วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 09:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2009, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 มี.ค. 2009, 15:11
โพสต์: 240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ชำระจิต พิชิตกรรม" โดยพระศรีญาณโสภณ วัดพระราม 9

ใครอยากรู้ตัดกรรมทำได้ไหม ทำอย่างไร และไม่ถูกหลอกกินเงินฟรีๆ

เชิญอ่าน ถอดเทปธรรมะบรรยาย "ชำระจิต พิชิตกรรม" โดย พระศรีญาณโสภณ วัดพระรามเก้า


หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผมขออภัยจากท่านพระอาจารย์ด้วยครับ

และหากมีกุศลใดๆเกิดขึ้นจากการถอดเทปธรรมะนี้
ผมขอน้อมบูชาพระคุณท่านพระอาจารย์ พระศรีญาณโสภณ
และยกให้เป็นกุศลของท่านเจ้าภาพทุกๆท่าน และทีมงานเจ้าหน้าที่
และอาสาสมัคร ของยุวพุทธฯทุกๆท่าน ที่เกี่ยวข้องธรรมะบรรยายนี้ครับ

ความว่า.............

ตอนที่ 1

สาระธรรมบรรยาย พระศรีญาณโสภณ วัดพระรามเก้า
เรื่อง“ชำระจิต พิชิตกรรม”
วันอาทิตย์ที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
ณ ห้องปฏิบัติธรรม ชั้น ๔ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
จิตตะสะระมะโทสาธุ จิตตังตัญตังสุขาวะหันติ

บัดนี้จะแสดงพระธรรมเทศนาให้ญาติโยมทั้งหลายได้ฟัง
เรื่องการฝึกจิต และจิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้ได้อย่างไร
เรียกเป็นชื่อภาษาไทยว่า “ชำระจิต พิชิตกรรม”
เพื่อให้ญาติโยมทั้งหลายน้อมนำไปปฏิบัติ
อาตมาภาพของอนุโมทนาบุญยุวพุทธฯ ที่ได้จัดโครงการสำคัญนี้ขึ้นมา
เราเรียกกันว่า”จิตใส ใจสบาย” ซึ่งต้องอนุโมทนาบุญอย่างยิ่ง
กับพันตำรวจเอก นรวัฒน์ เจริญรัชต์ภาคย์ ที่ได้ดำริโครงการนี้ขึ้นมา
พร้อมกับคณะกรรมการทุกท่าน

ยุวพุทธฯ ได้ชื่อว่าเป็นสมาคมไม่ใช่สมาคมของคนหนุ่มสาว
แต่เป็นสมาคมที่ทำให้เป็นหนุ่มเป็นสาว นั่นแปลว่าคนที่สูงอายุ
ถ้ามาชำระจิตทำใจใสใจสบายแล้ว ก็จะเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมา
มีความสุขมีความสบายมีความเบา เพราะฉะนั้น นั่งให้สบาย
ถ้าจะนั่งขัดสมาธินั่งหลับตาก็ได้เพื่อจะได้ไม่เห็นภาพอะไร
นั่งตัวตรงๆ จะนั่งได้ทน บางคนก็นั่งเก้าอี้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ
นั่งพื้นราบได้ก็จะเป็นเด็ก เพราะฉะนั้นจะใช้เวลาช่วงนี้พูดคุยกัน

เรื่องของจิตเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายนั้นมีกำเนิดอยู่ ๔ อย่าง
ในจำนวนกำเนิดทั้งหลาย มนุษย์เป็นกำเนิดที่เกิดขึ้นจากครรภ์
กำเนิดที่ ๑ เรียกว่าชลาพุชะเกิดในครรภ์
อัณฑชะเกิดในไข่
สังเสทชะเกิดในเถ้าไคล
โอปปาติกะ เกิดแบบผุดขึ้น

เกิดในครรภ์ก็เช่น คน หรือหมีแพนด้า เราเรียกกันว่าชลาพุชะเกิดในครรภ์
อัณฑชะ เกิดในไข่เช่นนก ไก่ เป็ด เกิดในไข่
สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล เช่นเชื้อไวรัสต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างกายเราก็ดี
สิ่งสกปรกโสโครกก็ดี และสิ่งหนึ่งที่เราเรียกโอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น
การเกิดผุดขึ้นนี้สำคัญมาก ในภพภูมิทั้งหลาย ภพภูมิที่เป็นเทพ
ก็เรียกว่าเกิดผุดขึ้น การเกิดผุดขึ้นก็มีภพภูมิที่ต่ำ เป็นเปรต อสูรกาย เป็นสัมภเวสีก็มีเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นเราก็ยืนยันได้ว่า การที่เรามานั่งอยู่ตรงนี้ เราเป็นคนพิเศษทุกคน
ทำไมจึงบอกว่าเป็นคนพิเศษ เพราะหนึ่งเราไม่ไปเกิดเป็นไก่ เกิดในไข่ เกิดเป็นไวรัสหรือ
ไปเกิดเป็นโอปปาติกะ ชั้นต่ำที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าเราได้รับการชำระจิตให้สมบูรณ์บริบูรณ์
ญาติโยมทั้งหลายที่นั่งอยู่ตรงนี้ ลองนึกถึงตัวเองสิว่าเราโชคดีแค่ไหน โชคดีถึงขนาดที่
ว่า เราไม่พิการ ตา หู จมูก ไม่แหว่ง หัวใจเราดี อวัยวะทุกส่วนของเราดี อยู่ในครรภ์ของ
แม่ แม่ก็ไม่แท้งลูก คลอดออกมาแล้วแม่ก็เลี้ยงมาอย่างดี เจริญเติบโตจนมาถึงวันนี้ ถ้า
ใครมีลูกมีครอบครัวก็ดีเหลือเกิน เลี้ยงลูกโต อาจจะมีบ้างที่ต้องพลัดพรากจากกันในเวลา
อันไม่สมควร เสียใจกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ บางคนบิดามารดาเสียไปก่อน ล้มหายตายจากกัน
ไป ก็ทำให้เกิดการสูญเสีย แต่โดยรวมแล้วเราต้องบอกตัวเราว่าโชคดี โยมรู้สึกไหมว่าตัว
เองโชคดี อาตมาก็บอกตัวเองว่าโชคดี เพราะฉะนั้นถ้าคนมีอยู่ที่นี่ประมาณ ๕๐๐ คน ก็
แสดงว่าโชคทั้งมวลมันรวมกันอยู่ตรงนี้ มันรวมพลังมาเป็นหนึ่งเดียว จิตของเราทุกคนเป็น
จิตของคนมีโชคมารวมเป็นหนึ่งเดียว แล้วก็มาปฏิบัติธรรมร่วมกัน ถ้าเปรียบเทียบกับบ้าน
อื่นเมืองอื่น เขาต้องหลบกระสุนปืน ลูกระเบิด ต้องวิ่งหนีการตามล่า ไล่ล่าจากบุคคลอื่นที่
เป็นศัตรู เราก็ถือว่าโชคดีกว่าใคร เราจึงได้มีโอกาสคิดถึงเรื่องละเอียดคือเรื่องของจิต ถ้า
คนไม่มีบุญ มาคิดถึงเรื่องของจิตไม่ได้ อย่างเก่งก็ได้แค่เรื่องของกายภาพเช่น เราจะ
นอนตรงไหน เรามีที่นอนหรือยัง เรามีอาหารหรือยัง หลังจากความกังวลนี้หมดไปแล้วจึง
คิดเรื่องเกียรติ พอเรื่องเกียรติหมดไปก็คิดถึงเรื่องบุญกุศล มันจะครอบคลุมไปถึงทุกสิ่ง
ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ที่ท่านทั้งหลายแสวงหาอยู่นี้ เขาเรียกว่าแสวงหาของละเอียด
ของที่เป็นนามธรรม มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ใจ และเราเห็นใจหรือยัง ยังหาใจไม่เจอ
เมื่อหาใจไม่เจอก็หาความสุขไม่พบ

ตอนที่ 2

เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาคุยกันว่า แท้ที่จริงแล้วเราทุกคนเป็นคนมีโชค
เราเป็นคนโชคดี และที่สำคัญก็คือว่า เรายังมีใจอยู่กับตัว เมื่อใจอยู่กับตัวได้เมื่อไหร่
เมื่อนั้นเราก็เป็นสุข หาใจเจอ หาตัวเจอ เพราะคนส่วนใหญ่เอาใจไปฝากไว้กับสิ่งนั้น
สิ่งนี้ สิ่งโน้น คนนั้น คนนี้ คนโน้น บางทีเราชอบบวงสรวงบูชาต้นไม้ ต้นเสา แม่น้ำ
หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ใจของเราก็ไปอยู่กับสิ่งนั้น มันชำระไม่หมด เพราะว่ามันไป
คล้องเกี่ยวกับสิ่งอื่นมากเกินไป เราก็ดึงกลับมา บางทีเราเอาใจของเราไปฝากไว้กับ
คนนั้น คนนี้ เขาก็ไม่ดูแล พอเขาไม่ดูแลก็เสียใจกลับมา เพราะฉะนั้นโยมไปเอากลับมา
เอามาไว้กับตัวเรา แล้วมานั่งดูว่าจริงๆ แล้ว จิตของเราต้องเป็นของเรา ปล่อยให้คนอื่นไม่ได้
ชำระจิตจึงจะพิชิตกรรมได้

เรื่องของกรรมที่อาตมาภาพพูดถึงนี้ ก็คือเรื่องของความลุ่มหลง ซึ่งไม่เข้าใจ
กันว่าชำระกรรมต้องทำอย่างไร จะต้องหาใครไหม ต้องไปหาหลวงปู่หลวงพ่อหรือเปล่า
เสร็จแล้วเราก็ไปหาพ่อมดหมอผี ไปหาคนทรงเจ้าเข้าผี ไปหาคนที่ระลึกชาติได้ ไปหาคน
หลายคน เพื่อที่เอาชีวิตทั้งชีวิตไปฝากไว้กับเขา บางทีก็ไปถามว่า ชาติที่แล้วผมเป็นกรรม
กับคนนั้นคนนี้หรือเปล่า เขาบอกว่าใช่ คุณต้องไปแก้กรรมกับคนโน้น ก็ถือดอกไม้ไปมี
หลายคนมาบอกกับอาตมาภาพ ไปแล้วเขาไล่ออกจากบ้าน เขาไม่ยอมรับ เพราะว่าเขาไม่
ไว้ใจ แต่อาจารย์บอกว่าต้องไปแก้กรรมกับคนนั้นคนนี้คนโน้น ในที่สุดตัวเองก็ตัดกรรมไม่ได้

คำว่าตัดกรรมในที่นี้อาตมาภาพอยากจะให้คำจำกัดความ เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ
คือว่าเรามีหลายสิ่งต้องตัด ตัดใจได้ก่อนถึงจะตัดกรรมได้ ถ้าตัดใจไม่ได้ก็ตัดกรรมไม่ได้
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมนั้น เราสามารถที่จะตัดกรรมได้ ถ้าเราไม่ทำ เช่น จิตของเรา
อย่าคิดชั่ว อย่าพูดวาจาคำที่ไม่ดี เราก็ตัดใจเสีย จิตอยากจะคิดอะไรไม่ดีเราก็ตัดใจ
กายอยากจะทำอะไรไม่ดีเราก็ตัดใจ เพราะตัดใจแล้วมันตัดกรรมไปในตัวเสร็จ ไม่ได้หมาย
ความว่าทำกรรมชั่วเสร็จแล้วไปอาศัยคนอื่นตัด

ปัญหาใหญ่ที่มันเกิดขึ้นทุกวันนี้คือว่า เราเป็นคนทำตามใจ ทำกรรมไม่ดีไว้แล้ว
เสียใจ พอเสียใจเสร็จก็ไปหาหลวงปู่หลวงพ่อหรือหาใครที่มีอิทธิฤทธิ์ บอกช่วยตัดกรรมให้
ผมหน่อยครับ ช่วยตัดกรรมให้หนูหน่อย ทำอย่างนั้นอย่างนี้ พอดีหมอดูเขาบอกตัดให้ได้
แต่คุณต้องไปทำสังฆทานอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็เลยไปพึ่งพาอาศัยคนอื่น โดยที่
สติไม่ได้อยู่กับตัว เขาเรียกกันว่า เราเสียสติ ขาดการยั้งคิด จิตไม่อยู่กับตัว เราทำชั่วเสร็จ
แล้วมีสติ ทุกครั้งที่ได้สติ นั่นหมายความว่ากรรมชั่วมันตามมาแล้ว มันเป็นกรรมที่
ถูกกระทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้สติทุกครั้งไป ขอให้เปลี่ยนใหม่ว่าทุกครั้งที่เราจะทำ
อะไรนั้นสติมาก่อน สติมาปั๊บเราก็จะบังคับจิตของเรา ห้ามใจเอาไว้ ก็ตัดกรรมชั่วทิ้งไป
เพราะฉะนั้นใครที่บอกว่าตัดกรรมได้ไหม อาตมาก็บอกว่าตัดได้ แต่ต้องตัดใจก่อน กรรมที่
ไม่ดีตัดได้แน่นอน

มีคนเขาบอกว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้ อาตามาภาพบอกว่าเลือกได้ ทำไมจะเลือกไม่ได้แต่
ว่าเมื่อเราเกิดมาแล้วเราอาจจะคิดว่าเราไม่ได้ถูกเลือก ภพภูมินี้เราไม่ได้ถูกเลือก จริงๆ
แล้วเราถูกเลือกมาแล้วนะ ถูกเลือกมาด้วยอะไร ถูกเลือกมาโดยคุณพ่อคุณแม่และตัวเรา
เอง พร้อมกับสิ่งแวดล้อม ทำไมถึงบอกอย่างนี้ ที่บอกอย่างนี้ก็เพราะว่าเวลาที่คุณพ่อคุณ
แม่แต่งงานกันจะมีท้อง คุณพ่อคุณแม่จะสวดมนต์ให้เทพผู้มีศักดิ์ใหญ่มาเกิดเป็นลูกของ
ท่าน ไม่ให้พิกลพิการ มีอวัยวะครบ ๓๒ สติปัญญาดี ไม่ปัญญาอ่อน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
เบียดเบียน หลังจากแรงอธิษฐานเสร็จแล้ว เทพผู้มีศักดิ์ใหญ่ก็จะมาเกิด ในจิตของเทพผู้มี
ศักดิ์ใหญ่ก็จะมีกรรมดีตามมาด้วย เวลาที่คุณแม่ท้องประมาณ ๓ เดือนพอดีก็ฝัน บางทีก็
ฝันเอาตอน๕-๖ เดือน แสดงว่าเทพผู้มีศักดิ์ใหญ่มาเกิดในท้องของแม่ ตอนอายุครรภ์นั้น
บางคนก็ ๘ เดือน ๙ เดือน ระหว่างนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็จะอธิษฐานจิตอีก ขอให้ลูกของแม่
มีความเจริญเติบโตในครรภ์ อย่าแท้งครรภ์ ให้คลอดออกมาอย่างง่ายๆ อย่าเป็นลูกฆ่า
แม่ คลอดออกมาแล้วก็ขอให้เลี้ยงง่าย เจริญเติบโต อธิษฐานอยู่อย่างนี้แหละ

ถ้าคุณแม่หงุดหงิดระหว่างตั้งครรภ์ จิตของลูกก็จะหงุดหงิดไปด้วย ลูกคลอด
ออกมาก็จะเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวโมโหง่าย แต่ถ้าลูกของเราอารมณ์ดี แสดงว่าคุณแม่
ตอนตั้งครรภ์อารมณ์ดี เพราะว่าการบริหารครรภ์สำคัญมาก การบริหารครรภ์คือการบริหาร
จิต

สิ่งแวดล้อมเก่าในอดีตกับสิ่งแวดล้อมใหม่ก็มีความสำคัญเช่นกัน พอคลอดออก
มาแล้วก็ต้องมาเจอสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่เราอยู่อาศัย ถ้าเราได้สังคมที่ดี สิ่งแวดล้อมของ
เราก็ดี เราก็เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราจิตของเราก็เบิกบานไปด้วย เราจะเห็นว่าครอบ
ครัวบางครอบครัวนั้นเป็นครอบครัวที่ดีมาก ลูกเกิดมาแล้วแทบจะเรียกว่าเป็นเทวดา เป็น
เทพ มีความสุขในชีวิตตั้งแต่เกิด บ้านหลังใหญ่สะดวกสบาย สังคมดี ญาติดี พี่น้องดี
เกียรติยศศักดิ์ศรีตามมา การศึกษาดี ได้เปรียบคนทุกคน จิตของเขาไม่เศร้าหมอง เพราะ
ฉะนั้นเราจะเห็นได้ชัดเจนว่ากรรมเก่ายังมี ๒๕ % ตอนที่มาอยู่ในท้องแม่เขาเรียกว่าครรภ์
ธภะหรือปฏิสนธิจิต เป็นกรรมที่มาจากอดีตชาติ

บางทีเราอธิษฐานไว้แล้วเขาสามารถมาปฏิสนธิกับเราได้ เพราะว่าเราทำบุญ
มาก วิญญาณเปรต อสูรกาย สัมภเวสี ไม่สามารถจะเข้ามาอยู่ในครรภ์ของเราได้ อันนี้
สำคัญมาก แต่ว่าเราทุกคนจะต้องทำความเข้าใจว่าวิญญาณเปรต อสูรกาย สัมภเวสีนั้น
เขาจะอาศัยช่องทางที่จิตของคุณแม่อ่อนแอในช่วงตั้งครรภ์นี้ เข้ามาสู่ครรภ์แล้วคุณแม่
บางทีถูกโจมตี เช่นเจ็บไข้ได้ป่วย แท้งลูกหรือว่าไม่สมประกอบ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เหมือน
กับวิญญาณคู่อาฆาตตั้งใจจะมาทำร้ายคุณแม่ ในระหว่างตั้งครรภ์ด้วยซ้ำไป ฉะนั้นอีก
๒๕ % ระหว่างตั้งครรภ์เป็นของคุณแม่ที่จะอธิษฐานจิตเห็นไหมว่ารวมกันเป็น ๕๐ %
แล้ว เป็นเรื่องของจิตทั้งสิ้นเลย

ตอนที่ 3

หลังจากนั้นอีก ๕๐ % เป็นสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมใหม่ตัวนี้แหละสำคัญมากบางทีเราไม่
เข้าใจว่าสิ่งแวดล้อมใหม่ที่เราสร้างขึ้นมานี้ มันมีความสำคัญต่อจิตดวงใหม่อย่างไร โลก
ใบนี้เหมาะสำหรับคนที่มาใหม่แล้วมีช่องทางที่ดี เขาก็จะไม่ฟันฝ่ามาก เ ขาจะตื่นเต้น เขา
จะสงสัย และเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขา แต่มันจะเป็นของเก่าสำหรับเรา เราจะเบื่อหน่ายโลกนี้
เพราะว่าไปก็ซอยเดิม บ้านหลังเดิม เสื้อผ้าเดิม ร้านขายของเดิม อาหารแบบเดิม เจอคน
เหมือนเดิม ร่างกายก็ร่างกายเดิม มันเก่ามันชำรุดเราเริ่มเบื่อแล้ว เราใช้มันมาอย่างสนุก
สนานสัก ๓๐-๔๐ ปี หลังจากนั้นไปเบื่อแล้ว ยิ่งอายุ ๖๐ ๗๐, ๘๐, ๙๐ เริ่มเบื่อ อยากทิ้ง
แล้ว ตอนอยากทิ้ง จิตของเราก็ต้องเข้มแข็ง ตอนเด็กจิตอ่อนร่างกายต้องแข็งแรง ตอนแก่
ร่างกายอ่อนแอจิตต้องแข็งแรง เราถึงต้องมีการเพิ่มพลังทางจิต ต้องชำระจิต ตอนเด็ก
เราใช้ร่างกายทำกรรมไม่ได้ เด็กๆ เขาบอกไร้เดียงสา กรรมที่ทำไปก็เป็นกรรมแบบไร้
เดียงสา ไม่มีผลมากเท่าไหร่นัก พอโตขึ้นมาหน่อยมีเจตนา มีจิตบงการ มีกิเลส บ่ง
วาจา และกายใจ ในที่สุดก็ทำกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้นๆ ตรงนี้แหละ มันเป็นเหตุให้เกิดระบบ
ศีลธรรมขึ้นมา

พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงเห็นว่ามันไม่มีอะไรที่จะดีไปเท่ากับอุปกรณ์สำคัญ คือศีล สมาธิ
ปัญญาในการชำระจิต พระพุทธองค์ก็ทรงบัญญัติอุปกรณ์ในการชำระจิตเพื่อพิชิตกรรมขึ้น
มา เป็นระบบทรีอินวัน เขาเรียกว่าทรีอินวัน คือไตรสิกขาคือระบบ ทรีอินวันในการชำระ
จิต พิชิตกรรม เป็นอุปกรณ์สำคัญมาก มันทำหน้าที่อยู่ ๓ อย่างคือ

๑. ศีล ทำหน้าที่ดูแลด้านร่างกาย เพราะเกิดมาแล้ว ศีลบอกว่าศีล ๕ ดูแลร่างกาย

๒. สมาธิ ดูแลด้านจิต

๓.ปัญญา ดูแลทั้งกายทั้งจิต ดูแลทั้ง ๒ อย่าง ควบคุมเป็นเสมือนกับเป็นตัวคอนโทรลอีกที
หนึ่ง ให้งานระหว่างกายกับจิตนี้มันเดินไปด้วยดี

เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพูดถึงศีล สมาธิ ปัญญา ท่านทั้งหลายให้เข้าใจว่า นี่คืออุปกรณ์ชำระ
จิต พิชิตกรรมได้ ถ้าตรงนี้ทำงานเมื่อไหร่ เราจะไม่เคยมีคำว่าเสียใจในชีวิต แต่ถ้าตรงนี้
มันหยุดทำงาน เช่นศีลไม่ทำงานเราก็ผิดศีล เป็นโยมผิดศีล เป็นพระผิดศีล เป็นเณรผิด
ศีล เป็นนายกผิดศีล เป็นรัฐมนตรีผิดศีล เป็นอธิบดี เป็นปลัดกระทรวงหรือแม่ผิดศีล พ่อผิด
ศีล มันตีรวนหมดทั้งครอบครัวทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ ทั้งประเทศ ถ้าอยู่ต่าง
ประเทศผิดศีล เราบอกว่าเด็กคนหนึ่งผิดศีลไปฆ่าคน บางคนก็บอกว่าบางทีเอาประเทศไป
เป็นตัวประกันด้วย ผิดศีล

เพราะฉะนั้นมาดูแลเรื่องของกรรม ที่มองเห็นได้ด้วยตา เรื่องของศีล ถ้าเราจะพิชิตกรรม
ได้มันจะต้องไปโปรแกรมสิ่งที่จะลงไปในจิตให้ได้ สิ่งที่จะลงไปนี้สามารถชำระตัวมันเอง
ได้ เหมือนกับเครื่องดิจิตอลหลายๆ เรื่อง หลายๆ เครื่อง พอเราบันทึกอะไรต่างๆหลาย
เรื่องเสร็จแล้วมันก็จะมีระบบชำระในตัวของมันเอง อาตมาภาพอยากจะเปรียบเทียบร่าง
กายของเราเอง เป็นสุดยอดคอมพิวเตอร์ แต่มนุษย์ไม่รู้จักมัน ประโยชน์อื่นคอมพิวเตอร์
ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่หันมาใช้ร่างกายของเรา จิตใจของเราเป็นคอมพิวเตอร์ เราจะเห็น
ความมหัศจรรย์ของชีวิต แต่เวลานี้เราอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์หลายสิ่ง โยนทิ้งชีวิตของ
เราและในที่สุดเราก็ไปเห็นความอัศจรรย์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ไปอยู่
กับมัน ไปกินกับมัน ให้มันทำทุกสิ่งทุกอย่างในระบบของมันเอง แล้วเราก็ไปอยู่ใต้บังคับ
มัน และในที่สุดมนุษย์ก็ไม่เข้าใจตัวเอง แต่เข้าใจคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีทุกสิ่งทุกอย่าง
ยกเว้นไม่เข้าใจตัวเอง ร่างกายของเราเป็นฮาร์ดแวร์ จิตของเราเป็นชอฟต์แวร์ ตรงที่เรา
ต้องการมากที่สุด

สิ่งที่จะชำระจิต พิชิตกรรมคือชอฟต์แวร์นี้แหละ เวลาที่เราใส่อินฟอเมชั่นแมสเสช(ข้อมูล
ต่างๆ) เราใส่เข้าไปที่ ชอฟต์แวร์(จิต) แต่เวลาฟังก์ชั่น(ทำงาน) ต้องฟังก์ชั่นผ่าน
ฮาร์ดแวร์(ร่างกาย)ด้วยเช่น จิตจะทำงานเฉยๆ มันไม่พอ มันต้องทำงานผ่านระบบทำงาน
ทางสมอง สั่งสมองทำงานอีกทีหนึ่ง แต่โยมรู้ไหมว่ามีอะไรสั่งจิตให้ทำงาน ตัวกิเลสไง
ตัวราคะ ตัวโมหะ ตัวโทสะ อันนี้ใหญ่กว่าชอฟ์แวร์(จิต)เสียอีก ถ้าเราเอาตรงนี้ออกไม่ได้
จิตก็จะสั่งผิด ถ้ามันไปอยู่ภายใต้การทำงานของไวรัสคือกิเลส มันจะสั่งผิด สมองก็จะสั่ง
ร่างกายผิด สั่งวาจาผิด กรรมมันก็จะตามมาอย่างมหาศาล ก็แปลว่ากรรมที่ทางกาย ทาง
วาจามันมีผลจากการสั่งงานผ่านสมองโดยจิต และภายใต้การสั่งงานของกรรมดี กรรม
ชั่ว กิเลส หรือว่าบุญ ถ้าใช้บุญสั่งงาน ทุกอย่างก็จะออกมาเป็นบุญ เป็นกุศลกรรม แต่ถ้า
ใช้กิเลสสั่งงาน วาจาก็ออกมาเป็นวาจาทุจริตเสียหาย กายก็เป็นกายทุจริตเสียหาย

เพราะฉะนั้นที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติศีลเอาไว้ ก็เพราะป้องกันไม่ให้คน
สร้างกรรมซ้ำซ้อน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนเลยว่า ทำไมเวลาที่เราเห็น
คนนั้นทำโน้น ทำนี่ ถูกทุจริต ถูกฆ่า ถูกขโมยของ แต่เราไม่เคยนึกถึงว่าสิ่งเหล่านี้ เคยถูก
สะสมภพชาติ เพราะภพชาติของจิตนั้นมันมีภพชาติ ขึ้นอยู่กับภพภูมิที่ไปข้องเกี่ยวไป
เหนี่ยวรั้งเอาไว้ ลำพังจิตเฉยๆ เขาไม่มีภพภูมิหรอก เขาวิ่งเร็ว แต่ช้าเพราะว่ามันเหนี่ยวร่าง
เป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นเทพบ้าง เป็นเปรตอสูรกายบ้าง ขึ้นอยู่กับกรรมที่เขาทำ ว่า
มันจะไปเก็บไว้ในชอฟต์แวร์ได้อย่างไร เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็ทำให้เราต้องกลับมาคิด คิดดู
ว่าเราจะชำระจิต เราต้องโปรแกรมไหม สร้างโปรแกรมใหม่ ถ้าเราเป็นโปรแกรมเมอร์ เรา
จะต้องสร้างแอนตี้ไวรัสใส่เข้าไปในจิตของเราด้วย เก็บเอาไว้ให้ดี โปรแกรมเมอร์
คอมพิวเตอร์เวลาที่เขาเขียนโปรแกรมขึ้นมาจะต้องมีโปรแกรมแอนตี้ไวรัส คำว่าไวรัส
เรียกอีกอย่างคือกิเลสนั่นเอง เวลามันโจมตีคอมพิวเตอร์เรานี้ข้อมูลเสียหายเลยนะ มันกิน
หมดเลยนะ จนไม่สามารถกอบกู้ข้อมูลต่างๆ ที่เราลงไปในคอมพิวเตอร์ได้ เพราะอะไร มัน
เกิดขึ้นรุนแรง บางทีมันสูญเสีย งานที่ทำมา ๕ ปี ๖ ปีจบสิ้น

เหมือนกับชีวิตของคนเราทำดีมาตั้งแต่โน้นเริ่มต้นชีวิต ๒๐, ๓๐ ปี ถูกไวรัส(กิเลส)โจมตี
ครั้งเดียวเช่น ประพฤติผิดศีลครั้งเดียว ถูกฆ่าตายก็มี ถูกยกเค้า ถูกขโมย บ้านแตกสาแหรก
ขาด ขึ้นโรงขึ้นศาล เจออุบัติเหตุ ผิดครั้งเดียวเอง มันมีความผิดครั้งเดียวที่ผิดแล้วผิด
ตลอดชีวิต นั่นคือเรื่องของกรรมหนักกรรมใหญ่ ซึ่งเราจะต้องเข้าไปแก้ไขที่จิต บาง
ท่านบอกว่าแล้วทำอย่างไรท่าน ถึงจะรู้ ก็จะมาถึงขั้นที่สอง รักษาศีลแล้วไม่พอ ถ้ากรรม
มันอยู่ในจิตแล้ว กลับมาที่จิต ดูจิตของตัวเอง ผ่านระบบสมาธิ ผ่านระบบสมถะกรรมฐาน
วิปัสสนากรรมฐาน สมาธิหมายความว่า ความตั้งใจมั่น ความนิ่ง เอาเข้าใจง่ายๆ ก่อนเวลา
นิ่งแล้วมันเหมือนกับน้ำที่สกปรกมาตั้งไว้นิ่งๆ แน่แหละ สมาธิพอนิ่งเสร็จน้ำตกตะกอนก็จะ
เห็นฝุ่นละอองอยู่ในขวด ในแก้ว เหมือนจิตนิ่ง นิ่งทางกายก่อน แล้วทางใจจะนิ่งตาม พอ
นิ่ง อารมณ์ก็ตกตะกอน พออารมณ์ตกตะกอนอารมณ์ สบายแหละคราวนี้เลือกชำระเลย
ชำระจิตได้เลย ท่านทั้งหลายคงจะทราบดีว่า ถ้าลืมตา เราเห็นเฉพาะสิ่งที่อยู่ด้านหน้า แต่
เมื่อไรก็ตามเราหลับตา ลองหลับตาดูโยมจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างกว้างใหญ่ไพศาลมาก ยิ่ง
กว่าจักรวาลใดๆ โยมอาจจะเห็น มองเห็น อดีต อนาคต ปัจจุบัน อดีตชาติ เป็นสิบๆชาติ
ด้วยซ้ำไป ผ่านระบบสมาธิ เขาเรียกว่า ตาทิพย์ หูทิพย์ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ แม้แต่ว่า
ใครตายแล้วไปเกิดที่ไหนจุตูปปาตญาณ ยังเห็นเลย ผ่านระบบสมาธิ เหาะเหินเดินอากาศก็
ได้ หายตัวได้ เนรมิตอะไรก็ได้ ด้วยระบบสมาธิ ทำให้เกิดอิทธิฤทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์
มาก

ตอนที่ 4

ความจำดีก็ต้องผ่านระบบสมาธิ ถ้าใครความจำไม่ดี โรคอัลไซเมอร์ที่เราพูดกัน เป็นโรค
หลงลืมรักษาได้ด้วยการฝึกสมาธิ นั่นคือการชำระทุกสิ่งทุกอย่างออกทุกวันๆ ข้อสำคัญคือ
ว่า เราไม่มีเวลาชำระจิตใจของเราเหมือนกับชำระร่างกาย ร่างกายเราทุกวันนี้ เพราะอาบ
น้ำอย่างน้อยวันละ ๒ ครั้งจึงอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นตัวเหม็น แต่จิตของเราไม่ชำระเลย ทั้งๆที่
ไวรัสมันเป็นเหงื่อที่เข้าไปอยู่ในจิตใจของเรามากที่สุด เข้าทุกวินาทีเลย เรานั่งอยู่ในห้อง
เรารู้สึกเหงื่อไม่ออก ถ้านั่งสิบชั่วโมงเราก็สบายสิบชั่วโมง แต่จิตของเรามันถูกเหงื่อแห่ง
ราคะ โลภะ โมหะ โทสะ ดึงเข้าไป ซึ่งเราจำเป็นจะต้องชำระทุกวันๆ ถามว่าชำระจิตชำระ
อย่างไร

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนให้เราพิจารณาหลายสิ่งหลายอย่าง เอาง่ายๆ
สำหรับผู้เริ่มต้น เราก็สวดมนต์ ไหว้พระทุกวัน ในขณะที่เราฝึกจิตนิ่งๆ อยู่นะถ้าสวดมนต์
๑๐ นาทีจะหยุดคิดสิ่งไม่ดี ๑๐ นาทีเหมือนกับลงสก๊อตไบรท์ หรือลงน้ำยา ล้างให้สะอาด
ใครยังไม่สะอาดสวดมนต์ไปอีก นี่เป็นขั้นตอนที่ง่ายที่สุดสำหรับบุคคลทั่วไปในการชำระ
จิต ไม่ต้องไปสวดมนต์ในป่าในเขา ในที่ไหนๆ อยู่ที่บ้านของเรานี่แหละ ชำระจิตด้วยการ
สวดมนต์ ลองสวดมนต์ดู สวดไม่ได้ก็เปิดเทปสวดมนต์ เด็กๆก็สวดมนต์ได้ เวลาที่เราร้อง
เพลง เราจะมีความรู้สึกว่าดีจังเลยร้องเพลงมีความสุข เวลาที่เราสวดมนต์ยิ่งแปลไม่ได้
ยิ่งดี จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน เวลาอยากรู้คำแปลสวดมนต์จบก็ไปอ่านดู บางคนนับลูกประคำ บาง
คนสวดอิติปิโส ๓๐๐๐ พันจบ ถ้าวุ่นวายมากนะ วันหนึ่งกราบไปสวดมนต์ไป รอบต้นพระ
ศรีมหาโพธิ์ ขึ้นไปรอบภูเขา กราบตั้งแต่เชิงภูเขาถึงยอด

สิ่งเหล่านี้ญาติโยมทั้งสังเกตดูว่า อุบายต่างๆ เหล่านี้เป็นอุบายในการฝึกจิตชำระจิต การ
ฝึกจิตยังประโยชน์ให้สำเร็จ เป็นการดี ถ้าใครไม่ฝึกจิตชำระจิตไม่ได้ เขาเล่นยิมนาสติกเขา
ยังเล่นตั้งแต่เล็กๆ เราจึงเห็นเด็กกระโดดโลดเต้นบนท้องฟ้าได้อย่างคล่องแคล่วน่า
อัศจรรย์ นั่นคือร่างกายที่ถูกฝึกมาเท่านั้นเอง แต่จิตที่ฝึกมันยิ่งใหญ่ไพศาลกว่านั้นอีก
เพราะมันเป็นจิตตะจักรวาล ถ้าโยมนั่งหลับตาลง เราเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง กรรมเก่ายังเห็น
เลย ศีลป้องกันไม่ให้ทำกรรมใหม่ในสิ่งที่ไม่ดี แล้วกรรมเก่าที่ทำมาแล้วจะชำระอย่างไร ใช้
สมาธิชำระ ทำอย่างไร นั่งกำหนดดู เพราะเวลาที่หลับตาลงจิตจะละเอียด ฝึกทุกวันๆ แล้ว
เขี่ยออกมา มันจะมีลิ้นชักของมันเอง มันเหมือนคอมพิวเตอร์มีโฟลด์เดอร์(แฟ้มเอกสาร)ที่
จัดเอาไว้ ถ้าเราไม่จัดโฟลด์เดอร์ให้มัน มันจะสับสน นึกออกไหมมันสับสน เวลาที่ไวรัส
(กิเลส)มา ถ้าโฟลด์เดอร์มันสับสนวุ่นวายมันก็โดนกิเลสกินหมดเลย แต่ถ้าจัดให้ดีไวรัสมัน
ก็โจมตีได้บางโฟลด์เดอร์ อันไหนสำคัญเราป้องกันไว้ ข้อความสำคัญเก็บเอาไว้ แล้วเรา
นั่งสมาธิดูให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งอยู่ดับไป อาตมายกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าใครเสียใจ สูญ
เสีย ดีใจหรือผิดหวัง ได้มาแล้วเสียไป ควรจะได้กลับไม่ได้ ควรจะมีแต่กลับไม่มี ถูกหัก
หลัง เอารัดเอาเปรียบ มันจะอยู่ในจิตใจของเรานี้แหละ

โยมลองสังเกตดู นั่งหลับตาแล้วดูอาการของเรา ดูจิต หากไม่เจอดูอารมณ์ ดูอารมณ์
แล้วจะเห็นจิต เพราะจิตมันเป็นตัวตนที่มองไม่เห็น มันมีจริงแต่ว่ามันแสดงออกทาง
อารมณ์ อารมณ์เป็นเงาของจิต หลังจากนั้น โยมพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็น
ทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป บริกรรมภาวนาแค่ ๒-๓ คำนี้แหละ บริกรรมเอาไว้ อย่าพึ่งทิ้ง
มัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาๆ บริกรรมอย่างนี้อยู่บ่อยๆ จนกระทั่งเกิดความคุ้นเคย โยมจะ
รู้สึกว่าที่ดีใจก็จะไม่ดีใจมาก ที่เสียใจก็จะไม่เสียใจมาก ที่อยากจะพูดกับใคร ดุด่าว่ากล่าว
ใครก็จะไม่พูดทันที กลับมาคิดก่อน หลายครั้งที่เราเสียใจเพราะคำพูด เพราะความคิด นั่น
แสดงว่าสติเราไม่พร้อม การที่จะวินิจฉัยว่า ใครที่ปฏิบัติธรรมหรือไม่ปฏิบัติธรรม หรือ
ปฏิบัติแล้วได้ผลหรือไม่ ให้ดูที่สติ ความเร็วของสติของคนๆนั้น ถ้าใครก็ตามขับรถเร็วแต่
เบรกไม่ดี แสดงว่าไม่ควรไปนั่งกับเขา คือสติเขาไม่ดี สติจึงเปรียบเสมือนกับเบรก ใน
ขณะที่จิตเหมือนกับคนขับรถที่เร็วมาก เขาต้องมั่นใจว่า เมื่อเจอเหตุการณ์เฉพาะหน้า
สามารถเหยียบเบรก แล้วประคองตัวร่างกายของเราได้ เหมือนกับรถยนต์ซึ่งเราสั่งมันไป
จิตมันก็ขับไปเรื่อยๆ ขับไปที่นั่นที่นี่ที่โน่น ขับไปเรื่อยๆ จิตของเราโมโหก็ขับรถยนต์แบบ
โมโห กิเลสมาสั่งจิตขับรถ เช่น หิว ดึกแค่ไหนก็ต้องหามากินมาใส่ มันสั่งอย่างนี้แหละ สั่ง
มานาน และทุกคำสั่งถูกโปรแกรมลงไปในชอฟต์แวร์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนา
ถูกโปรแกรมลงไปทั้งหมดแล้ว จะรู้ได้อย่างไร รื้อโปรแกรมใช้โปรแกรมเมอร์มารื้อ เพราะ
ฉะนั้นพวกเราต้องบอกว่าเราเป็นโปรแกรมเมอร์ด้วยกัน ต้องเรียนโปรแกรมของจิต ต้อง
แก้ไขในตัวมันเองได้ เราจะปล่อยให้คนนั้นคนนี้แก้ไขคนเดียวไม่ได้หรอก

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนให้เราฝึกจิต ให้เราแก้ไขตัวเอง เพราะว่าเราไม่มี
โอกาส ไม่มีเวลาแก้ไข ส่วนใหญ่มัวไปแก้ไขคนอื่น ซ่อมรถคนอื่น หรือเวลาตัวเองรถเสียก็
ไปเข้าอู่ให้คนอื่นซ่อมให้ ร่างกายของเราเช่นเดียวกัน จิตของเราก็เช่นเดียวกัน พอป่วยเรา
ต้องซ่อมเองได้ ธรรมชาติของร่างกายสร้างมาให้ซ่อมแซมตัวเองได้ จิตก็เหมือนกัน ถ้า
เราไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ไม่มีทางที่จะหาความสุขได้ ต้องฝึกวิธีคิดที่จะซ่อมแซม
ตัวเองให้ดี หลายท่านที่มาปฏิบัติธรรม มาฟังธรรม อาตมาภาพก็เชื่อมั่นว่า ท่านทั้งหลาย
จะมีความสามารถในการรื้อโปรแกรม การใส่ข้อมูล ดูว่าข้อมูลไหนจำเป็นไม่จำเป็น ถ้า
ไวรัสเกิด แล้วจะทำไง ถึงขนาดต้องฟอร์แมท(ลบล้าง)จิตไหม เอาข้อมูลใหม่ใส่เข้าไปตั้ง
สติให้ดี ต้องสร้างแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้ามากที่จะทำงาน ต้องพลิกชีวิตเลย ถ้าชีวิต
มันดีขึ้นไม่ได้ต้องฟอร์แมท ถ้าใครเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ได้ต้องแก้ไข เพราะการปฏิบัติ
ธรรมนั้นคือการเปลี่ยนแปลงชีวิต อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี คำ
ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ได้หมายความว่า จมลง ปลง ปล่อยไปตามกรรมช่างมัน
เถอะ แต่หมายความว่าต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี สร้างแรงบันดาลใจขึ้นมาให้ได้
ชำระจิตทุกๆ วัน ตื่นนอน ก่อนนอน ให้เวลากับเขาอาบน้ำในห้องน้ำเวลาหนึ่งชั่วโมง ชำระ
จิตต้องอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงเช่นกัน แล้วโยมจะมีความรู้สึกว่า เราได้ตัวเองกลับคืน หลัง
จากที่สูญเสียตัวเองไปตั้งนาน ได้ตัวเองกลับคืนแล้ว ดีใจเหลือเกิน

เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพูดคำว่าชำระจิตนั้นจึงหมายถึงขบวนการทั้งหมด ที่เราเรียกกันว่า
ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งจะเป็นตัวองค์ประกอบรวม เป็นอุปกรณ์เหมือนเครื่องมือดูดเสลดนี่
แหละ มันทำหน้าที่หลายอย่างแต่ว่าเราเรียกว่า เครื่องมือดูดกิเลส เราก็เอามาใช้งานให้
ได้ สร้างแรงบันดาลใจให้ได้ แล้วต่อเนื่อง การปฏิบัติธรรมจะได้ผล ก็ต่อเมื่อเราสามารถ
สร้างความต่อเนื่องได้เหมือนเด็กเล่นยิมนาสติก เล่นทุกวันต่อเนื่องๆ ตีเทนนิส เตะ
ฟุตบอล เล่นกีฬาทุกชนิด อาศัยความต่อเนื่อง ถ้าทักษะในการชำระมีทุกวันๆ จิตก็จะ
สะอาด ในการชำระ แต่ถ้าทักษะในการสั่งสมมีมากกว่าจิตก็จะเพลิดเพลินในการสังสรรค์
เวลาที่จะเอาออกยากมาก สนิมจะเขลอะ ใครจะไปแก้ ใครจะไปขัด ยากมาก

เพราะฉะนั้นเวลาที่เราฝึกตัวเอง ฝึกลูกฝึกหลาน ต้องฝึกหลายๆ ด้าน เช่น บางครั้งลูกผิด
หวัง ต้องบอกให้เขาเข้าใจว่า มันมีประโยชน์นะความผิดหวัง ใช่ว่าความสมหวังจะมี
ประโยชน์อย่างเดียว บางทีหากลูกคนไหนสมหวังตลอด พอไปเจอผิดหวังครั้งเดียวอาจจะ
เสียใจ เสียชีวิตได้ ก็ต้องฝึก เขาเรียกว่าสร้างบุญบารมี สร้างขันติบารมี ถ้าคนโกรธจะไม่มี
เมตตา จะอาฆาตมาดร้าย เราอาจจะบอกลูกว่า ลองฝึกบารมีเมตตาดู ดีนะที่เขาทำให้เรา
โกรธ เราจะได้สร้างเมตตาบารมี เขาทำให้เราเกลียด ดีแล้วจะได้สร้างเมตตาบารมี ไม่
โกรธตาม ไม่เกลียดตาม ถ้าคิดอย่างนี้นะ บุญบารมีก็จะเกิดขึ้น นั่นหมายความว่าเครื่อง
แอนตี้ไวรัสได้ถูกบรรจุไว้แล้ว ปลอดภัยล่ะทีนี้ ชำระแล้วยังต้องป้องกันด้วย ใส่เครื่อง
ป้องกันไว้ กายก็มีศีลปกป้องคุ้มครอง ใจก็ยังมีสมาธิชำระ ชำระทั้งของเก่าและป้องกันไม่
ให้ไวรัสตัวใหม่เข้าไปโจมตี ศีล สมาธิ ปัญญา จึงถือว่ามีความสำคัญมาก

เพราะฉะนั้นวันนี้ก็มาพูดคุยธรรมะกับญาติโยมทั้งหลาย ว่าจริงๆ แล้วเรื่องของกรรมเราตัด
ได้ อาตมายืนยันว่าตัดได้ แต่ต้องตัดใจก่อนที่จะไม่ทำความชั่วทั้งทางกาย วาจา ใจ ที่จะ
ไม่ทำผิด ไม่ละเมิดศีลทางกาย และไม่ทำจิตของเราให้ตก ไม่เอาสนิมเข้าไปเทในหัวใจ
ของเราทุกวัน ชำระทุกวันอย่างนี้ ภพภูมิภพชาติของเรามันก็จะขยับขึ้นไปเรื่อยๆ จาก
ปัจจุบันนี้ เราได้ภพภูมิแค่นี้ พอคราวหน้าเราก็ได้ภพภูมิที่สูงขึ้นๆ ละเอียดขึ้น จนกระทั่งยุติ
การการเวียนว่ายตายเกิด ยุติภพภูมิ เป็นอิสระ อันนี้ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดในทางพระพุทธ
ศาสนาในการปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นในวันนี้ก็ขอกล่าวธรรมกถาธรรมเทศนาสั้นๆ ให้ญาติ
โยมทั้งหลายได้ฟัง ต่อไปก็ตั้งใจทำสมาธิ หลับตาดูใจกันต่อไป

(พระอาจารย์นำปฏิบัติ จิตภาวนา)

สาธุ...ขออนุโมทนากับทุกท่านที่สนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมครับ


แก้ไขล่าสุดโดย kaveebsc เมื่อ 10 ต.ค. 2009, 20:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร