วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 07:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
เอตํ ภยํ มรเณ เปกฺขมาโน
โลกามิสํ ปชฺชเห สนฺติเปกฺโข-ติ
ธมฺโม สกฺกจฺจํ โสตพฺโพ-ติ


ณ บัดนี้ จะได้แสดงธรรมเทศนา เป็นเครื่องตักเตือนคนเจ็บไข้
จงตั้งใจฟังดังต่อไปนี้


ขึ้นชื่อว่าความเจ็บไข้นี้ พึงเห็นว่าเป็นของธรรมดาที่จะต้องมีมาแก่สังขารทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ชนิดไหน
เพราะเหตุว่าสังขารทั้งหลายจะต้องมีความเปลี่ยนแปลงไป
เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทั้งขึ้นๆ ลงๆ
เปลี่ยนแปลงไปในทางขึ้นก็ดูสบายดี
แต่ถ้าเปลี่ยนแปลงไปในทางลง ก็คือความเจ็บไข้,
และเมื่อสังขารทั้งหลายมีอายุมากขึ้นตามลำดับแล้ว
ก็มีแต่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางเจ็บๆ ไข้ๆ
นี่แหละคือหัวข้อที่จะต้องมองให้เห็นตามที่เป็นจริง
ว่าสังขารทั้งหลายย่อมจะเป็นอย่างนี้เอง


สรุปความได้ว่า ความเจ็บๆ ไข้ๆ นี้มันเป็นธรรมดาของสังขารทั้งหลาย
ทีนี้จะได้พิจารณากันต่อไปว่า ความเจ็บไข้นี้มีมาทำไม?
ควรจะพิจารณาให้เห็นว่าความเจ็บไข้มีมาสำหรับจะตักเตือน
ความเจ็บไข้ไม่ได้มาสำหรับให้เป็นทุกข์หรือเสียใจ
ไม่ต้องมีเรื่องที่จะต้องทุกข์หรือเสียใจ
จะเป็นทุกข์หรือเสียใจก็ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะสังขารต้องเป็นอย่างนั้นเอง
แต่ที่แท้แล้วความเจ็บไข้ มิได้มาเพื่อให้เป็นทุกข์ หรือเพื่อให้เสียใจ
แต่ว่ามาเพื่อตักเตือนให้ฉลาด,มาเพื่อสั่งสอนให้ฉลาด,
หรือว่ามาเพื่อบอกให้ เตรียมเนื้อเตรียมตัว
สำหรับการดับไม่เหลือแห่งความทุกข์


ถ้ายังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร มันก็ต้องเป็นทุกข์ด้วยความเกิด ความแก่
ความเจ็บ ความตาย ถ้าจะไม่ให้มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ก็ต้องอย่าเวียนว่ายไปในวัฏสงสาร เดี๋ยวนี้ความเจ็บความไข้ได้มาตักเตือน
ได้มาแสดงให้เห็นแล้วว่ามันเป็นอย่างนี้เอง
ถ้าต้องการจะพ้นจากความเป็นอย่างนี้คือความเจ็บไข้แล้ว
ก็ต้องเตรียมตัวสำหรับความดับไม่เหลือ
ความดับไม่เหลือนี้ เป็นความดับของสังขาร อย่ามีเชื้อเหลือมาเกิดอีกต่อไป
ถึงแม้ว่าร่างกายยังไม่ทันจะแตกดับ จิตใจก็สมัครดับ
เรียกตรงๆ ว่า สมัครตายเสียก่อนตาย
เราจะมีการปลงลงไปในทุกสิ่งทุกอย่างว่าหมดเรื่องแล้ว สิ้นเรื่องกันที


เราจะต้องรู้สึกว่า ถ้าจะขืนเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร
ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าต้องการจะหยุดจะพักมันก็ต้องไม่เป็นอย่างนี้
ก็ดับความรู้สึกของสังขารนั้นๆ ว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเราเสีย
สังขาร มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา
ถ้าเราไปยึดถือเอาว่าสังขารเป็นของเรา
ความเจ็บไข้มันก็กลายเป็นของเรา เราก็รู้สึกเป็นทุกข์ เสียใจหรือน้อยใจ
ถ้ามาตั้งใจกันเสียใหม่ให้เด็ดขาดลงไปด้วยสติปัญญา
หรือด้วยกำลังจิตอันเข้มแข็ง
ว่าเรื่องของสังขารก็จงเป็นไปตามเรื่องของสังขาร
อย่ามาเป็นเรื่องของเรา


เรื่องของสังขาร ย่อมไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
แต่เรื่องทีเราปรารถนานั้นเป็นเรื่องหยุด
เรื่องดับ เรื่องสงบ เรื่องเย็น เป็นนิพพาน
จิตจะต้องมองให้เห็นอย่างนี้เสียก่อน
จึงจะไม่ถือเอาเรื่องของสังขาร มาเป็นเรื่องของเรา
ให้สังขารเจ็บไข้ ทำลายไปตามธรรมดา
จิตไม่ถือเอาความเจ็บ ความไข้หรือความตายนั้นเป็นของเรา
จิตจะไม่ผูกพันกับความเจ็บไข้และความตาย
แต่เปลื้องออกมาเสีย สู่ความเป็นอิสระ


นี่แหละคือคำเตือนของความเจ็บไข้ มันมาเตือน
ไม่ได้มาสำหรับให้เราเป็นทุกข์ หรือเสียใจ
แต่มาเตือนว่าจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อม สำหรับความดับไม่เหลือ
แห่งความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกู โดยใจความก็คือดับตัวกู ดับของกูเสีย


ในการเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับจะดับไม่เหลือนี้
จะแยกออกเป็น 3 อย่างคือ

เรื่องที่ 1 สังขารมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา
ถ้าเราไปยึดถือเอาว่าสังขารเป็นของเรา
ความเจ็บไข้มันก็กลายเป็นของเรา
เรารู้สึกเป็นทุกข์ เสียใจหรือน้อยใจ
ถ้ามาตั้งใจกันเสียใหม่ ให้เด็ดขาดลงไปด้วยสติปัญญา
หรือ ด้วยกำลังจิตอันเข้มแข็งว่าเรื่องของสังขาร
ก็จงเป็นไปตามเรื่องของสังขาร อย่ามาเป็นเรื่องของเรา


เรื่องที่ 2 เรื่องบุญกุศลต่างๆ นานา

เรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องสงเคราะห์ สาธารณประโยชน์อะไรก็ตาม
ที่เป็นเรื่องบุญ เรื่องกุศล เราก็ได้ทำเสร็จแล้ว ได้ทำเพียงพออัตภาพแล้ว
ได้เหมาะสมแก่การที่เกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่งๆ แล้ว ในการที่จะบำเพ็ญกุศล
ได้มากเพียงไร เราก็ได้ทำเสร็จแล้ว นี้อีกเรื่องหนึ่ง


เรื่องที่ 3 นี้ก็คือทำความระลึกว่ามันพอกันที
สำหรับที่จะเวียนว่ายไปในอาการอย่างนี้

คือ มันพอกันทีสำหรับที่จะเวียนวายไปในสังสารวัฏฏ์ จะเกิดเป็นมนุษย์
คือจะต้องไปเกิดเป็นมนุษย์อีกมันก็ประสบกันอย่างนี้อีก พอกันที
แม้จะไปเกิดเป็นเทวดาก็ยังต้องจะตาย
ยังจะต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนเพราะกิเลส ไม่ดีไปกว่ามนุษย์
ก็พอกันที สำหรับที่จะไปเกิดเป็นเทวดา


ถ้าเราทำ บุญทำกุศลไว้ก็ได้เกิดเป็นเทวดา นี้แน่นอน
แต่ว่าเกิดเป็นเทวดาแล้วไม่ใช่ว่าจะพ้นทุกข์
ยังคงมีกิเลสสำหรับเป็นต้นเหตุให้มีความทุกข์
มีความกลัว มีความเจ็บไข้ในทางจิต คือกิเลสเบียดเบียนอยู่เสมอ
ทำบุญเพื่อเกิดเป็นเทวดานี้ก็พอกันที


ทีนี้แม้วาจะสูงขึ้นไปกว่านั้น ในบางครั้งบางคราวบางชาติ
เราก็เกิดเป็นพรหม คือเป็นเทวดาขั้นสูงสุด แต่แล้วมันก็ต้องยังมีตัวมีตน
สำหรับที่จะต้องตายอยู่นั่นเอง ยังมีความยึดมั่นถือมั่นว่า ตัวกูอยู่นั่นเอง
ยึดมั่นว่าอะไรๆ เป็นของกูอยู่นั่นเอง แม้พวกพรหมก็มีตัวกูมีของกูที่เข้มข้น
ไม่อยากจะตาย เพราะว่าสบายมาก ก็เลยไม่อยากจะตาย
แต่แล้วมันก็ต้องตาย พวกพรหมก็ยังต้องเป็นทุกข์เพราะความตาย
เพราะฉะนั้นพอกันทีสำหรับที่จะไปเกิดเป็นพรหม


นี้เรียกว่า พอกันทีสำหรับที่จะเวียนว่ายไปในสังสารวัฏฏ์:
เกิดเป็นมนุษย์อีกก็ไม่ไหว เกิดเป็นเทวดาก็ยังไม่ไหว
เกิดเป็นพรหม ก็ยังไม่ไหวอีก อยู่นั่นเอง
เพราะฉะนั้นพอก้นทีสำหรับสังสารวัฏฏ์ ขอให้ระลึกอย่างนี้ด้วยอีกเรื่องหนึ่ง


รวมกันก็เป็น 3 เรื่องด้วยกัน คือระลึกว่าเรื่องโลกๆ ก็ได้ทำเสร็จแล้ว
เรื่องบุญกุศลก็ได้ทำเสร็จแล้ว พอกันทีสำหรับการเวียนว่ายไปในสังสารวัฏฏ์

จงทบทวนใหม่อีกครั้งหนี่ง ในการที่จะระลึกเพื่อความดับไม่เหลือเพื่อนิพพานนั้น
จะต้องระลึกว่า
1. เรื่องโลกๆ เราก็ได้ทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว
2. เรื่องบุญเรื่องกุศลเราก็ได้ทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว
3. พอกันทีสำหรับจะเวียนว่ายไปเกิดเป็นมนุษย์
หรือเป็นเทวดาหรือเป็นพรหมด้วยบุญกุศลนั้นๆ

มีอยู่เป็น 3 เรื่องดังนี้ ล้วนแต่แสดงว่า พอกันทีสำหรับเรื่องที่จะทำเรื่องโลกๆ
พอกันทีสำหรับที่จะทำบุญทำกุศล พอกันทีสำหรับที่จะเวียนว่าย
ไปตามอำนาจของบุญกุศล เราต้องการจะหยุด เราต้องการจะดับไม่เหลือ
เพื่อความไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป นี่แหละเรียกว่า หยุดกันที่สำหรับสังสารวัฏฏ์
ขอสมัครดับไม่เหลือแห่งตัวกู - ของกูเป็นพระนิพพาน



พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสไว้ว่า “เอตํ ภยํ มรเณ เปกฺขมาโน”
เมื่อใดมองเห็นภัย อันเกิดมาจากความเจ็บไข้หรือความตาย
“โลกามิสํ ปชฺชเห สนฺติเปกฺโข”
เมื่อนั้นจงละเหยื่อในโลกนี้เสีย มุ่งหวังสันติ คือความสงบรำงับดับไม่เหลือนั้นเถิด



ทบทวนอีกครั้งหนึ่งว่า เมื่อใดมองเห็นภัย
แห่งความเจ็บไข้หรือความตาย เป็นเบื้องหน้าแล้ว
เมื่อนั้นจงละเหยื่อต่างๆ ในโลกเสีย มุ่งหวังหาสันติ
คือความสงบรำงับดับเย็น เป็นนิพพานเถิด



เดี๋ยวนี้เราก็มองเห็นอยู่แล้วว่า ความเจ็บไข้หรือความตายเป็นภัยที่คุกคาม
ทีนี้เราจะเอาชนะความเจ็บไข้หรือความตายให้ได้
เราก็จะต้องละเหยื่อในโลกเสีย
ถือว่าเรายังไปยินดีหรือไปหวังอะไรในเรื่องโลกๆ
แล้วความเจ็บไข้และความตายมันก็จะคุกคามเรา
มันจะบีบคั้นเราให้เรากลัวให้เราเสียใจ ให้เราเป็นทุกข์
แต่ถ้าเราไม่หวังอะไรๆ ในโลกแล้ว มันก็บีบคั้นเราไม่ได้
ความเจ็บไข้หรือความตายจะมาขู่เข็ญให้เรากลัว
ให้เราเสียใจให้เราเป็นทุกข์นั้นไม่ได้
เราเป็นทุกข์เพราะเรายังหวังอยู่ ในโลก
เรายังติดอยู่ในโลกยังติดอยู่ในสิ่งสวยๆ งามๆ ของสังสารวัฏฏ์


พอเรามองเห็นว่า นี้เป็นของมายาชั่วคราวและหลอกลวงให้เราเป็นทุกข์
ดังนี้แล้ว เราก็ไม่หวังเหยื่อ ไม่หวังที่จะกินเหยื่อ
ไม่หวังที่จะเอร็ดอร่อยสนุกสนานในเรื่องโลกๆ อีกต่อไป
ไม่หวังที่จะไปเกิดเป็นอะไรที่ไหนอีกทั้งหมด
มันเป็นเรื่องมายาหลอกลวง ชั่วคราวไปทั้งนั้น


เมื่อจิตมามองเห็นว่า ไม่มีอะไรที่น่าไปเอา
ไม่มีอะไรที่น่าไปเป็นที่ไหนในโลก หรืออย่างไร
ดังนี้แล้ว จิตก็น้อมไปสู่ขันติ คือความสงบรำงับดับไม่เหลือ


บัดนี้ จงทำในใจให้เห็นว่า ไม่มีอะไรในโลกไหนที่น่าเอาหรือน่าเป็น
มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือสันติ ความสงบรำงับ ดับไม่เหลือ เยือกเย็นเป็นนิพพาน


นิพพานคือความเย็น เพราะไม่มีความร้อนคือกิเลส
ไม่เวียนว่ายไปในสังสารวัฏฏ์ เป็นความเย็นดังนี้
ความเจ็บไข้มาเตือนให้เราพอกันทีสำหรับความเวียนว่ายไปในวัฏสงสาร
มองเห็นภัยในความเจ็บไข้ และความตายแล้ว
จงสละความอาลัยในเหยื่อโลกเสีย ไม่หวังจะกินเหยื่ออะไรในโลกอีกต่อไปแล้ว
มุ่งหน้าเฉพาะต่อสันติ ความดับเย็นเป็นนิพพานไม่มีการเวียนว่ายอีกต่อไปเถิด


ธรรมเทศนาตัก เตือนคนเจ็บไข้ สมควรแก่เวลา ยุติลงเพียงเท่านี้


เอกสารอ้างอิง : พุทธทาสภิกขุ. ความเจ็บ ไข้มาเตือนให้ฉลาด (พิมพ์ครั้งที่ 2),
สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, กรุงเทพมหานคร : 2548.


http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... 19&gblog=3

:b48: :b8: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 18:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 17:48
โพสต์: 24

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ิอนุโมทนาครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 72 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร