วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2008, 20:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ย. 2005, 15:24
โพสต์: 179


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ใจคน
บทความโดย ศ.นพ.เชวง เดชะไกศยะ


ใจคนมีหลายใจ หรือมีใจเดียวกันแน่น่าสงสัย

ความจริงมีหลายใจไม่ต้องสงสัยเลย การมีใจเดียวนั้นผิดปกติแน่นอน ดังนั้นถ้าใครมาว่าเราหลายใจก็รับเสียอย่างโดยดีเถิดว่า เรามีหลายใจจะได้ไม่ต้องโกรธเขา

คนทั่วๆ ไปเป็นปกติธรรมดานั้นต้องมีหลายใจและหลายรัก หลากหลายไปด้วยความปรารถนาความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นี่เป็นธรรมชาติธรรมดา (ธรรมะ) ของมนุษย์ ใจคนที่ว่าลึกล้ำนั้นถ้ารู้จริงแล้วก็ไม่ลึกเท่าใดเลย เพียงดูสีหน้าก็สามารถอ่านใจออกแล้วว่ารักหรือชัง พอใจหรือไม่พอใจหรือเฉยอยู่ด้วยมายา เพราะบนใบหน้านั้นบางคนจะปรากฏรอยยิ้มอยู่เสมอด้วยความต้องการความพอใจ แต่สีหน้านั้นจะเปลี่ยนไปทันที หรือเสียงก็เปลี่ยนไป เมื่อประสพอารมณ์ที่ไม่ปรารถนา ตาหูจึงบอกเหตุสังเกตง่าย เจรจาพาทีมีแยบคาย ใครอย่าหมายปิดใจไว้ไม่ได้เลย

บางครั้งคนจึงไม่มีวันรู้ใจตัวเองแต่คนอื่นเขารู้ได้ จะรู้ได้อย่างนี้ ผู้นั้นจะต้องศึกษาและปฏิบัติในเรื่องทางพุทธจิตวิทยาเท่านั้น และก็ไม่ใช่หลักทางศีลธรรมทั่วไปด้วยที่จะรู้ได้

ดังนั้น การศึกษาเรื่องราวของจิตในแนวทางของพระพุทธศาสนา จึงเป็นศิลปะวิธีอย่างหนึ่งที่สามารถจะนำ มาใช้แก้ปัญหาความทุกข์ของชีวิตได้อย่างแน่นอน เช่นในเวลาที่เบื่อ เหงา เซ็ง ซึม เศร้า แสดงว่าจิตของเรานั้นกำลังตกจะขึ้นสู่อารมณ์ปกติหรือให้เกิดปีติปราโมทย์ขึ้นนั้นต้องทำอย่างไร หรือถ้าจิตเร้าร้อน ฟุ้งซ่าน วิตกกังวลอยู่ระดับความเร่าร้อน ฟุ้งซ่านนั้นได้อย่างไร และเมื่อจิตที่มีคุณลักษณะแจ่มใจไม่เศร้าหมอง เราจะรักษาจิตที่มีคุณลักษณะนี้ไว้ได้ด้วยจิตวิทยาในพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่มีวิชาการใด ศาสนาใดและลัทธิใดๆ ในโลกจะสอนได้หรือเคยแสดงไว้เลย นี่เป็นสัจธรรมที่พระบรมศาสดาไว้ทรงแสดงไว้

คนรุ่นใหม่มักจะชอบง่ายๆ สั้นๆ สบายๆ ไม่ชอบความยากสลับซับซ้อน มักเอาความคิดของตนเป็นใหญ่ไม่ชอบเหตุผล อดทนได้ยากรอคอยนานๆ ก็หงุดหงิด โกรธง่ายเอาใจยาก ชอบคิดชอบฝัน ตัดสินใจเองเป็นตัวของตัวเองจึงผิดพลาดได้ง่าย ภาพสะท้อนที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ เนื้อเพลงที่ร้องมีความหมายเกี่ยวกับ จะต้องมีของแลกเปลี่ยน ชอบฝัน มีความจริงจังกับชีวิต เช่น แหวนแลกใจ ฉันช้ำใจเพราะเธอทำ เอาแหวนของเธอคืนไปเอาใจฉันคืนมา ฯลฯ หรือเพลงแบ่งฝัน จะแบ่งความหิว จะปันความอิ่มให้เธอครึ่งหนึ่ง จะแบ่งชีวิตให้เธอครึ่งหนึ่ง จะแบ่งไปถึงซึ่งวันที่ฟ้าไม่มีดวงดาว ฯลฯ จำวันแห่งความรักได้มากกว่าจำวันสำคัญทางศาสนา เช่นวันวิสาขบูชา เป็นต้น วัยเด็กและหนุ่มสาวของเราจึงมีลักษณะเช่นนี้ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร แต่เราควรจะต้องเข้าใจเขา

ถ้าเรามีความรู้สึกว่าเขาไม่ควรเป็นเช่นนี้ ควรเหมือนกับเราเมื่อตอนหนุ่มสาว เอาความรู้สึกเก่าๆ ของเราเป็นเครื่องตัดสินความรู้สึกใหม่ๆ ของเขาตรงนั้นแหละเป็นช่องว่างซึ่งเราควรจะลบช่องว่างตรงนี้ให้หมดไปจากใจของเรา ความคิดความรู้สึกใหม่ๆ ของพวกเขาจะเปรียบกับความคิดความรู้สึกเก่าๆ ของเรานั้นไม่ได้ ต่างกันทั้งกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม ถ้าเราลบเอาช่องว่างตรงนี้ออกไปได้เราก็จะร่วมคิดร่วมทำกิจกรรมต่างๆ กับพวกเขาได้เป็นอย่างดี

ในโลกนี้มีอะไรหลายๆ อย่างที่เราไม่รู้หรือยังรู้ไม่ได้ ถึงแม้เราจะพยายามสักเท่าใดก็ตามก็อาจรู้ไม่ได้เข้าใจไม่ได้ เพราะความไม่รู้ความไม่เข้าใจในตัวเราช่างมากมายเสียเหลือเกินถึงแม้จะรู้ก็รู้ผิดและสำคัญผิดด้วยในบางเรื่อง การศึกษาเรื่องของชีวิตจิตใจของเราเองในแนวทางพุทธศาสนาเท่านั้น จึงจะทำให้เรามีความฉลาดในชีวิตเกิดขึ้น มิฉะนั้นความหลงผิด ความเข้าใจผิดและความเห็นผิดก็ต้องเพิ่มมากขึ้นหาได้หมดไปจากใจไม่มลภาวะของใจเราจึงมิได้ถูกขจัดออกไปมีแต่เพิ่มทับทวีคูณ แต่เราอาจคิดว่าเรารู้ดีแล้ว เข้าใจดีแล้ว แต่นั่นแหละคือความเข้าใจผิดอีก

เราไม่รู้ตัวเลยว่าเรายังไม่รู้หรือเข้าใจผิดอยู่ เหมือนกับว่าความเชื่อก็อย่าง ความจริงก็อย่าง สิ่งที่เราเชื่อหรือยึดถืออยู่นั้นจริงก็ได้ไม่ได้จริงก็ได้ แต่เรามักเข้าใจว่าสิ่งที่เราเชื่อนั้นต้องจริงเสมอ สิ่งที่เราไม่เชื่อต้องไม่จริง เราไม่เคยคิดเลยว่าความจริงนั้น (สัจธรรม) ก็ต้องเป็นความจริงอยู่ตลอดไป ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ความจริงนั้นก็หาได้เปลี่ยนไปตามความเชื่อหรือความไม่เชื่อของเราไม่จะต้องปรากฏอยู่เป็นความจริงวันยังค่ำ เราไม่เคยรู้หรอก แม้แต่คิดก็ไม่เคยจริงไหม

แม้ว่าเราตายไปจากโลกนี้ ความไม่รู้ ความเข้าใจผิดและความเห็นผิดของเราว่า ทำชั่วได้ชั่วทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดีมีถมไป ก็ยังคงติดตามไปอีกอย่างไม่รู้จบสิ้นในสังสารทุกข์อันหาที่สุดไม่ได้ เรามักไม่ทันความคิดความรู้ของเราว่า เรากำลังคิดอะไรอยู่ ผิดหรือถูก ดีหรือไม่ดี จึงไม่ฉลาดในความคิด ไม่ทันตน ไม่ทันเหตุการณ์และไม่ทันสมัย เราจึงเหมือนเดินสวนทางกัน ทำร้ายซึ่งกันและกัน เราไม่เคยรู้ใจเราเองเลยแต่อยากให้คนอื่นเขาเข้าใจเรา เห็นใจเราอยู่เสมอ เราจึงทำร้ายใจเราและทำร้ายใจคนอื่นอยู่เสมอ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรู้ใจเข้าใจตัวเองเสียก่อนให้ดี แล้วจึงไปเข้าใจคนอื่นทันคนอื่น ทันเหตุการณ์และทันสมัยอยู่เสมอได้

การคิดว่าเรารู้แล้วเป็นอันตราย แต่ความจริงแล้วเราอาจรู้เพียงนิดเดียวหรือรู้ผิดก็ได้ เพราะความไม่รู้ในตัวเรามีถึงสองชั้น

• ไม่รู้ไม่เข้าใจในชีวิตของเรา
• ไม่รู้ว่าเรายังไม่รู้ไม่เข้าใจอีก

แต่ถ้าเรารู้ว่าเรายังไม่รู้ มีหวังเป็นบัณฑิตได้อันนี้สำคัญมาก เพราะเราไม่เคยฟังใครเลย หรือฟังใครไม่ได้

เป็นพื้นจิตอยู่ แต่เราก็ไม่ยอมรับถ้าใครมาว่าเราไม่รู้เราก็โกรธ เพราะตัวเราใหญ่อยู่เสมอ ไม่ยอมลงใครง่ายๆ ด้วยความถือดี ถือตัวว่าเรามีความรู้ความสามารถมียศศักดิ์ มีอำนาจ

ลาภสักการะจึงมักฆ่าบุรุษสตรีอยู่เสมอนี้ เป็นสัจธรรมความกลัวจะเสื่อมลาภสักการะ ความโกรธ ความเกลียด ความริษยาอาฆาตและความพยาบาทจึงเกิดขึ้นในจิตใจของเราเสมอ เหมือนขุยไผ่ที่ฆ่าต้นไผ่ ลูกม้าอัสดรที่ฆ่าแม่ หวีกล้วยย่อมฆ่าต้นกล้วย ดอกอ้อที่ฆ่าไม้อ้อ

เราทำร้ายใจของเราเองและทำร้ายผู้อื่นด้วยเป็นนิจ บางครั้งดุร้ายขาดความเมตตาปรานี มุ่งแต่เพียงจะให้สำเร็จประโยชน์ตนหรือพวกพ้องของเราเท่านั้น คนอื่นจะต้องปวดร้าว ขมขื่น สักแค่ไหนฉันไม่แคร์ ขอเพียงแต่ลาภสักการะ ยศศักดิ์ และอำนาจของฉันต้องยังอยู่และเสื่อมหายหรือสูญไปไม่ได้

เราจึงมิใช่แต่หลงอยู่ในความหลง เหมือนนางสุนัขจิ้งจอก เพียงเห็นดอกทองกวาวหล่นอยู่ก็นึกว่าเป็นชิ้นเนื้อ กินและกลืนเข้าไปแล้วจึงรู้ว่าไม่ใช่เนื้อ แต่พอเหลือบไปเห็นใบใหม่ก็ยังคงคิดว่าเป็นชิ้นเนื้ออีก แล้วก็กินกลืนลงไปอีก เราจึงหลงโลภ หลงโกรธ หลงๆ ยิ่งนักอยู่เสมอ เพราะเราขาดสติสัมปชัญญะที่จะเป็นตัวรู้ ตัวคอยควบคุมใจของเราไม่ให้หลงไปในสิ่งที่ไม่มีสาระ คอยดูแลความคิดและการกระทำของเราไม่ให้ หวง ห่วง อาลัยอาวรณ์ หม่นหมอง และกลัดกลุ้มในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์และรู้ว่าประโยชน์มิใช่ประโยชน์ ควรมิควรแม้แต่คิดที่จะประชดประชันคนอื่นก็เป็นการทำร้ายในของเราเอง

บางครั้งเราจึงเบื่อคนที่เรารัก เบื่อภรรยา เบื่อสามี เบื่อลูกทั้งๆ ที่เราเคยรักแสนรักลืมไปว่าเขามีบุญคุณต่อเรา เคยให้ชีวิตให้ความสุขต่อเรา เพราะเขาเป็นความหวังของเรา ช่วยผลักดันเราให้ชีวิตเดินไปข้างหน้า เราจะโกรธและเสียใจในคำพูดของเขาที่ไม่ถูกใจเรา เพียงคำพูดอันเป็นเสียงแล้วก็ดับไปหามีสาระอันใดไม่ ทำไมเราจึงต้องเก็บมาคิดมาโกรธ มาเกลียด มาย้ำคิดให้มันเศร้าหมองยิ่งขึ้นน้อยใจ เสียใจว่าเขาไม่รักเรา เขาไม่เคารพเรา ช่างไม่เข้าใจเราเลย เราออกแสนดี มาย้ำความรู้สึกให้ต้องเสียใจมากขึ้นอีก อยากจะทำอะไรลงไปเพื่อประชดประชันให้เขาสนใจเราบ้าง เข้าใจเราบ้างก็พอแล้ว

หารู้ไม่ว่านั่นเป็นการเพิ่มความทุกข์ให้แก่ใจของเรายิ่งขึ้น เพียงเราปรับและเปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่กว่า เขาไม่จำเป็นเลยที่ต้องเข้าใจเราก็ได้ ความคิดความรู้สึกของเขาย่อมต่างกับของเรา ขอเพียงเราเข้าใจตัวเองเสียก่อนก็พอแล้ว แต่เราไม่รู้และไม่อยากจะรู้ด้วย เราเพียงแต่ต้องการให้สมใจเราเท่านั้น เหมือนเราเป็นโรคผิวหนังแล้วคัน ถ้ายิ่งเกาจะยิ่งคันและนำความทุกข์มาให้ภายหลังมากยิ่งขึ้น มีแผลและผิวหนังต้องอักเสบมากขึ้น เราไม่รู้หรอก เรารู้แต่เพียงว่าเป็นความสุขของเราถ้าเราเกา เพื่อตอบสนองความอยากของเราๆ รู้เพียงแค่นี้

คนเราเหมือนหนูที่ตกน้ำจะวิ่งไปข้างหน้า เห็นจอกหรือกิ่งไม้เล็กๆ ก็เกาะแล้วจะจมน้ำตายเพียงหันหลังกลับก็จะสามารถขึ้นฝั่งได้ คนเราจึงรู้สึกตัวเองได้ยากมาก สนใจแต่เรื่องของคนอื่นและเรื่องที่ไร้สาระอยู่เสมอ จนเวลาล่วงเลยไปมากเข้า ไม่รู้ว่าชีวิตนั้นแสนสั้นนักจะถึง ๒๐,๐๐๐ วันเศษ (๖๐ ปี) ก็แสนยาก พอเวลาที่จะต้องพลัดพรากจากกันได้มาถึงก็ต้องอาลัยอาวรณ์เศร้าหมองเดือดร้อน เนื่องด้วยทรัพย์สินที่มีอยู่จะต้องพลัดพรากจากไป อาจจะคิดได้แต่ก็สายไปเสียดายเวลาอันมีค่าที่ได้ผ่านไป ที่ควรจะต้องแสวงหาสิ่งที่ประเสริฐก็ไม่ได้แสวงหา กลับแสวงหาสิ่งที่ไม่ประเสริฐจึงมักต้องจบชีวิตลงด้วยความประมาทอย่างหมดจด

เพราะได้ประมาทมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ประมาทในการที่จะสร้างความดี หรือมัวแต่ริษยาความดีที่ผู้อื่นทำ จึงได้ทำแต่เหตุเสียอยู่เสมอไม่รู้เหตุที่แท้จริงที่จะทำให้เกิดความเจริญถึงแม้จะรู้ก็ทำไม่ได้เพราะใจไม่ถึง

เพราะไม่รู้เหตุแห่งความเสื่อม และก็ไม่รู้วิธีการที่จะออกจากความเสื่อม จึงตกอยู่ในความอาลัยอาวรณ์ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระไม่รู้จักแล้วไปแล้ว ไม่รู้ว่าทุกข์ของวันไหนก็ควรพอแล้วสำหรับวันนั้นจึงต้องทุกข์อยู่ในทุกข์ อภัยให้ใครก็ไม่ได้เพราะอภัยไม่เป็นครุ่นคิดอยู่เสมอว่าเธอผิดๆๆๆ ฉันถูกๆๆๆ จึงให้อภัยไม่ได้

เราจึงให้ไม่เป็นและรับไม่เป็นด้วย เพราะให้เพื่อจะรับ และรับเพื่อจะรับจะมากยิ่งขึ้นทุกทีเคยได้อยู่เท่าใด เคยให้ฉันเท่าใดต้องให้ฉันมากยิ่งขึ้น ให้ความรักฉันแล้ว ต้องรักฉันมากยิ่งขึ้นจะลดลงไม่ได้ ต้องเพิ่มขึ้น จึงรู้สึกไม่พอและมีความปรารถนาความต้องการสูงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ อันหาประมาณไม่ได้ แม้ภูเขาทองสองลูกก็ไม่พอทั้งๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ใจจึงตกอยู่ในกองทุกข์ ฟุ้งซ่าน เร่าร้อน กระวนกระวาย บางครั้งก็ซึมเศร้า ท้อแท้เบื่อหน่าย เหงา กลุ้ม เซ็ง ในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ล้อมรอบตัวเอง

เราไม่เคยคิดและรู้สึกเลยว่าเรานั้นไม่มีค่าอะไรมากมายนัก ชีวิตของเราเป็นเพียงหยดน้ำหยดเดียวในมหาสมุทร หรืออาจจะน้อยกว่านั้นเสียอีก แม้เราต้องสิ้นชีวิตลงไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรต่อมิอะไรต้องเปลี่ยนแปลงไป คำสรรเสริญ คำติฉินนินทา อันทำให้คนหวั่นไหว และขมขื่นก็ยังคงมีอยู่ต่อไป ร่างที่ไร้วิญญาณของเราดุจขอนไม้ทอดลงสู่ดิน ใครจะเอาน้ำร้อนมาราดเรา เอาน้ำอบมาพรมให้เราๆ ก็ไม่รู้สึกมีคนเอาโลงมาใส่ร่างที่ไร้วิญญาณของเรา เพราะเราเดินลงโลงเองไม่ได้ จะเผาตัวเองก็ไม่ได้ คนอื่นทั้งนั้นมาทำให้เรา

เราจึงควรให้กับเขาบ้างขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้ความคิดความรู้สึกที่ดี (อวัตถุ) ให้อภัยให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะให้และให้ได้ให้โอกาสแก่ผู้ที่ด้อยโอกาสหรือแก่ผู้ที่เสียโอกาส ควรสอนลูกหลานของเราอย่างนี้

อย่าคิดว่าตัวนั้นสำคัญ ไม่ต้องพึ่งใคร แท้จริงเป็นเพียงบางครั้งเท่านั้นที่เราต้องพึ่งตนเอง ความจริงแล้วส่วนใหญ่ของชีวิตเรานั้นจำเป็นต้องอาศัยผู้อื่นอยู่เสมอ ตั้งแต่เราเกิดในท้องของมารดาเป็นจุดเล็กๆ (กลละ) ก็ต้องอาศัยท้องของท่าน ต้องพึ่งเลือดเนื้อของท่านให้ชีวิตของเราได้ลืมตาออกมาดูโลก ได้อาศัยแผ่นดินนี้ให้ความร่มเย็นให้เป็นสุข และความฉวยโอกาสของเราที่ดีกว่าคนอื่นบ้างเป็นบางครั้งบางคราว

เราไม่เคยคิดไม่เคยรู้สึกว่า ชีวิตที่มีอยู่ของเราที่ยังเหลืออยู่อีกไม่กี่วัน เราควรจะทำอย่างไรกับชีวิตที่ยืนยาวออกไปให้มีชีวิตชีวาเป็นชีวิตที่เป็นสุขและแสวงหาสิ่งที่ประเสริฐ จึงควรที่จะทำความดีที่ยิ่งกว่าความดี มีความคิดและความรู้สึกอยู่เสมอว่าจะเป็นผู้ให้ ทั้งที่เป็นวัตถุหรือวัตถุแก่บุคคลอื่นและสัตว์อื่นในโอกาสที่ควรจะให้ เพราะการให้แก่บุคคลอื่นหรือสัตว์อื่นๆ นั้น แท้จริงมิใช่การสูญเสียอะไรเลย แต่กลับเป็นการให้แก่ตัวเอง แล้วท่านจะเป็นผู้ให้ที่ดีที่สุด

ความทุกข์ของท่าน ใจของท่านที่ท้อแท้เบื่อหน่ายหรือฟุ้งซ่าน เร่าร้อน กระวนกระวานก็จะสงบลง ทุกข์ใจจะคลายออกและน้อยลงจนเห็นได้ชัด ความสุขใจจะปรากฏเกิดขึ้น ชีวิตจะมีความสุขขึ้นประเสริฐขึ้น ตามกำลังอำนาจของสติปัญญาที่เจริญขึ้น (กุศลจิต) นี่คือคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์

“สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่อมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นล้วนต้องมีความดับไปเป็นธรรมดา”


http://www.raksa-dhamma.com/topic_39.php




.....................................................
คำพูดเพียงน้อยนิดอาจเปลี่ยนชีวิตของคนได้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร