ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ความงามของความเงียบ : วินทร์ เลียววาริณ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=21699 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | chill [ 16 เม.ย. 2009, 03:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | ความงามของความเงียบ : วินทร์ เลียววาริณ |
หากคุณเดินเท้าในเมืองหลวงของสยามประเทศ จากหัวถนนสีลมไปยังท้ายถนนในชั่วโมงเร่งด่วน คุณจะผ่านยามจำนวน 207 คน หนึ่งในสามของยามเหล่านี้ทำหน้าที่โบกรถเข้าออกอาคารสำนักงานต่างๆ ด้วยสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่านกหวีด ระดับเสียง 120 เดซิเบลที่กรีดร้องในระยะใกล้หู สูงพอทำให้ใจคุณสั่น แก้วหูสะเทือนถึงขั้นอันตราย พลานุภาพไม่แพ้พลังเสียงดูหลำแห่งทะเลใต้อย่างแน่นอน! มิน่าเล่าถนนสายนี้จึงมีโรงพยาบาลและคลินิกหู (คอจมูก) คั่นทุกๆ หลายช่วงตึก! สีลมเป็นเพียงหนึ่งในถนนใหญ่หลายสิบสายที่พลุกพล่านด้วยคน รถ และยามซึ่งนิยมใช้นกหวีดมากกว่าสัญญาณมือ ที่แปลกก็คือไม่ค่อยมีใครคิดว่านี่เป็นเรื่องแปลก ไม่เห็นใครบ่นอะไร แต่ละคนก้มหน้าก้มตาเดินไป ยามก็ตั้งหน้าตั้งตาเป่านกหวีด คนขับรถก็กดแตรไป ความจริงที่หลายคนอาจไม่รู้หรือรู้แต่ลืมไปแล้วก็คือ การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเกิน 85 เดซิเบลนานๆ เป็นอันตรายต่อหูมนุษย์ และเสียงนกหวีดกับเสียงแตรรถนั้นเกินระดับ 85 เดซิเบลไม่น้อย นี่คือรายการเดซิเบลของเสียงต่างๆ : เสียงคุยกันปกติ 50-60 เดซิเบล นาฬิกาปลุก 70-80 เดซิเบล เสียงตะโกน 90-100 เดซิเบล เสียงแตรรถยนต์ 110 เดซิเบล ฟ้าร้อง / ไนท์คลับ / ร็อค คอนเสิร์ต 120 เดซิเบล ลูกโป่งแตก 150 เดซิเบล ประทัด 120-140 เดซิเบล เครื่องบินขึ้นฟ้า 150-180 เดซิเบล คุณไม่ควรอยู่ในสภาวะเสียงที่ดัง 80-90 เดซิเบลนานกว่าแปดชั่วโมงต่อวัน การฟังเสียงดัง 115 เดซิเบลนานเพียงสิบห้านาทีต่อวัน สามารถทำลายเยื่อแก้วหูได้ เกิน 110 เดซิเบลขึ้นไปเป็นอันตรายต่อหู เกิน 180 เดซิเบลคือหูพัง จำไว้ง่ายๆ คือ ทุกๆ 5 เดซิเบลที่เพิ่มขึ้น ให้ลดเวลาที่อยู่กับเสียงนั้นลงครึ่งหนึ่ง หากคุณชอบฟังเพลงดนตรีในผับที่ระดับเสียง 100 เดซิเบล ก็ไม่ควรขลุกอยู่ในนั้นเกินสิบห้านาที มิเช่นนั้นวันหนึ่งคุณอาจตื่นขึ้นมาพบว่าโลกใบนี้เงียบผิดปกติ วิถีชีวิตของเราเกี่ยวข้องกับเสียงดังจนมันกลายเป็นเรื่องปกติ นอกจากเสียงจอแจของจราจร เมื่อเข้าสำนักงานก็ได้ยินเสียงด่าของเจ้านาย (มักได้ยินชัดเจนจากทุกมุมสำนักงาน) เสียงเพลงในที่ทำงาน (คนไทยเรามักใจดีอยากให้เพื่อนทุกคนในสำนักงานได้ยินเพลงที่เราชอบด้วย) ฯลฯ ทุกวันคนขายผักผลไม้แถวบ้านผมขับ 'ยานเวลา' มาขายไข่ไก่ ผักกาดขาว ส้ม ทุเรียน ลำไย เงาะ ถึงหน้าบ้าน ยานเวลา นี้ย่อมาจากคำว่า 'หย่อนยานเรื่องเวลา' นั่นคือใช้เครื่องขยายเสียงประกาศขายไข่ไก่ ผักกาดขาว ผักคะน้า ฯลฯ กันสองเวลา คือตอนห้าทุ่มเมื่อหลายคนหลับไปแล้ว กับตีห้าก่อนไก่หลายตัวโก่งคอขัน! แม้กระทั่งในสถานที่ที่ไม่ควรมีเสียงอย่างที่สุดเช่น สวนสาธารณะ ก็ยังเต็มไปด้วยมลพิษทางเสียง สวนสาธารณะในบ้านเรานิยมใช้เครื่องขยายเสียง ตั้งแต่การประกาศห้ามพาหมามาเดิน ไปจนถึงการใช้ไมโครโฟนร้องเพลงคาราโอเกะอย่างสุขสม ในช่วงเทศกาลรื่นเริง เรามักเห็นการจัดปาร์ตี้ยามดึกดื่นพร้อมเสียงดนตรีดังจากท้ายซอยถึงต้นซอย เมื่อขึ้นแท็กซี่ น้อยครั้งคุณจะพบคันที่ไม่เปิดวิทยุ เราเป็นชาติที่หนวกหูที่สุดชาติหนึ่งในโลก! มนุษย์เมืองหลวงเคยชินกับเสียงเหล่านี้จนมองไม่เห็นว่ามันไม่ปกติ สุภาษิตโบราณว่า ถ้าทุกคนพูดพร้อมกัน ก็จะไม่มีใครได้ยิน อาจจะจริง ถ้าเรายังไม่ยอมลดการใช้เสียงดังอย่างนี้ วันหนึ่งก็จะไม่มีใครได้ยินจริงๆ การแก้ปัญหามลพิษเสียงก็เช่นเดียวกับการแก้ปัญหาจราจรและอีกหลายๆ ปัญหา นั่นคือแก้ที่คน ไม่ใช่ป้ายห้ามใช้เสียง แก้ด้วยหลักง่ายๆ : "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" อย่าทึกทักว่าคนอื่นชอบเพลงที่คุณชอบ อย่าสรุปว่าคนอื่นอยากฟังคุณร้องเพลง ถ้าไม่ชอบเสียงนกหวีดข้างหูคุณ คนอื่นก็ไม่ชอบ ถ้าไม่อยากให้ใครมาตะโกนตะคอกใส่ ก็ไม่ตะโกนตะคอกใส่คนอื่น เงียบๆ ไว้บ้าง โลกจะสดใสขึ้นมาก เดินเงียบๆ คิดเงียบๆ ทำงานเงียบๆ เมื่อโลกเงียบลง คุณอาจจะได้ยินเสียงแมลงกระซิบกัน เสียงลมพัด เสียงใบไม้ไหว เสียงนกบอกรัก ที่สำคัญที่สุด คุณจะได้ยินเสียงความคิดและเสียงหัวใจของคุณชัดขึ้น บทความโดย..วินทร์ เลียววาริณ ขอบคุณที่มาจากเวปทำดีดอทเนตคะ |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 16 เม.ย. 2009, 04:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความงามของความเงียบ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |