ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ธรรมบรรยายของหลวงพ่อชา สุภัทโท ทางพ้นทุกข์ (อ่านเข้าใจง่าย)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=29059
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  kaveebsc [ 28 ม.ค. 2010, 14:39 ]
หัวข้อกระทู้:  ธรรมบรรยายของหลวงพ่อชา สุภัทโท ทางพ้นทุกข์ (อ่านเข้าใจง่าย)

ธรรมบรรยายของหลวงพ่อชา สุภัทโท ทางพ้นทุกข์

(อ่านง่ายๆ เข้าใจลึกซึ้ง ปฏิบัติตามได้ พ้นทุกข์จริงๆ ด้วยอ่ะ)


วันนี้ได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสให้
แสดงธรรมแก่พุทธบริษัททั้งหลาย ที่มานั่งประชุมอยู่ ณ ที่นี้ดังนั้น ขอ
พุทธบริษัททั้งหลาย จงตั้งใจให้อยู่ในความสงบ เพราะว่าการแสดง
ธรรมวันนี้ มีความจำเป็นเกี่ยวกับภาษา จะต้องตั้งใจฟังล่ามที่จะแปลไป
มิฉะนั้นจะไม่เข้าใจ

เมื่อได้มาพักอยู่ที่นี่ อาตมารู้สึกมีความสบายใจ เพราะว่า
ทั้งท่านอาจารย์ก็ดีทั้งสานุศิษย์ก็ดี ทำความพอใจ หน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
สมกับเป็นผู้ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมอันแท้จริง เมื่อได้มาเห็นสถานที่ซึ่ง
ท่านอยู่อาศัยก็เลื่อมใส แต่บ้านหลังใหญ่นี้ใหญ่เหลือเกิน คิดสงสารท่าน
เหมือนกันในการบูรณะสร้างที่อยู่เพื่อปฏิบัติธรรมต่อไป

อาตมาเคยลำบากมาแล้ว เป็นอาจารย์มาหลายปี ตั้งต้น
สอนจริงๆ จังๆ มาประมาณเกือบ 30 ปี ขณะนี้มีวัดสาขาน้อยใหญ่ที่ขึ้น
ต่อวัดหนองป่าพงประมาณ 40 แห่งแล้ว แต่ก็รู้สึกว่ามีศิษย์สอนยาก
สอนลำบากเหลือเกิน บางคนก็รู้แล้วไม่เอาใจใส่ บางคนไม่รู้ก็ไม่เอาใจ
ใส่เดี๋ยวนี้ก็เลยคิดอะไรไม่ค่อยจะออก ไม่ทราบว่าทำไมจิตใจของมนุษย์
จึงเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่รู้ก็ไม่ดี แต่บอกให้รู้แล้วก็ยังไม่รับเอา จะทำอย่าง
ไรอีกต่อไปก็ยังไม่รู้อีกเหมือนกัน เมื่อปฏิบัติไปก็มีแต่เรื่องสงสัยทั้งนั้น
แหละสงสัยอยู่เรื่อยๆ อยากจะไปแต่พระนิพพาน แต่ไม่เดินไปตามทาง
อยากจะไปเฉยๆเท่านั้น มันวุ่น ให้นั่งสมาธิก็กลัว มีแต่ความง่วง ง่วง
นอน สิ่งที่เราไม่สอนนั้นแหละชอบปฏิบัติ ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสมาเยี่ยม
ท่านอาจารย์ จึงเรียนถามท่านว่า ลูกศิษย์ของท่านเป็นอย่างไร ท่าน
ตอบว่าเหมือนกัน นี่ก็เป็นความยุ่งยากอันหนึ่ง
เป็นปัญหาอันหนึ่งของครูบาอาจารย์ที่จะช่วยลูกศิษย์

ธรรมะที่จะกล่าวในวันนี้ เป็นธรรมะที่จะแก้ปัญหาใน
ปัจจุบัน ในเวลาที่เราเกิดมาในชาตินี้ ในวันนี้ เดี๋ยวนี้ พุทธบริษัท
บางกลุ่ม ผู้หญิงก็ดี ผู้ชายก็ดี เคยพูดว่า ฉันมีธุระมากเกี่ยวแก่การงาน
ไม่มีโอกาสที่จะทำความเพียร จะให้ฉันทำอย่างไร อาตมาตอบว่า โยม
ทำงานนั้นโยมหายใจหรือเปล่า เขาตอบว่าหายใจอยู่ ทำไมโยมมี
โอกาสหายใจ เมื่อโยมทำงานอยู่เขาก็ไม่พูด โยมมีสติอยู่เท่านั้นแหละ
ก็มีเวลามากเหลือเกินที่จะทำความเพียร ที่จะทำกรรมฐาน เหมือนกับลม
หายใจเข้าออก เราทำงานอยู่ก็หายใจอยู่ นอนอยู่ก็หายใจอยู่ นั่งก็
หายใจอยู่ ทำไมมันมีโอกาสหายใจอย่างนั้น ถ้าเรามีความรู้สึกถึงความ
มีชีวิตของเรากับลมหายใจนั้น มันก็ต้องมีเวลาอยู่ตลอดกาล

ใครเคยมีความทุกข์ไหม ใครเคยมีความสุขไหม คิดดูซิเคยมี
ไหม นั่นแหละที่ธรรมะเกิดที่ตรงนี้ ที่ปฏิบัติธรรมะก็อยู่ที่ตรงนี้ ใครเป็น
สุข ใจมันเป็นสุข ใครเป็นทุกข์ ใจมันเป็นทุกข์ มันเกิดที่ไหน มันดับที่
นั่น กายและใจสองอย่างนี้ รวมมีเอามาแล้วทุกคน ไม่ใช่ว่าไม่มีหลัก
ปฏิบัติ หลักปฏิบัติมีอยู่แล้ว มีกายมีใจ เท่านั้นพอแล้ว ทุกคนที่นั่งรวมกัน
อยู่นี้ เคยมีความสุขไหม เคยมีความทุกข์ไหม ทำไมเป็นอย่างนั้น มัน
เป็นเพราะอะไร นี้คือปัญหาแล้ว ปัญหาที่จะเกิดขึ้นมาล่ะ ถ้าเรารู้จักทุกข์
รู้จักเหตุของทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มันก็แก้ปัญหาได้


นี้คือทุกข์ ทุกข์ธรรมดาอย่างหนึ่ง ทุกข์ที่เหนือธรรมดาอย่าง
หนึ่ง ทุกข์ประจำสังขารนี้ ยืนก็เป็นทุกข์ นั่งก็เป็นทุกข์ นอนก็เป็นทุกข์
อย่างนี้เป็นทุกข์ธรรมดา ทุกข์ประจำสังขาร พระพุทธเจ้าท่านก็มีเวทนา
อย่างนี้ มีสุขอย่างนี้ มีทุกข์อย่างนี้ แต่ท่านก็รู้จักว่าอันนี้เป็นธรรมดา สุข
ทุกข์ธรรมดาทั้งหลายเหล่านี้ ท่านระงับมันได้ เพราะท่านรู้จักเรื่องของ
มัน รู้จักทุกข์ธรรมดา มันเป็นของมันอย่างนั้น ไม่รุนแรง ท่านให้ระวัง
ทุกข์ที่มันจรมา ทุกข์ที่เหนือธรรมดา เปรียบประหนึ่งว่าเราเป็นไข้ เอายา
ไปฉีด ฉีดเข้าไปในร่างกาย เข็มฉีดยานั้นมันทะลุเข้าไปในเนื้อหนัง
เรารู้สึกเจ็บนิดหน่อยเป็นธรรมดา เมื่อถอนเข็มออกมาแล้ว ความเจ็บก็หาย
นี่เรียกว่าทุกข์ธรรมดา ไม่เป็นอะไร ทุกคนจะต้องเป็นอย่างนี้ ทุกข์ที่ไม่
ใช่ธรรมดานั้น คือทุกข์ที่เรียกว่า อุปาทาน เข้าไปยึดมั่นถือมั่นไว้ เปรียบ
ประหนึ่งว่าเอาเข็มฉีดยาไปอาบยาพิษ แล้วก็ฉีดเข้าไปนี่ไม่ใช่เจ็บ
ธรรมดาแล้ว ไม่ใช่ทุกข์ธรรมดาแล้ว เจ็บ จนตาย ทุกข์จนตาย นี่เรียกว่า
ทุกข์เกิดจากอุปาทานความเห็นผิด นี่ก็เป็นปัญหาอันหนึ่ง

ไม่รู้จักอนิจจัง ความเปลี่ยนแปลงของสังขาร สังขารมันเป็นวัฏฏ
สงสาร สังสาเรทุกขัง ทุกข์ในสงสารมันเปลี่ยน เราไม่อยากให้มัน
เปลี่ยน เราคิดผิด มันก็ทุกข์ คิดถูกมันก็ไม่ทุกข์ คนเกิดขึ้นมาแล้วไม่เห็น
สังขารอันนั้น เห็นสังขารว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขา ไม่อยากให้
สังขารเปลี่ยนแปลงไป พูดง่ายๆก็หมายความว่า เราหายใจเข้าออก
ออกไปแล้วก็เข้ามา เข้ามาแล้วก็ออกไป มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น เรา
จึงมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าเราให้มันออกไป ไม่ให้มันเข้ามา มันก็อยู่ไม่ได้ มัน
ไม่ใช่เรื่องเช่นนั้น เรื่องของสังขารมันเป็นอย่างนี้ แต่เราไม่รู้จัก เช่นว่ามี
สิ่งของแล้วมันหายไป ไม่อยากให้มันหายคิดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา
ไม่เห็นตามสังขารที่มันหมุนเวียนอยู่ตามธรรมชาตินั้น มันก็เลยเกิดทุกข์
ขึ้นมา ไม่เชื่อก็ลองดูซิ หายใจออกหายใจเข้า มันสบายอยู่ได้ ถ้าหายใจ
ออกแล้วไม่เข้า หรือหายใจเข้าแล้วไม่ออกจะอยู่ได้ไหม

สังขารมันเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น เราเห็นว่ามันเป็นอยู่
อย่างนั้น เห็นตามธรรมะ เห็นเรื่องอนิจจัง ความเปลี่ยนแปลง เราอยู่ด้วย
อนิจจัง อยู่ด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ รู้ว่า มันเป็นอย่างนั้น แล้วก็
ปล่อย เรียกว่าการปฏิบัติธรรมให้มีปัญญารู้ตามสังขารอย่างนั้น ทุกข์ก็
ไม่เกิด ถ้าคิดเช่นนั้นมันก็ขัดต่อความรู้สึกของเรา ขัดต่อความรู้สึกก็ขัด
ต่อธรรมะความเป็นจริงของมันเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เราป่วยเข้าโรง
พยาบาล คิดในใจไม่อยากตาย อยากหายเท่านั้น คิดอย่างนั้นไม่ถูก
เป็นทุกข์ ต้องคิดว่า หายก็หาย ตายก็ตาย เพราะเราแต่งไม่ได้ นี่เป็น
สังขาร คิดอย่างนี้ถูก ตายก็สบาย หายก็สบายต้องได้อย่างหนึ่ง จนได้
เราคิดว่าจะต้องหาย จะต้องไม่ตาย อย่างนี้มันเรื่องจิตของเราไม่รู้จัก
สังขาร ฉะนั้นเราก็ต้องคิดให้มันถูก ว่าหายก็เอา ไม่หายก็เอา ตายก็เอา
เป็นก็เอา ถูกทั้งสองอย่างสบายไม่ตกใจ ไม่ร้องไห้ ไม่โศกเศร้า เพราะ
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างนั้นพระพุทธเจ้าของเราท่านจึงมองเห็นชัด
ธรรมะของท่านยังใหม่เอี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้าสมัย ไม่เปลี่ยนแปลงที่ไหน
ทุกวันนี้ยังมีความจริงอยู่ ยังไม่เสื่อม ยังเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ไปที่ไหน ถ้า
ใครจะรับพิจารณาอย่างนั้น จะได้เกิดความสงบความสบาย ท่านให้
อุบายว่า อันนี้ไม่ใช่ตัวเรา อันนี้ไม่ใช่ของเรา แต่เราฟังไม่ได้ ไม่อยาก
ฟัง เพราะเราเข้าใจว่า นี่เป็นตัวเรา เป็นของเรานี่แหละเป็นเหตุให้ทุกข์
เกิดตรงนี้ ให้เราเข้าใจอย่างนี้


เมื่อกลางวันนี้ มีโยมคนหนึ่งมาถามปัญหาว่า เมื่อมันมีความ
โกรธขึ้นมา จะให้ดิฉันทำอย่างไร อาตมาบอกว่า เมื่อมันโกรธขึ้นให้เอา
นาฬิกามาหมุนตั้งไว้ บอกนั่นได้สองชั่วโมงให้โกรธมันหายนะ ลองดู ถ้า
มันเป็นเราบอกได้สองชั่วโมงก็หายโกรธ แต่อันนี้ไม่ใช่เรา สองชั่วโมง
มันก็ยังไม่หาย บางทีหนึ่งชั่วโมงมันก็หายแล้ว จะไปเอาโกรธมาเป็นเรา
มันก็ทุกข์ซิ นี่ถ้าเป็นตัวเรา มันต้องได้ตามปรารถนาอย่างนั้น ถ้าไม่ได้
ตามปรารถนาก็เป็นเรื่องโกหก เราอย่าไปเชื่อมันเลย มันจะดีใจก็อย่าไป
เชื่อมัน จะเสียใจก็อย่าไปเชื่อ มันจะรักอย่าไปเชื่อมัน มันจะเกลียดก็อย่า
ไปเชื่อมันมันเรื่องโกหกทั้งนั้น ให้คำตอบเขาอย่างนี้

ใครเคยโกรธไหม เมื่อโกรธขึ้นมามันเป็นสุขหรือทุกข์ไหมถ้า
เป็นทุกข์ทำไมไม่ทิ้งมัน เอาไว้ทำไม นี่จะเข้าใจว่าเรารู้อย่างไรเล่า จะ
เข้าใจว่าเราฉลาดอย่างไรเล่า ตั้งแต่เราเกิดมานี้ มันโกรธเรากี่หนมา
แล้ว บางวันมันทำให้ครอบครัวเราทะเลาะกันก็ได้ร้องไห้ทั้งคืน ก็ได้
ขนาดนั้นก็ยังเกิดความโกรธอีก ยังเก็บมันเอาไว้ในใจอีก ทุกข์อีกอยู่
ตลอดเวลา ตลอดถึงบัดนี้ ตั้งแต่นี้ต่อไปถ้าโยมทุกคนไม่เห็นทุกข์ มันก็
จะทุกข์เรื่อยๆไป ถ้าเห็นทุกข์วันนี้เอามันทิ้งเสีย เอามันทิ้ง ถ้าไม่ทิ้งมัน
มันจะให้เราทุกข์จนตลอดวันตาย ไม่ได้หยุด วัฏฏสงสารก็ต้องเป็นอย่าง
นี้ ถ้าเรารู้จักทุกข์อย่างนี้ ก็แก้ปัญหาได้เท่านั้น ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านว่า
ไม่มีอุบายอะไรที่จะดีไปกว่านี้ อุบายที่จะไม่มีทุกข์ ก็เห็นว่าอันนี้ไม่ใช่ตัว
อันนี้ไม่ใช่ของตัวเท่านี้ อันนี้เลิศแล้ว อันนี้ประเสริฐแล้ว แต่เราไม่ค่อย
ได้รับฟัง เมื่อทุกข์ทุกทีก็ร้องไห้ทุกที ยังไม่จำอีกนี่ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น
ทำไมไม่ดูนานๆ ท่านอาจารย์สอนให้ดู ให้ภาวนาพุทโธ ให้เห็นชัด

ระวังบางคนจะไม่รู้ว่าธรรมะนะ นี่คือธรรมะนอกคัมภีร์คนเราไป
อ่านแต่คัมภีร์แล้วไม่เห็นธรรมะ วันนี้อธิบายธรรมะนอกคัมภีร์แต่อยู่ใน
ขอบเขต บางคนฟังแล้วจะไม่รู้เรื่อง จะไม่เข้าใจในธรรมะ ถ้าเราไม่เข้า
ใจในธรรมะ เราจะมีความทุกข์ตลอดไปสังขารมันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เป็นธรรมดา เรื่องธรรมดาอย่างนี้ยกตัวอย่างให้ฟังอีกสักเรื่องหนึ่ง คน
สองคน เช่นคนนี้กับคนนี้เดินไปด้วยกัน เห็นเป็ดตัวหนึ่ง ไก่ตัวหนึ่ง คน
หนึ่งว่า แหมไก่ทำไมไม่เหมือนเป็ด เป็ดทำไมไม่เหมือนไก่ คิดอยากจะ
ให้ไก่เป็นเป็ด คิดอยากจะให้เป็ดเป็นไก่ มันก็เป็นไปไม่ได้ เมื่อมันเป็นไป
ไม่ได้ โยมก็คิดว่า แหม อัศจรรย์เหลือเกิน ทำไมไก่ไม่เป็นเป็ดอยากจะ
ให้เป็ดเป็นไก่อยู่ตลอดเวลา ในชั่วชีวิตหนึ่งๆมันก็ไม่เป็นให้ เพราะเป็ดก็
เป็นเป็ด ไก่ก็เป็นไก่ ถ้าคนนี้คิดอย่างนี้ไม่หยุดก็ต้องทุกข์ คนที่สองเห็น
ว่า เป็ดก็เป็นเป็ด ไก่ก็เป็นไก่นั่นแหละแล้วก็เดินผ่านไป ปัญหาไม่มี เห็น
ถูกแล้วที่เป็นเป็ดให้เป็นเป็ดไปเป็นไก่ก็ให้เป็นไก่ไปเสีย คนที่อยากให้
เป็ดเป็นไก่ อยากให้ไก่เป็นเป็ดอยู่นั่นแหละ ก็เป็นทุกข์มาก อย่างนี้ก็
เหมือนกับอนิจจังเป็นของไม่เที่ยง อยากจะให้มันเที่ยง มันก็ไม่เที่ยง
เมื่อมันไม่เที่ยงเมื่อไร ก็เสียใจเมื่อนั้น ถ้าใครเห็นว่า อนิจจัง เป็นของไม่
เที่ยงอย่างนั้น คนนั้นก็สบายไม่มีปัญหา คนอยากให้มันเที่ยงก็มีปัญหา
เป็นทุกข์เป็นร้อนบางทีนอนไม่หลับ อย่างนี้ก็เป็นได้ นี้เรียกว่าไม่รู้เรื่อง
ของอนิจจัง ตามความจริง เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า

เมื่ออยากรู้ธรรมะจะไปดูที่ไหนได้ ดูอยู่ที่กายของเรานี้แหละ ดู
อยู่ที่ใจของเรานี้แหละ ไปดูในตู้ไม่พบ ไม่เห็น จะรู้ธรรมะอย่างแท้จริง
ต้องดูในกายของเรา นี้เรียกว่า รูปธรรม รู้เข้าไปอีกชนิ ดหนึ่งไม่มีรูป มี
ปรากฏอยู่คือ นามธรรม มีสองอย่างเท่านั้นรูปธรรมมองเห็นด้วยตาของ
เราที่นั่งอยู่นี่ แต่นามธรรมมองไม่เห็น นามธรรมไม่ใช่สิ่งที่จะมองดูด้วย
ตาเนื้อได้ ต้องมองดูด้วยตาใน คือตาใจ มองดูในใจถึงจะเห็น
นามธรรม คนจะบรรลุธรรมะ จะได้เห็นธรรมะต้องรู้จักว่า ธรรมะอยู่ตรง
ไหนเสียก่อน ถ้าธรรมะอยู่ที่กาย ก็ต้องมาดูที่กายของเรา ดูตั้งแต่นี้ลง
ไป เอาอะไรมาตรวจดูตรงนี้ เอานามธรรมคิดตัววิญญาณธาตุดูกายนี้
ไปดูที่อื่นไม่พบ เพราะความสุข ความทุกข์เกิดจากที่นี่ หรือใครเห็น
ความสุขเกิดจากต้นไม้ มีไหม เกิดจากแม่น้ำ มีไหม เกิดจากดินฟ้า
อากาศ มีไหม ความสุข ความทุกข์ เป็นความรู้สึกทางกายทางใจของ
เรานี่เอง ฉะนั้นพระพุทธองค์ท่านให้รู้จักธรรมะ ให้มาดูธรรมะที่กายของ
เรานี้ คือธรรมะอยู่ที่นี่ จงมาดูที่นี่ อย่างท่านอาจารย์ท่านสอนนี้ ท่านให้
มาดูที่ตัวธรรมะ แต่เราเข้าใจว่าตัวธรรมะอยู่ที่หนังสือจึงไม่เจอ ถ้าดู
หนังสือก็ต้องน้อมเข้ามาในนี้อีกจึงจะรู้จักธรรมะ อย่างนี้ให้เข้าใจว่า
ธรรมะที่แท้จริงอยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่ อยู่ที่กาย อยู่ที่ใจนี้ ให้เอาใจนี้พิจารณา
กาย นี้เป็นหลักการพิจารณา



ขอต่อตอนสอง ตอนจบครับ...หนุกมั่กๆ

ฉะนั้น จึงทำปัญญาให้เกิดขึ้นในจิตของเรา เมื่อปัญญาเกิดขึ้น
ในจิตของเราแล้ว จะมองไปที่ไหนจะมีแต่ธรรมะทั้งนั้นเห็นอนิจจัง ทุก
ขัง อนัตตา ตลอดเวลา อนิจจังเป็นของไม่เที่ยงทุกขังถ้าไปยึดว่ามัน
เที่ยง ก็เป็นทุกข์ เพราะอันนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว แต่เราไม่เห็น
กลับเห็นว่าเป็นตัวเป็นอยู่เสมอเห็นว่าเป็นของของตนอยู่ทุกเวลา คือเรา
ไม่เห็นสมมุติ รู้จักสมมุติกันเสียเถิด เช่นเราทุกคนที่นั่งในที่นี้มีชื่อทุกคน
ชื่อเรานี้เราตั้งใหม่หรือมันเกิดพร้อมกันกับเรา หรือมีชื่อติดตามมาตั้งแต่
วันเกิดเข้าใจไหม นี้สมมุติ สมมุติประโยชน์ไหม มีประโยชน์เช่น สมมุติ
ว่าชื่อ นาย ก นาย ข นาย ค นาย ง มันก็เป็นคนด้วยกันทั้งหมด ต้องเอา
ชื่อคนมาใส่เป็นให้สะดวก แก่การพูด สะดวกแก่การงานเท่านั้นแหละ
เช่น เราต้องการใช้นาย ก ก็เรียกนาย กนาย ก ก็มา นาย ข นาย ค นาย
ง เฉยเสียไม่ต้องมา สมมุติมันสะดวกเท่านี้ ถ้าไม่มีสมมุติ เราจะเรียกคน
มาใช้สักหนึ่งคน ถ้าเรียกว่าคนๆ คนๆทั้งหมดก็จะลุกขึ้นมา ก็ใช้ไม่ได้จะ
ทำอย่างไรฉะนั้นสมมุติจึงมีประโยชน์ คือสะดวกแก่การใช้เท่านั้น เมื่อ
ตามดูเข้าไปแล้วที่จริงไม่มีใครทั้งนั้น มันเป็นวิมุติ มีดินมีน้ำ มีไฟ มีลม
เท่านั้นแหละ ที่เป็นสกลร่างกายของเรานี้ แต่เรามองไม่ค่อยจะเห็น
เพราะมีอุปาทาน อัตตาอุปาทาน มันไม่เห็น ถ้าเราเห็นชัดจะเห็นว่าตัว
ของคนๆ หนึ่งไม่มีอะไรมาก ส่วนที่มันเคลื่อนแข็งก็เป็นดิน ส่วนที่เหลวก็
เป็นน้ำ ส่วนที่ร้อนก็เป็นไฟ ส่วนที่พัดไปมาก็เป็นลม มีดิน มีน้ำ มีไฟ มี
ลม ผสมกันเข้าไปเป็นก้อนก็เรียกว่ามนุษย์ เมื่อมันแยกกันออกไปอีก
ส่วนดินที่เป็นดินไป ส่วนน้ำก็เป็นน้ำไป ส่วนไฟก็เป็นไฟไป ส่วนลมก็
เป็นลมไป เป็นคนที่ไหนคนไม่มีเลย มันเป็นอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึง
สอนว่า ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าการที่เราเข้าใจว่า อันนี้ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็น
ของสมมุติอันนั้นไม่ใช่ของของเราแต่เป็นของสมมุติ ถ้าเราเข้าใจสิ่ง
ทั้งหลายแจ่มแจ้งเป็นธรรมะแล้ว ก็จะสบายใจ ถ้าเรารู้ในปัจจุบันอย่างนี้
ว่ามันไม่เที่ยง อันนี้ก็ไม่ใช่เรา อันนั้นก็ไม่ใช่ของเรา ให้เห็นอยู่อย่างนี้
ถ้าอันนี้วิบัติเมื่อไรก็สบายใจเหมือนกัน ถ้าอันนั้นจะวิบัติไป แยกกันไป
เมื่อไร ใจก็สบาย เพราะไม่มีของใคร เป็นแต่ดินน้ำ ไฟ ลม เท่านั้น แต่
คนเราจะเห็นตามได้ยาก แต่ถึงจะยากก็ไม่เหลือวิสัยของมนุษย์ หากเรา
เห็นเช่นนั้นได้ก็สบายใจ ใจจะไม่ค่อยโกรธ ไม่ มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มี
หลง จะมีธรรมะอยู่สม่ำเสมอ ไม่ต้องอิจฉาพยาบาทกัน เพราะต่างก็เป็น
ดิน เป็นน้ำเป็นไฟ เป็นลมเหมือนกัน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เมื่อยอม
รับว่าเป็นจริงอย่างนั้น ก็เห็นจริงในธรรมะ เมื่อเห็นจริงในธรรมะแล้วก็ไม่
ต้องเปลืองครูบาอาจารย์ ไม่ต้องสอนกันทุกวันหรอก เมื่อรู้แล้วก็จะทำ
ตามหน้าที่เท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ที่เราสอนยากลำบาก คือมันไม่ยอมรับ ยัง
เถียงครูบาอาจารย์อยู่ ยังเถียงพระธรรมวินัยอยู่ถ้าอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์
ก็ ทำดีเสียหน่อยหนึ่ง เมื่อลับหลังครูบา-อาจารย์ ก็เป็นขโมยเสีย เป็นเรื่อง
ที่สอนยากอย่างนี้ โยมเมืองไทยเป็นอย่างนั้น จึงต้องเปลืองครูบาอาจารย์มาก

ระวังนะ ระวังไม่ดีไม่เห็นธรรมะนะ ต้องระวังให้ดี ต้องนำไป
พิจารณาให้เกิดปัญญา ดอกไม้นี้สวยไหม ดูซิ เห็นสิ่งที่ไม่สวยในนี้หรือ
เปล่า เห็นสิ่งที่ไม่สวยในสิ่งที่สวยหรือเปล่า มันจะสวยไปกี่วัน ต่อไปมัน
จะเป็นอย่างไร ทำไมมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้นอีก 3-4 วัน ก็ให้เอาไป
ทิ้งใช่ไหม เพราะหมดความสวย มันไม่สวยเสียแล้ว นี่คือคนติดความ
สวย ติดความดี ถ้ามีความดีก็ดี ดี ดี พระพุทธองค์ของเราท่านตรัสว่า
สวยก็พึงว่าสวยเฉยๆอย่าไปติดมัน ถ้ามีความดีใจก็อย่าเพิ่งไปเชื่อมัน
เลย ที่ว่าดีนี้ก็ไม่แน่ สวยนี้ก็ไม่แน่ ไม่แน่สักอย่างหนึ่ง ไม่มีอะไรจะแน่
นอนในโลกนี้ นี่คือความจริงของที่ไม่จริง คือสวยไม่จริง มันจริงแต่ว่า
มันจะเปลี่ยนแปลงของมันอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ถ้าเราเห็นว่ามันสวยๆ
อย่างนี้ เมื่อหมดความสวยไปใจเราก็ไม่สวย ถ้ามันหมดความดีแล้วใจ
เราก็ไม่ดีด้วย เราเอาใจไปฝากกับวัตถุต่างๆอย่างนี้ หากว่ามันเสียหาย
ไปเราก็ทุกข์ เพราะเราไปยึดมั่นถือมั่นว่าอันนี้เป็นของเรา พระพุทธเจ้า
ท่านให้รู้จักว่า มันเป็นธรรมชาติของมันเท่านั้น สวย เกิดขึ้นมาอีกไม่กี่
วันก็หายแล้ว อย่างนี้ปัญญาก็เกิดแล้ว ฉะนั้นท่านจึงให้เห็นอนิจจัง เห็น
ว่ามันสวยก็ว่าไม่ใช่เห็นว่าไม่สวยก็ว่าไม่ใช่ เห็นว่าดีก็ไม่ใช่ ให้เห็นไว้
อย่างนี้ ดูอยู่เสมออย่างนี้ จะเห็นความจริงในสิ่งที่ไม่จริง จะเห็นความ
ไม่เปลี่ยนแปลงในสิ่ง ที่มันเปลี่ยนแปลงอย่างนั้น


วันนี้อธิบายให้รู้จักทุกข์ สิ่งที่ให้เกิดทุกข์ สิ่งที่ดับทุกข์ ข้อ
ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ สี่อย่างนี้ รู้จักทุกข์เมื่อทุกข์แล้วก็ทิ้งรู้จักเหตุที่
จะให้ทุกข์เกิดแล้วก็ทิ้ง ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ก็เห็นอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา เป็นของไม่แน่นอน ทุกข์แล้วก็ดับมันดับแล้วจะไปอยู่ที่ไหน เรา
ปฏิบัติแล้วจะเอาอะไร ปฏิบัตินี้ปฏิบัติเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อเอา อย่างโยมที่
ถามเมื่อกลางวันนี้ว่าเป็นทุกข์ อาตมาถามว่าโยมอยากเป็นอะไร ตอบว่า
อยากตรัสรู้ธรรมอยากตรัสรู้ธรรมมันไม่ได้ตรัสดอก อย่าให้มันอยากเลย
อาตมาบอกไปจะรู้หรือไม่ก็ตามเถอะ เมื่อรู้จักทุกข์ตามความจริงมันก็ทิ้ง
ทุกข์ รู้จักเหตุให้ทุกข์เกิด ที่ไหนทุกข์จะเกิด ก็ไม่ทำมันจะปฏิบัติมันก็ดับ
ทุกข์ ที่ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อันนี้ก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่เราใช่เขา
เห็นเช่นนี้ทุกข์ก็ดับ เหมือนคนเดินทางไปเดินไป ไปถึงแล้วก็หยุดอยู่ มัน
ดับ นั่นใกล้ต่อพระนิพพานง่ายๆ เดินไปก็เป็นทุกข์ ถอยกลับก็เป็นทุกข์
หยุดอยู่ก็เป็นทุกข์ เดินไปก็ไม่เดิน ถอยกลับก็ไม่ถอย หยุดอยู่ก็ไม่หยุด
มีอะไรเหลือไหมดับ รูปมันดับนามมันก็ดับ นี้เรียกว่าดับทุกข์ฟังยากสัก
หน่อยนะถ้าหากเราภาวนาพิจารณาเรื่อยๆ มันจะพ้นขึ้นมาแล้วจะรู้จักมัน
จะดับของมันอย่างนั้น ที่สุดคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น หมดล่ะ
ไม่เป็นอะไร ละหมด พระพุทธเจ้าสอนจบตรง นี้ละหมด จบลงที่นี่


วันนี้อธิบายธรรมะให้ญาติโยม และถวายท่านอาจารย์ ถ้า
หากว่าผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วย แต่อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามันผิด มัน
ถูก ฟังไว้ก่อน ให้รู้จักผิด รู้จักถูก ถ้าเหมือนกับ เอาผลไม้ชนิดหนึ่งถวาย
ท่านอาจารย์ และฝากญาติโยมทุกๆคนอาตมาบอกว่า ผลไม้นี้มันหวาน
นะ ก็ขอให้ฟังไว้ก่อน อย่าเพิ่งเชื่อว่ามันหวานล่ะ เพราะเมื่อไม่รู้จักรสผล
ไม้ที่มันเปรี้ยวเอามือจับมันก็ไม่รู้เปรี้ยว ผลไม้นี้มันหวานถวายให้จับดู
มันก็ไม่รู้หวาน ฉะนั้นที่เทศน์ให้ฟังวันนี้ อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าอยากจะรู้จักรส
เปรี้ยวหวาน ของผลไม้ ก็ต้องเอามีดไปเฉือนแล้วเคี้ยวดูในปากนั่น
แหละหากมันเปรี้ยวก็จะรู้สึกเปรี้ยว หากมันหวานก็จะรู้สึกหวาน ทีนี้เชื่อ
ได้แล้ว เพราะเหตุใดจึงเชื่อ เพราะว่าเป็นปัจจัตตังแล้วมีพยานตัวเราจะ
เป็นพยานของตัวเราแน่นอนแล้วทีนี้ ฉะนั้น ผลไม้ที่อาตมาฝากให้วันนี้
อย่าเพิ่งเอาไปทิ้ง เก็บไว้ทาน ให้รู้รสเปรี้ยวหวานเสียก่อน จนเป็นสิขีภู
โต ตัวเราเป็นพยานของเราแล้วแน่นอน

พระพุทธเจ้าไม่มีครูไม่มีอาจารย์นะ อาชีวกไปถามท่านว่าใคร
เป็นครูเป็นอาจารย์ของท่าน พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า เราไม่มีครู ไม่มี
อาจารย์ อาชีวก ก็ สบัดหน้าไปเลย คือบอกความจริงเกินไป บอกความ
จริงกับคน ไม่รู้จักความจริง ไม่เชื่อ ไม่รู้จักฟัง ไม่รู้จักเอา ฉะนั้น วันนี้
อาตมาถึงบอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งไปเชื่อ คนไปเชื่อคนอื่นเขาท่าน
ว่าคนโง่ เพราะไม่มีพยานในตัวของเรา ดังนั้น ให้ยึดพยานใจตัวของเรา
อย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเลยว่า พระพุทธองค์ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์
อย่างนี้เป็นความจริง แต่เราคิดให้ถูกนะ ถ้าคิดไม่ถูกแล้ว ไม่เคารพ
อาจารย์นะ ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ อย่าไปว่านะ ถ้าครูอาจารย์สอนถูกมา
แล้ว เรารู้จักปฏิบัติ เห็นถูกเห็นผิด รู้ขึ้นมาตามครูบาอาจารย์

วันนี้พวกเราทั้งหลาย มีโชคดี อาตมามีโอกาสรู้จักญาติโยมทุกๆคน
และได้พบกับท่านอาจารย์ ไม่น่าจะมาเห็นกันนะ เพราะอยู่ไกลกันมาก
วันนี้อาตมาเห็นว่าจะต้องมีเหตุปัจจัยอันหนึ่ง ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่า
อะไรที่จะเกิดขึ้นมา จะต้องมีเหตุอย่างนี้อย่าลืมนะจะต้องมีเหตุอันหนึ่ง
บางทีสมัยก่อนอดีตชาติ อาตมาได้มาเป็นพี่ๆน้องๆ ของญาติโยมแถวๆ
นี้ก็เป็นได้ ถ้าพูดถึงเหตุมันเป็นอย่างนั้น คนอื่นไม่ได้มา แต่อาตมาได้
มาทำไม หรือว่าจะมาสร้างเหตุเดี๋ยวนี้ก็ได้ ฉะนั้นจึงฝากธรรมไว้ให้ญาติ
พี่น้องทั้งหลายคนแก่ก็เป็นพ่อเป็นแม่ คนมีอายุเสมอๆกันก็เป็นเพื่อน คน
อายุน้อยๆก็เป็นลูกหลานทุกๆคน ขอฝากความอาลัยไว้ ณ ที่นี้ ญาติโยม
ทั้งหลายจงเป็นผู้ขยันขันแข็ง หมั่นในข้อประพฤติปฏิบัติ ไม่มีอะไร
แล้วจะยิ่งกว่าธรรมะ ธรรมะนี้เป็นเครื่องที่ค้ำจุนโลกเหลือเกิน ทุกวันนี้เรา
จะไม่สบาย กระสับกระส่ายก็เพราะไม่มีธรรมะ ถ้าเรามีธรรมะก็จะสบาย
อาตมาก็ดีใจที่ได้ช่วยท่านอาจารย์และช่วยญาติโยมด้วย จึงขอฝาก
ความอาลัยไว้ บางทีพรุ่งนี้คงได้จากไป ไปที่ไหนก็ยังไม่ทราบ อย่างนี้
เป็นเรื่องธรรมดา มาแล้วก็ต้องไป ไปแล้วก็ต้องมา มันเป็นเรื่องอย่างนี้
ไม่ควร ดีใจและไม่ควรเสียใจ สุขแล้วก็ทุกข์ ทุกข์แล้วก็สุข ได้แล้วก็เสีย
ไป เสียไปแล้วก็ได้มาเป็นเรื่องธรรมดา ญาติโยมจงเข้าอยู่ในธรรมะจะ
ไม่มีความเดือดร้อนทุกๆ คน ผลที่สุดนี้ ขอให้ญาติโยมทั้งหลายเป็นคน
มีโชคดี โชคอย่างใหญ่หลวงคือ โชครู้จักธรรมะ นั่นแหละเป็นโชคดีที่สุดแล้ว

ในวาระสุดท้าย ญาติโยมทุกคนมีความสงสัยอะไรในใจให้ถาม
ปัญหาได้ มีไหมล่ะ สมัยก่อนครั้งพุทธกาล เรื่องสาวกไม่ชอบพระ
พุทธเจ้าก็มี เพราะพระพุทธเจ้าบอกให้ขยัน ไม่ให้ประมาทสาวกที่ขี้เกียจ
กลัวละเกลียด เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้า ปรินิพพานสาวกกลุ่มหนึ่งร้องไห้
ว่า พระพุทธเจ้าของเราปรินิพพาน แล้วจะไม่มีใครเป็นครูเป็นอาจารย์
สอนเรา สาวกกลุ่มนี้ก็โง่ สาวกอีกกลุ่มหนึ่งยกมือสาธุ พระพุทธเจ้าตาย
แล้วเราสบาย ไม่มีใครบังคับเรา กลุ่มที่สาม เมื่อพระพุทธองค์
ปรินิพพานแล้วก็สบายใจ ปล่อยสลดสังเวชในสังขาร นี่ มีกลุ่มหนึ่ง กลุ่ม
สอง กลุ่มสาม เราจะเอากลุ่มไหนล่ะ จะเอากลุ่มสาธุหรือจะเอากลุ่ม
ไหน กลุ่มหนึ่ง เมื่อพระพุทธองค์ ปริ นิพพานแล้วก็ร้องไห้ นี่คือคนที่ไม่
ถึงธรรมะ กลุ่มที่สองนั่นเกลียดไปทำอันนี้ก็ไม่ได้ ทำอันนั้นก็ไม่ได้ผิด
ทั้งนั้น กลัวท่านจะดุเอา กลัว ท่านจะว่าเอา เมื่อท่านปรินิพพานแล้ว
สบายใจ ทุกวันนี้เช่นกันบางทีท่านอาจารย์อาจจะมีลูกศิษย์เกลียด
เหมือนกันละนะ เกลียดอยู่ในใจ อดไว้ คนมีกิเลสก็ต้องเป็นทุกคนแม้แต่
พระพุทธองค์ยังมีสาวกรังเกียจอาตมามีลูกศิษย์รังเกียจเหมือนกัน ไป
บอกให้เขาทิ้งความชั่ว เขาเสียดายความชั่ว เขาก็เกลียด เรา อย่างนี้ก็มี
เยอะ ฉะนั้นปัญญาชนทั้งหลาย ให้พากันตั้งอยู่ในธรรมะให้แน่นหนา


---------------------------------------------
สาธุ ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ศึกษาและปฏิบัติธรรมครับ...อิอิ

เจ้าของ:  nobitatoon [ 27 ธ.ค. 2010, 14:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ธรรมบรรยายของหลวงพ่อชา สุภัทโท ทางพ้นทุกข์ (อ่านง่ายๆ เข

ขออนุโมทนาครับ

เจ้าของ:  ลูกโป่ง [ 27 ธ.ค. 2010, 15:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ธรรมบรรยายของหลวงพ่อชา สุภัทโท ทางพ้นทุกข์ (อ่านง่ายๆ เข

เมื่ออยากรู้ธรรมะจะไปดูที่ไหนได้
ดูอยู่ที่กายของเรานี้แหละ
ดูอยู่ที่ใจของเรานี้แหล


:b8: สาธุ สาธุ สาธุค่ะ

ธรรมรักษาค่ะ

เจ้าของ:  Yodyood [ 27 ธ.ค. 2010, 18:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ธรรมบรรยายของหลวงพ่อชา สุภัทโท ทางพ้นทุกข์ (อ่านง่ายๆ เข

:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  Hanako [ 27 ธ.ค. 2010, 19:03 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ธรรมบรรยายของหลวงพ่อชา สุภัทโท ทางพ้นทุกข์ (อ่านง่ายๆ เข

:b8: :b20: :b16: สาธุ สาธุ สาธุ

เจ้าของ:  เจโตวิมุติ [ 27 ธ.ค. 2010, 23:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ธรรมบรรยายของหลวงพ่อชา สุภัทโท ทางพ้นทุกข์ (อ่านง่ายๆ เข

:b42: จะเห็นได้ว่าคนที่มีวิชชาแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้วจะเข้าใจตรงกัน กล่าวในเรื่องและความหมายที่ตรงกัน แม้ว่าจะต่างการศึกษา ต่างภาษา สำเนียง และโวหาร
.....เรากล่าวถึงท่านบ่อยมาก ทั้งๆที่ไม่เคยพบท่าน ไม่เคยบอกเลยว่าเราเป็นศิษย์ท่านหรือท่านเป็นอาจารย์ของเรา ใครก็ได้ที่เราจะขออาศัย ในธรรมคำสั่งสอน ขอเพียงสอนธรรมมะแท้ ทีปลอกเปลือกออกจนเห็นเนื้อเห็นแก่นเช่นนี้ ทุกวันนี้ก็มีหลายกลุ่ม หลายลัทธิที่พยายามสร้างพุทธศาสนาที่เป็นรูปแบบขึ้นมา มีพิธีกรรม พิธีการเฉพาะกลุ่มขึ้นมา ซึ่งท่านก็สอนให้ละ รูปแบบ พิธีกรรม พิธีการนี้ ก็ไม่เข้าใจ ท่านก็สอนท่านก็ย้ำว่าอย่าไปหาทางพ้นทุกข์ที่อื่น อย่าไปวิ่งตามหาทางดับทุกข์ที่โน่นที่นี่ ก็ไม่เข้าใจ วันนี้มีคนคัดลอก มาตอกย้ำว่าทุกข์และการดับทุกข์มันอยู่ที่กาย-ที่จิตนี้เองอีกครั้งอยากพ้นทุกข์ต้องทำความเข้าใจให้ดี เรื่องนี้ความจริงเราเคยอ่านหลายครั้ง แรกๆก็ไม่เชื่อเหมือนกัน เพราะไม่เข้าใจ ไม่มีเหตผลรองรับในการเชื่อ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ ปฏิบัติมากเข้า มันเกิดความรู้จากการปฏิบัติ (วิชชา) ความเชื่อมันก็ตามมา ความเชื่อที่มันเกิดจากการปฏิบัตินี้ มันต่างจากฟังเขาเล่า หรืออ่านของเขามา แม่จะยังไม่พ้นทุกข์ แต่มันไม่คลอนแคลนเปลี่ยนกลับไปกลับมาแล้ว..
....เราต้องช่วยกันพูดแต่ธรรมมะแท้ พูดในเรื่องที่เป็นแก่น มั่นคงต่อการเรียนรู้เรื่องทุกข์ และการปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ อย่างอื่นๆทีฟังอยู่ทุกที่ทุกวันฝังแล้วมันเฝือ อย่างนี้ แค่โพสต์นี้ของท่านก็พอแล้ว...นี่แหละทาง..ขออนุโมทนาอย่างจริงใจ และขอบคุณแทนผู้ต้องการตามหาแก่นธรรมทุกท่าน...วันนี้พูดมากอีกแล้ว/เจโตวิมุติ...

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/