วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 03:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2023, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




pngimg.com - children_PNG17984.png
pngimg.com - children_PNG17984.png [ 44.2 KiB | เปิดดู 765 ครั้ง ]
โยคีควรกำหนดพิจารณาสภาวธรรมปัจจุบันเท่านั้น

ถามว่า ในบรรดาสภาวธรรมที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันทั้งหลายนั้น โยคี
ควรนำเอาสภาวธรรมชนิดใดมากำหนดพิจารณา? ตอบว่า โยคีควรนำสภาวธรรมที่เป็น
อัทธาปัจจุบัน สันตติปัจจุบัน และขณะปัจจุบันเท่านั้น มากำหนดพิจารณา
เพื่อให้รู้โดยปัจจักขญาณ เมื่อปัจจักขญาณนั้นแก่กล้าแล้วโยศีก็สามารถที่จะ
พิจารณาสภาวธรรมที่เป็นทั้งอดีตและอนาคตได้ด้วย ซึ่งญาณที่รู้อติดและอนาคต
นั้นท่านเรียกว่าอนุมานญาณ จัดเป็นญาณที่เกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติตามความ
แก่กลำาของปัจจักขญาณนั้น เพราะฉะนั้น โยคีจึงไม่จำเป็นต้องขวนชวายเอาใจใส่
เพื่อที่จะกำหนดพิจารณาธรรมที่เป็นอดีตและอนาคตแต่อย่างใด สาเหตุ
ก็เพราะว่า โยคีนั้นย่อมไม่สามารถที่จะรู้อดีตและอนาคตได้โดยสภาวลักษณะ
สามัญญลักษณะตามความเป็นจริงได้ขอให้โยคีทั้งหลายจงคิดดูว่า เรานั้นไม่สามารก
ที่จะรู้ซึ้งถึงความจริงของรูปนามที่เกิดมาแล้วในภพที่ผ่านมาหลายภพชาติได้เลย
ว่ารูปนามนี้มีลักษณะเช่นไร เช่น มีลักษณะขาวหรือดำ หรือมีจักซขุปสาท โสตปสาท
เช่นไร ถึงพร้อมด้วยอิตถีภาวรูปหรือปุริสภาวรูปเช่นไร แท้จริงแล้ว เราไม่สามารถ
รูปในอดีตตามความเป็นจริงได้เลย แม้ในเรื่องของนามก็เช่นกัน คือเราไม่สามารถ
ที่จะรู้จิตเจตสิกในภพชาติก่อนว่าเป็นเช่นไร นี้คือรูปนามที่ผ่านมาแล้วในอดีตหลาย
ภพชาติ แม้ในภพชาติปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน โยคีไม่สามารถที่จะพิจารณารู้รูปนาม
ที่ผ่านมาแล้วเป็นปีเป็นเดือนเป็นวันตามความเป็นจริง แม้แต่รูปนามที่เพิ่งผ่านมา
เป็นชั่วโมงหรือนาทีก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นเป็นสภาวลักษณะได้ตามความเป็น
จริงเช่นกัน เพราะเหตุที่ไม่สามารถรู้ตามความเป็นจริงได้อย่างนี้ โยคีจึงไม่ต้อง
ตระหนักถึงการรู้อดีต หากท่านใดยังไม่เชื่อว่าตัวเองไม่สามารถที่จะรู้อดีตได้ก็
ลองนำมาพิจารณาดู โดยลองพิจารณาเฉพาะรูปนามที่กำลังเกิดขึ้น ก็จะเห็นได้ว่า
คำกล่าวนี้เป็นจริงเช่นไร

นอกจากนี้ สภาวธรรมที่เป็นอนาคต โยคีก็ไม่สามารถรู้ตามความเป็นจริงได้
เช่นเดียวกัน เพราะไม่สามารถที่จะคาดเดาได้ว่าในขณะที่เรากำลังก้าวขาช้ายไปนั้น
รูปนามเช่นไรจะเกิดขึ้น ไม่สามารถที่จะคาดเดาได้ว่า กุศลหรืออกุศลจะเกิดขึ้น
บางครั้ง เราคิดว่ากุศลจะเกิด แต่อาจจะเป็นอกุศล ก็ได้ บางครั้งเราคิดว่าปิติจะเกิด
แต่อาจเกิดโทมนัส ก็ได้ เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้เลย เพราะเหตุ
ที่เราไม่สามารถล่วงรู้อนาคตได้ เราจึงไม่สามารถที่จะรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์
อะไรขึ้น เช่น ถูกทำร้ายด้วยอาวุธ มีด และของมีคม ถูกอาคารบ้านเรือนถล่มทับ
ตกจากที่สูง ถูกไฟไหมั ถูกน้ำพัดพาไป ถูกสัตว์ร้ายกัด ถูกหนามทิ่มแทง อย่างนี้
เป็นตัน ซึ่งบุคคลที่ถูกสิ่งเหล่านี้หรือประสบกับสิ่งเหล่านี้ทันทีทันใด ก็ไม่สามารถ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2023, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




2714.jpg
2714.jpg [ 52.87 KiB | เปิดดู 587 ครั้ง ]
คาดเดาส่วงหน้าได้ว่าตนเองจะได้รับทุกข์เพราะสิ่งเหล่านี้ ทุกคนเอาแต่คิดขอให้
เรามีความสุข แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจจะได้รับความทุกข์ บางคนในเวลาใกล้
ตายนั้น คาดหวังแต่จะให้ตนเองมีอายุยินยาว ชีงถ้าเชาผู้นั้นสามารถรู้อนาคตตาม
ความเป็นจริงได้เขาก็ไม่ต้องไปถามโหราศาสตร์หรือ หมอดูหรือคนเข้าทรงว่า
เป็นอย่างไร ดังนั้น สภาวธรรมที่เป็นอนาคตแม้ว่าเราจะสามารถคาดเดาหรือ
คาดการณ์ได้เป็นบางครั้งก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงการพยากรณ์คาดเดาเท่านั้น ไม่ใช่
เป็นการรู้แบบจะแจ้งอย่างที่รู้ด้วยปัจจักขญาณแต่อย่างไร

สำหรับปัจจุบันธรรมอาจเป็นสภาวธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในชันธสันดานของตน
ก็ได้ หรืออาจจะเป็นสภาวธรรมที่กำลังปรากฎโดยผ่านทางทวารทั้ง ๖ ก็ได้
เพราะฉะนั้น หากโยคีทำการกำหนดพิจารณาปัจจุบันธรรมเหล่านั้นด้วยสติและ
ปัญญาก็จะสามารถรู้รูปนามอย่างใดอย่างหนึ่งโดยจะแจ้งตามความเป็นจริงโดย
สภาวลักษณะชัดเจนได้นั่นเทียวเปรียบเสมือนคนที่จ้องดูท้องฟ้าในขณะที่ฟ้าแลบอยู่
ก็จะสามารถรู้ถึงฟ้าแลบ ตามความเป็นจริงทั้งที่ลักษณะของการแลบออกและ
ทรวดทรงสัณฐานของสายฟ้านั้นด้วย ซึ่งถ้ามิได้จ้องดูในขณะที่ฟัากำลังแลบอยู่
แต่กลับไปจ้องดูในขณะที่ฟ้าแลบออกแล้ว ก็จะไม่สามารถรู้แม้กระทั่งตำแหน่งที่
ฟ้านั้นแลบออก ส่วนการที่จะรู้ลักษณะทรวดทรงสัณฐานของสายฟ้าแลบนั้น จึงไม่
จำเป็นต้องเอ่ยถึง โดยทำนองเดียวกัน ในอนาคตเราก็ไม่สามารถที่จะคาดเดาว่า
ที่ตรงไหนจะมีฟ้าแลบ และจะแลบอย่างไร อุปมาฉันใด อุปโมยก็ฉันนั้น โยคีย่อม
ไม่สามารถที่จะรู้อดีตอนาคตได้ตามความเป็นจริง แต่จะสามารถรู้ได้เฉพาะปัจจุบัน
เท่านั้น ตามความเป็นจริงด้วยปัจจักขญาณ เพราะฉะนั้น โยคีจึงไม่ควรที่จะเน้น
การรู้อดีตอนาคตแต่อย่างไรแต่ควรเน้นเฉาะการรู้ปัจจุบันด้วยปัจจักขญาณเท่านั้น

นอกจากนี้ อีกสาเหตุหนึ่งก็คือว่าเนื่องจากว่าในปัจจุบันธรรมที่โยคิไม่ได้
ทำการกำหนดพิจารณารู้นั้นได้มีกิเลสทั้งหลายชื่งเรียกว่าอารัมมณาธิคคหิตะและ
อารัมมณานุสัยนอนเนื่องฝังลึกอยู่ ส่วนในปัจจุบันธรรมที่โยคีได้ทำการกำหนด
พิจารณารู้ทัน กิเลสเหล่านั้นจะไม่นอนเนื่อง เพราะฉะนั้น วิปัสสนาที่ทำการกำหนด
พิจารณาปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ย่อมสามารถที่จะละกิเลสทั้งหลายเหล่านั้นได้
ด้วยอัตโนมัติด้วยตทังคปหาน และก็สามารถที่จะละกรรมซึ่งเป็นกรรมที่จะเกิดขึ้น
จากอิทธิพลของกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น รวมทั้งวิบากขันธ์ทั้งหลายด้วย เกี่ยวกับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2023, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ลักษณะการนอนเนื่องของก็เลสดังกล่าวพร้อมการละกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น โยคี
จะได้พบในปริเฉจที ๗ ตอนว่าด้วยเรื่องของอนุปัสสนา

สำหรับสภาวธรรมที่เป็นอดีตซี่งโยคีไม่ได้กำหนดรู้ในขณะที่เกิดขึ้นนั้น กิเลส
ทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าอารัมมณานุสัย ก็ได้นอนเนื่องฝังลึกแล้วนั้นเทียว ฆนบัญญัติ
ที่อาศัยสภาวธรรมที่เป็นอดีตนั้นเกิดขึ้น ย่อมปรากฎขึ้นในจิตตสันดานมาตั้งแต่
อดีตกาลนั้น เหมือนกับเป็นการถ่ายภาพเอาไว้นั่นเทียว เพราะฉะนั้น หากโยคีได้
ทำการหวนระลึกนึกถึงอดีด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เคยเห็น เคยฟัง เคยได้ยิน เคยดม
เคยเคี้ยว เคยกิน เคยสัมผัส และเคยคิดมาก่อน ก็จะทำให้ฆนบัญญัติปรากฏเกิดขึ้น
แล้วเป็นเหตุให้ความยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตาเกิดขึ้นตาม
มาด้วย แม้ว่าโยคีจะทำการกำหนดพิจารณาเนืองๆว่า เป็นเพียงแค่รูปนาม เป็นเพียง
แค่สิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ฆนบัญญัติชีงเป็น
กลุ่มก้อนใหญ่ที่ได้ยึดมั่นถือมั่นไว้ภายในจิตใจ เหมือนกับภาพถ่ายบันทึกไว้ สามารถ
หายไปได้ในที่สุด ก็จะทำให้โยคีไม่สามารถที่จะถอนกิเลสทั้งหลายที่ยึดมั่นถือมั่นว่า
นี่เป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตา ได้

เปรียบเสมือนในกลุ่มชนบางกลุ่ม พ่อแม่ ก็ดี ครูอาจารย์ ก็ดี สั่งสอนเด็กๆ
ของตน ให้เป็นผู้กล้าหาญมาตั้งแต่ต้น ให้มองเห็นผีสางนางไม้เป็นเหมือนกับสิ่งที่
คนมองในมุมมองอีกมุมมองหนึ่งที่แปลกประหลาดเท่านั้น ซึ่งในกลุ่มชนเหล่านั้น
เค็กๆก็จะไม่รู้จักความกลัวมาตั้งแต่ต้น เมื่อเติบโตมา พวกเขาแม้จะเห็นผีสางนางไม้
ก็ย่อมจะไม่กลัว คงมองเห็นเป็นเพียงแค่สิ่งแปลกประหลาดเท่านั้น แม้ในการ
ปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่รูปธรรมและนามธรรมเกิด โยคีทำการกำหนดจะไม่
ปรากฏมนบัญญัติ แล้วก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในรูปนามนั้น แม้จะหวนระลึกนึกคิด
ถึงรูปนามดังกล่าว กิเลสก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในบ้านเมืองของเรา พ่อแม่บางคน
ชอบหลอกให้ลูกของตนกลัวผีสางนางไม้ จึงทำให้เด็กๆรู้จักความกลัวผีมาแต่เล็ก
เข้าใจว่าผีสางนางไม้เป็นสิ่งที่น่ากลัว จนกลายเป็นความยืดมั่นถือมั่นและเป็น
อุปนิสัยติดตัว แม้พวกเขาจะไม่เคยเห็นผี แต่ก็มีความกลัวเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ

ต่อมาภายหลัง แม้ว่าครูอาจารย์หรือพ่อแม่ที่ฉลาดจะอบรมสั่งสอนว่าผีเป็น
สิ่งที่ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เด็กคนนั้นก็ไม่สามารถที่จะหายจากความกลัวได้ แม้ว่า

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2023, 16:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวเขาเองจะเติบโตมาแล้วพิจารณาปอยๆว่า ไม่ไช่เป็นถึงที่น่ากลัว จิตที่จะกลัวนั้น
ก็ไม่สามารถหายไป อุปมานี้ฉันใด อุปไมย ก็ฉันนั้น ในขณะทีรูปนามเกิด โยคีไม่ได้
กำหนดพิจารณา ก็จะทำให้ฆนบัญญัติและความยึดมันถือมันเกิดขึ้น เมือทวน
พิจารณานึกถึงนามรูปที่เป็นอดีต ที่ตนยีดมั่นถือมันแล้วนั้นก็ไม่สามารถที่จะกำจัด
การปรากฏแห่งฆนบัญญัติและความยึดมันถือมั่นออกไปได้ เพราะฉะนั้น การกำหนด
พิจารณาโดยการหวนระลึกนึกถึงสิ่งที่เป็นอดีตจึงยังไม่ไช่เป็นการรู้ซื้งถึงสภาวะตาม
ที่ปรากฏอยู่จริง ซ้ำยังไม่สามาวถที่จะก่อให้เกิดประโยซนักล่าวคือการละกิเลลได้ด้วย

สำหรับธรรมที่เป็นอนาคตก็คือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ในช่วงที่ธรรมนั้น
ยังไม่เกิด แม้โยคีจะจินตนาการนำมากำหนดพิจารณาก่อน แต่เมื่อสภาวธรรมนั้น
เกิดขึ้น ภายหลังแล้วก็ไม่สามารถที่จะกำหนดได้ ฆนบัญญัติก็จะปรากฏ กิเลส
ที่ยึดมั่นถือมั่นก็จะเกิดขึ้นโดยลักษณะที่เป็นนิจจังสุขังและอัตตา เพราะฉะนั้น
การที่นำเอาอนาคตธรรมกล่าวคือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น มาพิจารณากำหนด จึงยัง
มิใช่การละกิเลลที่ถูกต้อง อนุสัยกิเลสนั้น ก็จะยังนอนเนื่องอยู่เหมือนเดิม ดังนั้น
การนำเอาอนาคตมากำหนดพิจารณาวิปัสสนานั้นมิใช่แต่เพียงว่าจะทำให้ไม่รู้
สภาวะที่เป็นจริงเท่านั้น ซ้ำยังไม่ก่อให้เกิดประโยชน์คือการละกิเลสได้ด้วย สรุป
ก็คือว่า โยคิไม่ควรที่จะเน้นหรือขวนขวายเอาธรรมที่เป็นอดีตและอนาคตมา
กำหนดพิจารณาเป็นวิปัสสนา ด้วยว่าเมื่อญาณปัญญาที่เป็นปัจจักขญาณของ
โยคีผู้นั้นแก่กล้าแล้ว โยคีก็จะสามารถรู้อดีตอนาคดเหล่านั้นได้ด้วยอนุมานญาณ
ซึ่งเป็นญาณที่มีศักยภาพในการเทียบเคียงกับปัจจุบันธรรมได้โดยธรรมชาตินั่นเทียว

การกำหนดพิจารณาสภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันจะทำให้โยคีรู้สภาวะที่เป็นจริง
ของรูปนามซึ่งเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ตามที่ได้แสดงไว้แล้วนั้น และสามารถที่
จะละกิเลสทั้งหลายได้ด้วย ดังนั้น โยคีพึงจำไว้ว่าจะต้องเน้นใส่ใจกำหนดเฉพาะ
ปัจจุบันธรรมเท่านั้น นี้คือเหตุผลในการที่แนะนำให้โยคีควรกำหนดธรรมทีเป็น
ปัจจุบัน ซึ่งจะได้ยกหลักฐานเพื่อให้โยได้เกิดความมั่นใจและสามารถวินิจได้
ด้วยญาณของตนเอง ซึ่งเรียกว่า ธัมมววัตถานญาณ นั้น ดังต่อไปนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 56 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร