วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 14:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2008, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)

รู้จริงคืออย่างไร รู้จริงต้องทำได้
รู้จำต้องท่องได้ รู้แจ้งต้องคิดก่อน

คิดพิจารณา คิดแล้วคิดอีก
เอาตราชั่งขึ้นมาดู เอาตราชูขึ้นมาชั่ง
มีสติสัมปชัญญะ ไม่ลดละภาวนา จึงจะรู้แจ้งเห็นจริง
ตั้งสติไว้ให้ได้ ตรงนี้สำคัญ
บางคนไม่สนใจ ไม่เข้าใจ น่าเสียดายเวลามีประโยชน์

ท่านทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า สร้างชีวิตให้มีค่า
เวลาของเราจะมีประโยชน์ไม่ใช่น้อยแม้เพียงวินาทีเดียว
นาฬิกานั้นมีเวลาเท่ากันหมด
แต่อยู่ที่ท่านผู้ใดจะใช้เวลาแม้วินาทีเดียว
ให้มีประโยชน์และคุ้มค่ากว่ากัน ก็ขึ้นอยู่กับปัญญาในตัว

ส่วนความรู้อยู่ในตำราต้องสนใจศึกษาเอาเอง
ถ้าไม่สนใจแก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ น่าเสียดายและเสียใจด้วย
เท่ากับไม่มีธรรมประจำจิต ไม่มีชีวิตประจำใจ
ดีแต่รู้มาก แต่ไม่มีธรรมในใจ...

...ผู้ใหญ่อยู่กับผู้น้อยต้องมีธรรมะมีเมตตา
และปรารถนาดีต่อผู้น้อยและให้อภัยเสมอ

นี่เป็นธรรมะที่ง่ายที่สามารถจะแก้ปัญหาได้
มีข้อน่าคิดว่า บริวารมาเพราะน้ำใจดี บริวารหนีเพราะน้ำใจลด
บริวารหมดเพราะน้ำใจแห้ง บริวารกลั่นแกล้งเพราะไม่ยุติธรรม

เมื่อมีปัญหา ธรรมมะแก้ปัญหาได้
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงศึกษาสำเร็จศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการมาก่อน
แต่ความรู้ทั้ง ๑๘ ศาสตร์นั้นก็ยังแก้ปัญหาชีวิตไม่ได้
แก้ปัญหาทุกข์ไม่ได้
จึงเสด็จออกผนวชเพื่อหาธรรมะมาแก้ปัญหาให้ชาวโลก
มาสอนชาวโลกให้พ้นทุกข์
เรียกได้ว่า แม้ทรงเป็นจักรพรรดิเป็นใหญ่ในทางโลก
ด้วยสำเร็จศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการแล้ว ยังคงแก้ทุกข์ไม่ได้
จึงทรงละความเป็นใหญ่ทางโลกไปเสาะแสวงหาทางธรรม
จนทรงเป็นศาสดาเอกของโลก ด้วยทรงพบทางแก้ทุกข์ถาวร
ให้ถือเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นใหญ่
ไม่มีสิ่งใดเหนือกรรม ไม่มีใครพ้นกรรมไปได้

แม้แต่พระพุทธองค์ยังต้องเสวยกรรม
เช่น ในอดีตชาติเป็นโคบาล โคหิวน้ำมาก น้ำลายไหล
จะไปกินน้ำที่เป็นโคลน น้ำสกปรก โคบาลก็ตีวัว ไม่ให้กิน
ให้ไปกินหนองน้ำหน้าโน้น ครั้นเมื่อทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
ทรงกระหายน้ำมากให้พระอานนท์ศรีอนุชา ไปตักน้ำให้เสวย
พระอานนท์ทูลตอบว่า
“ไม่ได้พุทธเจ้าข้า ต้องเสด็จไปตรงโน้น น้ำใสดี”
จึงต้องทนกระหายน้ำเสด็จต่อไปด้วยความยากลำบาก

การดำเนินชีวิตนั้นให้เดินสายกลาง
ถ้าพูดตามสมัยใหม่ต้องพูดว่า ทำอะไรเอาปัจจุบัน อดีตอย่ารื้อฟื้น
กิจที่ชอบทำเดี๋ยวนี้ให้เสร็จ นี่คือสายกลาง
เรามีหน้าที่อะไรทำให้เสร็จ อาตมาอายุ ๗๓ แล้ว อยู่ถึงตี ๓ ทุกวัน
ฉันข้าวคำสองคำก็พอแล้ว คนผลัดวันประกันพรุ่งใช้ไม่ได้
หรือมี นิสัยไม่ดี ๔ ประการนี้ก็ทำให้ขาดคุณภาพชีวิต คือ

ขี้เกียจ
ขี้โกง
ขี้อิจฉา
ขี้ริษยา


พระพุทธเจ้าพบธรรมะ เพราะทรงเดินทางสายกลาง
ก่อนหน้านั้นปัญจวัคคีย์ทิ้งพระองค์ไป
เพราะคิดว่าพระพุทธเจ้าไม่เคร่งครัด ไม่ตั้งพระทัยจริง

ที่พระองค์ทรงสำเร็จจนทรงเป็นศาสดาเอกของโลกเพราะทรงฝืนใจ
คนเราถ้าฝืนใจไม่ได้ก็ดีไม่ได้

เพราะฉะนั้นสรุปใจความ เข้าวัดให้ได้ ๓ วัด
ไม่ใช่แค่ไปวัด อย่างไปวัดอัมพวันนะ
อย่าไปให้มันเสียค่ารถ มันไกล
ถ้าไปแล้วต้องได้ ๓ วัดต่อไปนี้คือ

๑. วัตถุธรรม
๒. วัดอารมณ์
๓. วัดจิตของเรา


วัตถุธรรม คือ ให้ท่านมีธรรมะ ธรรมะมี ๔ ข้อ

๑. ธรรมชาติ การเกิด แก่ เจ็บ การพลัดพรากจากกัน
๒. ความมีเหตุผล
๓. กฎแห่งกรรม คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
๔. การฝืนใจ ไม่ปล่อยไปตามอารมณ์ซึ่งยากมาก
ตามใจตนเสียคนหมด ดีไม่ได้เลย

วัดอารมณ์
ถ้าอารมณ์ไม่ดี คนใจดีก็กลายเป็นคนใจดำ
ใจสูงก็กลายเป็นคนใจต่ำ
คนไว้ใจได้ก็กลายเป็นคนโลเล
คนมีเสน่ห์ก็กลายเป็นคนน่าชัง
คนพูดน่าฟังก็กลายเป็นคนพูดไม่เข้าหูคน
อารมณ์ไม่ดีจะเสียหมด เพราะขาดสตินั่นเอง
พระพุทธเจ้าให้วิชาแก้ปัญหาชีวิต คือ วิชากรรมฐาน
แปลว่าการ กระทำให้ฐานะดี
ทำให้จิตเดินทางสู่ที่หมายแห่งความสำเร็จของชีวิต
แก้ปัญหาชีวิตได้ทุกประการ
แล้วก็สวดพาหุงมหากา สวดให้มีสติ สวดให้เกิดปัญญา
จะได้แก้ไขปัญหาสมปรารถนา สวดให้เท่าอายุเป็นการต่ออายุได้
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ช่วยตัวเอง
ช่วยแม่ช่วยพ่อ ช่วยส่วนรวม ช่วยสังคม
และต้องสอนตัวเองอย่าถือทิฐิ
คนเรามักมีทิฐิ ไม่เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ นี่คือ โมหะ
ทำให้ไม่มีปัญญา ทำให้ไม่มีสติที่จะแผ่เมตตาให้ใคร

ถ้าอารมณ์ดีปลอดโปร่ง ไม่มีอะไรมาเจือปน
เมตตาไม่เจือปนโทสะ ไม่อิจฉาใคร ก็แผ่เมตตาได้
ไม่จำเป็นต้องไปห้องพระ
ความรักความเมตตาคือ ความผูกพันแห่งความดี

ท้ายที่สุด ขอฝากให้คิดเพื่อเพื่อนมนุษย์ว่า
สิ่งที่มนุษย์ต้องการมี ๑๐ ประการ

๑. ความรัก
๒. ความนิยมชมชอบ
๓. ความเลื่อมใสศรัทธา
๔. ความมีไมตรีจิตมิตรภาพ
๕. ความเอาใจใส่
๖. ความเคารพนับถือ
๗. ความเมตตา
๘. ความเห็นอกเห็นใจกัน
๙. ความเป็นกันเอง ไม่ถือตัว
๑๐. ความเป็นธรรมชาติ ไม่ฟู่ฟ่า ไม่หรูหรา
ไปเรียบๆ สวยเสมอต้นเสมอปลาย


และหากรักจะก้าวหน้าต้องมีคุณธรรมต่อไปนี้
ก็จะสมปรารถนาทุกประการคือ

ขยันเอาการ งานสะอาด ฉลาดรอบคอบ

ชอบระวัง ตั้งใจตรง ทรงศีลธรรม

นำทางถูก ปลูกสติ ดำริชอบ

ประกอบกุศล ได้ผลอนันต์ เป็นหลักฐานสำคัญ



คัดลอกจาก...
http://jarun.org

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2008, 03:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะคุณลูกโป่ง :b8: :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 24 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร