อนันตกาล,ไม่มีการเกิดดับ หรือใครๆ อาจทำให้เกิด หรือ ดับ,จึงเรียกว่า สิ่งที่ไม่เกิด-ดับ, เราทำได้ เพียงแต่ทำให้ปรากฏแก่จิต ที่อบรมดีแล้วเท่านั้น นิพพาน สภาวะธรรม ที่เป็นปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องสร้าง และไม่อาจสร้าง,เพียงแต่ทำให้ปรากฏ โดยการดำรงจิตให้เหมาะสมที่จะปรากฏ คือปราศจาก อนุสัย-อาสวะ โดย อำนาจของวิปัสนา(๙ "ตา" สดวก-ลัดสั้นที่สุด) นิพพาน มีในที่ทั่วไป ในที่ไม่มีการปรุงแต่ง(หรือสังขาร) เมื่อความทุกข์ดับ เพราะขาดปัจจัย นิพพานก็มีอยู่นั่น ที่ดับแห่งทุกข์,อุปมามะพร้าวนาฬิเกร์ กลางทะเลขี้ผึ้ง คือท่ามกลางวัฏฏสงสารนั่นเองความดับไฟที่มีไฟ อย่าไปมัวหานิพพาน นอกวัฏฏสงสาร จะไม่พบ. ไปนิพพานทางไหน :b48: ไปนิพพานทางไหน? ตอบ., ไปทางทะลุตัวเอง ไกลเท่าไร? ตอบ., แค่ยาววาหนาคืบ แต่คนไม่รู้ คิดว่า เดินทางหมื่น กัลป์แสนกัลป์ ทำอย่างไร? ตอบ.,ดูทะลุปรุโปร่ง ตัวเองในทุกแง่ทุกมุม แห่ง อนิจํ ทุกขํ อนัตตา สุญญตา - ตถาตา. เมื่อไรจะได้ ? ท่านอาจารย์ เมื่อไรผมจะได้ดวงจันทร์นั่น ตอบ., เมื่อแกรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะได้ เมื่อไร จะได้นิพพาน ? ตอบ.,เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไรที่ควรอยากได้,ไม่มีอะไรที่ต้องได้. |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 12 พ.ค. 2010, 10:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
ทำไมทางไปนิพพานจึงยาวนัก? ทำไมทางไปนิพพนาจึงยาวนัก? เพราะความโง่ในอวิชชาในหัวของเรา มันยาวมากนั่นเอง. พยายามหดความยาวของความโง่ในหัวของเราให้สั้นเข้าเถิด ทางไปนิพพานก็จะสั้นเข้ามาเองเป็นแน่นอน หดอวิชชา โดยการศึกษาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กระทั่งสุญญตา ตถาตาให้แท้จริง มากเข้า ทางพระนิพพาน ก็จะสั้นเข้าโดยไม่ต้องสงสัย! พอเห็นจิตประภัสสร นิพพานชั่วคราวก็มีอยู่เป็นระยะๆ พอเห็น ตถตา นิพพาน ก็อยู่ที่นี่-เดี๋ยวนี้ สัตว์อกตัญญูยิ่งเพิ่มทุกข์ ไม่กตัญญู ต่อสิ่งแวดล้อม ที่ธรรมชาติสร้างมาดีแล้ว จึงไม่มีน้ำทำนา ฯลฯ สมน้ำหน้า บะยากาศรอบโลกเป็นพิษ. ไม่กตัญญูต่อ นิพพานตามธรรมชาติ จึงไม่รู้จัก นิพพานจริง. จิตประภัสสร นิพพานตามธรรมชาติ หล่อเลี้ยงชีวิต ไม่ให้เป็นบ้าหรือตาย, กลับเห็นเป็นของน่ารังเกียจ. อกตัญญุต่อ ธรรมชาติ แวดล้อมโลก ทำลายจนอยู่ในโลกไม่ได้,สมน้ำหน้า มันจะเป็นลูกผี-ลูกคน-ลูกเทวดา-ลูกพระพุทธเจ้า ก็แล้วแต่มันจะเลือกเอาเอง เสวยผลเอาเอง. ศาสนา กลายเป็นเครื่องแบ่งแยกมนุษย์เสียเอง..นะจ๊ะ ธรรมชาติ สร้างมาเพื่อรวมกันอยู่อย่างผาสุก,ศาสนาทุกศาสนา ก็มุ่งหมายเช่นนั้น แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แล้วกลายเป็นไปได้ถึงกับว่า เจ้าหน้าที่ของ"ศาสนา" ในนามของศาสนา กำลังสร้างความแตกแยกอันนี้ ขึ้นเสียเอง ศาสนิก ยึดมั่นในคำว่า พุทธ-คฤหัสต์-อิสลาม-ฮินดู-ซิกส์ ฯลฯ มากเกินไป จนกลายเป็นปรปักษ์และปฏิปักษ์กันได้หมด บางที นิกายในศาสนา เดียวกัน ยังมีความแตกแยกในระดับนี้ ฆ่าฟันกัน. เราต้องช่วยกันมองให้เห็นข้อเท็จจริงอันนี้กันก่อน,โลกจึงจะร่วมมือกันสร้างสันติภาพ ของส่วนรวมได้, มิฉะนั้นจะเต็มไปด้วยเครื่องแบ่งแยก และขัดแย้งกันยิ่งขึ้น. |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 13 พ.ค. 2010, 14:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
ถ้าแตงโมไม่หวาน!! :b46: ถ้าแตงโมนี้ไม่หวานอย่างที่ควรจะเป็น และขนมนี้ไม่อร่อยตามแบบฉบับของมัน ก็ถือเสียว่ามันเป็นของใหม่ หรือแบบใหม่ ที่ทำให้เราได้กินแปลกใหม่ออกไป ควรจะนับว่าเป็นโชคดี หรือความเจริญ ดีกว่าจะขัดเคืองให้เปลืองใจ ความเจริญ. ความเจริญทางวัตถุคือความยุ่ง,ยิ่งเจริญยิ่งยุ่ง,.ความเจริญทางจิตใจ คือความสงบ,ยิ่งเจริญ ยิ่งสงบ ต้องหาทางให้เจริญควบคู่กันไป อย่างถูกต้องพอดี คือให้เกิดความสงบและความสดวก คู่กันไปไม่วุ่นวาย. ความเจริญทางวัตถุล้วนๆ ส่งเสริมกิเลส เป็นธรรมดา,และมักเกินสุขภาพทางกาย,เกินความผาสุขที่ถูกต้อง ซึ่งอาศัยทางจิตใจอยู่มาก,.อย่างดี ก็ให้ความเพลิดเพลินและสะดวกแต่ก็ลืมตัว ลุ่มหลงกัน จนเกิดปัญหาใหม่ๆ. ความเจริญ หรือ วัฒนธรรมที่คนป่าสมัยดึกดำบรรพ์จะพากันจับกลุ่มหัวเราะก็ รู้จักทำเช่น เหล้า เบียร์ อย่างแพงขึ้นดื่มกิน และยกชูขึ้นเหนือศรีษะเสียด้วย การพนัน นานา ชนิด ชนิดไพร่ ชนิดบรรดาศักดิ์,มีเพลงและดนตรีในงานศพ สถานส่งเสริมกิจกรรมโสเภณีและพฤติกรรมอนาจารนานาชนิด ล้วนแต่ไม่มีและทำลายหิริโอตตัปปะ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา. :b53: ความเจริญทางวัตถุที่ควบคุมไม่ได้ คือความวินาศของมนุษย์ :b46: มันให้เกิด ความเห็นแก่ตัวที่เข้มข้นๆ ยิ่งขึ้นๆ แล้วก็ ทรมานตน เพิ่มไฟกิเลสยิ่งขึ้น จนเป็นประสาท,บ้า ตาย ฆ่าตัวเองตาย,.อีกทางหนึ่ง เบียดเบียฬกันถึงขั้น มิคสัญญี, อย่างที่มีเค้าอยู่ในทุกวันนี้. |
หน้า 2 จากทั้งหมด 3 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |