วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 01:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าด้วยอวิชชา และวิชชาเป็นหัวหน้าแห่งอกุศลและกุศล

[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า.

[๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อวิชชา (ความหลงใหญ่ ไม่เท่าทันความพอใจไม่พอใจที่มากระทบสัมผัส) เป็นหัวหน้าในการยังอกุศลธรรม ให้ถึงพร้อม (สภาวะความเลวร้าย) เกิดร่วม กับความไม่ละอายบาป ความไม่สะดุ้งกลัวบาป ความเห็นผิดย่อมเกิดมีแก่ผู้ไม่รู้แจ้ง (ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้การเกิดของทุกข์ ไม่รู้การดับของทุกข์ ไม่รู้วิธีการดับทุกข์) ประกอบ ด้วยอวิชชา ความดำริผิด (มิจฉาสังกัปปะ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความเห็นผิด (มิจฉสทิฏฐิ) เจรจาผิด (มิจฉาวาจา) ย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความดำริผิด การงานผิด (มิจฉากัมมันตะ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้เจรจาผิด การเลี้ยงชีพผิด (มิจฉาอาชีวะ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้ทำการงานผิด พยายามผิด (มิจฉาวายามะ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้เลี้ยงชีพผิด ระลึกผิด (มิจฉาสติ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้พยายามผิด ตั้งใจผิด (มิจฉาสมาธิ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้ระลึกผิด.

[๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนวิชชา (ความเท่าทันความพอใจไม่พอใจที่มากระทบสัมผัส) เป็นหัวหน้าในการยังกุศลธรรม (สภาวะความดี) ให้ถึงพร้อม เกิด ร่วมกับความละอายบาป ความสะดุ้งกลัวบาป ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้รู้แจ้ง (รู้ทุกข์ รู้การเกิดของทุกข์ รู้การดับของทุกข์ รู้วิธีการดับทุกข์) ประกอบด้วยวิชชา ความดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) เจรจาชอบ (สัมมาวาจา) ย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความดำริชอบ การงานชอบ (สัมมากัมมันตะ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้เจรจาชอบ การเลี้ยงชีพ (สัมมาอาชีวะ) ชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้ทำการงานชอบ พยายามชอบ (สัมมาวายามะ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้เลี้ยงชีพชอบ ระลึกชอบ (สัมมาสติ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้พยายามชอบ ตั้งใจชอบ (สัมมาสมาธิ) ย่อมเกิด มีแก่ผู้ระลึกชอบ แล.

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
[๕๖] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลเมื่อรู้อย่างไร เห็นอย่างไร จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งจักษุ โดยความเป็นของไม่เที่ยงจึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิด บุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งรูป ... จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัสสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิดขึ้น บุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งหู จมูก ลิ้นกาย ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุขเวทนาทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิด ดูกรภิกษุ บุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิด ฯ


การเดินทางไปสู่ความบริสุทธิ ตามทางที่พระพุทธเจ้าโคตมะได้ค้นพบ คือ มรรคอันมีองค์แปดนี้ ก็คือ การสร้างวิชชาหรือยังวิชชาให้เกิด เพื่อดับอวิชชา เพื่อยังกุศลให้ถึงพร้อม เมื่อผู้รู้แจ้ง ผู้นับว่าเป็นบัณฑิตทางธรรม คือ ผู้รู้แล้วในทุกข์ ฝึกตนและปฏิบัติอยู่ ด้วยการรู้เห็นเท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วยพิจารณาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตว่า มันไม่เที่ยง ฯ ให้เท่าทันทันทีที่ได้รับกระทบสัมผัส ให้วิชชาเกิด อวิชชาดับ ผลก็คือ ความเห็นชอบทางธรรม ก็จะเกิดกับบุคคลผู้นั้น เหมือนปลูกมะม่วง ดูแลต้นมะม่วง ย่อมได้ผลมะม่วง ฉะนั้น

เมื่อความเห็นชอบเกิดขึ้น คือ สภาวะที่รู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัสตามความเป็นจริงของโลกและชีวิต ผู้นั้นก็จะมีความคิดไปในทางที่ดีที่ถูกต้อง ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เหตุปัจจัยที่ทำให้คนเห็นไม่ดี คิดไม่ถูก ได้ถูกกำจัดไปได้แล้วบางส่วน หรือส่งอิทธิพลต่อความคิดของคนน้อยลงนั่นเอง

จากนั้น วิชชา ก็จะพาผู้นั้นเดินทางต่อไปในทางอันได้ชื่อว่าประเสริฐ ตามกฏของเหตุของปัจจัย คือ เห็นถูก คิดถูก (เกิดปัญญา) ทำถูก พูดถูก ประกอบอาชีพถูก (เกิดศีล) พยายามถูก ระลึกถูก ตั้งใจถูก (เกิดสมาธิ) เพราะมีความเห็นถูกเกิดขึ้นแล้ว ความเห็นถูกทางธรรม จึงถือเป็นประธานขององค์มรรคที่เหลืออีก ๗ องค์ พูดประสาชาวบ้านง่ายๆ ว่า ปัญญาเป็นพ่อ ศีลเป็นลูก สมาธิเป็นหลาน (ไม่มีพ่อ ก็ไม่มีลูก ไม่มีหลาน)

ผู้ที่ประกอบด้วยอริยมรรคอันมีองค์ ๘ แบบนี้แล้ว ถึงจะเจริญมรรคให้บริบูรณ์ต่อได้ เพื่อกำจัดอวิชชาที่เหลือให้หมดไป เปรียเหมือนว่า เราต้องมีต้นมะม่วงก่อน ถึงจะบำรุงต้นมะม่วงให้เจริญต่อได้ การสร้างสัมมาทิฏฐิ ได้มาจากการเจริญความเห็นที่ถูกต้อง หรือสร้างวิชชา สะสมติดต่อกันต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานาน เท่านั้น (๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ตามที่พระพุทธองค์บอก)

การสร้างวิชชา เพื่อสร้างอค์มรรค มีแบ่งไว้ ๓ วิถีทาง อันได้แก่ ทางสำหรับผู้มีเนกขัมมะสมาธิ หรือ สำหรับพระ ทางสำหรับบุคคลทั่วไป และสุดท้าย ทางสำหรับฌานลาภีบุคคล มีการเริ่มต้นที่แตกต่างกัน แต่จบที่จุดเดียวกัน คือ ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิที่นับเนื่องเป็นองค์มรรคในบุคคลผู้นั้น ...

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 16 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร