วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2022, 18:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




FY259-S30x40-min.jpg
FY259-S30x40-min.jpg [ 187.25 KiB | เปิดดู 1100 ครั้ง ]
พระโปฏฐิละผู้เจริญวิปัสสนาฉฬังคุเปกขา

สมัยพุทธกาล มีพระเถระรูปหนึ่งนามว่า พระโปฏฐิละ เคยได้บวชเรียนทรงจำ
พระไตรปิฎกและสอนปริยัติธรรมในสมัยพระพุทธเจ้า ๖ พระองค์มีพระวิปัสสี เป็นต้น
แม้ในชาตินี้ท่านก็บวชเรียนทรงจำพระไตรปิฎกเช่นกัน แต่ยังมิได้บรรลุคุณธรรม
พิเศษ เป็นพระอริยบุคคล วันหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเรียกท่านว่า ตุจฉโปฏฐิละ
(พระโปฏฐิละผู้ว่างเปล่า) ท่านจึงเกิดความสลดใจดำริว่า แม้ตัวเราจะเป็นผู้สอน
พระไตรปิฎกแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปอยู่เนืองนิตย์ แต่ก็ยังมิได้บรรลุฌานหรือมรรคผลใดๆ
พระพุทธองค์จึงตรัสเรียกเช่นนั้น ท่านจึงตัดสินใจออกเดินทางไปจากวัดพระเชดวัน
ไกลออกไป ๑๒๐ โยชน์(ประมาณ ๑.๙๒๐ ก.ม.) เพื่อปฏิบัติธรรม พอถึงวัดป่าแห่ง
หนึ่งซึ่งมีพระอรหันต์ ๓๐ องค์ ท่านได้ขอกัมมัฏฐานกับพระมหาเถระ แต่เพื่อให้
ท่านลดมานะในความรู้ที่มีพระมหาเถระจึงให้ท่านไปขอกัมมัฏฐานกับพระเถระรูปที
๒ พระเถระนั้นก็ให้ไปขอกับพระเถระอีกรูปซึ่งได้แนะให้ไปขอกัมมัฏฐานจากพระ
รูปอื่นๆอีก จนกระทั่งถึงสามเณรน้อยอายุ ๗ ขวบ .ท่านผู้ซึ่งตอนนั้นได้หมดทิฏฐิ
มานะในปริยัติแล้ว ก็ได้ประนมมือขอกัมมัฏฐานจากสามเณรน้อย

สามเณรน้อยกล่าวชี้แจงว่า กระผมอายุยังน้อย การศึกษาก็น้อย ยังต้อง
เรียนรู้จากท่านอีกมาก จึงสอนท่านไม่ได้ แต่พระโปฏฐิละยืนยันว่าจะขอกัมมัฏฐาน
จากสามเณรน้อย สามเณรจึงตั้งเงื่อนไขว่า หากท่านยอมทำตามที่กระผมสั่ง กระผม
ก็จะสอนกัมมัฏฐานให้ เมื่อพระเถระยืนยันว่า จะปฏิบัติตามที่สอนทุกอย่าง สามเณร
จึงทดสอบโดยบอกให้เดินลงไปในน้ำ ท่านก็เดินลงน้ำตามที่สามเณรสั่ง พอปลาย
จีวรของท่านเปียกน้ำ สามเณรก็ให้ท่านขึ้นจากน้ำ แล้วให้กัมมัฏฐานว่า

"ท่านขอรับ...จอมปลวกแห่งหนึ่งมีรูอยู่ ๖ แห่ง ถ้าอยากจะจับเหี้ยในจอมปลวก
ก็ให้ปิดรู ๕ แห่ง แล้วคอยจับอยู่ที่รูเดียว การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน เมื่ออารมณ์ ๖
มาปรากฏทางทวาร ๖ โยคีควรปิดทวาร ๕ แล้วเปิดมโนทวารเพียงแห่งเดียว"

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2022, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




27624434-big-fourmilière-avec-le-ciel-bleu-en-arrière-plan.jpg
27624434-big-fourmilière-avec-le-ciel-bleu-en-arrière-plan.jpg [ 57.62 KiB | เปิดดู 1098 ครั้ง ]
คำว่า "ปิดทวาร ๕" ในที่นี้ หมายถึง การไม่ให้เกิดชวนจิตในทวารเหล่านั้น
มิได้หมายถึง ห้ามมิให้ดูหรือฟัง เพราะไม่อาจห้ามการดูหรือการฟังทางทวารได้
แม้จะปิดตาหรือปิดหูไม่ให้เห็นและได้ยิน ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ดังที่
พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ในอินทริยภาวนาสูตรว่า

เพียงแค่ปิดตา ภาวนาไม่เกิด

เอวํ สนฺเต โข อุตฺตร อนฺโธ ภาวิตินฺทริโย ภวิสฺสติ, พธิโร ภาวิตินฺทริโย
ภวิสฺสติ, ยถา ปารสิวิยสฺส พฺรหฺมณสฺส วจนํ. อนุโธ หื อุตฺตร จกฺขุนา รูปํ.
น ปสฺสติ. พธิโร โสเตน สทฺทํ น สุณาติ.
(ม.ถุ ๓/๓๔๘)
ดูก่อนอุตตระ ถ้าการไม่ดูไม่ฟังเป็นการอบรมอินทรีย์อย่างนั้น คนตาบอดก็
จักเป็นผู้ที่ได้อบรมอินทรีย์ คนหูหนวกก็จักเป็นผู้ที่ได้อบรมอินทรีย์มาแล้ว ตามคำ
ของพราหมณ์ปาราสิวิยะ นะชิ ดูก่อนอุตตระ สาเหตุก็เพราะว่าคนตาบอดนั้นเห็น
รูปด้วยตาไม่ได้ คนหูหนวกได้ยินเสียงด้วยหูไม่ได้

นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังได้ตรัสถึงการสำรวมทวารเมื่อรู้อารมณ์ ๖ ด้วย
พระดำรัสว่า จกฺขุนา รูปิ ทิสฺวา(เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว), โสเตน สทฺทํ สุตวา(ฟังเสียง
ด้วยหูเป็นต้น) ทั้งในอินทริยภาวนาสูตร และในพระสูตรอื่นมิได้ตรัสถึงการสำรวม
โดยยังไม่รู้อารมณ์ ๖ ด้วยเหตุนี้ การสำรวมดังกล่าว จึงหมายถึงการไม่ปล่อยให้
ชวนจิตเกิดขึ้นในทางปัญจทวารนั่นเอง ซึ่งเป็นการแสดงที่มีความสอดคล้อง
ต้องกันทุกตำรา ส่วนคำว่า "เปิดมโนทวาร" นั้น หมายถึงให้โยคีทำการภาวนา
วิปัสสนาชวนจิตอยู่แต่ในทวารนี้เท่านั้น นั่นหมายความว่า ขอให้โยคีเจริญวิปัสสนา
จนกระทั่งได้ ฉฬังคุเปกขา เถิด

เมื่อพระโปฏฐิละได้สดับคำสอนเพียงแค่นี้ก็เกิดความเข้าใจอย่างชัดเจนเหมือน
พบดวงประทึบในความมืด สมกับที่เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกโดยแท้ ในขณะนั้น
พระบรมศาสดาประทับอยู่ห่าง ๑๒๐โยชน์ ได้ทรงแสดงพระองค์ให้ประจักษ์
ราวกะว่าเหมือนประทับอยู่เฉพาะหน้า แล้วตรัสพระคาถาธรรมบท(๒๘๒)ว่า

โยคา เว ชายเต ภูรี อโยคา ภูริสงุขโย
เอตํ เทฺวธา ปถํ ญตฺวา ภวาย วิภวาย จ
ตถาตฺตานํ นิเวเสยฺย ยถา ภูรี ปวทฺฒติ.

ปัญญาเจริญขึ้นเพราะความเพียร เสื่อมไปเพราะความเกียจคร้าน เมื่อรู้ทาง
เจริญและทางเสื่อมของปัญญาแล้วควรทำตนให้ดำรงอยู่โดยวิถีทางที่ปัญญาจะเจริญ
เมื่อฟังพระธรรมเทศนานี้จบ พระโปฏฐิละก็ได้บรรลุอรหัตผล ข้อความนี้
กล่าวไว้ในคัมภีร์ธรรมปทัฎฐกถา เรื่องราวของพระเถระท่านนี้เป็นตัวอย่างของ
การได้วิปัสสนาญาณที่แก่กล้าจากการที่กำหนดในขณะที่เห็น ได้พยายามเจริญจน
กระทั่งถึงฉฬังคุเปกขาวิปัสสนา ต่อด้วยการละกิเลสได้ในที่สุด แม้ในขณะอื่นๆ เช่น
ขณะที่ได้ยินเสียง เป็นต้น ก็พึงปฏิบัติโดยนัยเดียวกันนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2022, 05:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




f4285dee5ee381fb490af97685e02aa1.jpg
f4285dee5ee381fb490af97685e02aa1.jpg [ 78.93 KiB | เปิดดู 955 ครั้ง ]
............

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร