วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 06:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2022, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




2012-11-16-Velum-IMG_.jpg
2012-11-16-Velum-IMG_.jpg [ 174.98 KiB | เปิดดู 1494 ครั้ง ]
โอตรณหาระ

[๑๒] โย จ ปฏิจจุปฺปาโท อินฺทฺริยขนฺธา จ ธาตุอายตนา
เอเตหิ โอตรติ โย โอตรโณ นาม โส หาโร.

"แนวทางใดย่อมหยั่งลงในปฏิจจสมุปบาท อินทรีย์ ขันธ์ ธาตุ และ
อายตนะ แนวทางนั้นชื่อว่า โอตรณหาระ"

[โอตรณหาระ คือ แนวทางในการหยั่งลงสู่ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ และปฏิจจสมุปบาท
เช่นคำว่า นโม พุทธสุส (ขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า) โดยองค์ธรรมคือมหากุศลจิตตุปบาท จำแนก
ได้ดังนี้ คือ

๑. ขันธ์ ๕

- เวทนาเจตสิกในจิตตุปบาทข้างตัน ชื่อว่า เวทนาขันธ์
- สัญญาเจตสิก ชื่อว่า สัญญาขันธ์
- เจตสิกอื่นเวันเวทนาและสัญญา ชื่อว่า สังขารขันธ์
- มหากุศลจิต ชื่อว่า วิญญาณขันธ์

๒. อายตนะ ๑๒

- มหากุศลจิต ๘ ดวงชื่อว่า มนายตนะ
- เจตสิก ๓๘ ดวงที่ประกอบตามสมควร ชื่อว่า ธรรมายตนะ

๓. ธาตุ ๑๘

- มหากุศลจิต ๘ ดวงชื่อว่า มโนวิญญาณธาตุ
- เจตสิก ๓๘ ดวงชื่อว่า ธรรมธาตุ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2022, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


๔. อินทรีย์ ๒๒

- เวทนาเจตสิกไนมหากุศลโสมนัส ๔ ชื่อว่า ไสมนัสสินทรีย์
- เวทนาเจตสิกไนมหากุศลอุเบกขา " ชื่อว่า อุเปกขินทรีย์
- ชีวิตินทรีย์เจตสิก ชื่อว่า ชีวิตินทรีย์
- มหากุศลจิต ๘ ดวงชื่อว่า มนินทรีย์
- ศรัทธาเจตสิก ชื่อว่า สัทธินทรีย์
. วิริยเจตสิก ชื่อว่า วิริยินทรีย์
- สติเจตสิก ชื่อว่า สตินทรีย์
- เอกัคคตาเจตสิก ชื่อว่า สมาธินทรีย์
- ปัญญาเจตสิก ชื่อว่า ปัญญินทรีย์

๕. ปฏิจจสมุปบาท (อนุโลมนัย)

- เจตนาเจตสิกในมหากุศลจิตตุปบาท ชื่อว่า สังขาร
- เหตุของสังขาร คือ อวิชชา สังขารทั้งหลายย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
- วิญญาณย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย
- นามรูปย่อมมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
- สฬายตนะย่อมมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย
- ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย
- เวทนาย่อมมีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
- ตัณหาย่อมมีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย
- อุปาทานย่อมมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย
- ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
- ชาติย่อมมีเพราะภพเป็นปัจจัย
- ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสย่อมมีเพราะชาติเป็นปัจจัย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2022, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


๖. ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิโลมนัย)

- ปัญญาเจตสิกในมหากุศลจิตตุปบาท ชื่อว่า วิชชา
- เมื่อวิชชาเกิด อวิชชาย่อมดับไป
- สังขารย่อมดับเพราะอวิชชาดับ
- วิญญาณย่อมดับเพราะสังขารดับ
- นามรูปย่อมดับเพราะวิญญาณดับ
- สฬายตนะย่อมดับเพราะนามรูปดับ
- ผัสสะย่อมดับเพราะสฬายตนะดับ
- เวทนาย่อมดับเพราะผัสสะดับ
- ตัณหาย่อมดับเพราะเวทนาดับ
- อุปาทานย่อมดับเพราะตัณหาดับ
- ภพย่อมดับเพราะอุปาทานดับ
- ชาติย่อมดับเพราะภพดับ
- ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมดับเพราะชาติดับ

ความจริงแล้วพระสูตรเป็นบุคคลาธิษฐานเทศนา คือ เทศนาที่มีบุคคลเป็นที่ตั้ง จึงอาจทำ
ให้ไม่พบองค์ธรรมโดยตรง แต่เมื่อจำแนกองค์ธรรมตามสมควรแล้วแจกแจงเป็นขันธ์และอายตนะ
เป็นต้นตามโอตรณหาระนี้ ก็จะทำให้เข้าใจหลักธรรมที่พระบรมศาสดาทรงแสดงเป็นบุคคลาธิษฐาน
นั้นได้อย่างชัดเจน ในสมัยก่อนบุคคลที่ฟังธรรมแล้วบรรลุธรรมได้ ก็เพราะว่าสามารถเข้าใจองค์ธรรม
แล้วจำแนกเป็นขันธ์เป็นต้นได้ จึงทราบว่าธรรมอย่างไหนควรกำหนดรู ธรรมอย่างไหนควรละ ธรรม
อย่างไหนควรกระทำให้แจ้ง และธรรมอย่างไหนควรอบรมให้เกิดขึ้น แล้วกำหนดรู้ขันธ์ ๕ จึงบรรลุ
คุณธรรมพิเศษในพระศาสนาได้ เช่น ดาถาที่พระอัสสชิแสดงแก่อุปติสสะมาณพว่า

เตสํ เหตุ ตถาคโต อาห
เย ธมฺมา เหตุปุปภวา
เตสญจ โย นิโรโธ
เอวํวาที มหาสมโณ."

"ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตฤาคตตรัสเหตุของธรรมเหล่านั้น
และตรัสความดับไปของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะทรงมีวาทะเช่นนี้"
คำว่า "ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด" คือ ขันธ์ ๕ ซึ่งเกิดจากตัณหา แม้ว่าพระอัสสชิ
จะมิได้ระบุว่าธรรมดังกล่าวคืออะไร และเหตุเกิดคืออะไร แต่อุปติสสะมาณพก็เข้าใจว่าธรรมดังกล่าว
คือขันธ์ ๕ และเหตุเกิดคือตัณหา เพราะสมมุติบัญญัติตามหลักสันสกฤตถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีเบื้องตัน
เนื่องจากเป็นบัญญัติของคนสมัยก่อนสืบทอดกันต่อมา จึงถือว่าไม่มีเหตุเกิดแต่อย่างใด ดังนั้น สิ่งที่
มีเหตุเกิดก็คือปรมัตถธรรมหรือสภาวธรรมที่เป็นขันธ์ ๕ นั่นเอง อันมีเหตุเกิดคือตัณหาที่เป็นความ
ทะยานอยากในอารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
คำว่า "ความดับของธรรมเหล่านั้น" คือ ความดับของขันธ์ ๕ นั่นเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2022, 12:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


อนึ่ง ขันธ์ ๕ เป็นทุกขสัจที่ควรกำหนดรู้ (ปริญญยยะ) ตัณหาเป็นสมุทยสัจที่ควรละ
(ปหาตัพพะ) ความดับของขันธ์เป็นทุกขนิโรธที่คววกระทำให้แจ้ง (สัจฉิกาศัพพะ) อุปติสสะมาณพเช้าใจ
ข้อความเหล่านี้ได้ด้วยปัญญาของตนที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติ อีกทั้งยังเช้าใจแนวทางในการเจริญ
วิปัสสนาที่เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นธรรมที่ควรอบรม (ภาเวตัพพะ)

เมื่อท่านเข้าใจอริยสัจ ๓ ข้อแรกที่กล่าวไว้ในคาถาโดยตรง และเข้าใจอริยสัจที่ ๔ ที่กล่าว
ไว้โดยอ้อมแล้ว ได้เจริญสติกำหนครู้ขันธ์ ๕ ที่ปรากฎชัดในปัจจุบันขณะตามความเป็นจริง จึงบรรลุ
ธรรมเป็นพระโสดาบันเมื่อฟังธรรมจบ

ในคาถานี้มี ย สรรพนามเพียงบทเดียวว่า โย หมายถึง ปฏิจจุปปาโท แต่ในเวลาแปล
ยกศัพท์ต้องนำ ย ศัพท์ไปประกอบร่วมกับประธานอื่นๆ ที่ จ ศัพท์รวบรวมไว้ คือ อินฺทฺริยขนฺธา และ
ธาตุอายตนา ดังนั้น จึงต้องเปลี่ยนสิงค์ของ โย เป็น เย และ ยานิ เพื่อให้สอดคล้องกับวิเสสยะเหล่านั้น
และแม้ว่าบทที่ถูก ย ศัพท์รวบรวมไว้มีหลายบท แต่ในประโยคหลังที่มี ศัพท์ ท่านมักประกอ
ต ศัพท์ไว้เพียงบทเดียว ไม่นิยมประกอบไว้หลายบท

ดำว่า ปฏิจจุปปาโท เป็นคำไวพจน์ของ ปฏิจจสมุปปาโท ท่านใช้คำนี้เพื่อย่อคำให้ต้อง
ฉันทลักษณ์]

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 40 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร