วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 22:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 16:17
โพสต์: 31

แนวปฏิบัติ: มีสิ่งสมมุติ รู้ทันสมมุติ ใช้สมมุติ วางสมมุติ ไม่มีสมมุติ
งานอดิเรก: ฝึกธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ธรรม
ชื่อเล่น: โอ ระยอง
อายุ: 45
ที่อยู่: 4/177 หมู่บ้านชณากาญจน์1 ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว


...เรื่องของจิต...
จิตแบ่งออกเป็น2จิด ป.ล.ตรงนี้พูดถึงจิตมนุษย์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้นะครับ หากว่าจิตพระอรหันต์นั้น มี1เดียวไม่มี2 ก็คือจิตหลุดพ้นนั่นเอง
1 จิตแท้ตั้งแต่ดั้งเดิมเกิดกายคือ จิตภายใน มีความใสสะอาดหมดจดมาแต่เดิมแล้ว แต่ถูกครอบงำด้วยจิตเทียม อันประกอบด้วยกิเลศทั้งมวลซึ่งมีอยู่ในร่างกายนี้
จิตนี้ประกอบด้วย จิต(สมาธิ) สติ(ความคิดเริ่ม)ปัญญา(อารมณ์ของความคิด)(จิตนี้เรียกว่าจิตละเอียด) หรือจิตพระอรหันต์
2 จิตเทียมจิตภายนอกที่ปกคลุม จิตแท้อีกทีหนึง คือจิตที่ ร่างกาย หรือสมองนี้ สร้างขึ้นมา เพื่อครอบงำจิตแท้ ที่อยู่ภายใน ไม่ให้ประท้วงออกมา
ประกอบด้วย จิต(สมาธิ) สติ(ความคิดเริ่ม) ปัญญา(อารมณ์ของความคิด)(จิตนี้เรียกว่าจิตหยาบ)หรือจิตมนุษย์ ซึ่งส่วนนี้จะฝังตัวอยู่ในมันสมองของเรา และพัฒนามาเรื่อยๆตั้งแต่เกิด
...ดังนั้น เวลาเราเข้าสมาธิ จงสังเกตุ ว่าตอนนี้ ขณะที่เราเข้าสมาธินั้น เราอยู่ในอารมณ์ ของจิตไหน ละเอียดหรือหยาบ เราสามารถรู้ได้ทันทีว่าอารมณ์นั้นอยู่ในจิตไหน
แท้หรือเทียม...
...โดย...ใช้วิธีของผมนะครับ การจะเข้าสมาธิ ขึ้นสู่ฌาณและตามด้วยญาณ ไม่ยากเลยไม่ถึง10วินาทีสงบเลย ถ้าเราสามารถแยกหรือดูจิตตรงนี้ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหนผมลองมาแล้วได้ผล
เข้าสมาธิ เกิดปัญญา มีความคิดดีดีได้เร็วมากครับ จะให้นิ่งสงบก็นิ่งสงบ จะใช้ปัญญาก็ไหลลื่น ไม่ตกลงทางต่ำ หากหลงไปทางต่ำก็ลืมตากำหนดใหม่อย่างเดิมอีกครั้งก็เข้าที่แป๊บเดียว
...วิธีการก็คือ...
...เราหาที่นั่งให้พอเหมาะพอดีนั่งตัวตรงช่วงขณะที่เราเอามือมาประสานกันนั้นให้หายใจเข้าจนเต็มปอดพร้อมกับรวบรวมกำลังจิตแห่งสมาธิ(ด้วยความตั้งมั่นและตั้งใจอย่างที่สุด)
มาไว้ที่ฝ่ามือดันพลังจิตตั้งแฝ่ามือให้ความรู้สึกว่าได้ดันจิตแห่งสมาธิขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงตรงกลางกระหม่อม(กลางศรีษะ)เหมือนเราชักธงสู่ยอดเสายังไงยังงั้นเลยแล้วให้จิตนั้นนิ่งอยู่ตรงกลางกระหม่อมสักครู่
ตอนนี้ก็หายใจเรื่อยๆปกติอย่าเร่งนะครับให้รู้สึกว่าจิตแห่งสมาธิเรานั้นอยู่ตรงกลางกระหม่อม คลายความเครียดทั้งมวล ปล่อยให้จิตสงบ และปล่อยวางทุกสิ่งไป ไม่ยึดไม่คิดถึงใครทั้งนั้น
ถึงตรงนี้ท่านใดจะนิ่งนานแค่ไหน แล้วแต่ละคน ถึงตรงนี้ความคิดทั้งมวลหยุดหมด ส่วนจะปล่อยนานหรือเร็วตอนนี้ก็อยู่ที่ตัวบุคคลและตัวสติหล่ะครับ ผมเปรียบเทียบตัวสติของจิตก็คือ
คิดหัวข้อของความคิดว่าจะคิดเรื่องอะไร พอสติได้หัวข้อของความคิดแล้ว พอเริ่มคิด ก็จะเกิดปัญญา ปัญญาที่นี้หมายถึง อารมณ์ของปัญญาก็ได้ แต่อารมณ์ที่เกิดจากปัญญานี้ออกมาจาก
จิตเดิมแท้ของเราที่ได้ตั้งมั่นเอาไว้แล้ว(สมาธิ) เรื่องต่างๆที่สติเริ่มคิดก็จะกลายเป็นปัญญาหรืออารมณ์ ของจิตแท้ ก็จะคิดประมวลอารมณ์ต่างๆ ไปในทางที่ดี ทางปิติ ไม่ลงในทางต่ำไม่ฟุ้งซ่าน
ถึงตรงนี้ เราจะได้ครบ สติ(ความคิดเริ่มต้นที่ดี) สมาธิ(จิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว) ปัญญา(อารมณ์ของปัญญาที่ดี) เราก็ตั้งมั่นไว้ปล่อยให้สติ(ความคิด)กับปัญญา(อารมณ์)ทำงานไปในทางที่ดี
บางครั้งเราก็ปล่อยวาง ให้เหลือแต่สมาธิตรงกลางกระหม่อม อย่างเดียว แช่อิ่มไว้ ตรงนี้เป็นสุขครับแต่อย่าไปยึดติดมากครับ ซักพักเราก็มาใช้ สติ ปัญญา อีก พิจจารณา สังขาร หรืออะไรก็ได้ ไปทางที่ดีมีประโยชน์
ตรงนี้แปลกมากปัญญาตัวนี้มันไปของมันเอง เราไม่ได้บังคับให้คิดแต่มันไปของมันเองครับ ถึงตอนนี้ร่างกายแทบไม่รู้ว่ายังมีร่างกายนี้เลยครับ เหมือนมันหายไปเลย ไม่เจ็บไม่ปวดแต่พอคลายสมาธิขาชาเลยลุกไม่ขึ้น
...ตรงกันข้าม หากเราทำตามขั้นตอนแล้ว สติกับจิตของเรา ฟุ้งซ่าน คิดไปในทางที่เลว ทางต่ำ คิดถึงคนนั้นคนนี้ ไม่นิ่ง ปวดเนื้อปวดตัว ตัวจะหนักๆ
ตรงนี้เราจะรู้ได้ว่า สมาธิเราไม่ตั้งมั่น ไม่ได้อยู่ตรงกลางกระหม่อมแล้ว มันกระจัดกระจาย ไปทั่วตอนนี้เราจงรู้เถิดว่าเรากำลังเข้าไปใช้ สติหรือความคิดเริ่มต้น ของจิตมนุษย์ที่หยาบที่อยู่ในสมองในร่างกาย
เมื่อเราเข้าไปใช้สติหยาบที่อยู่ในสมองแล้ว สติหยาบย่อมสั่งงานไปที่ จิตหยาบ จิตหยาบนั้นฝังเต็มไปด้วย กิเลศ แม้จิตแท้จะเข้าไปช่วยดึงเท่าไรก็ไม่อาจฝืนสู้จิตหยาบได้เราจะคิดแต่สิ่งที่ไม่ดีไม่ตลอด
โดยมีความคิดดีๆเข้ามาต่อสู้ขัดแย้งบ้างแต่ก็พ่ายแพ้ไปเพราะสมาธิเราตกไม่อาจเข้าถึงจิตแท้ได้ ถึงตอนนี้เราจงตั้งหลักใหม่(เริ่มชาร์ตไฟใหม่)เราจงหายใจยาวเข้าไปในปอดจนเต็มที่พร้อมกันกับดันสมาธิอันแรงกล้าจากฝ่ามือเรา
ดันขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงกลางกระหม่อมแล้วให้สมาธิรวมเป็นหนึ่งอยู่ตรงนั้น รู้สึกว่าอยู่ตรงนั้น ปล่อยวางทุกอย่างสบายๆ ไม่คิด ไม่ฝัน ไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น มีแต่ความตั้งมั่น ที่จะเอาชนะ กิเลศอย่างเดียวเท่านั้น
ตรงนี้เราจะตั้งมั่นอยู่กับสมาธิอย่างเดียวนานแค่ไหนแล้วแต่ละบุคคลที่จะกระทำตรงนี้จะได้สุขจากสมาธิ จะนานช้าอยู่ที่บุคคล สักครู่ก็ปล่อยให้สติ ตัวดี ที่เกิดจากจิตสมาธิตั้งมั่นทำงาน สติตัวดีก็จะคิดเป็นปัญญา
คือเกิดอารมณ์ที่ดีแห่งปัญญา พิจจารณาสังขาร สิ่งต่างๆไปในทางที่ดีตลอดเวลาไม่ตกมาที่จิตหยาบแห่งเนื้อสมองที่มีแต่กิเลศ ตรงนี้ถ้าเราดำรงรักษาจิตนี้ได้ตลอด ไม่เผลอ เท่ากับเราได้เข้าถึงจิตแท้แล้ว เมื่อไหร่ที่เราออกจากสมาธิ
เราจะรู้สึกโล่งสบาย มีความปิติ เพื่อนๆครับ สมาธิถ้าเราทำอย่างนี้ เราจะเข้าสมาธิได้รวดเร็วมากครับ นับ123บางทีนิ่งสงบเลย ลองดูนะครับ จริงๆความคิดผมมันละเอียดกว่านี้แต่ไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบายได้ดีกว่านี้
เพราะเรื่องนี้บางทีรู้แต่ไม่รู้จะบอกยังไงดี ได้แค่นี้นะครับ ขอให้ทุกท่าน ถึงฝั่งแห่ง นิพพานเถิด สาธุๆๆ...
...สรุป...
1สมาธิ(จิตตั้งมั่นมีกำลัง)เปรียบเสมือนพลังงานเชื้อเพลิงน้ำมัน เหมือนพลังงานที่อยู่ในแบตเตอรี่ มีมากเท่าใดสมาธิก็แน่นเท่านั้น ต้องเก็บให้รวมอยู่อย่างนั้น
2สติ(ความคิดเริ่มต้น) เปรียบเสมือนเรดาร์รอบๆสมาธิ คอยดูแล พลังงาน รอบๆสมาธิ คอยปกปักรักษาสมาธิ คอยชี้นำทาง บางครั้งก็ดึงความรู้ของสมาธิก็คือจิตมาใช้ประโยชน์
3ปัญญา(อารมณ์ของความคิด(สติ)) ปัญญาตรงนี้ก็ได้จากจิตเดิมแท้ จากสมาธิที่เราตั้งมั่นจนกลายเป็นกำลังที่จะสามารถเจาะเข้าถึงจิตแท้อันละเอียดจนเกิดปัญญาอันบริสุทธิ์นั่นเอง
คนละอย่างจากปัญญาที่เกิดจากมันสมองการเรียนรู้ของมนุษย์ ตรงนี้เค้าเรียกปัญญาอย่างหยาบ
คงจะได้ความรู้ไม่มากก็น้อย ผมไม่ได้ที่จะอวดรู้หรือจะสอนใครครับ แต่ตรงนี้เกิดจากการเรียนรู้เลยอยากจะกล่าวให้ทุกท่านทราบหากจะมีประโยชน์บ้าง ก็จงส่งเป็นผลอันได้แก่ฝั่งพระนิพพานเถิด...
.............................................................................................................
.....จักรวาลและโลกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร.....
...................................
...ผมตั้งคำถามนี้ในใจมาตลอดที่เกิดจำความเป็นมนุษย์มาได้
สงสัยโคตะระ สงสัยหาใน Google ก็ได้คำตอบแบบ
ยังต้องสงสัยต่อไปเรื่อยๆบทสรุปก็คือ...ไม่มีใครรู้ แน่นอน
แต่แล้วใน วันหนึ่ง...ขณะที่ผมกำลังขี่มอเตอร์ไซค์เพื่อไปทานอาหารเจ
ฉับพลันหัวสมองของผมก็ตั้งคำถามเดิมๆมาอีกว่าสิ่งต่างๆที่เราเห็นและสัมผัส
ความเจ็บปวด ความจน ความทรมาน ความรู้สึก อารมณ์ต่างๆ เมียลูก
พ่อแม่ พี่น้อง ปู่ย่า ตายาย เจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าที่ เจ้าทาง พระพรหม...
จนถึงโลกนี้จักรวาลนี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ถามย้ำๆกับสมองตัวเอง
ช่วงหลังๆไม่รู้เป็นอะไร สมองของผมนั้น จะหาคำถาม และหา คำตอบเองแบบว่า
ส่วนมากจะเกี่ยวกับธรรมมะครับ ถามเองแล้วก็ตอบเองไม่ต้องคิดเข้าข้างตัวเองถามแล้ว
ก็รอคำตอบไม่ต้องคิดให้สมองเค้าตอบมาเองซึ่งก็ได้คำตอบที่น่าพอใจหลายๆครั้งครับ
ขณะที่ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า...โลกนี้จักรวาลนี้เกิดขึ้นได้ยังไง
เหมือนกับว่าหัวสมองมันอึ้งไปเลยคล้ายกับว่าคำถามนี้มันยากเหลือเกิน
สมองมันคิดของมันเองตอนแรกมันจะอื้อๆครับผมเองไม่ได้คิดช่วยครับผมก็ทำใจสบายๆ
ถามมันไปเรื่อยๆคิดเล่นๆว่าคงจะไม่ได้คำตอบหรอกครับ
เพราะตัวผมเองก็ไม่รู้คำตอบครับ แล้วก็คิดว่าไม่มีใครรู้แน่ชัดอยู่แล้ว ผมคิดอย่างงี้
แต่แล้วเหมือนมีเสียงมาจากไหนไม่รู้พรวดใสแจ๋วเข้ามาในสมองผม ปัง
เสียงดังฟังชัด พอได้ฟังคำตอบ ปั๊บ ขนทั้งตัวผมลุกไปหมดครับ
มันเป็นคำตอบ ที่ถูกใจ ถูกต้อง ที่สุด เท่าที่ผมหามาตลอดชีวิตผมเลยครับ
.....เสียงฟังดังใสชัดแจ๋วในสมองว่า.....
......................................................
( ก็มึ-งตื่นไง ไ-อ้ค-วาย มันถึงมีโลกมีจักรวาลนี้ ขึ้นมา ถ้ามึ-งหลับ..หลับในที่นี้หมายถึงตายนะครับ..
โลกนี้จักรวาลนี้ มันก็ไม่มีหรอก ไ-อ้ค-วายคำถามง่ายๆ รู้หรือยังหล่ะทีนี้)
......................................................
โล่งครับ พอผมได้คำตอบขนหัวลุกโล่งเบาทันทีครับมันเหมือนผมตอบโจทย์ถูกต้องเถียงไม่ออกเลยครับ
พอผมได้คำตอบอย่างนี้ก็ถึงร้านอาหารเจ พอดีครับจอดรถลงไปหาข้าวกิน
ผมนั่งกินอาหารเจ อย่างมีความสุขที่สุดครับเหมือนยกภูเขาออกจากอก มันใช่เลย
นี่แหละคือคำตอบที่ถูกใจถูกต้องที่สุดในโลกครับ ใช่เลยๆๆๆๆ สมองผมว่าอย่างนี้โล่งครับโล่ง
จริงๆ คำว่าตื่นแล้วถึงมีโลกนี้จักรวาลนี้ ขึ้นมา มันก็มาคิดต่ออีกว่า เราก็ไม่ใช่คนที่ตื่นมาคนแรกของโลกนี่หว่า
.....แล้วใครหล่ะ???
(ความคิดของผม การตื่นคือ...การตื่นขึ้นมารับรู้สรรพสิ่งรอบตัวรับรู้ดินน้ำลมไฟหนาวร้อนอ้างว้าง)
ทุกๆคนที่ตื่นขึ้นมาในโลกนี้ขณะนี้ไม่ใช่คนแรกที่ตื่นขึ้นมารับรู้ โลกนี้ จักรวาลนี้ ใช่ไหมครับ
แล้วถามว่าถ้ายังงั้นจะต้องมีคนที่ตื่นเป็นคนแรกของจักรวาลของโลกนี้
ตื่นขึ้นมารับรู้สิ่งรอบตัว...พรวดปิ๊ง...ใครปลุกก็ไม่รู้ ตื่น...
เป็นคนแรกของโลก แล้วใครหล่ะที่ตื่นเป็นคนแรกของโลกนี้เป็นสัตว์หรือเป็นคน
มีร่างกายหรือไม่มีร่างกาย หรือเป็นพลังงานที่ตื่น มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ตัวนี้หล่ะคือคำตอบ
ว่าโลกนี้จักรวาลนี้ และจักรวาลอื่นๆกาแล็คซี่อื่นๆเกิดขึ้นได้อย่างไร
คำตอบต้องถาม เจ้าคนที่ตื่นเป็นคนแรกของโลกนี้ นี่แหละตื่นเพราะอะไรใครปลุกมา
คนที่ตื่นขึ้นมาเห็นรับรู้คนแรกของโลกของจักรวาลนี้ ต้องมีแน่นอน ต้องมีคนตื่นก่อนเราแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นอะไรสิ่งนี้เป็นตัวสร้างสรรพสิ่งอย่างแน่นอนที่สุด ชัวร์ป๊าด
สมมุติว่า...ตัวของเราไม่รู้ว่ามีตัวเรานี้อยู่ อยู่ๆก็ตื่นขึ้นมาโพ๊ะเป็นคนแรกของโลกของจักรวาลนี้ มัวเงียๆ
หลังจากหลับไหลหรือนิ่งเงียบมานานเท่าไรไม่รู้อะไรก็แล้วแต่ ด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ ที่หลับอยู่
พอ ใส่กุญแจ Start เครื่องตื่นปุ๊บก็ต้องมารับรู้สัมผัสรู้เราก็จะสัมผัสได้ถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยว
มืดสุดกู่ สุดลูกหูลูกตามีแต่เราคนเดียวนี่หว่าพอตื่นมาแล้วก็ไม่อยากหลับ แต่ว่าเรามีพลังนะมีมากเสียด้วยซิ
ถ้าเราไม่มีแรงคงตื่นขึ้นมาไม่ได้หรอกใช่ไหมครับตอนตื่นมา ต้องมีพลัง ไม่มีพลังก็ตาย
แม้แต่รูปร่างยังไม่รู้เป็นยังไงมองก็มองไม่เห็นได้แต่ว่ารับรู้ อะไร อะไรและอะไรและอะไร งง งง
สักพักก็ต้งหลักได้สบาย ก็เกิดความอยากขึ้นมา ไอ้ความอยากนี่หล่ะจะสร้างสรรพสิ่งต่อๆไป
ไม่ยังงั้นมนุษย์คงไม่เจริญมาถึงขนาดนี้หรอกครับ มีรถมีเครื่องบิน แล้วจะมีแปลกๆมาอีกเรื่อยๆครับผมว่า
ความอยากของผมนั้นสมองของผมแปลบอกว่ามันก็คือ...วิวัฒนาการ...นี่เองพออยากปุ๊บ
วิวัฒนาการมันก็เกิดของมันไปเรื่อยๆซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆยากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ภูเขาไฟมันยังอยากมีรูเลยครับ
ตั้งแต่เจ้าตัวที่ตื่นคนแรกเค้าอยากวิวัฒน์มันก็ต้องสร้างใช่ไหมครับ
เจ้าคนที่ตื่นคนแรกนี้มันคงจะมีพลังมากจริงๆครับสร้างดาวโน้นดาวนี้ใหญ่บ้างเล็กบ้าง
ร้อนบ้างเย็นบ้างแล้วก็ไม่ไปอยู่ซักทีสร้างดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ก็ไม่ไปอยู่
ไอ้ความร้อนความเย็นเค้าคงไม่กลัวหรอกครับเพราะเค้ายังไม่มีกายเนื้อ เผลอๆจักรวาลนี้ทั้งหมดคือตัวเค้าเองด้วยซ้ำ
ก็เลยสร้างดวงดาวต่างๆมากมายสร้างมันไปเรื่อยๆก็ยังไม่ชอบใจในที่สุดเอาก็เอาว่ะโลกใบนี้หล่ะว่ะ
ดีที่สุดแล้วมีร้อนอุ่นมีมืดมีสว่างกำลังดีเป็นความอยากแห่งวิวัฒนาการของคนที่ตื่นคนแรกของจักรวาลและของโลกนี้
พออยู่มาไม่ชอบตรงนี้ก็ทำตรงนั้นไม่ชอบตรงนั้นก็ทำตรงนี้ ทุกวันนี้เจ้าตัวหรือคนหรือพลังงานอะไร
ก็แล้วแต่ที่ตื่นขึ้นมาเป็นคนแรกของโลกเค้าก็ยังไม่พอใจครับเค้าก็ยังวิวัฒน์ของเค้าไปเรื่อยๆซักวันหนึ่ง
เค้าวิวัฒน์จนเค้าคิดว่ามันไม่ดีนี่หว่าเอาใหม่ดีกว่าเมื่อนั้นก็จะถึงวันสิ้นสุดของมนุษย์โลกครับ
เค้าจะลบทำลายแล้วสร้างใหม่อย่างนี้เค้าเรียกว่า หนึ่งกัลป์ ครับเพราะเค้าคิดว่ามันไม่ดี ทำใหม่ดีกว่าแป๊บเดียวเอง
ก็เพราะพวกเรานี่แหละทำเกินกว่าที่เค้ากำหนดเค้าก็จะหันมาทำลายเราเราต้องปรับปรุงตัวเพื่อให้เค้าเห็นว่า
เค้าทำดีแล้วสุขแล้วเรากับเค้าก็จะอยู่ร่วมกันได้อีกนานอย่าให้เค้าต้องสร้าง กัลป์ ใหม่ๆเลยเราต้องปรับปรุงตัวนะ
ทุกวันนี้มนุษย์เราพยายามจะเอาชนะธรรมชาติผู้ซึ่งเป็นคนสร้างเรามาและสรรพสิ่งต่างๆขึ้นมา
สิ่งที่มนุษย์เราต้องการเอาชนะมากที่สุดที่สุดก็คือการเอาชนะความตายอยู่เป็นอมตะ นิรันดร
ไม่แก่ไม่ตาย แต่เจ้าคนที่ตื่นคนแรกเค้าคงไม่ยอมหรอกครับเมื่อไหร่ถ้าเราเอาชนะความตายได้
เมื่อนั้นหล่ะเจ้าคนที่ตื่นคนแรกเค้าจะยอมแพ้เราเอง เราก็จะรู้เองว่าเจ้าคนนี้มันเป็นใครกันแน่
การจะเอาชนะความตายได้มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นก็คือจิตที่หลุดพ้นจากพันธนาการจากเจ้าคนที่ตื่นเป็นคนแรก
เค้าสร้างให้อะไรเรามามากมายเราก็ไม่เอาทั้งนั้น ไม่ยึดไม่หมายไม่เอาเค้าก็ทำอะไรเราไม่ได้มาบังคับเราก็ไม่ได้
เค้าจะไม่ใช่เจ้านายเราอีกต่อไปเมื่อนั้นเราก็ไม่ต้องกลับมาให้เค้ามาวิวัฒนาการเราอีกต่อไป
ตายแล้วเกิดเกิดแล้วตายนี่คือสิ่งหนึ่งในวิวัฒนาการของเค้าครับไม่รู้จบสิ้นเป็นลูกน้องเค้าไปตลอดไม่รู้กี่ชาติแล้ว
เพราะความอยากนี่แหละครับทำให้พวกเราต้องวิวัฒนาการกันไม่รู้จักจบจักสิ้น อาจจะหลายกัลป์แล้วนะ
แต่ถ้าเมื่อใดที่เค้าคนที่ตื่นคนแรกของโลกนี้หมดความอยากไม่มีวิวัฒน์เมื่อนั้นไม่มีโลกนี้ไม่มีจักรวาลนี้
กลับไปเหมือนตอนที่คนตื่นคนแรกของโลกคนนี้เค้ายังไม่ตื่นขึ้นมา นั่นล่ะจบ หมดโลก หมดคำถาม
ถ้าพวกเราทิ้งความอยากได้เราก็จะหลุดพ้นจากห้วงเหวแห่งวิวัฒนาการของเค้าผมคิดว่าเค้าคงอยาก
ให้พวกเราทั้งหมดในโลกนี้หลุดพ้นจากพันธนาการของเค้าจนไม่เหลือในโลกนี้แม้แต่คนเดียว
เมื่อนั้นแหละเค้าก็จะได้หลับไปตลอดกาลเค้าคงจะเริ่มเบื่อหน่ายในสิ่งที่เค้าตื่นแล้วอยากคือวิวัฒนาการ
แล้วหล่ะ สังเกตุในสิ่งที่เค้าทำซิ ภัยภิบัติต่างๆในโลกนี้ มันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ
เค้าอยากให้พวกเรากลับบ้านเก่ากลับไปอยู่กับเค้าอยู่ด้วยกันกับเค้าแล้วเค้ากับเราจะหลับไปด้วยกันชั่วนิรันดร์..
................................................
......โอม..ถึง..นิพพานัง เถิด...พวกเรา......
................................
ป.ล.หากสิ่งที่ผมเขียนนี้พอจะยังมีประโยชน์บ้าง
ขอให้เป็นปัจจัยส่งผลให้ตัวผมหลุดพ้นจากวังวนแห่งวิวัฒนาการนี้ด้วยเถิด...สาธุ
หากผมใช้คำพูดใดไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกใจใครได้โปรดอภัยให้ผมด้วยนะครับ
ข้าพเจ้านาย วิรัติ สีหะนาม ผู้เขียน
.โอ...ระยอง....
..................................................
ทฤษฎีสัมพันธภาพโลกและดวงอาทิตย์

...โลกและดวงอาทิตย์เกิดมาเมื่อไหร่ใครเป็นผู้สร้างเราไม่รู้แต่ที่รู้รู้ก็คือดวงอาทิตย์มีประโยชน์
ต่อสิ่งมีชีวิตในโลกทั้งหมด อย่างเอนกอนันต์ ต่อโลกเรานี้มาแสนนาน ตั้งแต่ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย
หากไม่มีแสงสว่าง และความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์แล้ว ก็คงไม่เกิดสิ่งที่มีชีวิตเป็นแน่แท้คงจะมีแต่แผ่นดิน
แล้วก็ความมืด ปกคลุมเท่านั้น...
...ดังนั้นดวงอาทิตย์มีแต่ให้กับให้กับเราอย่างไม่ขออะไรตอบแทนเปรียบเหมือนคนที่ทำความดี
โดยมิหวังสิ่งตอบแทนอันใดเลย โลกใบนี้มีแต่ได้กับได้จากดวงอาทิตย์อย่างเดียว ถ้าเราเป็นโลกแล้วมีคนมาช่วยดูแลเรา
โดยมิหวังสิ่งตอบแทน เราจะสำนึกที่จะตอบแทนเค้าไหม (มีแน่นอน)แต่เราและโลกใบนี้จะตอบแทนเค้าแบบไหนดีหล่ะ
ทุกวันนี้โลกเราใบนี้กำลังสะสมเชื้อไฟและพลังงานอะไรบางอย่างเพื่อตอบแทนความดีจากดวงอาทิตย์อยู่ คุณรู้ไหม ผมจะบอกให้กระจ่างแจ้งเลย
ตอนนี้โลกใบนี้เปรียบเหมือนถังเชื้อเพลิงใบใหญ่ ที่กำลังดูดซับพลังงานเชื้อเพลิง เชื้อติดไฟทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นธาตุหนักและธาตุเบา
มาเป็นเวลาหลายๆล้านๆปีแล้ว อยู่ๆมนุษย์ดันมาใช้ทรัพยากรของโลกที่โลกสะสมมาเป็นเวลาล้านๆปีเพื่อประโยชน์ของตัวเองโดยที่โลกนี้ไม่ยินยอม
จึงสั่นคลอนภัยต่างๆเกิดขึ้นมากมายเป็นการเตือนจากโลกของเราเองแต่ยังไม่ถึงเวลาทำลายโลกนี้หรอก จะบอกให้
เพราะถังน้ำมันพลังงานเชื้อเพลิงที่โลกสะสมรวมถึงก๊าซต่างๆในอากาศด้วยนะครับมันยังไม่เต็มพอที่จะเดินเครื่องได้ จุดชนวนได้
ถามว่าโลกกำลังจะทำอะไร ผมจะบอกให้ โลกของเรากำลังสะสมพลังงานจากชีวิตคน สัตว์ พืชพันธ์
เพื่อจุดตัวเองให้กลายเป็นดวงอาทิตย์ แต่คนเราดันไปขโมยของที่เค้าสะสมเพื่อเป็นพลังงานของโลกมาใช้เค้าก็จะทำร้ายเราเพื่อความสมดุลย์
กับพลังงานที่เค้าเสียไปยิ่งขโมยเค้ามากเท่าไหร่เค้าก็ยิ่งเอาคืนเท่านั้น แต่ให้ระวังพลังงานที่เค้าเสียไปนั้นมันไม่หายไปไหนเพียงแต่แปรสภาพไปเท่านั้น
สักวันมันก็หวนตกมาเป็นของเค้าอยู่ดี ไม่ไปไหนหรอก เมื่อคน สัตว์ พืช เป็นเชื้อไฟที่โลกต้องการแล้ว
เค้าจะให้เราอยู่เพื่อเพิ่มเผ่าพันธ์เพื่อให้กลายสภาพเป็นน้ำมัน หรือพลังงานให้เค้าสะสมจนฉ่ำในโลกนี้พร้อมที่จะจุดแล้ว...ไฟแช็คใต้โลกก็จะจุดตัวเอง
โลกนี้จะลุกเป็นไฟ กลายเป็นดวงอาทิตย์เผาทุกอย่างวอดวายไม่เหลือซาก จนกว่าจะหมดเชื้อไฟที่สะสม
เชื่อได้เลยว่าขณะที่โลกลุกเป็นไฟทั้งโลก ดวงอาทิตย์ของจริงก็หมดเชื้อไฟพอดี โลกเรานี้จะลุกเป็นไฟเพื่อช่วยดวงอาทิตย์ที่กำลังจะดับลง
ดวงอาทิตย์จะกลายตาลปัตรกลายเป็นโลกมนุษย์ค่อยๆเย็นตัวลงเย็นตัวลง กลุ่มก๊าซต่างๆรวมตัวกันเป็นน้ำเป็นอากาศที่พอเหมาะ
เพื่อจะสะสมพลังงานเช่นเดียวกับโลกที่กำลังลุกเป็นไฟ ดวงอาทิตย์ที่เย็นลงแล้วแต่แกนกลางยังร้อนอยู่
ก็จะสร้างเปลือกโลกใหม่ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตได้เกิดและวิวัฒนาการต่อไป ...
...สรุป...
...ทั้งโลกและดวงอาทิตย์ผลัดกันเป็นดวงอาทิตย์ผลัดกันเป็นโลกโดยสร้างเชื้อไฟพลังงานจากซากคน
ซากสัตว์ซากพืช สะสมเป็นล้านๆๆๆปี มาเป็นล้านๆครั้งแล้ว ไม่รู้จักจบสิ้น
ดวงอาทิตย์และโลกมีการดับและการเกิด สัมพันธ์กัน เกื้อกูลกัน โดยมีการสร้างสิ่งมีชีวิต เพื่อเป็นเชื้อเพลิงสะสมเหมือนกัน
มานานแล้ว
...ซักวันเราอาจจะได้ไปเกิดที่ดวงอาทิตย์เมื่อวันที่โลกใบนี้สะสมพลังจนเต็มถังแล้ว...
................โอ ระยอง......................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




mini-mini-buddha1.jpeg
mini-mini-buddha1.jpeg [ 22.39 KiB | เปิดดู 1931 ครั้ง ]
wirat เขียน:
[b]...เรื่องของจิต...

...วิธีการก็คือ...
...เราหาที่นั่งให้พอเหมาะพอดีนั่งตัวตรงช่วงขณะที่เราเอามือมาประสานกันนั้นให้หายใจเข้าจนเต็มปอด
พร้อมกับรวบรวมกำลังจิตแห่งสมาธิ(ด้วยความตั้งมั่นและตั้งใจอย่างที่สุด)
มาไว้ที่ฝ่ามือดันพลังจิตตั้งแฝ่ามือให้ความรู้สึกว่าได้ดันจิตแห่งสมาธิขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงตรงกลางกระหม่อม(กลางศรีษะ)เหมือนเราชักธงสู่ยอดเสายังไงยังงั้นเลยแล้วให้จิตนั้นนิ่งอยู่ตรงกลางกระหม่อมสักครู่

:b8: :b8: :b8:
ข้าพเจ้าถนัดแบบนี้ค่ะ..หลับตาแล้วรวบรวมไว้ตรงหน้าระดับตาแล้วลืมตาใน
มองไปข้างหน้าจนสว่างไสวไม่นานก็จะเหลือจิตตัวเดียว
ส่วนดันสมาธิไปตามร่างกายทำเมื่อเจ็บไข้ดันมันออกไปจากร่างกายแล้วก็จะหายเจ็บป่วย


อ้างคำพูด:
( ก็มึ-งตื่นไง ไ-อ้ค-วาย มันถึงมีโลกมีจักรวาลนี้ ขึ้นมา ถ้ามึ-งหลับ..หลับในที่นี้หมายถึงตายนะครับ..
โลกนี้จักรวาลนี้ มันก็ไม่มีหรอก ไ-อ้ค-วายคำถามง่ายๆ รู้หรือยังหล่ะทีนี้)

:b8: :b8: :b8:
ข้าพเจ้าชอบคำตอบนี้มาก...
แต่เปลี่ยนเป็นคำที่สุภาพกว่านี้ก็ได้นะ แต่ให้ความหมายคงเดิม


อ้างคำพูด:
แต่ถ้าเมื่อใดที่เค้าคนที่ตื่นคนแรกของโลกนี้หมดความอยากไม่มีวิวัฒน์เมื่อนั้นไม่มีโลกนี้ไม่มีจักรวาลนี้
กลับไปเหมือนตอนที่คนตื่นคนแรกของโลกคนนี้เค้ายังไม่ตื่นขึ้นมา นั่นล่ะจบ หมดโลก หมดคำถาม
ถ้าพวกเราทิ้งความอยากได้เราก็จะหลุดพ้นจากห้วงเหวแห่งวิวัฒนาการของเค้าผมคิดว่าเค้าคงอยาก
ให้พวกเราทั้งหมดในโลกนี้หลุดพ้นจากพันธนาการของเค้าจนไม่เหลือในโลกนี้แม้แต่คนเดียว
เมื่อนั้นแหละเค้าก็จะได้หลับไปตลอดกาลเค้าคงจะเริ่มเบื่อหน่ายในสิ่งที่เค้าตื่นแล้วอยากคือวิวัฒนาการ
แล้วหล่ะ สังเกตุในสิ่งที่เค้าทำซิ ภัยภิบัติต่างๆในโลกนี้ มันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ
เค้าอยากให้พวกเรากลับบ้านเก่ากลับไปอยู่กับเค้าอยู่ด้วยกันกับเค้าแล้วเค้ากับเราจะหลับไปด้วยกันชั่วนิรันดร์..

สรรพสัตว์ในจักรวาลมีเป็นอนันต์ เมื่อไหร่จะหลับกันหมดหนอ

:b41: :b41: :b41: :b53: :b53: :b53: :b39: :b39: :b39:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


แก้ไขล่าสุดโดย sirisuk เมื่อ 01 เม.ย. 2010, 20:58, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 21:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




new61.gif
new61.gif [ 1.3 KiB | เปิดดู 1903 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
ตอนนี้ก็หายใจเรื่อยๆปกติอย่าเร่งนะครับให้รู้สึกว่าจิตแห่งสมาธิเรานั้นอยู่ตรงกลางกระหม่อม คลายความเครียดทั้งมวล ปล่อยให้จิตสงบ และปล่อยวางทุกสิ่งไป ไม่ยึดไม่คิดถึงใครทั้งนั้น
ถึงตรงนี้ท่านใดจะนิ่งนานแค่ไหน แล้วแต่ละคน ถึงตรงนี้ความคิดทั้งมวลหยุดหมด ส่วนจะปล่อยนานหรือเร็วตอนนี้ก็อยู่ที่ตัวบุคคลและตัวสติหล่ะครับ ผมเปรียบเทียบตัวสติของจิตก็คือ
คิดหัวข้อของความคิดว่าจะคิดเรื่องอะไร พอสติได้หัวข้อของความคิดแล้ว พอเริ่มคิด ก็จะเกิดปัญญา ปัญญาที่นี้หมายถึง อารมณ์ของปัญญาก็ได้ แต่อารมณ์ที่เกิดจากปัญญานี้ออกมาจาก
จิตเดิมแท้ของเราที่ได้ตั้งมั่นเอาไว้แล้ว(สมาธิ) เรื่องต่างๆที่สติเริ่มคิดก็จะกลายเป็นปัญญาหรืออารมณ์ ของจิตแท้ ก็จะคิดประมวลอารมณ์ต่างๆ ไปในทางที่ดี ทางปิติ ไม่ลงในทางต่ำไม่ฟุ้งซ่าน
ถึงตรงนี้ เราจะได้ครบ สติ(ความคิดเริ่มต้นที่ดี) สมาธิ(จิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว) ปัญญา(อารมณ์ของปัญญาที่ดี) เราก็ตั้งมั่นไว้ปล่อยให้สติ(ความคิด)กับปัญญา(อารมณ์)ทำงานไปในทางที่ดี
บางครั้งเราก็ปล่อยวาง ให้เหลือแต่สมาธิตรงกลางกระหม่อม อย่างเดียว แช่อิ่มไว้ ตรงนี้เป็นสุขครับแต่อย่าไปยึดติดมากครับ ซักพักเราก็มาใช้ สติ ปัญญา อีก พิจจารณา สังขาร หรืออะไรก็ได้ ไปทางที่ดีมีประโยชน์

ตรงนี้แปลกมากปัญญาตัวนี้มันไปของมันเอง เราไม่ได้บังคับให้คิดแต่มันไปของมันเองครับ ถึงตอนนี้ร่างกายแทบไม่รู้ว่ายังมีร่างกายนี้เลยครับ เหมือนมันหายไปเลย ไม่เจ็บไม่ปวดแต่พอคลายสมาธิขาชาเลยลุกไม่ขึ้น


:b8: ถ้าคุณไปบังคับมัน คุณจะไม่เห็นมันและมันก็จะไม่ทำงานให้คุณหรือทำช้าลง คุณอาจต้องกลับมาใช้สมองแทน ยิ่งทำให้สมาธินิ่งแน่นบริสุทธิ์เท่าไหร่ปัญญาตัวนี้มันจะทำไปเองเร็วเท่านั้น...ข้าพเจ้าก็พอมีประสบการณ์บ้างไม่ได้มากมาย...ยินดีที่ได้สนทนาด้วยค่ะ :b44: :b44:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 02:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 16:17
โพสต์: 31

แนวปฏิบัติ: มีสิ่งสมมุติ รู้ทันสมมุติ ใช้สมมุติ วางสมมุติ ไม่มีสมมุติ
งานอดิเรก: ฝึกธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ธรรม
ชื่อเล่น: โอ ระยอง
อายุ: 45
ที่อยู่: 4/177 หมู่บ้านชณากาญจน์1 ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณครับ ขณะที่จิตผมอยู่ตรงกลางกระหม่อมนิ่งนั้น ผมมีความรู้สึกว่าเจ้าตัวสติมันวนอยู่รอบๆกระหม่อมคอยดูแลครับ คล้ายดาวเสาว์ที่มีวงแหวนล้อมรอบครับ ดาวเสาร์คือ สมาธิ วงแหวนคือสติครับ อนุโมทนาครับท่าน ผู้มีธรรม ทุกท่าน ผมว่าพลังงานจากสมาธิน่าจะอยู่ตรงกลางกระหม่อมนะครับผมว่า


แก้ไขล่าสุดโดย wirat เมื่อ 06 เม.ย. 2010, 02:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 18 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร