วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 14:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2008, 14:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


o บุญเน้นที่ตัวกิจกรรมที่ว่าทำอะไรแล้วดี กุศลเน้นที่จิตใจอันเป็นต้นเหตุให้เกิดการกระทำความดีงามหรือละเว้นความชั่ว


o ขณิกสมาธิ คือความตั้งมั่นของจิตอยู่ในอารมณ์รูปนามอันเดียวที่กำลังปรากฎอย่างสบายๆ ไม่ซัดส่ายหลงไปหาอารมณ์อื่น


o การจงใจจดจ่อหรือเพ่งจ้องอยู่ในอารมณ์อันเดียวด้วยอำนาจของตัณหาคือความอยากจะปฎิบัติธรรม น่าจะจัดว่าเป็นมิจฉาสมาธิมากกว่าสัมมาสมาธิ เช่นการเอาความรู้สึกไปเพ่งจ้องแนบแน่นจมแช่อยู่กับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง มีเท้า ท้อง มือ และลมหายใจ เป็นต้น


o ไม่ตั้งมั่นด้วยสติปัญญา แต่ตั้งอยู่ด้วยการกดข่มบังคับด้วยอำนาจขอตัณหาคือความอยากจะปฎิบัติธรรม และไม่รู้อารมณ์อย่างซื่อตรงแต่รู้ไปตามความอยากรู้ จิตที่มีสมาธิแบบนี้เอาไปทำวิปัสสนาไม่ได้จริง เพราะเป็นอกุศลจิต


o ถ้าเมื่อใด ผู้ปฎิบัติมีสติระลึกรู้สภาวธรรม หรือรูปนามที่กำลังปรากฎ ตรงตามความเป็นจริง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารู้ทันสภาวะความหลงของจิตที่หลงไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) โดยไม่ได้ตั้งใจหรือมีตัณหาที่จะรู้สภาวธรรมนั้นๆ เมื่อนั้นขณิกสมาธิจะเกิดขึ้นเอง


o สมถะจำเป็นสำหรับผู้ปฎิบัติบางคน แต่มีประโยชน์กับผู้ปฎิบัติทุกคน


o พระพุทธเจ้า ท่านเน้นว่าควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง ไม่ใช่เจริญแบบไร้สติไร้ปัญญา หมายความว่าเราจะทำสมถะหรือวิปัสสนาก็ตาม เราต้องรู้ว่า (๑) เราจะทำอะไร (สมถะ/วิปัสสนา) (๒) จะทำเพื่ออะไร (สงบ/พ้นทุกข์) (๓) จะทำอย่างไร (มีสติรู้อารมณ์อันดียวอย่างต่อเนื่อง/มีสติสัมปชัญญะรู้รูปนามตามความเป็นจริง) และ (๔) ระหว่างทำก็ต้องมีสติปัญญารู้ชัดว่าทำอะไรอยู่ด้วย


o หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสอนไว้ชัดเจนน่าฟังมาก ว่า "ทำสมาธิมากก็เนิ่นช้า คิดพิจารณามากก็ฟุ้งซ่าน หัวใจสำคัญของการปฎิบัติคือการมีสติในชีวิตประจำวัน จะเดิน(รวมทั้งเดินจงกรม) ก็ต้องเดินด้วยความมีสติ จะนั่ง (รวมทั้งนั่งสมาธิ) ก็ต้องนั่งด้วยความมีสติ เพราะมีสติก็คือมีความเพียร ขาดสติก็คือขาดความเพียร"


o การเจริญวิปัสสนานั้น ต้องมีสติรู้รูปนาม และมีปัญญาหรือสัมปชัญญะรู้ความเป็นจริงของรูปนามนั้นๆตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ด้วย


o (๑) หมั่นสังเกตหรือเรียนจนรู้จักสภาวะของรูปนาม (๒) เมื่อเข้าใจสภาวะของรูปนามถูกต้องและทันท่วงทีแล้ว ความรู้สึกตัว จะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องกำหนดหรือจงใจสร้าง คือพอกระทบอารมณ์ปั๊บ จิตจะเกิดสติรู้ทันอารมณ์ ด้วยความตั้งมั่นและเป็นกลางขึ้นเอง และ (๓) เมื่อสติรู้อารมณ์รูปนาม (จิต เจตสิก รูป) ที่กำลังปรากฎโดนไม่เข้าไปแทรกแซงและไม่เติมความคิดลงไป ก็จะเกิดปัญญาเข้าใจความจริงของอารมณ์รูปนามได้ถูกต้องไปตามลำดับ จนจิตปล่อยวางความยึดถือรูปนามและสิ่งทั้งปวงเสียได้


o ทุกข์ให้รู้ สมุทัยให้ละ


o ตามรู้ -> รู้ทัน -> รู้ถูก -> รู้ทุกข์


o อย่าส่งจิตออกนอก หมายความว่าในเวลาที่รู้อารมณ์นั้นให้สักว่ารู้ อย่าให้จิตหลงกระโจนเข้าไปรู้แล้วหลงจมแช่ยึดถือหรือหมุนเหวี่ยงไปตามอารมณ์


o การปฎิบัติวิปัสสนาจะต้องใช้สภาวะของจิตที่ธรรมดาๆไปรู้อารมณ์ที่ธรรมดาๆ


o จิตที่เป็นปกติธรรมดาคือจิตที่ปลอดจากตัณหาและทิฎฐิ คืออย่าอยากปฎิบัติแล้วลงมือปฎิบัติไปตามความอยากนั้น


o เราสัมผัสกับอารมณ์ปรมัตถ์อยู่แล้วทั้งวัน แต่ความคิดของเราเองปิดกั้นไว้ไม่ให้เรารู้จักอารมณ์ปรมัตถ์นั้น (บัญญัติปิดบังปรมัตถ์)


o การรู้รูปนามต้องรู้ในปัจจุบัน เพราะรูปนามในอดีตเป็นแค่ความจำ และรูปนามในอนาคตเป็นแค่ความคิด ส่วนรูปนามในปัจจุบันคือความจริง และเมื่อรู้แล้วก็อย่าหลงเติมสมมุติบัญญัติลงไปในการรับรู้นั้น


o สติ สมาธิ ปัญญา

o สติ คือ การระลึกได้/การระลึกรู้ ไม่ใช่ การกำหนดรู้

o สมาธิ คือ การตั้งมั่น ไม่ใช่ ความสงบ - ในขณะที่จิตฟุ้งซ่านหรือไม่สงบนั้น จิตยังสามารถตั้งมั่นรู้ความฟุ้งซ่านได้อย่างเป็นกลาง ไม่ควรมุ่งทำความสงบที่จะพาไปสู่การติดความสงบ ติดปีติ และติดนิมิต

o วิปัสสนา คือ การตามรู้รูปนามได้ตรงตามความเป็นจริง ไม่ใช่ คิด


o ผู้ปฎิบัติพึงทำความรู้จักสภาวะของความรู้สึกตัว โดยการหัดสังเกตความแตกต่างระหว่างความหลงกับความรู้สึกตัวซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกัน


o เมื่อรู้สึกตัวเป็นแล้วก็ต้องเจริญสติปัฎฐาน จึงจะสามารถละความเห็นผิดว่ารูปนามคือตัวตนในเบื้องต้น และสามารถทำลายความยึดถือรูปนามลงได้ในที่สุด


o หมั่นรู้สึกถึงอาการปรากฎของกายและของจิตใจอยู่เนืองๆ แต่ไม่จำเป็นจะต้องรู้แบบไม่ให้คลาดสายตา เพราะจะกลายเป็นการกำหนด เพ่งจ้องหรือดักดูกายและใจ ด้วยอำนาจบงการของตัณหา ให้รู้ไปอย่างสบายๆ รู้บ้าง เผลอบ้างก็ยังดี


o ไม่ต้องพยายามห้ามไม่ให้จิตหลง เพราะจิตเป็นอนัตตา คือห้ามไม่ได้ บังคับไม่ได้ เพียงทำความรู้จักสภาวะของความหลงให้ดี และเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ แล้วความหลงจะสั้นลงได้


o สติเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นตามใจไม่ได้ หากแต่เกิดขึ้นเพราะจิตจดจำสภาวธรรมได้แม่นยำ เช่นผู้ที่เคยฝึกมีสติตามรู้รูปยีนเดินนั่งนอนอยู่เนืองๆ ต่อมาเมื่อเผลอขาดสติแล้วเกิดการเคลื่อนไหวกายขึ้น สติก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ


o ในเบื้องต้นจึงต้องหมั่นตามระลึกรู้อาการปรากฎทางกายและอาการหรืออารมณ์ที่ปรากฎทางใจไว้เป็นระยะๆ พอถึงเบื้องปลายสติจะเกิดระลึกรู้ได้เองเมื่อสภาวธรรมที่จิตรู้จักแล้วปรากฎขึ้นมา


o จุดสำคัญอยู่ที่การมีสติรู้ทุกข์คือรู้กายรู้ใจ และรู้ในลักษณะของการตามรู้ไปเนืองๆ ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลาง ส่วนผลจะปรากฎเป็นความพ้นทุกข์อย่างไรก็จะสัมผัสได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆไป


ที่มา http://board.agalico.com/showthread.php?t=13999


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร