วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 11:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2010, 01:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สีลานุสติ

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย

เมื่อเราระลึกตามศีลที่เรารักษาว่า ข้อนั้น ๆ เรางดเว้นไปแล้ว มันเป็นการระลึกถึงความดีของเรานั่นแหละ

สีลานุสติ ก็ระลึกถึงความดีของศีลที่มีอยู่ในตัวของเรานั่นเอง ระลึกถึงศีลในที่นี้ไม่ได้หมายถึงศีลทีอยู่ภายนอก หมายถึง ศีลที่อยู่ในตัวของเรา รักษาตัวของเราให้เป็นคนดีขึ้นมา

ผู้นับถือพุทธศาสนาต้องมีศีล ๕ เป็นฐาน ศาสนาจะตั้งอยู่ได้มั่นคงเพราะคนปฏิบัติตามหลักของศีล ถ้าเราไม่มีศีล ๕ เสียแล้ว จะเอาอะไรมารักษาพุทธศาสนา เราต้องรักษาศีล ๕ นี้เป็นพื้นเสียก่อน

พื้นฐานจริง ๆ ของพุทธศาสนานั้นมี ๕ ประการ คือ

๑. นับถือพระพุทธเจ้า

๒. นับถือพระธรรม

๓. นับถือพระสงฆ์

๔. ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถือโชคลาภเครื่องรางของขลัง คือ เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าทำดีได้ดีกับตนเอง

๕. ไม่นับถือศาสนาอื่น ลัทธิอื่น ไม่ถืออะไรทั้งหมดนอกจากพุทธศาสนา

อุบาสก อุบาสิกา ต้องมี ๕ ประการนี้เป็นเครื่องอยู่เสียก่อน แล้วจึงค่อยมีศีล ๕ เป็นนิตย์ เป็นข้อที่ ๖

ถ้าหากถือศีล ๕ ประจำเป็นนิตย์ไม่ขาดตกบกพร่องเลย ท่านให้เกียรติยศชื่อว่า โสดาบันบุคคล อีกด้วยแน่นอนทีเดียว เมื่อเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรมแล้ว ที่จะไม่รักษาศีล ๕ ไม่มี เพราะความชั่วที่ทำผิดในศีลนั้น ๆ ก็เป็นกรรมอยู่โดยตรง

เมื่อเราเชื่อกรรมอย่างลึกซึ้ง เข้าถึงจิตเข้าถึงใจจริง ๆ แล้ว การรักษาศีล ๕ ย่อมทำได้ง่าย จะรู้สึกว่าศีล ๕ ไม่ใช่ของยาก เป็นของรักษาง่ายนิดเดียว และศีลย่อมตามรักษาตัวเราอีกด้วย เลยไม่ต้องรักษาศีล ศีลกลับมาคุ้มครองรักษาตัวเราเองให้อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากอุปัทวอันตรายทั้งปวง

ศีล ๕ ข้อนั้นจะจาระไนก็ยืดยาว คงเข้าใจกันดีแล้วทุกคน เรื่องศีลท่านพูดไว้มีอรรถ ๔ คือ

สีลนฏโฐ แปลว่า ปกติ ผู้รักษาศีลมีปกติ กาย วาจา ใจ ไม่ให้กำเริบ คือไม่ทำ กาย วาจา ใจ ให้ผิดปกตธรรมดา คนเราเกิดมามิใช่เกิดเพื่อมาฆ่า เพื่อจะขโมยของ กันและกัน เพื่อประพฤติผิดประเพณี เพื่อพูดเท็จหลอกลวง หรือเพื่อดื่มสุราเมรัย ของเหล่านี้ล้วนแต่มาฝึกหัดเอาใหม่ทั้งนั้น

สีลฏโฐ แปลว่า หินแข็ง หินแข็งเป็นหินปกติ ไม่หวั่นไหว ผู้รักษาศีลก็เช่นนั้นเหมือนกัน คือมีใจกล้าแข็งไม่ยอมทำตามอำนาจความชั่วให้ผิดจากศีล

สีตลฏโฐ แปลว่า เย็น ผู้รักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้ว ย่อมได้รับความเยือกเย็น ไม่มีวิปฏิสาร คือ ความเดือดร้อนใจในการติเตียนเราเองด้วยศีลข้อนั้น ๆ ไม่บริสุทธิ์

สีสฏโฐ แปลว่า ยิ่ง เป็นของสูง ศีลนี้เป็นของสูง ยากที่จะมีผู้รักษาได้ เมื่อผู้ใดรักษาได้แล้ว ผู้นั้นก็เป็นผู้สูงด้วยคุณธรรมคือ ศีลนั้น ศีลเป็นของเลิศประเสริฐในโลกนอกจากศีลแล้วไม่มีอะไร

สิรฏโฐ แปลว่า วิเศษ หรือยอด (เหมือนสีสฏโฐ)

ศีลเป็นของวิเศษอยู่ในตัว ถ้ามารักษาศีล คือมีศีลอยู่ในตัวเข้าก็วิเศษไปด้วย วิเศษจนสามารถกระทำให้พ้นจากความชั่วช้าได้เป็นขั้น ๆ นอกจากศีลแล้วมีสิ่งใดที่จะขจัดความชั่วในตัวคนเราได้

ชนชั้นต่ำคือคนมีความเลวทรามอยู่ในตัว ไม่สามารถจะจับเอาศีลนี้ไว้ในตัวได้ คนไม่ศรัทธา ไม่กอปรด้วยปัญญาจะรักษาศีล ๕ ไม่ได้ ถึงรักษาก็ไม่อยู่ในตัวของเรา บางคนบอกว่ารักษาศีล ๕ เป็นของยาก ขอบอกไว้เลยว่า ถ้าเรามีศรัทธาแล้วเป็นของไม่ยากเลย เจตนา “งดเว้น” ตัวเดียวเท่านั้นแลเป็นศีลแล้ว เหมือนกฎหมายบ้านเมือง ถ้าคนไม่ทำผิดอย่างเดียวตำรวจ ทหาร และตุลาการก็ไม่ต้องมี นี่ก็เหมือนกัน เพราะมีคนประพฤติผิดนั่นแหละพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้รักษาศีล อย่างเด็กเกิดมาใหม่ ๆ มันไม่รู้ภาษาอะไร มันไม่ทำอะไร นอนอยู่บนผ้าอ้อมดิ้นแด่ว ๆ อยู่อย่างนั้น มันจะมีศีลอะไร ศีลอยู่ที่เจตนา เจตนางดอันนั้นแหละเป็นศีล

เรางดเว้นจากฆ่าสัตว์ เราระลึกถึงว่าเราเคยฆ่าสัตว์เดี๋ยวนี้เรางดเว้นได้แล้วจิตใจมันก็เบิกบานแช่มชื่น เราเคยเป็นขโมยลักฉกสิ่งของเขาต่าง ๆ เวลานี้เรางดเว้นการลักขโมยได้แล้วจิตใจก็แช่มชื่นเบิกบาน แต่ก่อนเราเคยประพฤติผิดในมิจฉาจารกล่าวมุสาวาท ดื่มสุราเมรัย เราเคยประพฤติผิดเป็นอาจิณ หรือประพฤติเป็นบางครั้งบางคราวโดยเราไม่กลัวโทษ เห็นว่าเป็นการสนุกเฮฮา เมื่อมีสติครอบงำคุ้มครองจิตได้แล้ว มันเลยไม่กล้าทำความสนุกอันนั้น เมื่อไม่กล้าทำก็เกิดความละอาย งดเว้นจากโทษอันนั้น จิตใจมันก็เบิกบาน

เราเกิดขึ้นมาได้ชื่อว่ามาสร้างคุณงามความดี ถ้าไม่มีศีลแล้วจะไปสร้างอะไร ชีวิตวันหนึ่ง ๆ ก็หมดไปเปล่า ๆ อย่างน้อยที่สุดมีศีลสักข้อหนึ่งก็ยังดี ถึงแม้ไม่เต็มไม่สมบูรณ์ เปรียบเหมือนกับคนพิการขาหักไปข้างหนึ่ง แขนด้วนไปข้างหนึ่ง มันไม่สมบูรณ์ แต่ยังดีกว่าไม่มีศีลเลย

การรักษาศีลนี้ ขอให้พากันตั้งใจรักษาจริงๆ เถิดไม่ใช่ของยาก รักษาข้อหนึ่งให้ได้จริงๆ เมื่อมันสมบูรณ์จริง ๆ จัง ๆ แล้ว ข้อต่อ ๆ ไปก็เป็นของง่ายนิดเดียว บางคนเกิดขึ้นมาตั้ง ๔๐-๕๐ ปี หรือจนเฒ่าตายไปเสียเปล่า ๆ ศีลไม่เคยสมบูรณ์เลยสักที จะต้องขาดไป ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ ข้อ หรือข้อใดข้อหนึ่งให้ได้ เข้าวัดเข้าวาก็พากันสมาทานศีล พอกลับไปยังไม่ทันพ้นเขตวัด ศีลก็กลับคืนมาหาพระเสียแล้ว ให้เข้าใจว่าศีลไม่ใช่ข้อรักษา เป็นข้องดเว้น เป็นข้องดเว้นต่างหาก

ผู้มีศีล ๕ ประการได้ชื่อว่าเป็นอุบาสก อุบาสิกา ที่สมบูรณ์แล้ว ถือพุทธศาสนาสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว

ถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่มี ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นที่ตัวของเรา ถ้าปฏิบัติแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา ก็จะเกิดขึ้นที่ตัวของเรา ท่านสอนให้ระลึกถึงศีล จะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ก็แล้วแต่ ตามฐานะของตน เมื่อมีศีลแล้วพึงระลึกถึงศีลของตนให้แน่วแน่เป็นอันหนึ่งอันเดียว นั่นแหละเรียกว่า สีลานุสติ





จากหนังสือ ธรรมลีลา ฉบับที่ 40 มีนาคม 2547

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 79 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร