วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2009, 04:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=14&p=6

...
ไม่อาจจะอดทนอยู่ได้ จึงออกไป ด้วยคิดว่า " ทีนี้แหละ นางไม่เป็น
ของเราละ" ดังนี้แล้ว ด่าอุบาสิกาและพระศาสดาโดยประการต่าง ๆ ว่า
" อีกาลกิณี มึงเป็นคนฉิบหาย. มึงจงทำสักการะนี้แก่สมณะนั่นเถิด"
ดังนี้เป็นต้น หนีไปแล้ว.

อุบาสิกามีจิตฟุ้งซ่าน
อุบาสิกาละอาย เพราะถ้อยคำของอาชีวกนั้น ไม่อาจจะส่งจิตซึ่ง
ถึงความฟุ้งซ่าน๑ ไปตามกระแสแห่งเทศนาได้.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า "อุบาสิกา เธอไม่อาจทำจิต
ให้ไปตาม ( แนว ) เทศนาได้หรือ ?"
อุบาสิกา. พระเจ้าค่ะ เพราะถ้อยคำของอาชีวกนี้ จิตของข้า-
พระองค์ เข้าถึงความฟุ้งซ่านเสียแล้ว .

พระศาสดา ตรัสว่า
"ไม่ควรระลึกถึงถ้อยคำที่ชนผู้ไม่เสมอภาค
กันเห็นปานนี้กล่าว,
การไม่คำนึงถึงถ้อยคำเห็นปานนี้แล้ว
ตรวจดูกิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของตนเท่านั้นจึงควร"

ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถา
นี้ว่า :-

๖. น ปเรสํ วิโลมานิ น ปเรสํ กตากตํ
อตฺตโน ว อเวกฺเขตยฺย กตานิ อกตานิ จ.
"บุคคลไม่ควรทำคำแสยงขนของคนเหล่าอื่นไว้
ในใจ, ไม่ควรแลดูกิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของคน
เหล่าอื่น, พึงพิจารณากิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำ
ของตนเท่านั้น."


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 63

Post ไว้เดิม
viewtopic.php?f=7&t=20623


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 07 ส.ค. 2009, 04:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2009, 04:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔
หน้าต่างที่ ๖ / ๑๒.


๖. เรื่องปาฏิกาชีวก [๓๘]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภอาชีวกชื่อปาฏิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น ปเรสํ วิโลมานิ" เป็นต้น.

ชาวบ้านสรรเสริญธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า
ดังได้สดับมา หญิงแม่เรือนคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี ปฏิบัติอาชีวกชื่อปาฏิกะ ตั้งไว้ในฐานะดังลูก. พวกมนุษย์ในเรือนใกล้เคียงของนาง ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว มาพรรณนาพระพุทธคุณโดยประการต่างๆ เป็นต้นว่า "แหม! พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย น่าอัศจรรย์ (นัก)."

นางอยากไปฟังธรรมแต่ไม่สมประสงค์
หญิงแม่เรือนนั้นฟังถ้อยคำสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว ประสงค์จะไปสู่วิหารแล้วฟังธรรม จึงเล่าความนั้นแก่อาชีวก แล้วกล่าวว่า "พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันจักไปสำนักของพระพุทธเจ้า."
อาชีวกนั้นห้ามว่า "อย่าไปเลย" แล้วก็เลยห้ามนางแม้ผู้อ้อนวอนอยู่แล้วๆ เล่าๆ เสียทีเดียว.
นางคิดว่า "พระผู้เป็นเจ้านี้ ไม่ให้เราไปวิหารฟังธรรม, เราจักนิมนต์พระศาสดามา แล้วฟังธรรมในที่นี้แหละ" ดังนี้แล้ว ในเวลาเย็น จึงเรียกบุตรชายมาแล้วส่งไปด้วยคำว่า "เจ้าจงไป, จงนิมนต์พระศาสดามาเพื่อเสวยภัตตาหารพรุ่งนี้."
บุตรชายนั้น เมื่อจะไป ก็ไปที่อยู่ของอาชีวกก่อน ไหว้อาชีวกแล้วนั่ง. ทีนั้น อาชีวกนั้นถามเขาว่า "เธอจะไปไหน?"
บุตร. ผมจะไปนิมนต์พระศาสดาตามคำสั่งของคุณแม่.
อาชีวก. อย่าไปสำนักของพระองค์เลย.
บุตร. ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า, ผมจักไป.
อาชีวก. เราทั้งสองคน จักกินเครื่องสักการะที่คุณแม่ของเธอทำถวายพระศาสดานั่น, อย่าไปเลย.
บุตร. ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า, คุณแม่จักดุผม.
อาชีวก. ถ้ากระนั้นก็ไปเถิด, ก็แล ครั้นไปแล้ว จงนิมนต์ (แต่) อย่าบอกว่า ‘พระองค์พึงเสด็จไปเรือนของพวกข้าพระองค์ในที่โน้น ในถนนโน้น หรือโดยหนทางโน้น’ (ทำ) เป็นเหมือนยืนอยู่ในที่ใกล้ เหมือนจะไปโดยหนทางอื่น จงหนีมาเสีย.

บุตรชายทำตามคำของอาชีวก
เขาฟังถ้อยคำของอาชีวกแล้วไปสำนักของพระศาสดา นิมนต์แล้ว ทำกิจทุกสิ่งโดยทำนองอาชีวกกล่าวแล้วนั่นแล แล้วไปสำนักของอาชีวกนั้น ถูกอาชีวกถามว่า "เธอทำอย่างไร?" จึงตอบว่า "ที่ท่านบอกทั้งหมด ผมทำแล้ว ขอรับ." อาชีวกกล่าวว่า "เธอทำดีแล้ว, เราทั้งสองคนจักกินเครื่องสักการะที่คุณแม่ของเธอทำไว้เพื่อพระศาสดานั้น" ดังนี้แล้ว ในวันรุ่งขึ้น อาชีวกได้ไปสู่เรือนนั้นแต่เช้าตรู่.
พวกคนในบ้านพาอาชีวกนั้นให้ไปนั่งที่ห้องหลัง, พวกมนุษย์คุ้นเคยฉาบทาเรือนนั้นด้วยโคมัยสด โปรยดอกไม้ซึ่งมีข้าวตอกเป็นที่ ๕ ลง แล้วปูลาดอาสนะอันควรแก่ค่ามาก เพื่อประโยชน์แก่การประทับนั่งของพระศาสดา.
จริงอยู่ พวกมนุษย์ที่ไม่คุ้นเคยกับพระพุทธเจ้า ย่อมไม่รู้จักการปูลาดอาสนะ.

พระพุทธเจ้าเสด็จไปเยือนอุบาสิกา
อนึ่ง ชื่อว่ากิจ (เนื่อง) ด้วยผู้แสดงทาง ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะหนทางทั้งหมดแจ่มแจ้งแก่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น แล้วว่า "ทางนี้ไปนรก, นี้ไปกำเนิดดิรัจฉาน, นี้ไปเปตวิสัย, นี้ไปมนุษยโลก, นี้ไปเทวโลก, นี้ไปอมตนิพพาน" ในวันที่ทรงยังหมื่นแห่งโลกธาตุให้หวั่นไหว แล้วบรรลุสัมโพธิที่โคนต้นโพธินั่นแล, จึงไม่มีคำที่ควรกล่าวในหนทางแห่งสถานที่ต่างๆ มีคามและนิคมเป็นต้นเลย
เพราะฉะนั้น พระศาสดาทรงถือบาตรและจีวรแล้ว จึงเสด็จไปสู่ประตูเรือนของมหาอุบาสิกาแต่เช้าตรู่. นางออกมาจากเรือน ถวายบังคมพระศาสดา ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ อัญเชิญให้เสด็จเข้าไปภายในเรือน ให้ประทับนั่งเหนืออาสนะแล้วถวายทักษิโณทก อังคาสด้วยขาทนียะ และโภชนียะอันประณีต.
อุบาสิกาประสงค์จะให้พระศาสดาผู้ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้ว ทรงกระทำอนุโมทนา จึงรับบาตรแล้ว.

อุบาสิกาฟังธรรมแล้วถูกอาชีวกด่า
พระศาสดาทรงเริ่มธรรมกถาสำหรับอนุโมทนา ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ. อุบาสิกาฟังธรรมพลางให้สาธุการว่า "สาธุ สาธุ." อาชีวกนั่งอยู่ห้องหลังนั่นแล ได้ยินเสียงนางให้สาธุการแล้ว ฟังธรรมอยู่ ไม่อาจจะอดทนอยู่ได้ จึงออกไป ด้วยคิดว่า "ทีนี้แหละ นางไม่เป็นของเราละ" ดังนี้แล้ว ด่าอุบาสิกาและพระศาสดาโดยประการต่างๆ ว่า "อีกาลกิณี มึงเป็นคนฉิบหาย, มึงจงทำสักการะนี้แก่สมณะนั่นเถิด" ดังนี้เป็นต้น หนีไปแล้ว.

อุบาสิกามีจิตฟุ้งซ่าน
อุบาสิกาละอาย เพราะถ้อยคำของอาชีวกนั้น ไม่อาจจะส่งจิตซึ่งถึงความฟุ้งซ่าน๑- ไปตามกระแสแห่งเทศนาได้.


แก้ไขล่าสุดโดย นัน555 เมื่อ 07 ส.ค. 2009, 04:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2009, 04:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


____________________________
๑- อญฺญถตฺตํ แปลตามศัพท์ว่า ซึ่งความเป็นอย่างอื่น.

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า "อุบาสิกา เธอไม่อาจทำจิตให้ไปตาม (แนว) เทศนาได้หรือ?"
อุบาสิกา. พระเจ้าค่ะ เพราะถ้อยคำของอาชีวกนี้ จิตของข้าพระองค์เข้าถึงความฟุ้งซ่านเสียแล้ว.


...... :b45: :b45: :b45:
พระศาสดาตรัสว่า
"ไม่ควรระลึกถึงถ้อยคำที่ชนผู้ไม่เสมอภาคกันเห็นปานนี้กล่าว,
การไม่คำนึงถึงถ้อยคำเห็นปานนี้แล้ว
ตรวจดูกิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของตนเท่านั้น จึงควร"
ดังนี้แล้ว

ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๖. น ปเรสํ วิโลมานิ น ปเรสํ กตากตํ
อตฺตโน ว อเวกฺเขยฺย กตานิ อกตานิ จ.
บุคคลไม่ควรทำคำแสยงขนของคนเหล่าอื่นไว้ในใจ,
ไม่ควรแลดูกิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของคนเหล่าอื่น,
พึงพิจารณากิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของตนเท่านั้น.



แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า น ปเรสํ วิโลมานิ ความว่า ไม่ควรทำคำแสยงขน คือคำหยาบ ได้แก่คำตัดเสียซึ่งความรักของคนเหล่าอื่น ไว้ในใจ.

บาทพระคาถาว่า น ปเรสํ กตากตํ ความว่า ไม่ควรแลดูกรรมที่ทำแล้วและยังไม่ทำแล้วของคนเหล่าอื่น
อย่างนี้ว่า "อุบาสกโน้นไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส, แม้วัตถุมีภิกษาทัพพีหนึ่งเป็นต้น ในเรือน เขาก็ไม่ให้, สลากภัตเป็นต้น เขาก็ไม่ให้, การให้ปัจจัยมีจีวรเป็นต้น ไม่มีแก่อุบาสกนั่น; อุบาสิกาโน้นก็เหมือนกัน ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส, ภิกษาทัพพีหนึ่งเป็นต้น ในเรือน นางก็ไม่ให้, สลากภัตเป็นต้นก็ไม่ให้, การให้ปัจจัยมีจีวรเป็นต้น ก็ไม่มีแก่อุบาสิกานั้น, ภิกษุโน้นก็เช่นกัน ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ทั้งไม่ทำอุปัชฌายวัตร, ไม่ทำอาจริยวัตร, ไม่ทำอาคันตุกวัตร, ไม่ทำวัตรเพื่อภิกษุผู้เตรียมจะไป, ไม่ทำวัตรที่ลานพระเจดีย์, ไม่ทำวัตรในโรงอุโบสถ, ไม่ทำวัตรที่หอฉัน, ไม่ทำวัตรมีวัตรในเรือนไฟเป็นอาทิ, ทั้งธุดงค์ไรๆ ก็ไม่มีแก่เธอ แม้เหตุสักว่าความอุตสาหะ เพื่อความเป็นผู้มีภาวนาเป็นที่มายินดี ก็ไม่มี."

บาทพระคาถาว่า อตฺตโน ว อเวกฺเขยฺย ความว่า กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา เมื่อระลึกถึงโอวาท๑- นี้ว่า

"บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า วันคืนล่วงไปๆ เราทำอะไรอยู่" ดังนี้แล้ว ก็พึงแลดูกิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของตนอย่างนี้ว่า "เราไม่อาจจะยกตนขึ้นสู่ไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เกษมจากโยคะ หรือหนอ?"
ในกาลจบเทศนา อุบาสิกาดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว.
เทศนามีประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล.
____________________________
๑- อัง. ทสก. เล่ม ๒๔/ข้อ ๔๘.

เรื่องปาฏิกาชีวก จบ.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร