วันเวลาปัจจุบัน 17 เม.ย. 2024, 03:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2009, 07:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ประสบการณ์การออกธุดงควัตรในป่าลึก
ของ “หลวงปู่จันทา ถาวโร”


ปลายปี 2543 ผู้เขียนได้มีโอกาสขึ้นไปกราบพระเกจิอาจารย์ทางภาคเหนือหลายรูป ซึ่งแต่ละรูปล้วนเป็นพระสงฆ์ที่เคร่งต่อการปฏิบัติในแนวทางสาย “พระป่า” ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ทั้งสิ้น การปฏิบัติธรรมในสายนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า มีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดอย่างน่าเลื่อมใสเพียงใด หากใครจะไปหาโดยที่ไม่ได้นัดหมายกันไว้ก่อนก็มักจะไม่ค่อยพบ เพราะเหตุที่หลวงพ่อและหลวงปู่ทุกรูปจะไม่ค่อยอยู่ประจำวัด ท่านมักออกธุดงค์เพื่อฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาตามป่าเขา หรือตามหมู่บ้านท้องถิ่นที่กันดาร

มีเรื่องเล่ามากมายจากหลวงปู่รูปหนึ่ง ซึ่งเป็นพระกรรมฐานสุปฏิปันโนที่มีอายุเกือบ 80 ปีแล้วท่านได้เล่าถึงประสบการณ์ในการออกธุดงควัตร ปฏิบัติสมาธิภาวนาในป่า ที่ต้องผจญกับภยันตราย สิ่งลี้ลับ มหัศจรรย์ เรื่องประหลาดๆ หลายๆ เรื่อง หลวงปู่ท่านนี้คือ “หลวงปู่จันทา ถาวโร” แห่งวัดป่าเขาน้อย จังหวัดพิจิตร

ประสบการณ์ในการออกธุดงควัตรมีอยู่ในหนังสือประวัติของหลวงปู่จันทา ซึ่งเป็นการรวมเรื่องที่ท่านได้เล่าให้ญาติโยมฟังในโอกาสสำคัญต่างๆ ผู้เขียนเห็นหลายเรื่องน่าสนุกและคงหาอ่านกันไม่ได้ง่ายๆ ใครอยากอ่านต้องไปหาท่านถึงพิจิตร เพราะไม่มีการพิมพ์จำหน่าย นอกจากจะเป็นการเผยแพร่เท่านั้น ผู้เขียนจึงได้ขออนุญาตหลวงปู่นำเรื่องราวในบางตอนมาลงเผยแพร่ใน “หญิงไทย” เพื่อให้เกิดประโยชน์เป็นธรรมทานสำหรับผู้อ่านที่สนใจ ตอนหนึ่งที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่อง “สวรรค์” หลวงปู่จันทา ถาวโร เล่าว่าท่านเคยประสบพบเห็น และสนทนาธรรมกับเหล่าเทพยดาจากสวรรค์ว่า...

...ปี 2501 อาตมาได้ขึ้นไปภาวนาอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพล อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี (อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู ในปัจจุบัน) กับหลวงปู่ขาว (อนาลโย) และหลวงปู่หลุย (จันทสาโร) ในสมัยนั้นที่วัดถ้ำกลองเพลยังขลุกขลักอยู่มาก ไม่สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ แต่ก็เหมาะสำหรับการทำความเพียรมาก เข้าที่นั่งสมาธิจิตก็รวมได้เร็ว รวมได้ทุกขณะนั่นแหล่ะ เมื่อไปอยู่ที่นั่นจึงตั้งใจทำความเพียรไม่ลดละด้วยการอดนอน ผ่อนอาหาร ตลอดไตรมาส 3 เดือน ตั้งใจทำความเพียรอยู่อย่างนั้น

รูปภาพ
หลวงปู่ขาว อนาลโย

รูปภาพ
หลวงปู่หลุย จันทสาโร


อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันเพ็ญ เมื่อเดินจงกรมเสร็จแล้วก็ไปนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำใหญ่ นั่งสมาธิกำหนดพุทโธเป็นอารมณ์ของสติ ไม่นานจิตก็วาง “พุทโธ” แล้วจิตก็รวมลงสู่ภวังคภพพอันแน่นแฟ้น อุปจารธรรมเกิดขึ้น มีแสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิดขึ้น กลางคืนเหมือนกลางวันสว่างโล่อย่างนั้น

ไม่นานมีฝูงเทพยดาทั้งหลาย มีแต่ผู้หญิงล้วนๆ รูปร่างใหญ่โตมโหฬารสวยงามเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ ถือธงแดงและธูปคนละอันมาจากฟากฟ้า มาถึงถ้ำแล้วก็เอาธงปัก จุดธูป แล้วก็พากันกราบไหว้ กราบที่ 1 ว่า “พุทโธ” กราบที่ 2 ว่า “ธัมโม” กราบที่ 3 ว่า “สังโฆ สะระณัง คัจฉามิ” เสร็จแล้วก็ทำวัตรเย็น จากนั้นก็สวด “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร และอาทิตตปริยายสูตร ทั้ง 3 สูตรนี้เขาเรียกว่าราชาธรรม เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ ธรรมทั้ง 84000 พระธรรมขันธ์มารวมอยู่ที่นี่ทั้งหมด

เมื่อสวดมนตร์เสร็จแล้วเขาก็นั่งภาวนา นานนะเป็นชั่วโมง สองชั่วโมงสามชั่วโมงนะ เรียบร้อยดี เมื่อเสร็จแล้วเขาก็กราบพุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วเขาก็จะจากไป จึงได้กำหนดถามเขาว่า

“โยม...มาจากสถานที่ใด” เขาก็ว่า “ท่านอาจารย์พวกดิฉันมาจากเมืองสวรรค์”

“มาที่นี่เพื่อประโยชน์อะไรหรือโยม” เขาก็ตอบว่า “มาบูชาแก้วทั้ง 3 ประการนะท่าน”

“บูชาเพื่อประโยชน์อะไร”

“เพื่อบำเพ็ญกุศลนะท่าน เพราะแก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆนั้นเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ในการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนและของหอม”

ถามเขาไปอีกว่า “อยู่บนสวรรค์ไม่ได้บำเพ็ญหรือโยม”

“บำเพ็ญอยู่เหมือนกันแต่ได้รับผลน้อย ไม่ได้มากเหมือนอยู่ในเมืองมนุษย์ ในเมืองมนุษย์ทำน้อยได้มาก ทำมากก็ยิ่งได้มาก เพราะเป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญบุญกุศล จะไปสวรรค์หรือพรหมโลกก็ต้องมาบำเพ็ญบุญในเมืองมนุษย์นี้ก่อน จะไปนิพพานพ้นทุกข์จากโอฆสงสารก็ต้องมาบำเพ็ญบุญในศาสนาพุทธ ในเมืองมนุษย์นี่เสียก่อนจึงจะได้ นอกนั้นไม่มี”

“ในสมัยพระเจ้ากัสสโปโน้น (ยุคศาสนาของพระเจ้ากัสสโป) พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นหญิงชาวบ้านพากันประพฤติวัตรปฏิบัติขัดสีแก้วทั้ง 3 ประการให้สว่างไสวรุ่งโรจน์ทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยการเดินจงกรมบูชาแก้วทั้ง 3 ดวงนี้ แก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆ ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิตย์ไม่ลดละ ล้วนแต่เป็นบุญเป็นกุศลทั้งนั้น ทานการกุศลสิ่งใดที่ให้แก่สมณชีพราหมณ์นั้นก็จะกลายเป็นของทิพย์ไปรอคอยอยู่บนสวรรค์หมดทั้งนั้น ฉะนั้น เมื่อพวกข้าพเจ้าไปเกิดบนสวรรค์ก็มีแต่ความสุขสำราญ เป็นผลจากการประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาถึง 2 หมื่นปี ในสมัยศาสนาพระเจ้ากัสสโป ผู้คนอายุยืน 2 หมื่นปีนะท่าน”

พวกเทพยดาเหล่านั้นล้วนแต่มีรูปร่างสูงใหญ่ สวยงาม มีผิวสีขาว เหลือง แดง ไว้ผมยาว ใส่สายสร้อยรอบตัว นุ่งผ้ายาวครึ่งแข้งเหมือนคนโบราณ เวลาเดินก็งาม พูดก็งาม เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์แล้วไกลกันเหมือนฟ้ากับดินนะ จากนั้นเขาก็ฝากธรรมะว่า

“ท่านอาจารย์ขอได้โปรดไปแนะนำพร่ำสอนญาติโยมทั้งหลาย ให้พากันบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา บำเพ็ญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค 8 โพชฌงค์ 7 และพากันเดินจงกรมฝึกจิต อบรมจิตสอนจิตให้มันดี นั่งสมาธิภาวนานั่นแหละจะเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่เหมือนดังที่พวกข้าพเจ้าทำอยู่อย่างนั้น 2 หมื่นปี เมื่อสิ้นลมแล้วเหมือนกับว่านอนหลับแล้วก็ตื่นขึ้นฉะนั้น”

เสร็จแล้วเขาก็ลาจากไป ปลิวขึ้นสู่อากาศเหมือนกับนุ่นต้องลม ปลิวเข้าสู่กลีบเมฆหายไปเลย ขณะที่สนทนากันนั้นลืมถามไปว่า พวกเขาเหล่านั้นมาจากสวรรค์ชั้นไหน ได้ถามแต่ว่า “ทำไมจึงมีแต่นางเทพยดาไม่เห็นมีเทพบุตร” เขาก็ตอบว่า “เมื่อครั้งที่พวกข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ได้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนานั้น ไม่มีพวกผู้ชายไปบำเพ็ญด้วย ดังนั้นเมื่อไปเกิดบนสวรรค์จึงไม่มีเทพบุตร” นั่นแหละ ทำอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น

รุ่งเช้าไปทำกิจวัตร หลวงปู่ขาวท่านถามว่า “เมื่อคืนภาวนาเห็นอะไรบ้าง”

อาตมาตอบว่า “หลวงปู่ครับผมตั้งสัตย์ไว้แล้วว่าจะไม่นอนทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อคืนนี้ภาวนาแล้วจิตสงบเห็นสาวสวรรค์ลงมาจากสวรรค์ในราว 60 คน มีรูปร่างสูงใหญ่สวยงาม ถือธงแดงและธูปลงมาคนละอันเอามาปักไว้หน้าถ้ำ แล้วก็พากันไหว้พระสวดมนต์ จบแล้วก็นั่งภาวนา เสร็จแล้วก่อนที่เขาจะจากไป ได้ถามเขาว่า มาจากไหน เขาก็ตอบว่า มาจากเมืองสวรรค์”

หลวงปู่ขาว (อนาลโย) ท่านก็ว่า “ปัตจัตตังจ ะรู้เห็นเฉพาะผู้ปฏิบัติ ใครปฏิบัติผู้นั้นก็จะรู้เห็นเองนะ แต่ถ้าปฏิบัติแล้วจิตไม่สงบก็ไม่เห็น เมื่อจิตสงบลงสู่อุปจารธรรมแล้วจะเห็นได้ เพราะจิตเข้าสู่ภพเดียวกับพวกเขาเหล่านั้น”

นั่นแหละก็เห็นจริงแจ้งชัดประจักษ์ว่า สวรรค์นั้นมีจริง ถึงแม้จะไม่ได้ไปเห็นเมืองสวรรค์ แต่ก็ได้เห็นนางเทพธิดาทั้งหลายเหาะลงมาจากฟ้า ลงมาไหว้พระสวดมนต์และนั่งภาวนาอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพลนั้น...”

รูปภาพ
พระอาจารย์บุญพิน กตปุญโญ


หลวงปู่ฯ เทศน์โปรดเทวดาจากภูเขาใหญ่ “...สมัยหนึ่งไปวิเวกที่ถ้ำพระ บ้านตาลเลียน อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ภูเขาลูกนั้นมีถ้ำอยู่ 2-3 ถ้ำ ไปอยู่คนละถ้ำกับพระอาจารย์บุญพิน (กตปุญโญ) วันนั้นนั่งภาวนาตั้งแต่หัวค่ำ ราวเที่ยงคืนจิตสงบแล้วเกิดแสงสว่างกระจ่างแจ้ง จากนั้นก็มีฝูงเทพบุตรเทพยดาลงมาจากภูเขาใหญ่ รูปร่างใหญ่โต สวยงาม แต่พูดจาเสียงแข็ง แต่ก็ไม่ใช่ลักษณะการด่าว่าหรอก เขามาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล 5 ถามว่า “จะรับไปทำไม” เขาก็ว่า “พวกข้าพเจ้าหมดเกษียณภพชาติที่อยู่บนภูเขาใหญ่แล้ว จะได้เกิดยังเมืองมนุษย์อีก เมื่อเห็นท่านมาอยู่ที่นี่ก็ดีใจเลยมาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล 5”

เมื่อให้เสร็จแล้วเขาขอฟังธรรมะ ก็เทศน์ให้ฟังว่า “เยเกจิ พุทธัง สะระณัง คะตา เส นะ เต คะมิสสันติ อะปายะภูมิง” นรชาติหญิงชายทั้งหลาย เมื่อเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไปไฟนรกไม่ได้ไหม้สิ้นแสนกัป ดับขันธ์แล้วจะมีแต่สุคติสวรรค์เป็นที่ไปเบื้องหน้าได้ชื่อว่า มนุสสะธัมโม เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องกลั่นกรองกิเลส เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องล้างบาปและเคราะห์เข็ญเวรร้าย นั่นแหละเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้

เสร็จแล้วเขาก็จากไปเข้าสู่จังหวัดอุดรธานีมีราวๆ 100 ตนเห็นจะได้ คืนนั้นนั่งภาวนาทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้าแจ้งเป็นวันใหม่ พระอาจารย์บุญพิน (กตปุญโญ) ก็มาถามว่า “เมื่อคืนนี้เทศน์ให้ใครพัง”... “เทศน์ให้เทพบุตรเทพยดามาจากภูเขาใหญ่ เขาหมดเกษียณภพชาติแล้ว เขาจะไปเกิดเป็นมนุษย์ที่เมืองอุดรธานีโน่น”

การเล่าถึงประสบการณ์ในการออกธุดงควัตร ปฏิบัติสมาธิภาวนาในป่าเขาลำเนาไพรของพระกรรมฐานสุปฏิปันโน พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต รูปหนึ่งผู้มีนามว่า “หลวงปู่จันทา ถาวโร” ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือสูงสุดของสาธุชนชาวพิจิตร เรื่องที่หลวงปู่ท่านเล่าถึงการผจญกับภัยอันตรายหรือสิ่งเร้นลับมหัศจรรย์ยังมีอีกหลายเรื่อง ซึ่งล้วนแต่สนุก มีสาระแฝงข้อคิดที่เป็นคุณประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ผู้เขียนจึงขอนำเรื่องเล่าบางตอนของหลวงปู่มาเผยแผ่ต่อไป...

รูปภาพ
หลวงปู่จันทา ถาวโร


ประสบการณ์การตายแล้วฟื้น

สมัยหนึ่ง (ปี 2494) ไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านตะเบาะ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ มีพระจำพรรษาอยู่ด้วยกัน 3 รูป สามเณร 1 รูป และผ้าขาวเฒ่า 1 คน (ผ้าขาวคือฆราวาสผู้รักษาศีล 8 อยู่ที่วัด) อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันเพ็ญเดือน 10 หลังจากฉันอาหารเช้าแล้วกลับมาที่กุฏิ เอาผ้าคลุมจะไปฟังธรรม ก็พอดีไข้มาลาเรียมันกำเริบหนักขึ้นสมอง ล้มลงกับพื้นที่กุฏิซึ่งปูด้วยฟากไม้ไผ่ เณรได้ยินเสียงล้มลงจึงออกมาดูแล้วถามว่า “ครูบา...เป็นอะไร” (ครูบาเป็นคำเรียกพระที่พรรษาหย่อน 10) “ไม่รู้...มันมึนตึ๊บแล้วก็ล้มลงเลย”

เณรก็วิ่งไปบอกญาติโยมว่า “ครูบาจันทาล้มลงนะ...เป็นอะไรก็ไม่ทราบ” ทั้งพระและโยมเขาก็เข้ามาดู เอาหมอมาด้วย หมอก็ตรวจดูแล้วบอกว่า เป็นไข้มาลาเรียขึ้นสมองอย่างหนัก อีก 5 นาทีก็จะสิ้นลม โยมทายกวัดเขาก็ว่า จะเป็นหรือตายอย่างไรก็ตามต้องฉีดยาช่วยเหลือไว้ก่อน พอฉีดยาเสร็จแล้วไม่นานก็สิ้นลม เมื่อสิ้นลมดวงจิตนั้นยังไม่ยอมออกจากร่าง ยังห่วงใยเสียดายร่างกายอยู่ ไม่นานมีเพื่อนคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆ ร้องบอกว่า

“เพื่อนๆ รีบออกจากเรือนเถอะ ไฟมันจะไหม้ทับหัว” ก็เลยออกจากร่างมายืนติดกับเพื่อน

เพื่อนก็บอกว่า “นี่แหล่ะ...เพื่อนเอ๋ย สมบัติร่างกายนี้นั้นอาศัยกันมาตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันนี้นั้นก็ถูกไฟพยาธิเผาให้เร่าร้อนฉิบหายเสียแล้ว จะอาศัยอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ หมดเพียงแค่นี้นั่นแหละ ถึงจะเสียดายอย่างไรก็หมดสิทธิ์อำนาจที่จะเข้าไปครอบครองได้อีกต่อไป”

จากนั้นทั้งพระและโยมก็ช่วยกันเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็หามศพไปไว้ที่ศาล วางนอนไว้เฉยๆ ไม่ได้ใส่โลงและก็ไม่ได้ฉีดยา ก็ตามไปดูอีกเพราะความเสียดายนั่นแหละ เข้าไปนั่งลูบคลำร่างกายศพ ดูแล้วก็เฉยเหมือนขอนไม้ โอ้หนอ...ขึ้นชื่อว่าตายแล้วถึงจะคิดเสียดาย อาลัยอาวรณ์อย่างไรก็เอากลับคืนมาไม่ได้แล้วก็หมดความสงสัย ทีนี้ก็หันไปพูดกับพระเณรเขาก็ไม่พูดด้วย ไปถามญาติโยมเขาก็ไม่พูดด้วย เขามองไม่เห็นเพราะมีแต่นามธรรมคือ “ดวงจิต” จึงหันกลับมาถามเพื่อนว่า “เราจะไปไหนกันดี” เพื่อนก็ตอบว่า “จะพาไปเที่ยวดูภูมิประเทศ”

ก็ออกเดินทางกันวันยังค่ำ มีแต่ดวงจิตไปสบาย ไม่หิวโหย ไม่เหนื่อยล้า ครั้นไปถึงกึ่งกลางระหว่าง 2 หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งเป็นภูเขา อีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นป่าดง ในระหว่างกลางนั้นเป็นสนามเล่น ก็เลยไปพักเล่นอยู่กับเขา พักเล่นอยู่จนกระทั่งตี 3 พวกเขากลับบ้านกันหมดเพราะมันจะค่ำ กลางคืนเป็นกลางวันนะ เมื่อพวกเขากลับกันหมดแล้วก็ถามเพื่อนว่า “เราจะไปไหนกันอีก” เพื่อนก็บอกว่า “เราเองก็มาใหม่ ยังไม่รู้จักภูมิประเทศดี จะไปข้างหน้าก็เป็นป่าดง ไปข้างหลังก็เป็นภูเขา แต่ว่าขณะนี้สมบัติปัจจัยเก่าคือร่างกายนั้นยังสดชื่นอยู่ พอที่จะกลับคืนสู่ร่างเก่าได้เพราะมีบุญครึ่งหนึ่งรักษาไว้ แต่ว่าเรามาไกลแล้ว จะเดินกลับคงไม่ทันแน่ ต้องวิ่ง”

เอ้าวิ่งก็วิ่งเลย ข้ามดงข้ามทุ่งมาถึงวัดแล้วก็ขึ้นไปบนศาลาไปดูซากศพก็เห็นนอนสบายดีอยู่ มีแต่ญาติโยมที่มาเฝ้าศพปรึกษากันว่าจะเผาหรือฝังเท่านั้น เพื่อนก็บอกให้เข้าไปนั่งติดกับร่างศพและตั้งสติให้ดี นึกถึงบุญเก่าและบุญใหม่ประกอบกันเข้านั่นแหละจะช่วยให้ดวงจิตกลับเข้าสู่ร่างได้ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์ พอนึกจบแล้วก็เข้าสู่ร่างกายได้สบาย เมื่อหันหน้ากลับมาดูเพื่อน เพื่อนหายไปเสียแล้ว

พอแจ้งเป็นวันใหม่ กระดุกกระดิกร่างกายได้สมบูรณ์ดีแล้ว ลืมตาขึ้นได้ยินเสียงนกแซงแซวร้อง ก็ระลึกขึ้นมาว่าเรามีชีวิตกลับคืนมาได้ก็เพราะบุญหรอก บุญที่สะสมไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้าเป็นเครื่องรักษา ฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะสะสมแต่บุญกุศลเท่านั้น สิ่งอื่นไม่ว่าจะเป็นสมบัติ ข้าวของ เงินทอง กุฏิ วิหาร สบง จีวร สังฆาฏิก็ดี เมื่อสิ้นลมแล้วก็ทอดทิ้งไว้หมดเสียสิ้น มีแต่บุญกุศลเก่าและใหม่เท่านั้นที่จะบันดาลให้เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์เ ป็นผ้าสบงจีวร เป็นสังฆาฏิสวยงาม เป็นที่พึ่งพิงอาศัยได้แท้แน่นอน

เมื่อตั้งสัตยาธิษฐานเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง พวกญาติโยมที่มาเฝ้าศพอยู่บนศาลาก็ตกใจ บ้างก็วิ่งหนี บ้างก็กระโดดลงศาลาไปด้วยความกลัวผี ไม่นานพอหายตกใจกลัวแล้ว พวกโยมทายกวัดก็เข้ามาถามความเป็นมา เพราะไม่เคยเห็นคนตายไปวันกับคืนแล้วพื้นคืนมาได้ ก็แสดงให้เขาฟังอย่างที่ได้อธิบายมาแล้วนั่นแหละ และก็ว่าโยมทั้งหลายต่อไปนี้จงยึดเอาอาตมาเป็นคติธรรมเตือนใจนะ เพราะบุญกรรมดีสะสมไว้แต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้าจะรักษาสมบัติร่างกายไว้ ถึงตายแล้วก็ไม่เน่ายังสดชื่นเหมือนเดิมทำให้พื้นกลับคืนมาได้ ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายจงรีบเร่งสะสมคุณงามความดีใส่ตนไว้ จะได้เป็นเพื่อนสองเป็นคู่ครองติดตามตลอดไป...

รูปภาพ
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ


เทศน์โปรดช้าง

สมัยหนึ่ง (ปี 2497) ไปวิเวกที่ดงหม้อทอง อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร กับหลวงปู่ขาว (อนาลโย) และพระอาจารย์จวน (กุลเชฏโฐ) และพระอื่นๆ อีกรวมแล้วมีพระ 7-8 รูปด้วยกัน คืนหนึ่งในขณะที่เดินจงกรมอยู่ประมาณ 4-5 ทุ่ม ก็มีช้างฝูงใหญ่ราว 10 ตัวเดินเข้ามาหาพอห่างได้ระยะ 1 เส้น (20 วา) จ่าฝูงก็กระทืบตีน 3 ครั้งแล้วก็โบกหูไปมาแล้วก็ชูงวงขึ้น

ขณะนั้นอาตมาก็ไม่มีความสะทกสะท้านหรือเกรงกลัวอย่างไรทั้งสิ้น เพราะอำนาจพระธรรมเกิดขึ้นแล้วที่จิต คือความสงบนั้น จึงกำหนดถามพระธรรมตัวเองขึ้นว่า “ช้างเขามาทำอะไรกัน” พระธรรมพูดขึ้นว่า “ช้างฝูงนี้เป็นญาติของเรามาแต่ชาติปางก่อนโน้น เขาอนุโมทนาส่วนบุญกับเรา จงอุทิศส่วนบุญให้เขาเสีย” ก็เลยตั้งใจมั่นแล้วแผ่เมตตาให้ว่า

“ช้าง...พวกท่านกับอาตมาเป็นญาติกันมาแต่ชาติปางก่อนโน้น มาชาตินี้ก็ได้มาประสบพบปะกันแล้ว จงอนุโมทนาส่วนบุญนะ จะอุทิศให้ “ปุญญัง อุทิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ” ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้รับส่วนบุญเถิด” จากนั้นก็ให้โอวาทแก่เขาว่า

...ขอให้พวกท่านทั้งหลาย จงน้อมเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปไว้เป็นที่พึ่งนะ ไหว้พระสวดมนต์ภาวนาประจำชีวิต ไม่ลดละ ท่านทั้งหลายจงตั้งตนอยู่ในศีล 5 “ปาปะกัง ปาณาติบาต” อย่าเพิ่งฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมนุษย์นะ เป็นบาป อย่างเพิ่งลักขโมยกินของไร่ ของสวนเขานะ เป็นบาป เขาจะฆ่าเอา อย่าเพิ่งนอกใจซึ่งกันและกัน นั่นแหละ อันนี้เป็นข้อสำคัญมั่นหมาย

เมื่อพวกท่านมีพระไตรสรณคมณ์ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นสรณะที่พึ่งแล้ว มีศีล 5 ประจำชีวิตอีกก็จะได้นุสสธัมโม เปลี่ยนชาติภพจากสัตว์เดรัจฉานไปเป็นมนุษย์ เมื่อเปลี่ยนชาติภพแล้วจะได้ทำคุณงามความดีเหมือนอย่างข้าพเจ้านี่แหละ เขาก็ตั้งใจฟังจนจบ จากนั้นจ่าฝูงก็กระทืบเท้า 3 ครั้งแล้วโบกหูพึบพับๆ จากไป

สมัยนั้นที่ดงหม้อทองยังเป็นป่าดงทึบ มีสัตว์ป่ามากมาย ทั้งช้าง ทั้งเสือเหลือง เสือโคร่ง ส่งเสียงร้องกันสนั่นหวั่นไหว แต่สัตว์ร้ายเหล่านั้นก็ไม่ได้มาทำอันตรายแต่อย่างใด เพราะอำนาจของการประพฤติธรรมบันดาลให้เป็นมหาเสน่ห์มหานิยม

พบเสือโคร่งกลางป่า

สมัยหนึ่งปี 2496 ได้เร่ร่อนสัญจรไปวิเวกยังดงพระลาด บ้านหนองแผน อำเภอวานนรนิวาส จังหวัดสกลนคร มีพระ 2 รูป และเณร 1 รูปไปทำที่พักอยู่กลางดง ห่างจากหมู่บ้านราว 2 กม. พระรูปหนึ่งทำที่พักอยู่ใต้ต้นเม็ก และเณรไปทำที่พักอยู่กลางป่ารกๆ ส่วนอาตมาไปทำที่พักอยู่ในสถานที่ๆ ช้างและเสือมันจะขึ้นลงไปกินน้ำในห้วย

คืนแรกพอค่ำมาก็ลงเดินจงกรมจนถึง 2 ทุ่ม จากนั้นก็ไหว้พระสวดมนต์เสร็จแล้วจึงนั่งสมาธิภาวนาต่อไป พอถึง 3-4 ทุ่มเสือโคร่งใหญ่ลงไปกินน้ำในห้วยแล้วกลับขึ้นมา หายใจดัง...ฮื่อฮ่า...ๆ...ๆ เสียงมันดังเพราะคอมันใหญ่ เดินปัดหางดัง...ก๊วก...ๆ...ๆ ใกล้เข้ามาก็นึกในใจว่า มันจะทำอย่างไรก็แล้วแต่บุญแล้วแต่กรรมเถิด ถ้าได้ทำกรรมไว้ก็มอบร่างกายนี้ให้เป็นภักษาหารของเสือใหญ่ไปเลย ไม่อาลัยเสียดายทั้งนั้น เมื่อเสือใหญ่เข้ามาใกล้ที่พัก มันก็เดินเลี่ยงไปทางพลาญหินแล้วก็วกกลับมานั่งดู ยืนดูอยู่ตรงนั้น นั่นแหล่ะ...เสือก็เฝ้าอยู่อย่างนั้น จนล่วงไปถึง 6 ทุ่ม มีเทพบุตรตนหนึ่งมาพูดว่า

“หลวงพ่อๆ อย่ากลัวนะ แมวใหญ่ (เสือโคร่ง) นั้น ข้าพเจ้าบอกให้เขาเฝ้ารักษาหลวงพ่อไว้ ตัวที่อยู่ใกล้เฝ้าดูแลรักษา ส่วนตัวที่อยู่ไกลก็ร้องส่งสัญญาณขู่ไม่ให้สัตว์อื่นเข้ามารบกวนในบริเวณนี้ ทั้งนี้ เพราะข้าพเจ้ากับท่านและเสือใหญ่นั้นเป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว มาชาตินี้เห็นท่านมาเจริญสมณธรรมเกรงว่าจะเป็นอันตราย จึงให้เขามารักษาญาติพี่น้องของเราไว้อย่าให้เป็นอันตราย จะออกไปขี่หลังมันก็ได้ ไม่ต้องกลัว

นั่นแหล่ะ คืนนั้นก็ไม่ได้นอน นั่งภาวนาอยู่จนสว่างแจ้งเป็นวันใหม่ เสือมันก็เข้าดงไป นั่นแหล่ะ...ไปวิเวกตามสถานที่ต่างๆ เป็นอย่างนั้น เมื่อก่อนนี้ในภาคอีสานยังมีคนน้อย มีแต่ป่าดงทึบ สัตว์ร้ายเสือช้างอะไรมันก็มาก ผีก็เยอะ ผีกองกอยสะมอยดง ผีโป่ง ผีป่ามากมาย ถึงแม้จะมีสัตว์ร้ายมากขนาดไหนก็ไม่หวั่นไหวนะ ภาวนาอยู่ที่นั้นนานๆ ก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด...”



.............................................................

คัดลอกมาจาก ::
นิตยสารหญิงไทย เรื่องโดย สายทิพย์
http://www.yingthai-mag.com/column.asp?columnid=8

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2009, 11:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2009, 15:36
โพสต์: 435

ที่อยู่: malaysia

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุค่ะ คุณสาวิกาน้อย
ขอให้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยค่ะ
ด้วยความเคารพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2009, 17:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สาธุค่ะ...คุณสาวิกาน้อย

ธรรมะสวัสดีค่ะ

:b27: tongue :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2009, 21:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาด้วยค่ะ คุณสาวิกาน้อย :b8: :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร