วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2022, 08:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




troll-3328570_960_720.png
troll-3328570_960_720.png [ 371.66 KiB | เปิดดู 1114 ครั้ง ]
ลักษณะการปรากฏของรูปนาม

รูปและนามทั้งหลายย่อมปรากฏชัดเจนในขณะทีเห็น เช่น รูปตาทีใสที่เรียกว่า
จักขุปสาทรูป วรรณรูปที่บุคคลสามารถเห็นได้ที่เรียกว่ารูปารมณ์จิตที่ทำหน้าที่เห็น
ทีเรียกว่าจักขุวิญญาณและจิตในวิถีเดียวกันแห่งจักขุวิญญาณนั้นทั้งหลาย รวมถึง
เจตสิกที่ประกอบกับจิตทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะปรากฎเกิดขึ้นอย่างประจักษ์แจ้งใน
ขณะที่บุคคลเห็นรูปารมณ์ ถึงกระนั้น ในบรรดารูปนามที่ปรากฎเกิดขึ้นในขณะที่
เห็นรูปารมณ์นั้นก็จะปรากฎเฉพาะรูปใดรูปหนึ่งที่มีสภาวสักษณะเป็นต้นอย่างชัดเจน
อนึ่ง การที่กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวิถีเดียวกันนั้น หมายถึง จิต ๓๔ ดวง เหล่านี้ คือ
ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง, สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวง, สันตีรณจิต ๓ ควง.
โวฏฐัพพนจิต ๑ ดวง, กามกุศลชวนะ ๘ ดวง, อกุศลชวนะ ๑๒ ดวง, และ
ตทาลัมพนจิต ๑๑ ดวง, ซึ่งจิตเหล่านี้ได้เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักขุทวาร ซึ่งถ้าเป็นการ
นับด้วยวิธีแบบอัคคหิตคหณนัยกล่าวคือนัยที่ไม่นับเอาสิ่งที่นับไปแล้วคือไม่นับช้ำ
ก็จะได้จิดทั้งหมด ๓๕ ดวงเท่านั้น นี้คือตัวอย่างของการปรากฎรูปนามในขณะที่เห็น
แม้ในขณะที่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส เป็นต้น ก็พึงทราบโดยทำนองเดียวกันนี้
เพราะฉะนั้น ในที่นี้ จะแสดงไว้พอเป็นแนวสังเขปเท่านั้น ก็แล จิตต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น
สามารถเปรียบเทียบได้ในขณะที่จักขุวิญญาณเกิดขึ้นนั่นเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2022, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




troll-3328599_1280.png
troll-3328599_1280.png [ 432.62 KiB | เปิดดู 1112 ครั้ง ]
ในขณะที่บุคคลได้ยินอยู่นั้น รูปนามทั้งหลาย เช่น โสตปสาทรูป สัททรูป
ที่เป็นอารมณ์หรือที่เรียกว่าสัททารณ์โสตวิญญาณกล่าวคือจิตที่ได้ยินและจิตเจตสิก
ที่เกิดขึ้นในวิถีเดียวกันกับโสตวิญญาณนั้น ก็จะปรากฎชัดในขณะที่บุคคลได้ยินเสียง

รูปนามทั้งหลาย เช่น ฆานปสาทรูป คันธารมณ์หรือคันธรูป ฆานวิญญาณที่
เป็นจิตที่ได้กลิ่น รวมถึงจิตเจตสิกที่เกิดขึ้นในวิถีเดียวกัน ย่อมปรากฏเกิดขึ้นในขณะ
ที่บุคคลได้กลิ่นหรือดมกลิ่น

รูปนามทั้งหลาย เช่น ชิวหาปสาทรูป รสารมณ์ ชิวหาวิญญาณที่เป็นจิตที่
ลิ้มรส รวมทั้งจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นในวิถีเดียวกันกับชิวทาวิญญาณนั้น ก็จะเกิด
ปรากฎชัดในขณะที่บุคคลกินหรือลิ้มรสอาหารอยู่

รูปนามทั้งหลาย เช่น กายปสาทรูป โผฎฐัพพารมณ์ ซึ่งได้แก่ ปฐวีรูปที่มีทั้ง
หยาบหรืออ่อนนุ่น เตโชรูปที่เป็นทั้งอ่อนทั้งนุ่ม วาโยรูปที่เป็นรูปเคลื่อนไหว และ
กายวิญญาณซึ่งเป็นจิตที่ทำหน้าที่กระทบสัมผัส รวมถึงจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นใน
วิถีเดียวกันกับกายวิญญาณนั้น ก็จะปรากฎชัดในขณะที่บุคคลได้สัมผัสทางกาย

ในขณะที่บุรุษและสตรีทั้งหลายเกิดจิตสำคัญว่าตนเป็นหญิงเป็นชาย อิตถิภาวรูป
ซึ่งเป็นรูปที่เป็นเชื้อให้เกิดความเป็นหญิง ปุมภาวรูปซึ่งเป็นรูปที่เป็นเชื้อให้เกิด
ความเป็นชาย ก็จะปรากฎขึ้นชัดเจนในขณะที่บุคคลมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นหญิง
เป็นชาย นั่นเอง ส่วนในขณะที่บุคคลกลืนน้ำลาย ก็ดี หลั่งน้ำตาหรือน้ำมูกไหลเป็นตัน
ก็ดี อาโปธาตุซึ่งทำหน้าที่ไหลเอิบอาบ ก็ปรากฎชัดในขณะนั้นๆ

ในขณะที่เกิดความตรึกนึกคิดหรือทำการกำหนดพิจารณาอยู่นั้นจิตที่ทำหน้าที่
คิดหรือจิตที่ทำการกำหนดพร้อมทั้งหัวใจหรือหทยวัตถุอันเป็นที่อาศัยของจิตนั้น
ก็จะปรากฏชัดเจนในขณะนั้น อนึ่ง คำว่า จิตที่คิดนั้น หมายถึง จิต ๒๐ ดวง ที่เกิด
ขึ้นในวิถีเดียวกันซึ่งประกอบด้วยมโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง. กามกุศลจิต ๘ ดวง.
อกุศลจิตรวม ๑๒ ดวง, ตทาลัมพนจิต ๑๑ ดวง, รวมทั้งหมด ๓๒ ดวงด้วยกัน
ส่วนจิตที่ทำการกำหนดนั้นมี ๒๐ ดวง ซึ่งประกอบด้วยมโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง
มหากุศลชวนจิต ๘ ดวง, ตทาลัมพนจิต ๑๑ ดวง, รวมทั้งหมด ๒๐ ดวง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2022, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




troll-3331579_1280.png
troll-3331579_1280.png [ 365.99 KiB | เปิดดู 1112 ครั้ง ]
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในคัมภีร์อัฏฐสาลินี(หน้า ๒๐๘) ท่านได้กล่าวไว้ว่า ภาเวนฺโตบิ
เตสํเยว อญฺญตเรน ภาเวติ และในคัมภีร้อภิธัมมัตถวิภาวินีตอนที่อธิบายเจตสิก
รื่องอัปปมัญญาสัมปโยคนัย ในปริเณท ๒ ได้อธิบายไว้ว่า กทาจิ ปริจยพเล
ญาณวิปฺปยุตตจิตฺเตหิปี สมฺมสนํ ในคัมภีร์อิติวุตตกอรรถกถา(หน้า ๑๙๖) ก็ได้
กล่าวไว้เช่นกันว่า ปคุณํ สมถวิปสฺสนาภาวนํ อนุยุญฺขนฺตสฺส อนฺตรนฺตรา ญาณ-
วิปฺปยุตตจิตฺเตนาปิ มนสิกาโร ปวตฺตติ. อาศัยข้อความที่ได้ยกมาจากคัมภีร์เหล่านี้
พึงทราบว่า ในบางครั้ง วิปัสสนาชวนจิตที่เป็นญาณวิปฺปยุต ก็ยังสามารถเกิดขึ้น
ได้บ้าง นอกจากนี้ พึงทราบว่า ดทาลัมพนจิตยังสามารถกิดขึ้นได้หลังจากทีตรุณ
วิปัสสนาชวนะเกิดขึ้น คังที่ในข้อความพระบาสีจากคัมภิรัมหาปัฏฐาน(๑/๑๓๓)
ได้แสดงไว้ว่า อนิจฺจโต ทุกฺขโต อนตฺตโต วิปสฺสนฺติ. กุสเล นิรุทฺเธ วิปาโก
ตทารมฺมณตา อุปฺปชฺชติ.

ในเวลาที่โยคีกินดี่มแล้วเกิดพละกำลังขึ้นและในเวลาทีโยคีไม่ได้กินดื่มพละ
กำลังอดถอยลงนั้น โอซรูปซึ่งเรียกว่าอาหารอันมีสักษณะที่เป็นสารของอาหารนั้น
ก็จะปรากฎชัดเจน ส่วนในเวลาที่รูปทั้งหลายกล่าวคือปสาทรูป ภาวรูป และหทยรูป
ปรากฎเกิดขึ้นโดยไม่ขาดสายนั้น พึงทราบว่า ชีวิตรูปกล่าวคือรูปชีวิตซึงเป็น
สภาวะที่ทำให้รูปทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีการหมดพละกำลังหรือไม่เสื่อมโทรมไม่
เหี่ยวย่น ก็จะปรากฎชัดในขณะนั้น อนึง ตามที่แสดงมานี้ ชี้ให้เห็นว่า ในบรรดา
สภาวธรรมที่ปรากฎโดยประจักษ์แจ้งในขณะนั้นๆ พึงทราบว่า สภาวธรรมที่
ปรากฎชัดเจนที่สุดเท่านั้นที่จะปรากฎเกิดขึ้นโดยความเป็นประธานหลัก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2022, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




troll-3330172_1280.png
troll-3330172_1280.png [ 492.53 KiB | เปิดดู 1112 ครั้ง ]
ถามว่า ในบรรดาอัชฌัตตธรรมและพหิทธธรรมทั้งสองนั้น ธรรมใดที่โยคี
พึงกำหนดพิจารณา? ตอบว่า โยคีพึงกำหนดพิจารณาได้ทั้งสองอย่างนันเทียว
จะอย่างไรก็ตาม ในส่วนของอัชผัดตธรรมนั้น สำหรับโยคีผู้เป็นสาวกทั้งหลายย่อม
เหมาะกับวิธีการกำหนดพิจารณาสองวิธี คือ (๑) การกำหนดพิจารณาอัชฌัตตธรรม
ด้วยปัจจักขญาณ ตามลำดับการเกิคตามสมควรแก่บารมีญาณของโยคีนั้น และ
[๒] การกำหนดเทียบเคียงด้วยอนุมานญาณในพหิทธธรรมซึ่งเป็นธรรมที่ไม่
สามารถกำหนดพิจารณาเห็นโดยประจักษ์แจ้งในขันธสันดาน แต่เป็นการ
พิจารณาเทียบเคียงกับธรรมที่ตนได้เห็นแล้ว ซึ่งเป็นวิธีการที่สามารถทำได้ในตอน
ที่วิปัสสนาญาณนั้นแก่กล้า เพราะณะนั้น โยคีพึ่งเนันการกำหนดอัซฌัตตธรรมที่เป็น
ธรรมภายในเกิดขึ้นในชันธสันดานของตน ซึ่งขอให้พิจารณากับหลักการในคัมภีร์
ฎีกาที่ท่านได้แสดงเกี่ยวกับการสำเร็จเป็นพระอรหันต์ของพระมหาโมคคัลลานเถระ
ด้วยการกำหนดพิจารณาธรรมบางส่วน ซึ่งต่อมาได้ถือเป็นต้นแบบแห่งการกำหนด
ของพระสาวกทั้งหลาย ดังต่อไปนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 15 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร