วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 04:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 17:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลงเปลือกลืมแก่น
ดร.สนอง วรอุไร
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

23.24 ตุลาคม 2527

วิทยาศาสตร์คืออะไร ? วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีเหตุมีผล เป็นศาสตร์แห่งความจริงที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ สามารถกำหนดวิธีการทดลองเป็นขั้นตอน ซึ่งเมื่อผู้อื่นนำไปปฏิบัติตามแล้ว ได้ผลปรากฏออกมาดังที่ได้ค้นพบและรายงานไว้เป็นหลักฐาน ผู้มีทักษะและยึดอาชีพครูวิทยาศาสตร์ไม่ว่าแขนงใด ท่านเคยให้นักเรียนทำการทดลองในห้องปฏิบัติการตามวิธีการที่กำหนดให้ และเคยพบไหมว่า ผลการทดลองที่ถูกต้องมิได้เกิดกับผู้ทำการทดลองทุกคน ทั้ง ๆ ที่ใช้อุปกรณ์ วิธีการ สถานที่เหมือนกัน ช่วงเวลาเดียวกัน บางคนทดลองแล้วได้ผลต่างไปจากที่ควรเป็น นั่นหมายความว่า มีการทำผิดพลาดเกิดขึ้น ต้องค้นหาข้อผิดพลาด ถ้าพบเหตุแล้วปรับแก้ไขทดลองใหม่ได้ผลถูกต้อง นั่นเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พึงกระทำ การทดลองผิดพลาดเกิดขึ้นกับนักวิทยาศาสตร์อยู่เสมอ ทดลองเรื่องง่าย แก้ไขให้ถูกต้องได้ง่าย ทดลองเรื่องยาก แก้ไขให้ถูกต้องได้ยาก การทดลองผิดทดลองถูกมีเกิดมาทุกยุคสมัย เป็นสัจธรรมเป็นความจริงในทางวิทยาศาสตร์

ชีววิทยาคืออะไร ? ชีวะ หมายถึง ชีวิต ชีวิตเกิดขึ้นเฉพาะในสิ่งมีชีวิต วิทยาหมายถึงวิชาหรือความรู้ ชีววิทยาจึงเป็นวิชาที่ว่าด้วยชีวิต หรือความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต ซึ่งได้แก่ พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ ดูเฉพาะสองกลุ่มใหญ่ที่เป็นพืชและสัตว์ มีบางสิ่งบางอย่างแตกต่างกันเห็นได้ชัด พืชเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ เวลาขาดน้ำจะแสดงอาการเหี่ยวแต่เดินไปดื่มน้ำเองไม่ได้ จะขอน้ำดื่มก็พูดไม่ได้ เอาไม้ไปตี เอามีดไปริดกิ่ง ตัดต้น ไม่รู้สึกเจ็บปวด ส่วนกลุ่มที่เป็นสัตว์ อันมีมนุษย์รวมอยู่ด้วยนั้น เดินได้ พูดได้ ร้องได้ รู้ร้อน รู้หนาว รู้เจ็บปวด เมื่อสัมผัสกับสิ่งไม่พึงปรารถนา สามารถเคลื่อนหนีออกไปให้ห่างไกลได้

ถามว่า อะไรเป็นเหตุให้เกิดความแตกต่างระหว่างพืชและสัตว์ ? นักวิทยาศาสตร์ต้องสามารถย้อนรอยจากผลไปสู่ต้นเหตุได้ พิจารณาดูสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว เช่น นกตกจากต้นไม้ลงมาตายต่อหน้าเรา ไม่ไหวติง ไม่ตกใจบินหนี ไม่ร้องกลัวหรือแสดงอาการโต้ตอบใด ๆ มีแต่รอเวลาเน่าเปื่อยผุพังและสลายไปในที่สุด อาการที่เป็นอย่างนี้คงมีอะไรสักอย่างหายไป และสิ่งที่หายไปนั่นแหละทำให้นกตาย ต่างจากนกเป็น ดูที่ขน ขา นิ้ว หัว ตัว คอ ตา จมูก ปาก อยู่ครบเหมือนเมื่อตอนก่อนตาย ดังนั้นสิ่งที่หายไปจึงเป็นเหตุให้เกิดความแตกต่างดังกล่าว

ลองสังเกตอีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ขณะที่เพื่อนของท่านนอนหลับสนิท ท่านลองบอกให้เขาคิดโจทย์เลข สองบวกสองเป็นเท่าไร ? แล้วดูว่าเขาแสดงอาการอะไรให้ปรากฏบ้าง เมื่อเขาตื่นขึ้นมาถามเขาดูว่า ได้ยินที่ฉันพูดกับเธอขณะหลับหรือเปล่า เขาจะไม่รู้อะไรเลย ขณะหลับเขายังคงมีหู แต่ทำไมเขาไม่ได้ยิน สมองของเขายังมีอยู่ แต่ทำไมเขาไม่คิดโจทย์เลขที่เราบอกให้ อะไรเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างคนนอนหลับกับคนตื่น สิ่งที่หายไปในขณะหลับนั่นแหละเป็นเหตุให้เกิดความแตกต่าง สิ่งที่หายไปในสองกรณีที่ยกเป็นตัวอย่างนั้นคือ จิต นกตายเพราะจิตออกหรือหายไปจากตัวนก คนหลับเพราะจิตตกภวังค์หรือจิตพักการทำงาน ร่างกายจึงไม่รับรู้สิ่งที่ทดลองนั้น ในขณะที่จิตยังอยู่กับร่างกายและยังไม่หยุดทำงาน ทั้งนกและคนต่างเคลื่อนที่ได้ ร้องได้ ตกใจได้ ในทางวิทยาศาสตร์ การเคลื่อนที่ การเคลื่อนไหว การทำให้เกิดเสียงใด ๆ เกิดขึ้นได้เพราะมีพลังงานเช่นเดียวกัน จิตเป็นกลุ่มพลังงานชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ เป็นพลังงานที่อยู่นอกเหนือการดักจับ หรือวัดได้ด้วยเครื่องมือ วัตถุใด ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ได้ประดิษฐ์ขึ้นใช้ในปัจจุบัน

การเปิดสวิทซ์ให้กระแสไฟฟ้าเข้ามอเตอร์ทำให้พัดลมหมุนได้ เมื่อปิดสวิทซ์พัดลมหยุดหมุน ปิดนานห้านาทีก็หยุดหมุนห้านาที ปิดนานหนึ่งวันก็หยุดหมุนหนึ่งวัน เช่นเดียวกันเมื่อสวิทซ์ของพลังงานจิตถูกเปิด นกและคนร้องได้ เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ เมื่อปิดสวิทซ์ นกและคนร้องไม่ได้ เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนไม่ได้และไม่แสดงอาการโต้ตอบใด ๆ ในสภาพนี้เรียกว่าจิตอยู่ในภวังค์ พลังงานจิตไม่ทำงาน ร่างกายจะอยู่ในอาการหลับ เช่น การหลับเป็นชั่วโมงเป็นวันของคน หรือการหลับนานหลายเดือนของตัวแมมมอธในฤดูหนาว

พลังงานแวดล้อมเมื่อกระทบพลังงานจิต จะมีการจับ-ปล่อยซึ่งกันและกัน การจับ-ปล่อย มีช่วงเวลาสั่นเป็นเสี้ยววินาที หรือยาวนานจนไม่สามารถวัดได้ พลังงานแวดล้อมมีผลกระทบต่อคุณภาพของพลังงานจิต เมื่อพลังงานจิตทำงานจะกระทบต่อเนื่องไปถึงพฤติกรรมของคนและสัตว์ที่สามารถวัดได้ เช่น ทดลองนำสัตว์เลือดอุ่นที่มีพฤติกรรมหลับนานในฤดูหนาว มาปลุกให้ตื่น โดยใส่ไว้ในตู้ทดลองที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น สัตว์ดังกล่าวจะไม่สามารถหลับได้อีกต่อไป ต้องออกมาดำรงชีวิตตามปกติ ทั้งนี้ เพราะพลังงานแวดล้อมในตู้ปรับอุณหภูมิไปกระทบพลังงานร่างกาย และสุดท้ายที่พลังงานจิต ทำให้คุณภาพของพลังงานจิตเปลี่ยนไป ในธรรมชาติพลังงานแวดล้อมมีการผันแปรอยู่ตลอดเวลา เพื่อปรับพลังงานเข้าสู่สมดุล เดือนมืด-เดือนสว่าง ข้างขึ้น-ข้างแรม น้ำขึ้น-น้ำลง เกิดได้เพราะพลังงานปรับสมดุล ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงพลังงานจิตของคนและสัตว์ ทำให้พลังงานจิตเปลี่ยนไปมีคุณภาพแบบต่าง ๆ ตามช่วงเวลาของการปรับสมดุลของพลังงานธรรมชาติ พลังงานจิตที่มีคุณภาพแบบต่าง ๆ นี้ ทำให้เกิดพฤติกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ที่วัดได้ตามมา ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์บางคน สามารถรวบรวมข้อมูลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของพลังงานธรรมชาติแล้วไปมีผลกระทบถึงพฤติกรรมของคนและสัตว์ จัดทำเป็นสถิติขึ้นใช้พยากรณ์ ที่หมอดูพูดว่าชีวิตมนุษย์เป็นไปตามดวง ชีวิตสัตว์ก็เป็นไปตามดวงเช่นกัน ทั้งนี้เพราะคนและสัตว์ต่างมีจิตเป็นตัวคุมพฤติกรรมด้วยกัน

ดวงคืออะไร ? ดวงเป็นผลรวมเบ็ดเสร็จของพฤติกรรม การเปลี่ยนคุณภาพของพลังงานจิตในช่วงเวลาต่าง ๆ กันมีผลกระทบถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาไม่เหมือนกัน ผลรวมเบ็ดเสร็จของพฤติกรรม จึงถูกกำหนดขึ้นเป็นไดอะแกรมที่เรียกว่า “ดวง” พรานป่า พรานทะเล รวมทั้งหมอดูต่างเป็นผู้รู้ดวงของสิ่งมีชีวิตที่ตนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น คนหรือสัตว์ที่มีพลังงานจิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ หมอดูหรือนายพรานสามารถทำนายพฤติกรรมได้ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ พวกที่มีพลังงานจิตอยู่นอกเกณฑ์ปกติ หมอดูหรือนายพรานทำนายพฤติกรรมให้ถูกต้องได้ยาก

เมื่อพูดถึงหมอดู นักวิทยาศาสตร์สามารถเป็นหมอดูได้ แต่ดูในเรื่องต่างกัน เช่น นักอุตุนิยม ดูเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ นักเกษตร ดูเกี่ยวกับการออกดอกผลของต้นพืช การระบาดของโรคและแมลง นักธรณีวิทยาดูเกี่ยวกับทรัพยากรใต้ดินใต้น้ำ ผู้ใดมีข้อมูลมาก มีข้อมูลละเอียด มีความสามารถในการแปลผลได้ดี ก็สามารถทำนายได้ถูกต้องมาก

การทำงานของพลังงานจิต นอกจากผลที่แสดงออกในทางพฤติกรรมแล้ว พลังงานจิตยังมีผลกระทบร่างกายในด้านอื่น ๆ ที่สามารถวัดได้ เช่น การเปลี่ยนคุณภาพของพลังงานจิตของคนโดยทั่วไป ซึ่งตามปกติแล้วทำให้ร่างกายมีอัตราการเต้นของชีพจรประมาณ ๗๔ ครั้งต่อนาที หายใจประมาณ ๑๘ ครั้งต่อนาที ความดันเลือดประมาณ ๑๑๐ ต่อ ๗๐ มิลลิเมตรปรอท ถ้าได้มีการควบคุมพลังงานจิตให้ถูกกระทบจากพลังงานแวดล้อมให้น้อยที่สุด จนถึงระดับหนึ่ง ดังเช่นผู้ที่ทำจิตนิ่งในระดับปฐมฌาน จะทำให้อัตราการเต้นของชีพจรช้าลงกว่าเดิมมาก หายใจช้าลงกว่าเดิม ความดันเลือดลดลง และนอกจากนี้ยังทำให้การใช้ออกซิเจนของร่างกายลดลง ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ลดลง สารคอเลสเตอรอล และสารอื่น ๆ ในเลือดลดลง ในทางตรงกันข้าม ถ้าให้พลังงานแวดล้อมกระทบพลังงานจิตเพิ่มขึ้น จะทำให้การใช้ออกซิเจนของร่างกาย ปฏิกริยาเคมีในเซลล์ สารคอเลสเตอรอล สารคอร์ดิโซน และสารอื่น ๆ ในเลือดเพิ่มมากขึ้น ต่าง ๆ เหล่านี้สามารถกำหนดการทดลองเป็นขั้นตอน และวัดได้ด้วยเครื่องมือวัตถุที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันได้

โรคไม่มีตัวหลายชนิด เช่นโรคปวดหัว โรคกระเพาะ โรคประสาท โรคบ้า เกิดขึ้นเพราะพลังงานจิตถูกกระทบในลักษณะต่าง ๆ กันตลอดเวลา คิดมาก วิตกมาก กังวลมาก ทำให้พลังงานจิตมีคุณภาพเป็นรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีการทำงาน พลังงานจิตไปกระตุ้นให้มีการขับน้ำย่อยลงสู่กระเพาะอาหาร ถ้าพลังงานจิตถูกกระทบตลอดเวลา น้ำย่อยจะถูกขับออกมาตลอดเวลา ทำให้ปริมาณน้ำย่อยในกระเพาะมีมาก อาหารจะถูกย่อยหมดไปโดยเร็ว เมื่อไม่มีอาหารให้ย่อย น้ำย่อยจะย่อยผนังกระเพาะ ย่อยจนถึงระบบประสาท ทำให้เกิดการเจ็บปวด และย่อยต่อไปจนผนังกระเพาะทะลุอาจถึงตายได้

การคิดมากคิดเรื่องต่าง ๆ คิดซ้ำซาก คิดไม่หยุด ทำให้พลังงานจิตมีคุณภาพเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเมื่อทำงานจะไปยับยั้งระบบประสาทที่ควบคุมการหลับ จึงเกิดโรคนอนไม่หลับขึ้น ถ้าพลังงานจิตถูกกระทบแบบต่อเนื่องจะนอนไม่หลับแบบต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย พลังงานเคมี พลังงานไฟฟ้าของร่างกายเข้ากระทบพลังงานจิตน้อยลง ๆ ทำให้พลังงานจิตมีคุณภาพเปลี่ยนไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสามารถรับสัมผัสกับพลังงานที่อยู่ในมิติอื่นได้แล้ว เกิดเป็นภาพหลอนขึ้น ซึ่งบางอย่างทำให้เกิดความตระหนกหวาดกลัว ถ้าพลังงานจิตถูกกระทบอย่างแรงแล้วไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ อาจทำให้เสียสติเป็นบ้าดังที่ปรากฏอยู่ในโรงพยาบาลโรคประสาททั้งหลาย เมื่อใดที่เราสามารถเปลี่ยนพลังงานจิตของคนบ้าให้มาเป็นพลังงานจิตที่มีรูปแบบอยู่ในเกณฑ์ปกติได้ คนบ้าจะหายบ้า การกินอิ่ม การนอนหลับ การออกกำลังกาย เหล่านี้มีผลทำให้พลังงานเคมี พลังงานไฟฟ้าของร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งจะไปกระทบพลังงานจิตมากขึ้น และอาจกลับเข้าสู่เกณฑ์ปกติได้ ในรายที่บ้ามาก ๆ เพียงพลังงานร่างกายเท่านั้นไม่พอ อาจต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเข้าช่วยกระตุ้น จึงจะทำให้พลังงานจิตเปลี่ยนกลับมาอยู่ในรูปแบบปกติ และหายบ้าได้

โรคลมปัจจุบันเช่นเดียวกัน บางคนตื่นเต้นเป็นลม ฟังเรื่องหวาดเสียวเป็นลม เสียใจเป็นลม เห็นเลือดเป็นลม ต่าง ๆ เหล่านี้เกิดเพราะพลังงานจิตถูกกระทบทั้งสิ้น ซึ่งมีผลทำให้เลือดเข้าไปเลี้ยงสมองไม่พอ สมองขาดออกซิเจนจึงเกิดเป็นลมหมดสติได้ นอกจากที่กล่าวแล้ว พลังงานจิตยังมีผลกระทบต่อการหลั่งฮอร์โมน การสร้างและทำลายสารเคมีในเซลล์ การเกิดโรคแบบมีตัวและไม่มีตัวอีกหลายชนิด ซึ่งสรุปแล้วจะเห็นได้ว่าพลังงานจิตเป็นพลังงานสำคัญที่บ่งชี้การมีหรือไม่มีชีวิตของคนและสัตว์ เป็นพลังงานที่มีผลกระทบต่อระบบสรีระของร่างกาย เป็นพลังงานที่กระทบต่อการเกิดโรคหลายชนิด กระทบถึงการแสดงออกทางพฤติกรรม และที่สุดตัวของพลังงานจิตเองที่ทำให้คนเกิดเป็นโรคประสาทชนิดต่าง ๆ ขึ้นได้ จากจุดนี้เองจึงทำให้สัตว์ต่างจากพืช คือ พืชไม่มีพลังงานจิตอยู่ในต้น สัตว์มีพลังงานจิตอยู่ในตัว จึงแสดงอาการต่าง ๆ ได้แตกต่างไปจากพืช

ต้นพืชและร่างกายสัตว์เป็นก้อนพลังงานที่ประกอบด้วยพลังงานเคมี พลังงานไฟฟ้า พลังงานความร้อนและพลังงานอื่น ๆ ซึ่งเป็นพลังงานพื้นฐานของร่างกายของสิ่งมีชีวิต ปฏิกริยาเคมีที่เกิดขึ้นภายในลำต้นภายในร่างกายมีทั้งการสร้างและการทำลายอณูของสาร สร้างอณูใหม่ ทำลายอณูเก่า เกิดได้เพราะมีพลังงาน เมื่อใดพลังงานหยุดการเคลื่อนไหว หยุดการถ่ายทอดเปลี่ยนแปร เมื่อนั้นลำต้นพืชหรือร่างกายสัตว์ไม่สามารถคงรูปอยู่ในสภาพที่มีชีวิตได้ ต้นพืชจะตาย พลังงานจิตจะหลุดออกไปจากร่างกายของสัตว์แล้วสัตว์จะตาย ก้อนพลังงานที่ก่อรูปเป็นต้นพืช เป็นตัวสัตว์ จะถูกสลายเป็นอณูย่อยแยกย้ายกลับเข้าสู่ธรรมชาติ เพื่อปรับพลังงานให้อยู่ในสภาพสมดุลต่อไป

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าสิ่งมีชีวิตที่เป็นพืชจึงต่างจากสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ ตรงที่ร่างกายของพืชคือต้นพืชประกอบขึ้นเฉพาะพลังงานร่างกายเท่านั้นก็สามารถมีชีวิตได้ ซึ่งเมื่อใดพลังงานร่างกายของต้นพืชยังไม่หยุดการเปลี่ยนแปรถ่ายทอด ต้นพืชสามารถคงชีวิตอยู่ได้ ส่วนร่างกายของสัตว์ประกอบขึ้นด้วยพลังงานร่างกายกับพลังงานจิต ซึ่งทั้งสองกลุ่มของพลังงานทำงานสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น จะด้วยเหตุใดก็ตามที่พลังงานจิตหลุดออกไปนอกร่างกาย และพลังงานร่างกายยังคงมีการเปลี่ยนแปรถ่ายทอดอยู่ในระดับของเซลล์ ยังไม่ถือว่าร่างกายนั้นได้ตายไป จากจุดนี้เคยมีตัวอย่างปรากฏที่คนตายเกิดฟื้นขึ้นหลังจากนำไปบรรจุลงในโลงศพ หรือกำลังอยู่ในระหว่างพิธีสวด หรือเผา การวัดการเต้นของชีพจร การวัดลมหายใจเข้าออกแม้ว่าจะระบุเป็นศูนย์ในเครื่องมือวัดแต่ในระดับเซลล์ ยังอาจมีการหายใจใช้ออกซิเจนอยู่ ยังอาจมีการเปลี่ยนแปรถ่ายทอดพลังงานอยู่ ตัวอาจเย็น เพราะพลังงานความร้อนที่ถูกแปรจากพลังงานเคมีมีน้อย อย่างนี้ยังไม่ถือว่าตายแท้จริง โอกาสอาจมีน้อย แต่ก็ยังมีโอกาสที่พลังงานจิตสามารถกลับมาสัมพันธ์กับพลังงานร่างกายได้อีก แล้วทำให้ร่างกายคงมีชีวิตดังเดิมได้

มีหลายตัวอย่างที่พลังงานจิตมิได้ออกไปนอกร่างกาย แต่พลังงานจิตถูกพลังงานแวดล้อมกระทบแล้วทำให้สวิทซ์ของพลังงานจิตปิดนานเป็นชั่วโมง วัน หลายวัน ในกรณีดังนี้จะทำให้หมดสติและสลบไปไม่ถือว่าตาย เพราะพลังงานจิตยังคงสัมพันธ์กับพลังงานร่างกายอยู่ เพียงแต่สวิทซ์ของพลังงานจิตถูกปิดร่างกายจึงไม่รับรู้อะไร ดังที่ได้ทดลองบอกคนนอนหลับให้คิดโจทย์เลข คนที่เป็นลม คนที่ประสบอุบัติเหตุสลบไปเป็นวัน หรือคนที่ถูกเรียกว่าเจ้าหญิงนิทรา จะไม่รับรู้สิ่งกระทบใดทั้งสิ้น

หากพลังงานจิตหลุดออกไปนอกร่างกายและไม่กลับมาสัมพันธ์กับพลังงานร่างกายอีก พลังงานร่างกายจะหยุดการเปลี่ยนแปรถ่ายทอด เมื่อนั้นร่างกายไม่สามารถคงชีวิตอยู่ได้ ก้อนพลังงานที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกาย จะถูกย่อยสลายเป็นอณูย่อยและแยกย้ายกลับสู่ธรรมชาติ เพื่อปรับสมดุลเหมือนที่เกิดกับการแยกย้ายของอณูต้นพืชเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้โปรดหยุดสักนิด และคิดดูว่าชีววิทยาอันเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตมีการเรียนการสอนการให้แผ่นกระดาษรับรองความเป็นผู้รู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต แท้จริงเราเป็นผู้รู้จริงหรือ ผู้รู้จริงเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตยังต้องประสบปัญหาอันเนื่องมาจากการมีชีวิต อันเนื่องมาจากสิ่งมีชีวิตอีกหรือ พืช เราศึกษาได้ตรงจุด ส่วนกลุ่มที่เป็นสัตว์เราศึกษาเพียงครึ่งเดียวที่เป็นส่วนเปลือก คือร่างกาย พลังงานจิตซึ่งเป็นแก่นสำคัญในการบ่งความมีชีวิต และทำงานสัมพันธ์แนบแน่นกับร่างกาย เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ร่างกายปกติ มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง อายุยืนยาว ในทางตรงข้าม เป็นตัวการทำให้ร่างกายผิดปกติ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ตามมา ซึ่งกระทบถึงความปกติสุขในการดำรงชีวิต และการตายในวัยอันไม่สมควรได้ นอกจากนี้จิตยังเป็นตัวการสำคัญที่คุมพฤติกรรมของคนและสัตว์ ซึ่งนับวันจะมีแนวโน้มไปในทางลบเพิ่มขึ้นอีกด้วย

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทำไมเรามิได้นำจิตมาศึกษาควบคู่ไปกับร่างกาย เราศึกษาเพียงแค่เปลือกของสิ่งมีชีวิต แล้วอ้างว่าตนเองเป็นผู้รู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนั้นถูกต้องแล้วหรือ ลองถอดสิ่งห่อหุ้มออก แล้วลงให้ลึกศึกษาให้ถึงแก่น ท่านนั่นแหละจะพบแกนของสิ่งมีชีวิตด้วยตัวท่านเอง เมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านจะไม่หลงป่าเห็นแต่ต้นไม้ใบหญ้าอีกต่อไป ท่านจะหลุดออกมานอกป่า ได้เห็นป่าที่แท้จริง แล้วจะเห็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 43 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร