วันเวลาปัจจุบัน 15 พ.ย. 2024, 11:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2010, 10:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: ถ้ายังชอบคำว่า"ขลังหรือศักดิ์สิทธิ์" ก็ให้เป็นอำนาจของกฏอิทัปป. อย่าให้เป็นความขลังศักดิ์สิทธิ์ ที่ตั้งรากฐานอยู่บนความงมงายเลย
:b45: ถ้าเอาความขลังศักดิ์สิทธิ์มาใส่ในศาสนาแล้ว เราก็ไม่ต้องทำอะไรกัน นอกจากนั่งอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์,แล้วจะอยู่ได้อย่างไร?
:b45: ระวังให้ดีในโบสถ์ที่มีแต่การอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น จะไม่มีธรรมอะไรเลยก็ได้ นอกจากการขอทาน หรือมิฉะนั้น ก็การติดสินบนที่เอาเปรียบ
นิสสัยสัดานไม่เหมือนกัน ,.ไก่ตัวหนึ่งเมื่อเป็นโจก มีระรานไก่ทุกตัว,ต่อมาไก่ตัวหนึ่งปราบลง แต่แล้วไม่เกเรระรานใครเลย เราต้องการคนอย่างนี้
:b45: ชีวิตประกอบด้วยปัจจัยมากอย่าง คล้องเกี่ยวกันเหมือนห่วงโซ่ทั้งหลายปัจจัยเพียงอย่างเดียวเสียไปจริงๆชีวิตก็ดับ,ทั้งที่อีกมากอย่างยังมิได้เสียเลย,น่าเสียดาย
:b45: ระบบกายขึ้นอยู่กับระบบจิต ระบบจิตอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี แก่ระบบกาย,ความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ จึงเกิดขึ้น(ปิติ-ทุกข์ร้อน-เกลียด-กลัว)
:b45: การพิจารณาชนะกามโดยพิจารณาเป็นของปฏิกูล ดังที่สอนกันอยู่ มีทางสำเร็จน้อยกว่าพิจารณาโดยเป็นของธรรมดาของสัตว์ที่ยังมีความเป็น"สัตว์"
:b45: ทุกอริยสัจ ทุกขเวทนา ทุกขลักษระ เหล่านี้มิใช่สิ่งเดียวกัน แต่มักเข้าใจผิด เพราะเรียกกันสั้นๆ ว่า "ทุกข์"เฉยๆ,ระวัง
:b45: แม้ผู้พูดความจริงได้ตายแล้ว แต่ความจริงยังคงอยู่ มิได้ตาย,นั้นเพราะความจริงนั้น เป็นของธรรมชาติ ซึ่งไม่ตาย,เพียงอาศัยปากคนแสดงตนออก.
:b45: ความดีชนิดเปลี่ยนได้ดับได้เป็นสังขตธรรม(กล่าว),แต่อีกชนิดหนึ่งตรงกันข้ามไม่เป็นเช่นนั้น(อริยธรรม)ระวังอย่าเอามาปนกัน เมื่อเราพูดถึงความดี
:b45: อวัยวะสืบพันธุ์ มีไว้สำหรับผู้ต้องการสืบพันธุ์ไว้ หรือผู้ต้องการรสอร่อยอันเป็นค่าจ้างให้สัตว์สืบพันธุ์,แต่ไม่เป็นที่ต้องการของผู้จะอยู่อย่างสงบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2010, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: :b45: :b45: ทุกข์ ส่วนบุคคล - ส่วนสังคม. ธรรมชาติ
บุคคล ระทมใจ
เพราะคิดได้...คิดว่ามี ฉัน - ของฉัน
เป็นห่วงสุขภาพของตน - คนรักของตน
รบกวนด้วยปัญหา สุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บ
รบกวนด้วยปัญหา เศรษฐกิจในครอบครัว
รบกวนด้วยปัญหา เกียรติยศชื่อเสียง
รบกวนด้วยปัญหา ความไม่ลงรอยในครอบครัวอย่างรุนแรง
ประสพภาวะที่สมมุติเรียกกันว่า "โชคร้าย-ดวงไม่มี"
กลัวแต่จะเป็นคน อกตัญญู อกตเวที จนไม่สบายใจ

สังคม เบียดเบียน
มีศัตรูอาฆาต คอยทำลายอยู่
ถูกประทุษร้าย ชีวิต-ร่างกาย-ของรัก-ทรัพย์-สิทธิ-เกียรติ
โง่เง่า งมงาย บกพร่องในด้านสังคม
เข้าใจในคำว่าสังคม-หรือสังคมสัมพันธ์(ตามพวกบ้า)
ต้องการตอบแทนจากสังคม มากเกินไป
เข้าใจว่า อยู่ในโลก คนเดียวได้ ใจแคบ ไม่เผื่อแผ่ เห็นแก่ตัว
เป็นคนคด สั้น,.อกตัญญู..เสื่อมอยู่เป็นประจำ
มีแต่เอา ไม่มีให้.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2010, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนไม่ถึงธรรม

มีโอกาส ................แต่ไม่เรียน
เรียน.....................แต่ไม่รู้
รู้.........................แต่ไม่มี(ตัวธรรม)
มี.........................แต่ไม่ใช้
ใช้........................แต่ ไม่ถูกเรื่อง
ถูกเรื่อง..................แต่ตื้น นิดเดียว



เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้อง รู้สึกตัว
และต้องระวัง เพราะกำลังมีอยู่
แม้กับสิ่งที่เรียกว่า "ศาสนา"


แก้ไขล่าสุดโดย ศรีสมบัติ เมื่อ 10 พ.ค. 2010, 12:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2010, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านแล้วก็รู้ว่าท่าน พุทธทาส เข้าใจธรมะของพระพุทธเจ้าแค่น้อยนิด สมแล้วที่ท่านเป็นทาสพุทธเจ้า ท่านจะรู้มากคงไม่ได้


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 10 พ.ค. 2010, 12:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2010, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: ค่ะ สำหรับบทความดีๆที่นำมาแบ่งปันค่ะ :b42: :b42:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2010, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญหาอยู่ที่จิตดวงเดียว
แต่แสดงบทบาททุกอย่าง
:b45: มิใช่เหมือนกับมีจิต ๒ ดวง(คนสองคน)ทำหน้าที่สองฝ่าย, มันมีแต่เจตสิกสองฝ่าย แย่งกันทำหน้าที่ปรุงจิต โดยมีสติเป็นตัวการสำคัญ
:b45: ชีวิตเป็นเวที เป็นพื้นฐานของบทเรียนทั้งหลาย จนกระทั่งมันรู้จักแยก,รู้จักเลือก,อยางทั่วถึง เกิดระบบสติ สำหรับคุม-กั้นกระแส-แยกให้ถูกและรวดเร็ว พอที่จะทะลุกลางปล้อง ของความผิด ผลุงขึ้นมาเป็นความถูก
:b45: ธรรมชาติทำหน้าที่ เรียน-เลือก-ฝึก-ปรับปรุง-อยู่ตลอดเวลา,ถ้าสำเร็จก็มีลักษณะสัตบุรุษสำเร็จ, มิฉะนั้น ก็เป็นพาล, ไม่อาจรู้สึกตัวฝ่ายกุศลอย่างทันท่วงที ในอัตราสายฟ้าแลบ
:b45: กราทำให้เจตสิกฝ่ายกุศล เกิดเร็ว และมีกำลังมาก นี่เป็นสิ่งประเสริฐ ที่ชีวิตกระทำของมันเอง ทั้งโดยเจตนา(ที่เรากำลังพยายาม)และไม่เจตนา คือมันรู้จักเข็ดหลาบและละอาย-กลัว ของมันเอง จนถึงระดับที่เป็นการตรัสรู้
:b45: สรุปความยาก ,. คนเดียว เป็นทั้งผู้ฝึก และถูกฝึก, เป็นทั้งผู้ควบคุมและถูกควบคุม, ทั้งผู้สอน-ผู้เรียน, นี่แหละ อัตต หิ อัตตโน นาโถ ชั้นปรมัตถ์

จิตเดิม (แท้) อุบายวิธีสอนแบบหนึ่ง
:b45: คำว่า"จิตเดิม" เป็นคำแปลก เข้าใจยากจนเกิดเป็นปัญหาถกเถียง และกลายเป็นคำสำหรับล้อเล่นไปเสียก็มี
:b45: มันจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่หมายถึงจิตก่อนแต่จะรับอารมณ์ มาปรุงแต่งตัวเองเป็นจิต ต่างๆกัน หลายรูปแบบ(โลภะ-โทสะ-โมหะ-ฯลฯ) เสมือนจิตให้ม่วนไปในวัฏฏสงสาร กำลังเป็นปัญหาอยู่บัดนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2010, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: ครั้นทนทุกข์มากพอ ฉลาดขึ้นรู้สึกตัว ก็เปลี่ยนสภาพ เป็นจิตที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้,บริสุทธิ์อย่างถาวร,ไม่เวียนว่ายอีกต่อไป เรียกว่า กลับสู่สภาพเดิม หรือหน้าตาดั้งเดิม
:b45: จงพยายามรู้จัก แล้วมันจะกลับไปสู่สภาพเดิมของมันเอง เพราะมันมีเชื้อแห่งปัญญา อยู่ในตัวมันเอง.
:b45: จิตเป็นธาตุ ตามธรรมชาติ,ฝ่ายนาม ครั้นได้มาสัมพันธ์กับธาตุฝ่ายรูป จึงสูญเสียสภาพเดิม,(เกิดปัญหา),.ไม่บริสุทธิ์ ทนทุกข์ จนกว่าจะฉลาดและกลับสู่สภาพเดิม (โดยอุปมา)

:b48: :b48: :b48: [b]จิตประภัสสร.[/b]
:b45: จิตเดิมเป็นประภัสสร (เรืองแสง) มีลักษณะเหมือน"เดิม"มิใช่บริสุทธิ์แท้จริง,บริสุทธิ์ชั่วเวลาที่ไม่มีอะไรเข้ามาปรุงแต่ง,จึงเป็นประภัสสรชนิดชั่วคราว
:b45: ครั้นถูกปรุงแต่ง ให้เป็นทุกข์นานพอสมควร ก็เริ่มฉลาด เบื่อหน่าย ต่อการทนทุกข์ จึงค่อยฉลาด
ใช้ความรู้ที่ได้ผ่านมา ทำตัวเองให้กลับประภัสสรชนิดถาวร. ถือเป็นพระอรหันต์ ไม่กลับเศร้าหมองได้อีกต่อไป - ประภัสสรถาวร
:b45: แต่แม้ในระยะทนทุกข์นี้ ก็ยังเก็บคุณสมบัติประภัสสรซ่อนไว้ ในตน,และแสดงออกมาทุกคราวที่กิเลสไม่เกิดขึ้น,(เช่นเวลา เป็นสมาธิ-จิตว่างชั่วคราว ฯลฯ)ซึ่งเรามักจะไม่ได้สนใจ หรือสังเกตกัน,เลยเห็นเป็นของแปลก หรือลึกลับ,ที่จริงพอจะเรียกได้ว่า คุณสมบัติเดิมของจิต,ก่อนแต่ถูกอะไรปรุง
:b45: พุทธะ คือ ธรรมะที่ปรากฏแก่จิต จิตที่มีธรรมะปรากฏคือ พุทธะ พุทธะคือจิตที่ตรัสรู้ธรรม,.จิตคือพุทธะ
:b45: ว่าง คือ ว่างจากตัวตน ตามความหมายทั่วไป,ว่างจาก การปรุงแต่ง(ปรม สุญญตา)ว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน,ว่างจากการรบกวนของอารมณ์(วิเวก) ว่างเพราะมี อตัมมยตา ลักษณะของจิตประภัสสร ระวังมีความหมายทั้งทางวัตถุ - ทางจิตใจ,มิใช่ไม่มีอะไรเลย(มิจฉาทิฏฐิ)มีทุกอย่าง ภาวะแห่งความว่างจากอุปทานตัวตน เป็นแก่นแท้ แห่งสัจจธรรม ของธรรมชาติ


แก้ไขล่าสุดโดย ศรีสมบัติ เมื่อ 10 พ.ค. 2010, 13:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2010, 19:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ... :b8: :b8: :b8:

อ้างคำพูด:
จิตเดิมเป็นประภัสสร (เรืองแสง) มีลักษณะเหมือน"เดิม"มิใช่บริสุทธิ์แท้จริง,บริสุทธิ์ชั่วเวลาที่ไม่มีอะไรเข้ามาปรุงแต่ง,จึงเป็นประภัสสรชนิดชั่วคราว
ครั้นถูกปรุงแต่ง ให้เป็นทุกข์นานพอสมควร ก็เริ่มฉลาด เบื่อหน่าย ต่อการทนทุกข์ จึงค่อยฉลาด
ใช้ความรู้ที่ได้ผ่านมา ทำตัวเองให้กลับประภัสสรชนิดถาวร. ถือเป็นพระอรหันต์ ไม่กลับเศร้าหมองได้อีกต่อไป - ประภัสสรถาวร
แต่แม้ในระยะทนทุกข์นี้ ก็ยังเก็บคุณสมบัติประภัสสรซ่อนไว้ ในตน,และแสดงออกมาทุกคราวที่กิเลสไม่เกิดขึ้น,(เช่นเวลา เป็นสมาธิ-จิตว่างชั่วคราว ฯลฯ)ซึ่งเรามักจะไม่ได้สนใจ หรือสังเกตกัน,เลยเห็นเป็นของแปลก หรือลึกลับ,ที่จริงพอจะเรียกได้ว่า คุณสมบัติเดิมของจิต,ก่อนแต่ถูกอะไรปรุง


สาธุ... :b8: :b8: :b8:
ธรรมะจากหัวใจ..
ผู้รู้..กล่าวได้ไม่มีขัดแย้งกันเลย..

ผู้ยังไม่รู้..เซซ้าย..เซขวา..ชนนั้น..ชนนี้..ไปทั่ว
:b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 10 พ.ค. 2010, 20:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2010, 12:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของจิตต่อ..
:b45: เมื่อว่างจากตัวตนแล้ว คนธรรมดากับปรัชญาเมธี ก็เหมือนกัน. ถ้าไม่ว่างก็ใช้ไม่ได้ทั้งสองคน
:b45: ความว่าง นำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ของคนธรรมดาถ้าฉลาดพอ, และใช้ในการทำงานทุกชนิด ด้วยจิตว่าง ในความหมายที่ถูกต้อง,. คนโง่ไม่อาจเข้าใจ
:b45: ทำจิต ให้เหมาะสม ด้วยสมาธิภาวนา เพื่อเห็นความว่าง แล้วจิตก็จะว่าง เป็นจิตเดิมแท้ หรือจิตใหม่ แล้วแต่จะเรียก
:b45: จิต มีพืชแห่งความพุทธะอยู่โดยกฏแห่งวิวัฒนาการ กระทั่งเป็นสัญชาตญาน หากแต่ทำผิดพลาดไปโดยถูกครอบงำด้วยอวิชชา จนเป็นสัญชาตญานไปอีก จนโง่ไปว่าเป็นคู่ หรือ คู่. ที่จริงเดี่ยวดิ่งไปเพื่อตรัสรู้, ไม่ต้องเสี่ยง.
:b45: จิตมีลักษณะอะไรๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่า กายสิทธิ หรือ ศักดิ์สิทธิ์. ที่จริงมันก็ อ้ายอนัตตาธรรม ตามธรรมดา,แต่ก็ดีเหมือนกัน ที่จะทำให้มันศักดิ์สิทธิ์หรือกายสิทธิ์ จะรับใช้หรือทำงานได้ดีที่สุด จัดให้มันถูกควบคุมโดยสติ,อย่าให้ฟรีจากอำนาจของสติ
:b45: จิตรู้จักจิต จนควบคุมจิต หรือตัวเองได้ดีที่สุด,เรื่องก็จบ, พรหมจรรย์ มีความหมายเพียงเท่านี้
มันไม่รู้จักตัวเอง จนโง่ กลายเป็นอัตตา ไปเสีย.
:b45: จิต มีหลายความหมาย ยากที่จะเข้าใจ-ควบคุม.
๑) คิด ทำให้เกิดความรู้ได้ไม่สิ้นสุด-ผิด/ถูก
๒)ก่อ ทำให้เกิดสิ่งใหม่ มากออกไป.
๓)วิจิตร ทำอะไรได้แปลกๆ ไม่รู้สิ้นสุด. สวยงาม
:b45: จิต หลุดพ้นจากการครอบงำของอวิชชา,ไม่ใช่อัตตา, กล่าวอีกอย่างหนึ่ง,. มันหลุดพ้นจากอัตตา หรือ อุปาทานนั่นเอง. จิตจึงสะอาด-สว่าง-สงบ-/เสรี.จิต ติด อัตตาด้วยอวิชชา แล้วหลุดด้วยวิชชา.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2010, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: จิต เมื่อสิ้น อุทธัจจอนุสัยสัญโยชน์ มันก็สงบเอง โดยไม่ต้องมีใครช่วยทำหรอก อุทธัจจะมันเป็นของอัตตา พองด้วยอุปาทาน ด้วยความหมายแห่งตัวกู/ของกู. สงบเพราะ หมด ตัวกู/ของกู.
:b45: จิตล้วนๆ มีศูนย์ดิ่งลงสู่ความสงบ หรือความเป็นประภัสสร, แต่แล้วมันดิ่งไม่ได้ เพราะอวิชชาในรูปของกิเลสนานาชนิด กลุ้มรุมเอาไว้ เป็นสายระโยงยาว, ทำให้มันหลุดออกแล้วไปตามจุดศูนย์ดิ่งของมันเถิด
:b45: จิตสงบ,..ภาวะที่จิตดิ่งลงสู่สภาวะประภัสสร,แล้วก็กลับไม่สงบเพราะสูญเสียภาวะประภัสสร
จิตที่ไม่หลุดพ้น จึงสลับกันอยู่กับความ บวก-ลบ ของภาวะประภัสสร.
:b45: จากจิตสู่จิต อุปมาเหมือนกระจกเงา ๒ บาน ส่องสะท้อนให้แก่กันและกัน โดยไม่ต้องมีสิ่งอื่นใดเกี่ยวข้อง
:b45: จิตสงบเอง เมื่อมันเป็นอิสระคือประภัสสร ไม่มีอะไรเข้ามาปรุงแต่ง, เราเพียงแต่ทำให้สู่สภาวะเดิม แล้วมันก็จะจัดการให้แก่ตัวมันเองได้ (ทุกลำดับแห่ง ฌาน)
:b45: จิตแท้ล้วนๆไม่ต้องการอะไรสักอย่างเดียว,แต่เมื่ออวิชชาครอบงำ เป็นกิเลสตัณหาอุปาทาน แล้ว มันต้องการ ยิ่งกว่าสารพัด,.อยากรู้อยากเห็น-อยากเกิด-ตาย-เกิดใหม่ ในทุกความหมาย
:b45: จิตเป็นได้ทุกอย่างแล้วแต่ปัจจัย(อุปกิเลส)ที่ปรุงแต่ง ,.เป็นผี เป็นเทวดา - สัตว์นรก
สัตว์เดรัจฉาน ฯลฯ อะไรก็ได้ทุกชนิด แล้วแต่ตัณหาอุปทานของมัน..
:b45: จิตสงบสุขตลอดเวลาที่มันว่าง ไม่วุ่น ด้วยการปรุงแต่ง ของสังขารธรรมใดๆ.ดังนั้น
"จิตเดิม"จึงสงบสุข ด้วยความว่างของมันเอง,"จิตทีหลัง"จึงวุ่นอยู่ด้วยความปรุงแต่ง อยู่ทุกกาละ เทศะ, ดังนั้น ปฏิบัติให้พบจิตเดิม(ประภัสสร).
:b45:จิตสงบ ไม่ใช่เรื่องทำง่าย และเกี่ยวกับอุบาย คือทำให้ว่าง เมื่อว่างก็สงบ แต่มันก็ยากที่จะทำให้ว่าง,หรือเห็นทุกอย่างเป็นของว่าง-ว่างจากตัวตนอันเป็นที่ตั้งของอุปาทาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2010, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: ถ้าไม่รู้จักสิ่งที่เรียก อุปาทาน ก็ไม่สามารถทำจิตให้ว่าง จากอุปาทาน มีแต่ชักใยพันตัวเองมากขึ้น ด้วยอุปาทานนั้นเอง แล้วก็ทึกทักเอาว่า นี้ ชีวิตนิรันดร์ เอาอุปาทานเป็นของตัวเองเสียแล้ว จะทำลายอุปาทานได้อย่างไร,มีแต่ตัวตน ที่ถาวรไปเลย.
:b45: เห็นจิตด้วยจิต ,.ฝึกจิตด้วยจิต,จับจิตด้วยจิต,นี้ยากกว่าจับปลา,จับปลานั้นคนจับปลา,แต่นี่จิตจับตัวเอง คือ เกิดความรู้ขึ้นในจิต จนจิตรู้จักตัวเอง,จัดการกับตัวเอง,มันจึงยาก จิตเกิดความรู้ขึ้นในจิต แต่เรียกเห็นจิตเห็นจิต
:b45: จิตพบจิต มันก็หยุดดิ้น เพราะมีความรู้ จักตัวเอง ว่าเป็นอย่างไร หรือควรจะเป็นอย่างไร,ตามปรกติ ไม่รู้จักจิต จึงมีแต่เพ้อฝันหรือถึงกับละเมอ ทำอะไรต่างๆ ดังที่ทำอยู่ทั่วไป
:b45: พึ่งตัวเอง หมายถึงจิตเห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง จัดการกับตัวเองได้อย่างถูกต้อง จนหมดปัญหาทั้งปวง ด้วยตนเอง เท่ากับ พึ่งตัวเอง
:b45: จิตกวนตัวเอง ด้วยการปรุง จึงขุ่นมัวไม่เห็นอะไร,พอ สงบไม่ขุ่น ก็เห็นตัวเอง,เหมือนน้ำขุ่นเมื่อกวน พอไม่กวนก็ใสเอง นี่มันเนื่องด้วยคนนอก, จิต ถูกปรุงแต่งด้วยสังขาร ให้กวนตัวเอง
:b45: จิตสงบหลายแบบ ด้วยศรัทธาก็ได้ ด้วยสมาธิก็ได้ ด้วยวิปัสนาก็ได้, แต่รวมความได้ว่า สงบเพราะปรุงแต่งน้อยลง จนหมดการปรุงแต่ง, มีหลายแบบอย่างนี้ควรจะเลือกได้แบบหนึ่ง อย่างน้อยก็ศรัทธาในตัวเอง ว่ามีความถูกต้องแล้ว.

อย่าเข้าใจผิดต่อพุทธศาสนา.
:b48: พุทธศาสนาไม่ช่วยอะไรเลยแก่ผู้ที่มัวแต่ทำพิธีบูชาขอร้องอ้อนวอน นะโว๊ย!!
:b48: ถ้าอย่างนั้น จะทำอย่างไร? ต้องทำให้มีพุทธศาสนาอยู่ในตน.
:b48: ทำอยางไร? ต้องปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตน ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ
:b48: ปฏิบัติอย่างไร? ทำหน้าที่ทุกอย่างด้วยสติปัญญา ไม่มีอุปาทานกิเลสตัณหาเกิดขึ้น ในทุก กรณี
สรณํ คัจฉามิ กันแต่ปาก พระรัตนตรัยเลยไม่รู้จะช่วยอย่างไร? ลองมีพระรัตนตรัยกันจริงๆ ดูบ้าง จะช่วยได้จริงหรือไม่.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สอนระบบการดับทุกข์
:b48: ระบบการดับทุกข์ที่แท้จริงคือช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ ด้วยการทำหน้าที่อย่างถูกต้อง รู้สึกว่าพอใจ พอใจ และเป็นสุขอยู่ทุกอิริยาบถ ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่, เป็นระบบ"ธรรมชีวี" ที่เคยกล่าวมาแล้ว
ถูกต้องทั้งฝ่ายวัตถุและจิตใจ อย่างควบคู่กันไป.
:b48: ธรรมะต้องสอนกันอย่างนี้,และสอนได้แก่ทุกคน.

ความรู้ที่ประเสริฐที่สุด
:b48: ความรู้ที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด จำเป็นที่สุดของมนุษย์คือ
ความรู้เรื่องหน้าที่ที่ถูกต้อง แก่ความรอด
:b48: แต่การศึกษาในโลก ไม่มีการเกี่ยวข้องกับเรื่อง ที่กล่าวนี้เลย, มีแต่ความรู้สำหรับการชนะสงคราม ครองโลก และความรู้ที่ส่งเสริมการผลิต เพื่อการกอบโกย ความร่ำรวยมอมเมาตัวเอง

การปฏิบัติหน้าที่คือการปฏิบัติธรรม
:b48: ทุกคนควรตื่นอยู่ด้วยสติปัจจุบัน ในข้อเท็จจริงอันนี้
:b48: คนทั่วไปมุ่งแต่ สิทธิ หรือผลที่จะได้รับ, ไม่สนใจในหน้าที่ หรือเหตุ จึงทำงานไม่สนุก ไม่เป็นสุขกำลังทำงาน
:b48: ความสุข ต้องเป็นเรื่องของปัจจุบัน ถ้าเป็นอนาคตจะมีประโยชน์อะไร และไม่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา,. จงปรารถนานิพพาน ชนิด เมื่อกำลังทำหน้าที่และตลอดเวลาที่ทำหน้าที่กันเถิด,เย็นเมื่อกำลังทำหน้าที่ และง่ายที่เย็นตลอดเวลา
:b48: การปฏิบัติหน้าที่ มิใช่เพื่อสุขหรือสวรรค์ในอนาคต, แต่เมื่อทำหน้าที่ นั่นแหละ ให้เป็นสวรรค์ อยู่ในตัว.เป็นสุขอยู่เมื่อทำหน้าที่
:b48: การกระทำหน้าที่ทุกอย่าง ต้องมีความเย็น(นิพพาน)เป็นไส้ในอยู่ตลอดเวลา จึงจะเป็นการกระทำหน้าที่ถูกต้องของพุทธบริษัทในพุทธศาสนา. พอใจมีธรรมปิติในหน้าที่ มีนิพพานอยู่ในหน้าที่.นิพพานหาได้ในวัฏฏสงสาร.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพาน
:b48: นิพพาน คือสิ่งปัจจุบัน อนันตกาล,ไม่มีการเกิดดับ หรือใครๆ อาจทำให้เกิด หรือ ดับ,จึงเรียกว่า สิ่งที่ไม่เกิด-ดับ, เราทำได้ เพียงแต่ทำให้ปรากฏแก่จิต ที่อบรมดีแล้วเท่านั้น
:b48: นิพพาน สภาวะธรรม ที่เป็นปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องสร้าง และไม่อาจสร้าง,เพียงแต่ทำให้ปรากฏ โดยการดำรงจิตให้เหมาะสมที่จะปรากฏ คือปราศจาก อนุสัย-อาสวะ โดย อำนาจของวิปัสนา(๙ "ตา" สดวก-ลัดสั้นที่สุด)
:b48: นิพพาน มีในที่ทั่วไป ในที่ไม่มีการปรุงแต่ง(หรือสังขาร) เมื่อความทุกข์ดับ เพราะขาดปัจจัย นิพพานก็มีอยู่นั่น ที่ดับแห่งทุกข์,อุปมามะพร้าวนาฬิเกร์ กลางทะเลขี้ผึ้ง คือท่ามกลางวัฏฏสงสารนั่นเองความดับไฟที่มีไฟ อย่าไปมัวหานิพพาน นอกวัฏฏสงสาร จะไม่พบ.

:b43: ไปนิพพานทางไหน :b43:
:b48: ไปนิพพานทางไหน?
ตอบ., ไปทางทะลุตัวเอง
:b48: ไกลเท่าไร?
ตอบ., แค่ยาววาหนาคืบ แต่คนไม่รู้ คิดว่า เดินทางหมื่น กัลป์แสนกัลป์
:b48: ทำอย่างไร?
ตอบ.,ดูทะลุปรุโปร่ง ตัวเองในทุกแง่ทุกมุม แห่ง อนิจํ ทุกขํ อนัตตา สุญญตา - ตถาตา.
เมื่อไรจะได้ ?
:b48: ท่านอาจารย์ เมื่อไรผมจะได้ดวงจันทร์นั่น
ตอบ., เมื่อแกรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะได้
:b48: เมื่อไร จะได้นิพพาน ?
ตอบ.,เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไรที่ควรอยากได้,ไม่มีอะไรที่ต้องได้.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมทางไปนิพพานจึงยาวนัก?
:b48: ทำไมทางไปนิพพนาจึงยาวนัก? เพราะความโง่ในอวิชชาในหัวของเรา มันยาวมากนั่นเอง.
:b48: พยายามหดความยาวของความโง่ในหัวของเราให้สั้นเข้าเถิด ทางไปนิพพานก็จะสั้นเข้ามาเองเป็นแน่นอน
:b48: หดอวิชชา โดยการศึกษาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กระทั่งสุญญตา ตถาตาให้แท้จริง มากเข้า ทางพระนิพพาน ก็จะสั้นเข้าโดยไม่ต้องสงสัย!
:b48: พอเห็นจิตประภัสสร นิพพานชั่วคราวก็มีอยู่เป็นระยะๆ พอเห็น ตถตา นิพพาน ก็อยู่ที่นี่-เดี๋ยวนี้

สัตว์อกตัญญูยิ่งเพิ่มทุกข์
:b43: ไม่กตัญญู ต่อสิ่งแวดล้อม ที่ธรรมชาติสร้างมาดีแล้ว จึงไม่มีน้ำทำนา ฯลฯ สมน้ำหน้า บะยากาศรอบโลกเป็นพิษ.
:b43: ไม่กตัญญูต่อ นิพพานตามธรรมชาติ จึงไม่รู้จัก นิพพานจริง.
:b43: จิตประภัสสร นิพพานตามธรรมชาติ หล่อเลี้ยงชีวิต ไม่ให้เป็นบ้าหรือตาย, กลับเห็นเป็นของน่ารังเกียจ.
:b43: อกตัญญุต่อ ธรรมชาติ แวดล้อมโลก ทำลายจนอยู่ในโลกไม่ได้,สมน้ำหน้า
:b43: มันจะเป็นลูกผี-ลูกคน-ลูกเทวดา-ลูกพระพุทธเจ้า ก็แล้วแต่มันจะเลือกเอาเอง เสวยผลเอาเอง.

ศาสนา กลายเป็นเครื่องแบ่งแยกมนุษย์เสียเอง..นะจ๊ะ
:b43: ธรรมชาติ สร้างมาเพื่อรวมกันอยู่อย่างผาสุก,ศาสนาทุกศาสนา ก็มุ่งหมายเช่นนั้น แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แล้วกลายเป็นไปได้ถึงกับว่า เจ้าหน้าที่ของ"ศาสนา" ในนามของศาสนา กำลังสร้างความแตกแยกอันนี้ ขึ้นเสียเอง
:b43: ศาสนิก ยึดมั่นในคำว่า พุทธ-คฤหัสต์-อิสลาม-ฮินดู-ซิกส์ ฯลฯ มากเกินไป จนกลายเป็นปรปักษ์และปฏิปักษ์กันได้หมด บางที นิกายในศาสนา เดียวกัน ยังมีความแตกแยกในระดับนี้ ฆ่าฟันกัน.
:b43: เราต้องช่วยกันมองให้เห็นข้อเท็จจริงอันนี้กันก่อน,โลกจึงจะร่วมมือกันสร้างสันติภาพ ของส่วนรวมได้, มิฉะนั้นจะเต็มไปด้วยเครื่องแบ่งแยก และขัดแย้งกันยิ่งขึ้น.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b53: ถ้าแตงโมไม่หวาน!!
:b46: ถ้าแตงโมนี้ไม่หวานอย่างที่ควรจะเป็น และขนมนี้ไม่อร่อยตามแบบฉบับของมัน ก็ถือเสียว่ามันเป็นของใหม่ หรือแบบใหม่ ที่ทำให้เราได้กินแปลกใหม่ออกไป ควรจะนับว่าเป็นโชคดี หรือความเจริญ
ดีกว่าจะขัดเคืองให้เปลืองใจ

:b53: ความเจริญ.
:b46: ความเจริญทางวัตถุคือความยุ่ง,ยิ่งเจริญยิ่งยุ่ง,.ความเจริญทางจิตใจ คือความสงบ,ยิ่งเจริญ ยิ่งสงบ ต้องหาทางให้เจริญควบคู่กันไป อย่างถูกต้องพอดี คือให้เกิดความสงบและความสดวก คู่กันไปไม่วุ่นวาย.
:b46: ความเจริญทางวัตถุล้วนๆ ส่งเสริมกิเลส เป็นธรรมดา,และมักเกินสุขภาพทางกาย,เกินความผาสุขที่ถูกต้อง ซึ่งอาศัยทางจิตใจอยู่มาก,.อย่างดี ก็ให้ความเพลิดเพลินและสะดวกแต่ก็ลืมตัว ลุ่มหลงกัน จนเกิดปัญหาใหม่ๆ.
:b46: ความเจริญ หรือ วัฒนธรรมที่คนป่าสมัยดึกดำบรรพ์จะพากันจับกลุ่มหัวเราะก็ รู้จักทำเช่น เหล้า เบียร์ อย่างแพงขึ้นดื่มกิน และยกชูขึ้นเหนือศรีษะเสียด้วย การพนัน นานา ชนิด ชนิดไพร่ ชนิดบรรดาศักดิ์,มีเพลงและดนตรีในงานศพ สถานส่งเสริมกิจกรรมโสเภณีและพฤติกรรมอนาจารนานาชนิด ล้วนแต่ไม่มีและทำลายหิริโอตตัปปะ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา.

:b53: ความเจริญทางวัตถุที่ควบคุมไม่ได้
คือความวินาศของมนุษย์
:b46: มันให้เกิด ความเห็นแก่ตัวที่เข้มข้นๆ ยิ่งขึ้นๆ แล้วก็ ทรมานตน เพิ่มไฟกิเลสยิ่งขึ้น จนเป็นประสาท,บ้า ตาย ฆ่าตัวเองตาย,.อีกทางหนึ่ง เบียดเบียฬกันถึงขั้น มิคสัญญี, อย่างที่มีเค้าอยู่ในทุกวันนี้.


แก้ไขล่าสุดโดย ศรีสมบัติ เมื่อ 13 พ.ค. 2010, 14:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร