วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 16:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 02:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เกษียณกาย แต่ไม่เกษียณใจ...by พระมหาสมปอง [ธรรมะวัยเกษียณ]

รูปภาพ

"วัยเกษียณนี่แหละคุณโยมที่เป็นวัยรุ่นของธรรมะ
เพราะเมื่อคุณโยมเกษียณจากการทำงานด้วยอายุที่มากขึ้น
แต่คุณโยมได้มาเริ่มงานใหม่ในการสร้างความดี
ก็เหมือนเป็นเด็กจบใหม่ที่มาเริ่มงานใน"บริษัทธรรมะ"
แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าตัวเองว่างงานได้อย่างไรกัน"

"ถ้าจะเปรียบแล้วชีวิตเราก็เหมือนเรือลำหนึ่ง
ที่ผ่านการใช้งานผ่านคลื่นลมมาอย่างโชกโชน
เมื่อใช้งานมานานก็ต้องผุพังเป็นเรื่องธรรมดา
นานวันเข้าน้ำก็เข้าเรือ เมื่อน้ำเข้าเรือ เราก็ต้องวิดน้ำออก
หากไม่ทำเช่นนั้นเรือก็จะจมลง
และเราก็จะตายไปกับเรือ
ร่างกายก็เหมือนเรือ
ในขณะที่ทุกข์ โรคภัยคือน้ำที่เข้าเรือ

คุณโยมวัยชราจึงต้องเข้าใจว่า
ในเมื่ออายุเราเพิ่มมากขึ้น
ความเสื่อมของร่างกายก็ต้องมีตามมาเป็นธรรมชาติ
ถ้าไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนี่สิถึงแปลก
และเมื่อเราเข้าใจเช่นนี้
เราก็จะไม่ตื่นกลัว แต่จะเตรียมตัวรับมือได้อย่างชาญชลาด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 02:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่มา ส่ง.................................ธรรมะอมยิ้ม[พระมหาสมปอง]

รูปภาพ

เรื่องนี้ว่าด้วยสตินะคุณโยม มีคุณโยม 3 ท่าน นั่งคุยกันอยู่ที่ชานชลารถไฟ ทันใดนั้นเสียงหวูดรถไฟก็ดังขึ้นแล้วรถไฟขบวนที่ตัวเองต้องขึ้นก็วิ่งออกไป

"เฮ้ย.....เร็วเว้ย เดี่ยวไม่ทัน" เจ้าเพื่อน 2 คนรีบวิ่งตามรถไฟแล้วก็กระโดดขึ้นรถไปทันที ส่วนเพื่อนอีกคนมัวแต่หันไปหยิบกระเป๋าเลยวิ่งตามไม่ทัน

พอวิ่งไปสุดชานชลาเขาก็หยุดหอบหายใจแล้วโบกมือส่งเพื่อนแถมหัวเราะก๊ากไม่ หยุด จนนายสถานีต้องเดินมาถามว่าเป็นอะไร

"จะไม่ให้หัวเราะได้ยังไงครับท่าน ก็เจ้าสองคนนั่น จริงๆ แล้วมันมาส่งผมน่ะสิครับ"

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 02:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุผลคนไม่เข้า วัด.............................[ธรรมะอมยิ้ม]

รูปภาพ

สมัยนี้คุณโยมหลายคนเริ่มเข้าวัดกันมากขึ้น แต่อีกหลายคนก็ไม่อยากจะเข้าวัดเอาเสียเลย ด้วยเหตุผลว่า..........

-เพราะประมาท

-เพราะฉลาดกว่าพระ

-เพราะเศรษฐกิจไม่อำนวย

-เพราะสังขารไม่ช่วย

-เพราะพระบอกหวยไม่ถูก

ข้อสุดท้ายนี่แหละสำคัญ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 02:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพชร ตัดมายา........... by พระอาจารย์เผด็จ ติสโร ธรรมะเดลิเวอรี่



เพชรสามารถตัดทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่อะไรก็ไม่อาจตัดเพชรได้ เรา
จำเป็นต้องพัฒนา การหยั่งเห็นที่คมเหมือนเพชร เพื่อใช้ตัดทำลายความ
ทุกข์ ถ้าเธอศึกษาพระสูตรว่าด้วยการจับงูให้ถูกวิธี แล้วมาศึกษา
วัชรสูตร เธอจะเห็นความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันระหว่างพระสูตรทั้ง
สองนี้

วัชรสูตรได้บันทึกการสนทนาระหว่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กับภิกษุสุภูติสาวกของพระองค์ เป็นพระสูตรรุ่นแรก ๆ ที่สุดพระสูตร
หนึ่งในบรรดาปรัชญาปารมิตาสูตร ภิกษุหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูปได้
มาประชุมพร้อมกัน ในปรัชญาปารมิตาสูตรรุ่นหลัง ๆ ภิกษุที่มาประชุม
มีจำนวนน้อยกว่านี้ แต่พระโพธิสัตว์มากถึง ๒๕,ooo - ๕o,ooo องค์
มาร่วมประชุมอยู่ด้วย ปัญหาที่สุภูติทูลถามก็คือ " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
หากกุลบุตรกุลธิดาปรารถนาจะบรลุธรรม บรรลุจิตอันเลิศ รุ้ตื่นรู้เบิกบาน
แล้วไซร้ เขาและเธอควรตั้งจิตและควบคุมจิตของตนอย่างไรพระเจ้าข้า "
สุภูติรู้ว่าขั้นแรกของการเป็นโพธิสัตว์ก็คือโพธิจิต ซึ่งก็คือความปรารถนา
ที่จะนำตนเองและนำชีวิตอื่น ๆ ไปสู่ฝั่งแห่งความสุขและอิสรภาพ


ต่อไปนี้คือคำตอบของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า " สรรพสัตว์ไม่ว่า
จักเป็นเหล่าใด ๆ จักเกิดจากฟองไข่ก็ดี เกิดจากครรภ์ก็ดี เกิดจากคราบ
ไคลความชื้น หรือผุดเกิดขึ้นเองก็ดี จักมีรูปหรือไม่มีรูปก็ดี จักมีสัญญา
หรือไม่มีสัญญาก็ดี จักมีสัญญาก็มิใช่จักไม่มีสัญญาก็มิใช่ก็ดี เราจักต้อง
สั่งสอน ชี้ทางให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นบรรลุนิพพานได้วิมุติหลุดพ้น
เป็นอิสระ " เราต้องปฏิญาณตนว่าจะปฏิบัติเพื่อทุกชีวิตใช่แค่เพื่อตัวเอง
เราปฏิบัติเพื่อต้นไม้ เพื่อสัตว์ เพื่อก้อนหินและเพื่อน้ำ เราปฏิบัติทั้งเพื่อ
ชีวิตที่มีรูปและชีวิตที่ไร้รูป เพื่อชีวิตที่มีสัญญาและชีวิตที่ไม่มีสัญญา เรา
ปฏิญาณที่จะนำสรรพชีวิตเหล่านี้ไปสู่ฝั่งแห่งอิสรภาพ และเมื่อเรานำ
ชีวิตเหล่านี้สู่ฝั่งแห่งอิสรภาพแล้ว เราย่อมไม่คิดเลยว่าชีวิตใดลุถึงความ
อิสระ นี่คือจิตวิญญาณของพุทธศาสนา


ปรัชญาปารมิตาวัชรสูตรมีคำสอนสรุปอยู่ในสี่สิบบท ชาวพุทธทุกคน
ที่ปฏิบัติวิปัสสนาเพื่อการรู้แจ้ง ย่อมมีปรัชญาปารมิตาหรือความเข้าใจ
อันเลิศเป็นมารดาของตน ชีวิตไม่ได้เกิดและไม่ได้บริสุทธิ์มาตั้งแต่แรก
นี่คือการปฏิบัติเพื่อความสมบูรณ์อันประเสริฐ เมื่อพระโพธิสัตว์นำ
สรรพสัตว์ไปสู่อีกฝั่งหนึ่งนั้น ท่านไม่เห็นสัตว์ใด ๆ เลย นี่ก็เข้าใจได้
ไม่ยาก แค่เธอปล่อยใจให้ผ่อนคลาย ปล่อยให้หยาดฝนแห่งธรรมผ่าน
เข้าไปในใจเธอ อาตมามั่นใจว่าเธอจะเข้าใจได้

พระพุทธเจ้าสอนให้เราพิจารณาสี่คำต่อไปนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ ตัวตน
บุคคล สัตวะและชีวะ " เมื่อสรรพสัตว์อันไม่สิ้นสุดไม่มีประมาณนี้ลุถึง
ความเป็นอิสระแล้ว เราย่อมไม่คิดเลยว่าสัตว์ใดลุถึงความอิสระไฉนจึง
เป็นเช่นนั้นเล่า สุภูติ ก็เพราะเหตุว่าถ้าพระโพธิสัตว์ยังมีจิตยึดมั่นอยู่กับ
ตัวตน บุคคล สัตวะและชีวะแล้วไซร้ นั่นหาได้ชื่อว่าพระโพธิสัตว์แท้
จริงไม่ " พระโพธิสัตว์คือผู้ซึ่งเป็นอิสระแล้วจากตัวตน บุคคล สัตวะ
และชีวะ


เรารู้ว่าดอกไม้เป็นส่วนประกอบของธาตุที่ไม่ใช่ดอกไม้ อย่างเช่น
แดด ดิน น้ำ ห้วงหาวและกาลเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลมา
รวมกันทำให้เกิดเป็นดอกไม้ เหตุปัจจัยอันไม่มีขอบเขตนี้คือสิ่งที่เรา
เราเรียกว่า " ธาตุที่ไม่ใช่ดอกไม้ " ปุ๋ยช่วยทำให้ดอกไม้มีขึ้นได้ และ
ดอกไม้ก็ทำให้เกิดปุ๋ยมากขึ้น ถ้าเราภาวนา เราจะเห็นปุ๋ยอยู่ในดอกไม้
ตรงนี้เดี๋ยวนี้ ถ้าเธอเป็นชาวสวนแนวธรรมชาติ เธอย่อมรู้เรื่องนี้ดี
อยู่แล้ว


นี่ใช่แค่คำพูด แต่เป็นประสบการณ์ของเรา เป็นผลจากการฝึกมอง
อย่างลึกซึ้ง เมื่อมองสิ่งใดก็ตาม เราจะเห็นธรรมชาติของการอิง
อาศัยซึ่งกันและกัน ตัวตนจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีธาตุความไม่มีตัวตน
เมื่อมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่าลึกซึ้ง เราจะเห็นจักรวาลทั้งหมด สิ่งหนึ่ง
ประกอบขึ้นจากหลายสิ่ง การจะดูแลตัวเองได้นั้น เราต้องดูแลคน
รอบข้างไปด้วย ความสุขและความมั่นคงของเขาก็คือความสุขและ
ความมั่นคงของเรา ถ้าเราเป็นอิสระจากการยึดติดอยู่กับตัวตน และ
ความไม่มีตัวตน เราก็จะไม่กล่าวคำสองคำนี้ แต่ถ้าเรามองตัวตนว่า
เป็นศัตรู และคิดว่าความไม่มีตัวตนคือพระเจ้าที่มาโปรดเรา เราก็จะ
ติดกับดักของคำทั้งสองนี้ เราพยายามผลักไสสิ่งหนึ่งแล้วหันไปกอด
อีกสิ่ง ถ้าเราเห็นแจ้งว่าการดูแลตัวตนก็คือการดูแลความไม่มีตัวตน
ด้วย เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเราก็จะเป็นอิสระ เราไม่ต้องผลักไสสิ่งใด

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า " ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน "
พระองค์ไม่กลัวคำว่า " ตน " เพราะทรงเป็นอิสระจากถ้อยคำ แต่เรา
ศิษย์ของพระตถาคตไม่กล้าใช้คำนี้ หลายปีก่อนโน้นเมื่อาตมามอบ
คาถาบทหนึ่งให้ฟังพร้อมกับเสียงกระดิ่ง " ฟังสิ จงฟัง เสียงอัศจรรย์
นี้นำฉันกลับมาสู่ตัวตนที่แท้จริงของฉัน " ชาวพุทธหลายคนปฏิเสธ
ไม่ยอมท่องคาถานี้เพราะมีคำ " ตัวตน " อยู่ด้วย พวกเขาจึงเปลี่ยนเป็น
" ฟังสิ จงฟัง เสียงอัศจรรย์นี้นำฉันกลับมาสู่ธรมชาติที่แท้จริงของฉัน "
พวกเขาพยายามหนี " ตัวตน " เพื่อจะได้เป็นศิษย์ตถาคตผู้จริงจัง แต่
แล้วเขาก็กลายเป็นนักโทษของถ้อยคำไป
__________________

พระอาจารย์เผด็จ ติสโร ธรรมะเดลิเวอรี่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 02:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่อนแอซะบ้าง ก็ดีเหมือนกัน .................................... พระอาจารย์เผด็จ ติสโร



ชีวิตคือ...



การปล่อยให้ตัวเองได้อ่อนแอบ้าง
ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา
บางครั้งเวลาเรารั้งความเข้มแข็งเอาไว้
ความอ่อนแอมันจะมีกำลังแข็งแกร่ง
และทำร้ายเราได้ง่ายขึ้น



ในวันที่เราอ่อนแอ ยอมรับเถิดว่าเราอ่อนแอ
ไม่ต้องดันทุรังบอกว่า ตัวเองยังไหวอยู่
ในวันที่เรารู้สึกแพ้ ยอมรับเถิดว่าเราไม่ชนะ
ไม่ต้องหลอกตัวเอง เพื่อที่จะได้เป็นคนเข้มแข็ง
ความอ่อนแอไม่ได้น่ารังเกียจแต่อย่างใด



ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว
ก็หมายความว่า เราได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว
ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว
ก็ไม่เห็นต้องเสียดายเวลาเลย
ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว
จะแพ้หรือชนะก็ไม่ใช่ความหมายใหญ่โตอะไร



ประเด็นคือ...เราเคยยอมรับบ้างไหม
ว่าเราก็เคยอ่อนแอ


โดย พระอาจารย์เผด็จ
ธรรมะ Delivery

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 02:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำคมสะสะกิด ใจ........................................................จาก หนังสือธรรมะเดลิเวอรี่ฉบับอมยิ้ม อิ่มใจ



จุดต่ำที่สุดในชีวิต ที่ทุกคนประสบ

เป็นได้ทั้งจุดจบ และบทเรียนที่ดี

อยู่ที่คุณจะฉลาดเลือกแบบไหน

ไปให้สุด แล้วหยุดแค่คำว่าพอ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 02:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รักได้...แต่เจ็บให้เป็น.....พระมหา สมปอง



มีคุณโยมท่านหนึ่งมากราบอาตมาที่วัด
และได้ร่วมสนทนาธรรมกัน
ถึงปัญหา
ความรัก
ว่า เราจะรักอย่างไร
เพื่อให้รู้จักรักให้เป็น และจะ
รัก
อย่างไรเพื่อให้ทั้งใจเรา
และใจเขามีความสุขไปพร้อม

ๆ กัน ไม่ว่าความรักนั้นจะสมหวังหรือไม่ก็ตาม

คุณโยมท่านนั้นเปรียบเทียบให้อาตมา
ฟังว่า รักได้ ก็เหมือนการขับรถได้
แค่เสียบกุญแจ
เข้าเกียร์
เหยียบคันเร่ง
ไม่ต้องสนกฎจราจร อาจเกิดอุบัติเหตุ
ตั้งแต่
บาดเจ็บไปจนถึง
เสียชีวิต

แต่ รักเป็น ก็เหมือนเรารู้ว่ากฎจราจรมี
บังคับอย่างไรบ้าง จะแซงขวาต้องเปิดไฟเลี้ยวขอทาง

จะลงสะพานต้องชะลอความเร็ว เพื่อให้ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ

เช่นเดียวกับความรัก ถ้าเรารู้ว่าความรัก
คืออะไร รักอย่างไรให้มีความสุข
รักอย่างไรไม่ให้

เป็นพิษ
ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

รักให้เป็น
คือ เราต้องพิจารณาว่า รักแบบไหน
รักทำไม
แล้วเราจะรักไปในทิศทางไหน
สมัยนี้ที่มีปัญหาเพราะรักได้ แต่ไม่มีสมอง
ไม่ใช้ปัญญา
ใช้แต่ความหลง หลงว่ารัก
หลงว่าดี จนรักทำให้

ตาบอด
หลับไปกับความฝัน ลมๆ แล้งๆ
แต่กว่าจะมีใครเอาไม้มาเขี่ยปลุก ก็ตื่นสาย น้ำลายยือเปียก

ไปครึ่งหมอนเรามักพูดว่า ความรักไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผล
ใช้เพียงอารมณ์ ความรู้สึก และสัญชาตญาณ

เท่านั้น แต่เพราะอารมณ์ไม่ใช่หรือ
ที่ทำให้เราเลือกผิด
ที่ทำให้ต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่า ที่ทำให้คิด

ฆ่าตัวตาย
แต่หากเราใช้ปัญญาประกอบ คือ สามารถพิจารณา
ได้ว่า อะไรดี อะไรควร
เพื่อไม่ให้หลง

ไปกับรักลวงอย่างเต็มตัวจนกู่ไม่กลับ

สุดท้ายแล้ว
ไม่ว่ารักจะเป็นอย่างไร หรือ
รักเป็น เป็นอย่างไร ทุกความรักจะต้องมี เมตตา

มีความปรารถนาดีที่จะมอบสิ่งดี
ความรู้สึกดี
ความหวังดี ให้แก่ผู้ที่เรารัก ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร
หรือมีความรัก
ในฐานะใดก็ตาม หากสมหวัง
ความเมตตาในความรักนั้น จะทำให้เรารักษาและดำเนิน
รักที่เป็นสุข
แต่หากผิดหวังความเมตตา
ที่ได้รัก
ก็จะทำให้เรายินดีกับรักอย่างเป็นสุขเช่นกัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 02:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การได้รักเป็นเรื่องขี้ ผง.............โดย พระมหาสมปอง

รูปภาพ

การได้รักเป็นเรื่องขี้ผง

การถูกรักเป็นเรื่องธรรมดา

ส่วนการได้รักและการถูกรักเป็นทุกสิ่ง

แต่การที่ได้รัก คือการเสี่ยง

ว่าจะไม่ได้รับรักเป็นการตอบแทน

การตั้งความหวัง คือ การเสี่ยงความเจ็บปวด

การพยายามคือการเสี่ยงกับความล้มเหลว

แต่ยังไงต้องเสี่ยง เพราะสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือ

การไม่เสี่ยงอะไรเลย

สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง

แม้แต่กิ้งกือยังมีวันหกล้ม เจริญพร

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 02:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โยม...การโกรธคนอื่น เหมือนการเผาบ้านตัวเอง........โดยพระมหาสมปอง



เวลาโกรธ โปรดมอง ส่องกระจก
ดูวิตก อกเต้น เมื่อเห็นหน้า
ชั่งปั้นยาก ปากจมูก และลูกตา
ดังยักษา ราศี ไม่มีเลย

โยม...การโกรธคนอื่น เหมือนการเผาบ้านตัวเอง เพื่อกำจัดหนูตัวหนึ่ง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 02:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าวันนี้โยมรู้สึกท้อแท้หรืออ่อนแอ ผิดหวัง.............โดย พระมหาสมปอง



ถ้าวันนี้โยมรู้สึกท้อแท้หรืออ่อนแอ
อาตมาขอฝากไว้ ๔ คำ อย่า ทำ นม หก
คือให้เขียนเรียงลงมาว่า อย่า ทำ นม หก
อย่า..ท้อเมื่อพลาดพลั้ง
ทำ...ความหวังขึ้นมาใหม่
นม...นานสักปานใด
หก...ล้มไปเพียงชั่วคราว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 02:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บางสิ่งก็ไม่ควรจำ ถ้ามันทำให้ใจเจ็บ......โดย พระมหาสมปอง


รูปภาพ

โยม....เราโดนด่า โดนว่า โดนหลอก โดนลวง
มาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว เมื่อเดือนที่แล้ว
แต่วันนี้โยมยังจำเอามาทิ่มมาแทงตัวเอง
ให้มันเจ็บปวดอีกทำไม
โยม.....บางสิ่งก็ไม่ควรจำ ถ้ามันทำให้ใจเจ็บ
แต่บางสิ่งก็ควรเก็บถ้ามันเป็นความเจ็บที่น่าจำ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 02:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เถรส่องบาตร............จากพระ วิทยากร



คู่มือวิทยากร
เถรส่องบาตร
อาทิตย์ ที่ 19 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2551




มีวัดอยู่แห่งหนึ่งเป็นศูนย์รวมสำหรับผู้ต้องการปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นแนวทางออกจากทุกข์และปัญหาที่ครอบงำจิตใจให้เศร้าหมอง พระสงฆ์ทุกรูปจะดำรงตนตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์อย่างเคร่งครัด
สำหรับการอบรมนั้น ก็จะมีพระครูบาอาจารย์เป็นแม่แบบในการเรียนรู้ในทุกเรื่อง เริ่มตั้งแต่ระเบียบวินัยเล็กน้อย จนกระทั่งถึงเรื่องการฝึกจิตใจให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส
วันหนึ่งหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้รับพระภิกษุผู้บวชใหม่เข้ามาอยู่ในการปกครอง ฝ่ายภิกษุหนุ่มผู้บวชใหม่นั้น ก็เพียรเฝ้าเรียนรู้พระธรรมวินัยจากหลวงพ่อด้วยความตั้งใจ
ในเช้าวันใหม่ของการฉันข้าว ภิกษุหนุ่มสังเกตเห็นหลวงพ่อหลังฉันเสร็จก็จะล้างบาตรและนำบาตรมานั่งส่อง ทุกวัน หลายวันเข้าภิกษุใหม่จึงเอาบาตรมานั่งส่องเช่นกัน เมื่อหลวงพ่อเห็นเช่นนั้นจึงถามว่า
“เธอกำลังทำอะไร ?”
“กระผมก็ทำตามอย่างหลวงพ่อนั่นแหละครับ”
“เธอทราบไหมว่าหลวงพ่อเอาบาตรมาส่องทำไม ?”
“ไม่ทราบครับ”
“เมื่อไม่ทราบแล้วทำไมถึงทำตามล่ะ?”
“ก็ผมคิดว่าสิ่งที่ทำตามนั้นถูกต้อง แล้วหลวงพ่อเอาบาตรมาส่องทำไมล่ะครับ?”
ภิกษุหนุ่มแจ้งให้หลวงพ่อรับทราบ และถามคืนด้วยความสงสัย
หลวงพ่อจึงเฉลยให้หายข้องใจว่า
“ที่หลวงพ่อเอาบาตรมาส่อง เพราะจะดูว่าบาตรมันรั่วหรือเปล่า ถ้ารั่วจะได้หาเทียนมาหยดเพื่ออุดรูที่รั่วเท่านั้นเอง ไม่มีวัตถุประสงค์อื่นใดเลย”
พอภิกษุหนุ่มได้ฟังคำแถลงไขแล้ว ก็ให้รู้สึกอายยิ่งนักที่ตนเองทำตามโดยไม่รู้เหตุผลในเรื่องนั้น จึงได้แต่ตอบแบบอายๆ ว่า
“ก็ผมนึกว่าสิ่งที่หลวงพ่อทำนั้น เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติตามทุกอย่างนี่ครับ”
ฝ่ายหลวงพ่อเมื่อเห็นลูกศิษย์กล่าวแบบผู้ไม่รู้จริงๆ จึงกล่าวให้ข้อคิดและสำทับให้ลูกศิษย์รู้จักตระหนักในการศึกษาด้วยปัญญาว่า
“ทีหลังก็ให้สอบถามก่อนก็แล้วกัน จะได้ไม่นำไปปฏิบัติอย่างผิดๆ เดี๋ยวไปเป็นอาจารย์สอนคนอื่นมันจะยุ่ง”

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 02:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประตูบ้านที่ไม่เคยล็อก.......จาก พระวิทยากร

รูปภาพ

เรื่องนี้เป็นเรื่องของหญิงสาววัยรุ่นที่ทะเลาะกับ แม่ อย่างรุนแรง
ทำให้เธอตัดสินใจหนีออกจากบ้าน เป็นการตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
แต่ก็มากล้นด้วยทิฐิ ความหิวทำให้เธอ ตัดสินใจใช้ชีวิตด้วยการเป็นโสเภณี
ขายตัว และนอนตามข้างถนน ยึดอาชีพนี้เรื่อยมา
จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นหลาย ๆ ปี

จากเด็กหญิงกลายเป็นหญิงสาว แล้ววัยของเธอก็ร่วงโรยลงไปตามกาลเวลา
เช่นกับแม่ที่เมื่อพ่อตายไปด้วยโรคชรา แม่ซึ่งอยู่ในวัยชรามาก
แม่ตัดสินใจออกเดินทางตามหาลูกสาว
รู้ข่าวว่าลูกสาวอยู่ที่ไหนแม่ก็ตามไปถึงที่นั่น แต่ก็คลาดกันทุกครั้ง
จนแม่เริ่มท้อ แม่จึงเดินเข้าไปในศูนย์ช่วยเหลือเร่งด่วนเพื่อขอความช่วยเหลือ

แม่บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า ขอฉันขอติดประกาศตามหาคนได้หรือไม่
เจ้าหน้าที่อนุญาต แม่จึงใช้รูปของเธอซึ่งถึงวันนี้แก่มากแล้วติดประกาศ
พร้อมเขียนใต้รูปว่า กลับบ้านเถอะลูก แม่ให้อภัยแล้ว

หลังหญิงชราพ้นไป ลูกสาวก็เข้ามาในศูนย์นั้น
ทั้งสองคนคลาดกันด้วยเส้นยาแดง หญิงสาวเห็นรูปที่ติดประกาศ
จึงเดินเข้าไปดูด้วยความรู้สึกคุ้นเคย และยิ่งเธอเพ่งพิศดูรูปนั้นทำให้เธอมั่นใจว่า
นั่นคือ " แม่ " หญิงสาวจึงนึกขึ้นได้ว่า ความเลวร้ายทุกสิ่งทุกอย่างแม่ให้อภัยหมดแล้ว
เธอต่างหากที่ถือทิฐิอยู่ คิดเช่นนั้นเธอจึงตัดสินใจกลับบ้าน

เมื่อมาถึงบ้านก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว ความลังเลก็เกิดขึ้น
ว่าจะเคาะประตูดีหรือไม่ ป่านนี้แม่คงนอนหลับแล้ว
แต่ที่สุดเธอก็ตัดสินใจเคาะประตู ปรากฎว่าประตูนั้นไม่ได้ล็อค
มันค่อย ๆ แง้มเปิดออก ถึงตอนนั้น หญิงสาวรีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องนอนแม่
เพราะเกรงว่าดึกดื่นบ้านไม่ได้ล็อค แม่จะเป็นอันตรายจากโจรผู้ร้ายหรือเปล่า
แต่เมื่อเข้าไปถึงก็ปรากฎว่าแม่ยังหลับสบายดี

ความสงสัยของเธอได้รับคำตอบว่า ตั้งแต่วันที่ลูกออกจากบ้านไป
ประตูบ้านก็ไม่เคยปิดล็อคเลย ทำนบน้ำตาของเธอที่กั้นไว้นาน ก็ถึงกาลร่วงพลู

------------------คู่มือพระวิทยากร

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 02:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในโลกนี้ไม่มีคนที่ล้มเหลว มีแต่คนที่ล้มเลิก...."โยมเอ้ยซิบอกให่"

รูปภาพ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 09:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...พี่ธรรมบุตร พี่ชายที่แสนรัก

ขอบคุณธรรมะดีดีที่นำมาแบ่งปันกันนะคะ

รักและคิดถึงพี่เสมอ

:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:

รูปภาพ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 34 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร