วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 17:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 14:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนรู้จากธรรมชาติ โดยพระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ

ธรรมชาติ คือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ไม่เพียงแต่จะเป็นที่ก่อเกิดของสรรพชีวิตเท่านั้น
ธรรมชาติยังเลี้ยงดูสิ่งมีชีวิตทั้งหลายให้ดำรงอยู่ได้ เป็นทั้งแหล่งอาหาร แหล่งที่อยู่อาศัย
ยารักษาโรค และแหล่งความรู้ต่างๆ ให้มนุษย์ได้ศึกษา

ในบรรดาสรรพความรู้ทั้งหลาย ล้วนมีรากฐานมาจากการเรียนรู้จากธรรมชาติทั้งสิ้น

จีนซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก ภาษาเขียนของจีน
ก็มาจากการเลียนแบบสัญลักษณ์ของสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ

สถาปัตยกรรมของมนุษย์ ก็เช่นกัน ได้อาศัยการเรียนรู้จากการสร้างรังอยู่อาศัยของสัตว์
และการยึดโยงของสิ่งต่างๆ ที่สัมพันธ์กันอยู่ตามธรรมชาติ

งานจิตรกรรมหรือภาพวาด ก็อาศัยการเรียนรู้จากธรรมชาติ ทั้งด้านการใช้สีสันและโครงสร้างของภาพ

ดนตรี ก็อาศัยการเรียนรู้เสียงสูงต่ำที่มีอยู่ในสายน้ำ สายลม ต้นไม้ที่เสียดสีกัน
และเสียงร้องของสัตว์ เป็นต้นแบบในการสร้างท่วงทำนองของบทเพลง

ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ก็มีรากฐานมาจากธรรมชาติ อาทิ ผลแอ๊ปเปิ้ลที่หล่นลงมาบนพื้นดิน
จุดประกายความคิดให้ เซอร์ ไอแซก นิวตัน ค้นพบกฎของความโน้มถ่วง

ฟ้าแลบทำให้ เบนจามิน แฟรงกลิน สนใจศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
เป็นผลให้ค้นพบประจุไฟฟ้าในบรรยากาศ

นกบิน เป็นแรงบันดาลใจให้มนุษย์ใฝ่ฝันอยากจะบินได้อย่างนกที่สุด
วิลเบอร์ และ ออร์วิลล์ ไรต์ สองพี่น้องตระกูลไรต์ก็สร้างเครื่องบินบินได้จริงๆ

และ..อีกหลายต่อหลายอย่างที่มนุษย์เรียนรู้จากธรรมชาติ

การเรียนรู้ดังกล่าวทำให้เกิดปัญญาทางโลก แต่ต่อให้รู้มากเก่งกาจสักเท่าใด
ก็ไม่สามารถพาตนให้พ้นทุกข์ได้

หากนำธรรมชาติมาเรียนรู้เพื่อพัฒนาให้เกิดปัญญาทางธรรมก็สามารถเข้าสู่อริยธรรม
บรรลุมรรคผลนิพพานได้ เป็นต้นว่า


ภิกษุณีอุบลวรรณา ขณะจุดดวงประทีปรอบศาลา
ได้สังเกตเห็นประทีปแต่ละดวงสว่างไม่เท่ากัน
บางดวงอยู่ในที่ที่ไม่มีลมพัดผ่านก็สว่างโชติช่วง
แต่บางครั้งที่มีลมพัดผ่าน เปลวไฟก็ไหวเอนไปมาจะดับมิดับแหล่
ส่วนบางดวงที่โดนลมพัดแรงก็ดับไปทันที
ภาพที่เห็นทำให้อุบลวรรณาเถรี นำมาเปรียบกับชีวิตของคนเราว่าสั้นยาวไม่เท่ากัน
บางคนตายตั้งแต่วัยเยาว์ เหมือนเปลวประทีปที่วูบดับลงทันทีที่ต้องแรงลม
บางคนตายในวัยกลางคน เหมือนเปลวประทีปที่วับ ๆแวม ๆ
บางคนตายเมื่อวัยชรา เหมือนประทีปที่ไม่ต้องแรงลม
สว่างโชติช่วงและดับเมื่อหมดไส้หรือหมดน้ำมัน

เธอนำเปลวประทีปมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน
น้อมเข้ามาหาคนเพื่อเตือนสติมิให้ประมาทต่อชีวิต
อันใดที่ยังยึดมั่นสำคัญผิดก็ปล่อยวางลง
มิได้แบกให้เป็นภาระของใจอีกต่อไป
และด้วยบารมีที่ถึงพร้อม วิปัสสนาญาณจึงเกิดขึ้น
เธอจึงได้บรรลุอรหัตตผลในคราวนั้น

ยังมีพระภิกษุกลุ่มหนึ่ง พากันเจริญกรรมฐานอยู่ในป่า
แม้เร่งความเพียรเพียงใดก็ยังไม่บรรลุธรรม
จึงพากันเดินทางจะไปเฝ้าพระพุทธองค์ ณ เชตวันวิหาร
ระหว่างทางต้องฝ่าเปลวแดดที่แผดร้อน
มองไปเบื้องหน้าเห็นพยับแดดระยิบระยับ
เป็นภาพต่างๆ ตามที่จิตปรุงแต่งครั้นเดินไปถึง กลับมีแต่ความว่างเปล่า
พระภิกษุกลุ่มนั้นก็นำเอาภาพลวงตาจากพยับแดดมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน

เมื่อ เดินทางต่อไปจนเหนื่อยล้า ถึงศาลาแห่งหนึ่งจึงพากันเข้าไปพักเหนื่อยหลบร้อน
ฝนที่ตั้งเค้าก็ตกลงมาอย่างหนัก พระภิกษุกลุ่มนั้นเห็นเม็ดฝนที่หล่นลงมากระทบพื้น
ก็นำมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน ครั้นฝนซาลง ละอองฝนลอยขึ้นในอากาศ
พระภิกษุกลุ่มนั้นก็นำมาเป็นอารมณ์กรรมฐานอย่างต่อเนื่อง
ได้สังเกตเห็นละอองฝนลอยขึ้นไม่ทันไรก็แตกไป เกิดขึ้นแล้วดับไป
ไม่ต่างไปจากชีวิตของคนเรา เกิดดับเป็นธรรมดา
มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับไม่ได้ดังปรารถนา
ภาพที่เห็นโดนใจภิกษุในที่นั้นอย่างแรง
อารมณ์กรรมฐานอันเกิดจากการนำเอาพยับแดด เม็ดฝน
และละอองฝนมาพิจารณา มีกำลังก่อให้เกิด อาสวักขยญาณ ขึ้น
อันเป็นญาณที่ดับตัณหาให้หมดไปได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ณ ที่นั้น

ยัง มีอีกหลายกรณี ที่พระอรหันต์หลายท่านบรรลุธรรม
จากการนำธรรมชาติที่มีอยู่เป็นอยู่เฉพาะหน้า
เมื่อมากระทบประสาทสัมผัสแล้วโดนใจ
ก็น้อมเอามาพิจารณาเป็นอารมณ์กรรมฐาน
เป็นเหตุปัจจัยให้บรรลุธรรมได้

การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน นั้นมีหลายวิธี
อย่าไปสำคัญผิดว่าต้องปฏิบัติวิธีนี้แบบนี้เท่านั้นจึงจะบรรลุธรรมได้
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็คือ การปฏิบัติตามแนวทาง สติปัฏฐาน ๔
หรือสัมมาสติ ( 1 ในมรรคมีองค์ 8)

สติปัฏฐาน 4 นั้นมี ฐานกาย โดย กำหนดรู้ลมหายใจ การเคลื่อนไหวของอิริยาบถ (เช่น การเดินจงกรม)
การพิจารณาธาตุ 4 การพิจารณาร่างกายว่าเป็นของสกปรก (ปฏิกูล)
และการพิจารณาร่างกายว่าเป็นของไม่สวยงาม (อสุภะ)

ฐานเวทนา ได้แก่ การพิจารณาความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกาย เช่น
เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ปวด เมื่อย คัน เป็นต้น

ฐานจิต ได้แก่ การรู้อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดกับจิต เช่น จิตมีราคะ หรือไม่
มีโทสะหรือไม่ มีโมหะหรือไม่ เศร้าหมองหรือไม่ ฟุ้งซ่านหรือไม่ เป็นต้น

ฐานธรรม เป็นฐานที่กว้างมาก ครอบคลุมถึงฐานกาย เวทนา จิต (ซึ่งเป็นขันธ์ 5) เข้าไปด้วย
นอกจากนี้ยังมีธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศล เช่น กิเลสกาม ความคิดร้าย ความพยาบาทต่อผู้อื่น
ความลังเลสงสัยที่เป็นอกุศล เช่น ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา
ควรที่จะเจริญ นอกจากนี้ สิ่งใดที่กระทบประสาทสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
ก็นำมาพิจารณา เป็นกรรมฐานได้ ดังเช่น การนำเอาเปลวประทีป พยับแดด เม็ดฝน
และละอองฝนมาพิจารณาเป็นต้น

หลักสำคัญของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็คือ
เห็นสิ่งทั้งหลายตกอยู่ในกฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

และที่ขาดไม่ได้ก็คือการวางใจเป็นอุเบกขาต่อสิ่งนั้น

การ ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันควรปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกล่าวคือ
เมื่อมีสิ่งใดมากระทบหรือมีสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายใจ ก็ให้รู้ตัว (สติ สมาธิ)
มีความเข้าใจว่าไม่เที่ยง เป็นเช่นนั้นเอง (ปัญญา) วางใจให้เป็นอุเบกขา
เพื่อฝึกใจให้คลายความยึดมั่นที่ต้องการให้ได้ดังใจ
แม้จะยังไม่บรรลุธรรม แต่ก็เบาบางจากความทุกข์ ช่วยให้ใจร่มเย็นเป็นสุขได้

ที่มา:http://www.kanlayanatam.com/sara/sara153.htm

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร