ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

เร่งความเพียร (ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=29058
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลูกโป่ง [ 28 ม.ค. 2010, 14:24 ]
หัวข้อกระทู้:  เร่งความเพียร (ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน)

รูปภาพ

ท่านอาจารย์ส่งเสริม และให้กำลังใจแก่ศิษย์ผู้ปฏิบัติธรรม
ให้เอาความเพียรชนะความเกียจคร้านอ่อนแอ ท่านสอนไว้ว่า


"...ความขี้เกียจขี้คร้านอ่อนแอ เหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลจงพากันทราบไว้
ความมักง่าย ความโยกคลอนเอนเอียง มีแต่กิเลสตบต่อยให้เอนให้เอียง
ให้ล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้น ไม่ใช่ธรรมเป็นผู้พาให้เป็นเช่นนั้น


จงพากันทราบว่าเวลานี้ กิเลสกำลังทำงานในตัวเราอย่างออกหน้าออกตา
ซึ่ง ๆ หน้านักปฏิบัติ คือเราแต่ละราย ๆ จงทราบไว้เสียแต่บัดนี้
อย่าเข้าใจว่ากิเลสไม่ได้ทำงานบนหัวใจเรา
ในขณะที่กำลังประกอบความเพียรจะฆ่ามัน
ในขณะเดียวกันนั้นกิเลสก็ฆ่าธรรม และฆ่าตัวเราไปด้วยในตัวโดยไม่รู้สึก


อุบายของธรรมที่จะให้ทราบกลอุบายของกิเลส จึงต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่ง
ในขั้นเริ่มแรกสำคัญมาก
เพราะงานยังไม่เคยเห็นผลพอจะเพิ่มกำลังใจให้เข้มแข็งในความเพียร
อย่าหวง อย่าห่วง อย่าเสียดาย กิเลสไม่ได้ให้สารคุณอันใดแก่เรา


ความขี้เกียจความอ่อนแอไม่ให้สารประโยชน์อันใด
เราเคยขี้เกียจเคยอ่อนแอมามากและนานเพียงไรแล้ว
จงเอามาบวกลบคูณหารกันเพื่อทดสอบผลได้ผลเสียของตัวกับกิเลส
นักปฏิบัติไม่คิดไม่เทียบเคียงเหตุผลต้นปลายให้รู้ดีรู้ชั่ว รู้หนักรู้เบา
ในสิ่งเหล่านี้แล้วจะดำเนินธรรมเพื่อความสงบเย็นใจไปไม่ได้


จึงควรคิดแต่บัดนี้ อย่าให้เสียเวล่ำเวลาตายเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์
ผ้าเหลืองอยู่ที่ไหนก็มี ตลาดร้านค้า ยิ่งไม่อด นั้นเป็นเครื่องหมายของเพศนักบวช
ไม่ใช่เป็นผู้ฆ่ากิเลส นอกจากความเพียรของเราเอง
จงเป็นผู้หนักแน่นในความพากเพียร เพื่อหักกงกรรมของวัฏจักร
ให้ขาดสะบั้นลงจากใจจะหายห่วง


เราได้ดำเนินมาเต็มสติกำลังความสามารถแล้ว
จึงกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า ไม่มีงานใดที่จะลำบากยากเย็นเข็ญใจถึงเป็นถึงตาย
ยิ่งกว่างานต่อสู้กับกิเลสเพื่อชัยชนะ งานนี้เป็นงานที่หนักมากสำหรับเราผู้เป็นคนหยาบ


แต่ใครจะหยาบก็ตาม ละเอียดก็ตามพึงทราบว่า
ความขี้เกียจความมักง่ายอ่อนแอไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่ทางแก้กิเลส
อย่าหวงเอาไว้ มันเป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ เพื่อพอกพูนทุกข์ไม่สงสัย


ใครจะหยาบละเอียดแค่ไหน นิสัยวาสนามีมากมีน้อยเพียงไร
จงยกตนให้เหนือกิเลสประเภทต่าง ๆ ด้วยความเพียร
จะจัดว่าเป็นผู้มีวาสนาบารมีเต็มหัวใจด้วยกัน


หากไม่มีความเพียรเป็นเครื่องแก้อย่างไร
ก็นอนกอดวาสนาที่เต็มไปด้วย กิเลสตัวหยิ่ง ๆ อยู่นั่นแล
บางก็ฟาดมันลงไปให้แหลกละเอียด หนาก็ฟาดมันลงไปให้แหลกเหมือนกันหมด
จะสมนามว่าเป็นนักรบนักปฏบัติเพื่อกำจัดสิ่งที่เป็นข้าศึกออกจากใจโดยแท้..."

(เข้าสู่แดนนิพพาน หน้า ๒๒๖-๒๒๗)


ภาวนาตลอดรุ่ง

"...ในพรรษานั้นผมไม่นอนกลางวันนะ กลางวันผมไม่จำวัดเลย
นอกจากคืนไหนผมนั่งตลอดรุ่ง ผมก็พักนอนกลางวัน
ถ้าธรรมดาแล้วเป็นไม่พักให้เลย
ปีนั้นหรือพรรษานั้นความเพียรหักโหมที่สุดในชีวิตของเราที่เป็นนักบวช
ก็เป็นพรรษาที่สิบ นั่นหักโหมมากทีเดียวเกี่ยวกับร่างกายหักโหม จิตหักโหมมากพอ ๆ กัน..."

(เข้าสู่แดนอวกาศของจิตของธรรม หน้า ๒๗๕-๒๗๖)


"...ตอนต่อสู้กับเวทนานั้นบังคับมันทุกด้าน หักโหมร่างกาย
นั่งฉันกังหันตอนเช้าได้นั่งพับเพียบ ขออภัย ก้นเหมือนกับพองไปหมด
นั่งขัดสมาธิไม่ได้ คือตอนนั้นตอนเราไม่ฝืนไม่บังคับ ปล่อยธรรมดาจึงนั่งไม่ได้


ตอนนั้นเราไม่ตั้งใจจะทนกับมันจะสู้กับมัน เราจะสู้กับรสอาหารต่างหาก
เราจะขึ้นสู้รสอาหารต่างหาก เราไม่ทนกับมัน จึงต้องนั่งพับเพียบฉันจังหัน
นี่หมายถึงวันที่หักโหมกันเต็มที่จิตลงไม่ได้ง่าย มันแพ้ทางร่างกายมาก
แต่ถ้าวันไหนที่พิจารณาติดปั๊บ ๆ เกาะติดปั๊บ ๆ อย่างงั้นมันก็ธรรมดา


นั่งตลอดรุ่งเวลาเท่ากันก็ตาม ไม่มีอะไรชอกช้ำภายในร่างกายเลย
พอลุกขึ้นก็ไปเลยธรรมดา ๆ เหมือนเรานั่งสามสี่ชั่วโมงเป็นประจำตามความเคยชิน


เพราะตามธรรมดาผมนั่งภาวนา ๓ - ๔ ชั่วโมงถือเป็นธรรมดานะ
นั่งตามอัธยาศัยต้อง ๓ - ๔ ชั่วโมง ถ้ามีเวลาน้อยเช่นกลางวันก็นั่งราว ๑ - ๒ ชั่วโมง
เช่นหน้าหนาวกลางวันมีน้อย กลางคืนมีมาก และลงเดินจงกรมไม่ได้
กลางคืนหน้าหนาวตัวมันแข็งไปหมดจะเดินได้ยังไง


นี่แหละเราต้องสงวนเวลาไว้สำหรับเดินให้มาก นั่งภาวนากลางวันเพียงชั่วโมงเดียว
จากนั้นก็เดินจงกรมจงกระทั่งถึงเวลาปัดกวาด พอปัดกวาดเสร็จเรียบร้อย
แล้วก็ไปอาบน้ำในคลองในอะไรก็แล้วแต่


เพราะเราไปอยู่ในที่ต่าง ๆ บางทีตามซอกหินซอกผาอะไรก็แล้วแต่
ในห้วยในคลองที่ไหนพออาบก็อาบ ที่นี่เดินจงกรมอีกแล้ว
จนกระทั่งเย็น หนาวเข้า ๆ ก็เข้าที่พัก ออกเดินไม่ได้เพราะหนาวมาก
ที่นี่นั่งนานนะ มันจึงเหนื่อย


กลางวันพอฉันจังหันเสร็จแล้ว ล้างบาตรล้างอะไร
เช็ดบาตรเรียบร้อยแล้วไม่เข้าถลกแหละ เอาไปวางไว้ปุ๊บ แล้วเข้าทางจงกรมเลย
ฟัดมันจนโน้น ๑๑ โมงเป็นอย่างน้อย หรือเที่ยงวันออกจากทางจงกรมก็พัก
ออกจากพักก็นั่งภาวนาราวชั่วโมงก็ลงเดินจงกรมอีกแล้ว อย่างนั้นเป็นประจำ


ถ้าวันไหนร่างกายมันบอบช้ำมากจิตลงได้ยาก วันนั้นแหละได้นั่งพับเพียบ
นั่งพับเพียบฉันจังหัน มันเหมือนไฟเผาอยู่ก้น บางทีได้เอามือคลำดู
ก้นพองหรือ คลำดูก็ไม่พอง นี่หมายถึงเริ่มแรกนั่งตลอดรุ่ง
พอนั่งหลายคืนไป ก้นก็พองและแตกเลอะไปหมด
กระดูกทุกส่วนเหมือนจะแตก กลางวันก็ตามมันเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด
ไม่ใช่เฉพาะเวลาเรานั่งภาวนาจึงปวดกระดูกตามร่างกายส่วนต่าง ๆ
เหมือนมันจะแตกจะหัก เพราะมันบอบช้ำมาตั้งแต่กลางคืน
ฉะนั้น จึงต้องเดินให้มากทีเดียวในเวลากลางวันหรือกลางคืนที่ไม่ได้นั่งตลอดรุ่ง..."

(เข้าสู่แดนอวกาศของจิตของธรรม หน้า ๒๗๖ - ๒๗๗)


สำหรับผู้ที่ยังตั้งหลักไม่ได้

ท่านอาจารย์ยังมีเมตตาสอนผู้ที่ยังตั้งหลักตั้งฐานเบื้องต้นไม่ได้ไว้ดังนี้

"...ถ้าจับจุดของความรู้ไม่ได้ ก็อย่าลืมคำบริกรรมภาวนา
ไปที่ไหนอยู่ในท่าอิริยาบถใดคำบริกรรมให้ติดแนบกับจิต
ให้จิตเกาะอยู่กับคำบริกรรมภาวนานั้นเสมอ เช่น พุทฺโธ ก็ตาม อฏฺฐิ ก็ตาม
เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ


บทใดก็ตาม ให้จิตติดอยู่กับบทนั้น ไม่ให้จิตไปทำงานอื่น
ถ้าปล่อยนี้เสียจิตก็เถลไถลไปทำงานอื่นซึ่งเป็นเรื่องของกิเลส
ไม่ใช่เรื่องของธรรมที่เป็นความมุ่งหมายของเรา
บทธรรมที่เราตั้งขึ้นมานั้น เพื่อให้จิตเกาะอยู่กับคำบริกรรมนั้น ๆ


ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมที่เราเป็นผู้กำหนดเอง
อาศัยธรรมบทต่าง ๆ เป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะของจิต
ขณะทำลงไปก็เป็นธรรม จิตใจก็สงบ นี่แลหลักการปฏิบัติที่จะทำให้จิตสงบเยือกเย็นได้
โดยลำดับของนักภาวนาทั้งหลาย


การที่จะตั้งหลักตั้งฐานเบื้องต้นนี้ลำบากมากเหมือนกัน
แม้ลำบากแค่ไหนก็อย่าถือเป็นอารมณ์
จะเป็นอุปสรรคแก่การดำเนินเพื่อมรรคเพื่อผลที่ตนต้องการจงถือความเพียร
เพื่อความพ้นทุกข์นี้เป็นธรรมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเพิ่มพูนให้มาก


สติ ซึ่งเป็นธรรมสำคัญจะต้องเพิ่มพูนให้มาก เพื่อความเหนียวแน่นมั่งคง
เพื่อความสืบต่อแห่งความระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ


ปัญญา ในโอกาสที่ควรพิจารณา
ก็ควรพิจารณาแยกแยะทั้งภายนอกทั้งภายในเทียบเคียงกัน
มรรคนั้นเป็นได้ทั้งภายนอกทั้งภายใน
ปัญญาเป็นได้ทั้งภายนอกภายในถ้าทำให้เป็นปัญญาที่เรียกว่า มรรค


เราจะพิจารณาเรื่องใด เรื่อง อนิจฺจํ เอาภายนอกมาพิจารณาเทียบกับภายในก็ได้
จะพิจารณาภายในเทียบกับภายนอกมันก็เป็นอันเดียวกันนั้นแหละ
ไม่ได้ผิดแปลกอะไร เรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา


อสุภะอสุภังของปฏิกูลโสโครก มันมีเต็มไปหมดทั้งภายนอกภายใน
รูปสัตว์ รูปบุคคล หญิงชาย จะพิจารณาแยกแยะอย่างไร
ให้เป็นอุบายวิธีของเราในการพิจารณา


แต่ในเวลาต้องการความสงบ ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำความสงบ
ด้วยคำบริกรรมบทใดหรืออานาปานสติ ได้ตามแต่จริตนิสัยชอบ
แต่ให้มีสติสืบเนื่องอยู่เสมอ ความรู้จะได้สืบต่อกันกับงาน


เมื่อความรู้สืบต่อกัน จิตใจไม่มีเวลาส่ายแส่ไปภายนอกแล้ว
จิตก็รวมตัวเข้ามา ๆ กระแสจิตทั้งหมดรวมเข้ามาเป็นตัวของตัวกลายเป็นจุดแห่งความสงบ


เมื่อจุดปรากฏเด่นขึ้นมาที่ใจเรียกว่า ใจเริ่มสงบ
ความคิดปรุงก็เบาบางลงไป ๆ กระทั่งความคิดปรุงในคำบริกรรมก็ค่อยเบาลงไป ๆ
กลายเป็นความรู้ที่เด่นขึ้นมา จะบริกรรมหรือไม่บริกรรม


ความรู้ก็เป็นความรู้อยู่อย่างนั้น ที่เรียกว่าจิตรวมตัวเข้าเป็นตัวของตัวแล้ว
ก็อยู่กับตรงนั้นเสีย คำบริกรรมก็ปล่อยวางกันในขณะนั้น นี่คือจิตสงบ
ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำให้เกิดผลตามที่กล่าวมา..."

(เข้าสู่แดนอวกาศของจิตของธรรม หน้า๑๒๒ - ๑๒๓)


"...ให้ขยันเดินจงกรม กี่ชั่วโมงก็เอ้าเดินไป ให้มันเห็นความลำบากในการเดิน
ให้เห็นความเหน็ดเหนื่อยในการเดินจงกรมเช่นเดียวกับเขาทำงานทางโลก
เราทำงานทางธรรมก็ให้เห็นความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในการประกอบความพากเพียรของเรา


เช่น นั่งนานเป็นยังไง ต้องเจ็บปวดแสบร้อน ดีไม่ดีก็ล้มทั้งหงายเป็นไรไป
เพราะสิ่งเหล่านี้ได้เคยบำเพ็ญมาแล้ว ก่อนที่จะมาเทศนาว่า
การแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนตามสติกำลังนี้ได้บำเพ็ญมาแล้วทั้งนั้น


นั่งสมาธิก็เหมือนกัน ฟาดมันลงไป สมาธิเวลานั่งมาก ๆ
นี้สำคัญมักจะมีเวทนาให้เป็นเครื่องพิจารณา งานอื่น ๆ ต้องได้ปล่อยทิ้งหมด
รวมตัวเข้าสู่ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นในร่างกายจุดต่าง ๆ จุดไหนที่เด่นกว่าเพื่อน
ถือจุดนั้นเป็นสนามรบ สติปัญญาหยั่งลงไปที่นั่น


ออกมาบวชแล้วมีเราเท่านั้น เป็นกับตายก็เรา สุขกับทุกข์ก็เรา
จะฉุดลากตนได้มากน้อยเพียงไร ก็เป็นกำลังวังชา สติปัญญาของเรานี้เท่านั้น
ไม่มีสิ่งใดที่จะมาช่วยปลดช่วยเปลื้องเราให้หลุดพ้นไปได้
เป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ คือใคร คือเรา พึ่งเรานี้แล
ให้ประกอบความพากเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่าได้ลดละถอยหลัง..."

(ความลึกลับซับซ้อนของจิตวิญญาณ หน้า ๒๙๔ - ๒๙๕)


มีสมาธิใช้ปัญญา

ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า หลังจากที่ท่านอาจารย์โหมความเพียรในพรรษาที่๑๐
จนจิตได้เจริญขึ้นเรื่อย ๆ สมาธิของท่านมีความแน่นหนามั่งคง
แต่ท่านก็ติดสมาธินี้อยู่ถึง ๕ ปีเต็ม ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ปัญญา
จนกระทั่งหลวงปู่มั่นได้ไล่ให้ออกจากสมาธิ
ท่านจึงมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมยิ่งขึ้นไปอีก
ดังจะเห็นได้จากเทศน์ของท่านที่ได้รวบรวมมา


ในเทศน์ของท่านอาจารย์ที่อ่านในหนังสือต่าง ๆ จึงพบว่า
ท่านสอนและเตือนบรรดาศิษย์อยู่เสมอให้ระวังว่าจะติดสมาธิจนกระทั่งวันตาย


ติดสมาธิ

"...เพราะสมาธินี้เป็นความสุขที่พอจะให้ติดได้ถึงติดได้คนเรา
ความสุขในสมาธิก็พออยู่แล้ว จิตใจไม่ฟุ้งซ่านรำคาญ
พอจิตหยั่งเข้าสู่ความรู้อันเดียวแน่วอยู่อย่างนั้น ไม่อยากออกยุ่งกับอะไรเลย
ตาไม่อยากดู หูไม่อยากฟัง มันเป็นการยุ่งกวน รบกวนจิตใจของเราให้กระเพื่อมเปล่า ๆ


เมื่อจิตได้แน่วแน่อยู่ในสมาธินั้น อยู่สักกี่ชั่วโมงก็อยู่ได้
นี่ละมันติดได้อย่างนี้เอง
สุดท้ายก็นึกว่าความรู้ที่เด่น ๆ อยู่นี้เองจะเป็นนิพพาน
อันนี้จะเป็นนิพพาน จ่อกันอยู่นั้นว่าจะเป็นนิพพาน ๆ


สุดท้ายมันก็เป็นสมาธิอยู่อย่างนั้นละจนกระทั่งวันตาย
ก็จะต้องเป็นสมาธิและติดสมาธิจนกระทั่งวันตาย
ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์มาฉุดมาลาก
ผมเองก็คือหลวงปู่มั่นมาฉุดมาลาก เถียงกันหน้าดำตาแดง


จนกระทั่ง พระทั้งวัดแตกฮือกันมาเต็มอยู่ใต้ถุน
นี่เพราะฟังการโต้กับหลวงปู่มั่น ไม่ใช่โต้ด้วยทิฐิมานะอวดรู้อวดฉลาดนะ
โต้ด้วยความที่เราก็เข้าใจว่าจริงอันหนึ่งของเรา ท่านก็จริงอันหนึ่งของท่าน
สุดท้ายก็หัวเราแตกเพราะท่านรู้นี่


เราพูดทั้ง ๆ ที่กิเลสเต็มหัวใจ แต่เข้าใจว่าสมาธินี่มันจะเป็นนิพพาน
แต่เข้าใจว่าสมาธินี่มันจะเป็นนิพพาน แล้วสุดท้ายท่านก็ไล่ออกมา..."

(ความลึกลับซับซ้อนของจิตวิญญาณ หน้า ๓๔๑)


สุขในสมาธิเหมือนเนื้อติดฟัน

"...ทีแรกไปหาท่านเมื่อไร ท่านถามว่า 'สบายดีเหรอ สงบดีเหรอ'
'สงบดีอยู่' เราก็ว่าอย่างนี้ ท่านก็ไม่ว่าอะไร พอนานเข้า ๆ ก็อย่างว่านั่นแหละ
'เป็นยังไง ท่านมหาสบายดีเหรอใจ' สบายดีอยู่ สงบดีอยู่' 'ท่านจะนอนตายอยู่นั้นเหรอ'


ฟังซิ ทีนี้ขึ้นละนะพลิกเปลี่ยนไปหมดสีหน้าสีตาอะไร
แสดงท่าทางออกหมดแล้วนะนี่ จะเอาเต็มที่ละจะเขกเต็มที่ละ
'ท่านจะนอนตายอยู่นั้นเหรอ' ท่านว่า 'ท่านรู้ไหมสุขในสมาธิเหมือนกับเนื้อติดฟัน
ท่านรู้ไหม สมาธิก็เหมือนกับเนื้อติดฟันนั้นแหละ มันสุขขนาดไหน
เนื้อติดฟัน ท่านรู้ไหม ๆ' นี้เราไม่ลืมนะ จากนั้นมา
'ท่านรู้ไหมว่า สมาธิทั้งแท่งนั้นละคือตัวสมุทัยทั้งแท่ง ท่านรู้ไหม ' นั่น


ตรงนี้มันก็ต่อยกับท่านอีก ดูซิ 'ถ้าหากสมาธิเป็นตัวสมุทัยแล้ว สัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน'
นั่นเอาซิโต้ท่าน 'มันก็ไม่ใช่สมาธิตายนอนตายอยู่อย่างนี้ซิ
สมาธิของพระพุทธเจ้าสมาธิต้องรู้สมาธิ ปัญญาต้องรู้ปัญญา
อันนี้มันเอาสมาธิเป็นนิพพานเลย มันบ้าสมาธินี่' นั่นเห็นไหมท่านใส่เข้าไป
'สมาธินอนตายอยู่นี้เหรอเป็นสัมมาสมาธิน่ะ เอ้า ๆ พูดออกมาซิ' มันก็ยอมละซิ


พอออกจากท่านไปแล้ว โห นี่เราไปเก่งมาจากทวีปไหนนี่
เรามอบกายถวายตัวต่อท่านเพื่อศึกษาอรรถศึกษาธรรมหาความจริง
ทำไมวันนี้จึงมาโต้กันกับท่าน ยิ่งกว่ามวยแชมเปี้ยนเขานี่ มันเป็นยังไง


เรานี้มันไม่เกินครูเกินอาจารย์ไปแล้วเหรอ
และท่านพูดนั้นท่านพูดด้วยความหลงหรือใครเป็นหลงล่ะ
เอาละที่นี่ย้อนเข้ามาหาตัวเอง ถ้าไม่ตั้งประพฤติปฏิบัติตามที่ท่านสอนนี้
มาหาท่านทำไม ถ้าว่าเราวิเศษวิโสแล้วทำไมเราจึงต้องมาหาครูอาจารย์ที่ตนว่าไม่วิเศษล่ะ
แต่เราก็ไม่เคยดูถูกท่านแหละ นี่หมายความว่าตีเจ้าของ ย้อนขึ้นมาเข่นเจ้าของ..."

(ความลึกลับซับซ้อนของจิตวิญญาณ หน้า๓๔๒-๓๔๓)


หลงสังขาร

"...พอปัญญาก้าวแล้วก็ยังกลับไปสู้กับท่านอีกนะ
คือเวลามันออกทางด้านปัญญานี้เอาอีกแล้ว กลางคืนไม่ได้นอน
บางคืน ๒ คืน ๓ คืน มันไม่ยอมนอน กลางวันยังไม่ยอมนอนอีก
เอ้ากูนี่จะตายละนะ ว่าเจ้าของกูนี่มันจะตายละนะ มันยังไงนี่


บทเวลานอนอยู่ในสมาธิมันก็อยู่อย่างนั้น ทีนี้เวลาออกก็ออกอย่างนี้ทำไงนี่
แล้วก็ขึ้นไปหาท่านอีก นี่พ่อแม่ครูอาจารย์ว่าให้ออกทางด้านปัญญา
เวลานี้มันออกแล้วนะ ถึงขนาดที่ว่าไม่ได้นอน ๒ - ๓ คืนแล้วนี่นะ กลางวันมันยังไม่นอนอีก


'นั่นละ มันหลงสังขาร' 'ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้นี่น่า'
'นั่นละบ้าสังขาร บ้าหลงสังขาร แล้วก็เอาใหญ่เลย'
พอคราวนี้หมอบเลยนะ งูเห่าค่อยหมอบลง
ทีนี้ มันอาจจะถูกอย่างที่ท่านว่านั่นแหละ เรานึกในใจนะ ทีนี้ก็นิ่ง


พอออกไปก็ ถึงอย่างนั้นก็ตามเถอะ มันก็หมุนติ้ว ๆ ของมันเหมือนกัน
แต่บทเวลามันจะตายจริง ๆ ก็เข้าสมาธิด้วยการบังคับนะ
ถ้าธรรมดาแล้วมันจะไม่ยอมเข้าเพราะเห็นว่าไม่ได้งานมันไม่พอดีนะ
เห็นว่าสมาธินี่นอนตายอยู่เฉย ๆ มันไม่เห็นได้ผลได้ประโยชน์อะไร
นอนตายอยู่เฉย ๆ สมาธิ ปัญญาต่างหากได้ผล ว่างั้น


ทีนี้ก็จะเอาปัญญาแบบไม่หยุดอีกแหละ ว่าการทำงานได้งาน
การพักไม่ได้งานก็ไม่พัก... จะทำแต่งาน ก็จะตายอีกเหมือนกัน
ทีนี้เวลามันเต็มที่เต็มฐานแล้วจะไปไม่รอดเพราะมันอ่อนไปหมดสกนธ์กาย
การทำงานด้วยปัญญา การคิดด้วยปัญญาเป็นอัตโนมัติก็ตาม


แต่ก็เป็นงานของจิตควรที่จะได้พัก เห็นว่ามันหนักเกินไปแล้วก็บังคับ
ถึงขนาดที่ได้บริกรรมนะ พุทโธ ๆ ถี่ยิบไม่ยอมให้ออก
คือออกจะทำงานไม่ใช่ออกฟุ้งซ่านรำคาญไปที่ไหนนะ
ออกจะออกไปหางานที่ทำยังไม่เสร็จ
บังคับไว้ ๆ จนกระทั่งถึงสุดท้ายจิตก็ลงแน่ว เงียบเลย
และปรากฏว่ากำลังวังชานี้ โอ้โหเพิ่มขึ้นมา ทีนี้เลยพูดไม่ถูกนะ


เมื่อใจมีกำลังในการพักสมาธิแล้ว พอถอนเท่านั้นละโดดผึงใส่งานไปเลย
ทีนี้เหมือนกับว่าเราได้พักผ่อนนอนหลับแล้ว
นี่พูดถึงการงานนะ หรือได้รับประทานอาหารมีกำลังวังชาแล้วทำงานทำการ
งานชิ้นนั้นแหละแต่มันเสร็จได้อย่างรวดเร็ว


นี้ก็เหมือนกันไม้ท่อนนั้นแหละ ปัญญาอันนี้แหละ
ฟันลงไปมันขาดสะบั้นลงไปเลย เพราะปัญญาได้พักตัว
แต่ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ มันไม่อยากจะพักนะ ต้องฝืนเอาเฉย ๆ
แม้ระลึกถึงคำของท่านพูด มันหลงสังขารนั้นอยู่เสมอ
แต่อำนาจแห่งการเพลินในการพิจารณานี้ มีกำลังมากกว่ามันถึงไม่ยอมพักง่าย ๆ..."


(ความลึกลับซับซ้อนของจิตวิญญาณ หน้า ๓๔๓ - ๓๔๔)


กรรมฐาน ๔๐ เป็นได้ทั้งอารมณ์แห่งสมถะและวิปัสสนา

"...ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ดี หรือนับตั้งแต่พระสาวกทั้งหลายลงมาก็ดี
ท่านหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งกรรมฐาน ๔๐ นี้ทั้งนั้นแหละ
กรรมฐาน ๔๐ นี้แลเป็นธรรมที่สร้างจิตท่านให้มีความสงบร่มเย็น
ต่อจากนั้นไปก็สร้างทางด้านปัญญาให้รู้แจ้งแทงทะลุไป


ไม่พ้นจากกรรมฐานที่กล่าวมาเหล่านี้เลย
เพราะกรรมฐาน ๔๐ นี้ไม่ใช่จะเป็นอารมณ์แห่งสมถะอย่างเดียว
ยังเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาได้ด้วย
เมื่อจิตควรแก่วิปัสสนาแล้วจะเป็นวิปัสสนาได้โดยไม่ต้องสงสัย


ในขณะที่จิตยังไม่เป็นปัญญา จิตยังไม่เป็นวิปัสสนา
ก็เอาธรรมเหล่านี้แลมาอบรมจิตใจด้วยความเป็นสมถะ คือเพื่อความเป็นสมถะ
ได้แก่ความสงบของใจ พอจิตก้าวเข้าสู่ปัญญาแล้ว
ธรรมที่เคยเป็นอารมณ์แห่งสมถะนี้แล
จะแปรสภาพเป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนาไปได้โดยไม่ต้องสงสัย นี่ละหลักใหญ่อยู่ตรงนี้..."


เร่งความเพียร
ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 006978
- โดยคุณ : mayrin [ 5 พ.ย. 2545 ]
(ความลึกลับซับซ้อนของจิตวิญญาณ หน้า ๕๑)


คัดลอกจาก: หลักของใจ
รวบรวมจากเทศน์ของท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
ด้วยจิตกราบบูชา
จากคุณ : mayrin [ 5 พ.ย. 2545 ]


http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... bua_16.htm

:b48: :b8: :b48:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/