วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 07:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2021, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




5377-1.gif
5377-1.gif [ 21.29 KiB | เปิดดู 994 ครั้ง ]
การรู้สมุทัย

โยคีที่กำหนดรู้รูปและนามที่เกิดขึ้นทุกขณะนั้น ย่อมสามารถรู้ตามที่ตัณหา
ความอยากความต้องการนั้นเกิดขึ้นในขณะต่างๆ มีขณะเกิดขึ้นนั่นเทียว
ก็การรู้เช่นนี้เป็นการรู้ที่ประจักษ์ซึ่งสมุทัยที่เป็นปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ สมุทัยที่เป็น
ปัจจุบันนี้ จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งสำหรับการเกิดทุกข์กล่าวคือรูปนามในภพ
ข้างหน้าซึ่งเป็นผลของกรรมที่ตนได้กระทำไว้ในภพชาติปัจจุบัน แต่ยังไม่ใช่สมุทัย
ที่เป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์ในชาติปัจจุบันแต่อย่างใด สำหรับตัณหาที่เป็นเหตุให้เกิด
ทุกข์ชาติปัจจุบันนั้นได้สำเร็จไปแล้วนับตั้งแต่ตอนที่บุคคลได้กระทำกรรมเก่า
ก็ลักษณะของการทำกรรมเก่านั้นพึงทราบดังนี้

เนื่องจากคนเรานั้นมีตัณหาความอยากความปรารถนาในภพชาติหรือ
ในกามรมณ์หรือในกามวัตถุอยู่ จึงต้องทำกรรมลงไปหมายความว่า เมื่อต้องการ
อยากให้ตนเองมีสถานภาะดี มีภพชาติที่ดี ก็ทำกุศลกรรมขึ้นด้วยอำนาจของ
กุศลกรรมนั้นนั่นเทียว จึงได้บังเกิดรูปนามที่เรียกว่าทุกขสัจในภพาตินี้นับตั้งแต่
ปฏิสนธิกาลเป็นต้นมา เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายจึงไม่สามารถรู้ประจักษ์แจ้งตัณหา
ของตนที่สำเร็จมาแล้วในชาติปางก่อนได้

อนึ่งตัณหาในอดีตกับตัณหาในปัจจุบันที่ตนได้ประจักษ์แจ้งนั้นต่างกันเฉพาะ
ความเป็นอดีตและปัจจุบันเท่านั้น คือต่างกันเพียงกาลเวลาเท่านั้น ส่วนสภาว-
ลักษณะนั้น พึงทราบว่าเหมือนกัน จึงกล่าวได้ว่าตัณหาในขันธสันดานของบุคคล
คนหนึ่งหนึ่งก็ตือตัณหาตัวเดียวกันคำกล่าวนี้อาศัยนัยโวหารที่เรียกว่าเอกัตตนัย
สำนวนที่กล่าวถึงบางส่วนของสิ่งที่มีสภาพเดียวกันแต่หมายรวมเอาทุกส่นได้ อุปมา
เหมือนกับบุคคลเห็นส่วนใดส่วนหนึ่งของมหาสมุทธก็สามารถกล่าวได้ว่าบุคคลนั้น
ได้เห็นมหาสมุทธแล้ว หรือเห็นส่วนหนึ่งของภูเขาก็กล่าวว่าได้เห็นภูเขาแล้วแม้การรู้
ปัจจุบันสมุทัยอย่างเดียวก็สามารถกล่าวได้ว่าได้รู้สมุทัยสัจแล้วเช่นกัน จะอย่างไรก็ตาม
สำหรับผู้ทำการกำหนดรู้วิปัสสนานั้นมิใช่จะรู้เฉพาะตัณหาที่เป็นปัจจุบันเท่านั้น
แต่ยังสามารถรู้ตัณหาที่เป็นอดีตได้โดยอนุมานญาณนับตั้งแต่โยคีนั้นได้
นามรูปปริเฉทญาณเป็นต้นไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2021, 05:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ลักษณะการรู้

โยคีผู้เจริญวิปัสสนาย่อมสามารถเห็นการเกิดขึ้นของรูปนามอย่างแจ่มแจ้ง
โดยความเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน เช่นรู้ การที่อาการคู้อาการเหยียดจะเกิดขึ้นได้นั้น
ก็เพราะกระทำการเหยียดการคู้หรือเพราะความต้องการที่จะคู้และต้องการที่
จะเหยียด การที่รูปเย็นรูปร้อนเกิดขึ้นได้นั้น ก็เพราะมีปัจจัยที่เป็นธาตุเย็นธาตุร้อน
ทำให้เกิดขึ้น เพราะมีรูปารมณ์ที่สามารถเห็นได้ และเพราะมีจักขุปสาทคือตา
จักขุวิญญาณ จึงเกิดขึ้น การที่ความนึกคิด ความดำหริ ความจำจะเกิดขึ้นได้นั้น
ก็เพราะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งมาปรากฏอยู่ เพราะมีจิตก่อนๆ จึงทำให้จิต
หลังๆ เกิดขึ้นได้ดังนี้ เป็นต้น

การเห็นโดยประการต่างๆดังกล่าวมานี้จะค่อยๆชัดเจนขึ้นที่ละขั้นๆ ตามลำดับญาณ
และจะยิ่งชัดเจนมากขึ้นในวิปัสสนาที่กำลังจะเข้าสู่กระแสอริยมรรค ยิ่งเป็นมรรคชั้น
สูงแล้วยิ่งชัดเจนสุดๆ ก็เมื่อโยคีได้เห็นได้รู้เช่นนี้แล้ว ย่อมสามารถที่จะตัดสินได้
อย่างถูกต้องและง่ายดายว่า รูปนามที่กำหนดรู้ในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ปราศจากเหตุ
รูปนามที่เกิดขึ้นในปฏิสนธิกาลล้วนแต่มีเหตุทั้งสิ้น เมื่อโยคีทำการพิจารณาในระหว่าง
ที่กำหนดรู้อยู่นั้น เช่นการกำหนดรู้ว่ รูปนามเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเหตุใด โยคีนั้นจะ
สามารถตัดสินได้ว่า รูปนามเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะกุศลธรรมที่ได้กระทำไว้ในภพชาติ
ปางก่อน ก็สาเหตุที่รู้ได้โดยถูกต้องเช่นนี้นั้น เนื่องจากว่า โยคีผู้ปฏิบัติภาวนาทั้งหลาย
นั้น ทุกท่านล้วนเป็นผู้มีศรัทธาเชื่อกรรมและผลของกรรมมาแล้ว

ซึ่งตรงกับคำพระบาลี ที่ว่า

ทิฏฺฐิ จ อุชุกา คือ มีความเห็นที่ถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง กัมมัสสตาสัมมาทฺฏฐิ ของ
โยคีนั้นบริสุทธิ๋หมดจดแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้โยคีผู้บริบูรณ์ด้วยสุตะและจินตามยะแล้ว ก็จะ
ได้รับการเอื้อเฟื้ออุปถัมภ์โดยปัจจักขญาณ จึงสามารถจะรู้ได้อย่างถูกต้องและเพราะ
สาเหตุที่โยคีผู้ปฏิบัติได้ประจักษ์โดยแจ่มแจ้งในข้อที่ว่า เพราะมีความปรารถนาต้องการ
จึงมีการคิดและการกระทำ ดังนี้เป็นต้นแล้วนั่นเที่ยว จึงจะสามารถรู้ได้อย่างถูกต้องว่า
ก็เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ตัณหาที่เป็นความปรารถนาความ
ต้องการนั่นเทียว คือสาเหตุหลักของรูปนามขันธ์ ๕ ในภพชาตินี้

แม้แต่ในภพชาติก่อนก็มีกรรมเป็นรากฐานโดยมีตัณหาเป็นตัวเหตุต้นตอให้
ทำกรรมนั้นเหมือนการกระทำกรรมในภพนี้นั่นเทียว อนึ่ง การรู้ว่ารูปนามขันธ์ ๕
ในภพชาตินี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่ขาดสายอย่างนั้นย่อมมีความสอดคล้อง
กับคัมภีร์อัฏฐกถาที่ว่า
โค้ด:
ตสฺเสว โข ปน ทุกฺขสฺส ชนิกํ สมุฏฺฐานปิกํ ปุริมตณฺหํ อยํ ทุกฺขสมุทโยติ

(ทีอฎฺ ๒/๓๘๖)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2021, 07:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


โยคีย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า ตัณหาในภพชาติก่อนที่จะสำเร็จมาเป็นกรรมเก่า
ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์และเป็นเหตุให้กระตือรือร้นนั่นเทียว ท่านเรียกว่า ทุกขสมุทัย

สำหรับการรู้สมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ในภพชาติในปัจจุบันนี้เป็นการรู้ด้วย
อนุมานวิปัสสนากล่าวคือวิปัสสนาที่รู้ได้โดยเทียยเคียงคาดคะเน อนึ่ง เกี่ยวกับ
การรู้โดยอนุมานนี้ ที่ต้องนำมากล่าวแสดงไว้โดยยาวเหยียดนั้น ก็เพื่อต้องการ
ให้ผู้อ่านมีความเข้าใจเท่านั้น แต่สำหรับบุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว พึงทราบดังต่อไปนี้
ก็ อนุมานญาณสำหรับผู้ปฏิบัตินั้นย่อมเป็นการรู้ที่ไม่นาน เป็นการรู้ในช่วงเวลา
ที่สั้น แค่รู้เพียงขณะเดียวก็สามารถจะเทียบเคียงกับของจริงได้ ก็เมื่อโยคีได้กำหนด
พิจารณาเทียบเคียงในบางครั้งบางคราวในเวลาที่กำหนดนั้น เสร็จแล้วก็สามารถ
ดึงจิตมาพิจารณาอารมณ์ที่กำหนดอยู่เหมือนเดิมต่อไปได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2021, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


แม้จะปรากฏแต่ก็รู้ได้ยาก

แม้ว่าทุกขสัจและสมุทยสัจที่กล่าวมานี้ต่างก็ปรากฏเกิดขึ้นในขันธสันดาน
ของตนอยู่นั่นเทียว แต่เป็นการยากที่จะรู้ลึกซึ้งว่าสภาพที่เป็นทุกข์และเป็น
สภาพที่ไม่ดี และยากที่จะรู้ว่าเพียงสภาวะที่เหตุให้เกิดทุกข์ ก็สภาวที่เห็น
ได้ยากนี้จะไม่ปรากฏจึงเห็นได้ยาก สาเหตุที่สภาวะเหล่านี้เกิดอยู่แต่รู้ได้ยากนั้น
ก็เพราะว่าบุคคลไม่ได้ใช้สติกำหนด ไม่ได้ใช้สติพิจารณานั่นเอง แต่ถ้าเมื่อใดโยคี
เอาใจใส่ใช้สติกำหนดพิจารณาตลอดเวลาอยู่นั้นก็สามารถที่จะตามรู้สิ่งที่ควรรู้
ด้วยวิปัสสนาญานได้นั่นเทียว ซึ่งเมื่อรู้ด้วยวิปัสสนาญานนั้นแล้วก็จะสามารถที่
จะรู้ได้โดยประจักษ์แจ้งยิ่งกว่าด้วยมรรคญาณต่อไป ก็รู้ด้วยมรรคญาณนี้เป็น
การรู้ที่หนักแน่นกว่าความรู้ในทางโลกียะโดยประการทั้งปวง

โค้ด:
ทุกฺขสจฺจญฺหิ อุปฺปตฺติโต ปากฎํ, ชาณุกณฺฎกปหาราทีสุ อโห ทุกฺขนฺติ
วตฺตพฺพตมฺปิ สมุทยมฺปิ ชาทิตุกามตาภุญฺชิตุกามตาทิวเสน อุปปตฺติโต ปากฎํ,
ลกฺขณปฏิเวธโต ปน อภยมฺปิ ตํ คมฺภีรํ. อิติ ตานิ ทุทฺทสตฺตา คมฺภีรานิ.

(ที.อฏฺ ๒/๓๙๑)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2021, 06:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมดาว่าทุกขสัจย่อมปรากฏชัดโดยอุปปัตติ กล่าวคือการเกิดขึ้น(หมายความว่าทุกขสัจ
ทั้งหมดทั้งปวงที่เกิดขึ้นการคู้เข้า และการเหยียดออกเป็นต้น เป็นสิ่งที่เห็นได้ง่าย) แม้ใน
ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะสะดุดตอไม้ ถูกหนามตำ เป็นต้น จนถึงทำให้ร้องควรญครางว่า
"ทุกข์หนอ" ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏชัดยิ่งกว่าทุกขสัจนั้นอีก(หมายความว่าในบรรดาทุกขสัจทั้ง
หลาย การเกิดขึ้นของทุกขเวทนาปรากฏชัดยิ่งกว่าทุกขสัจเหล่านั้น) แม้แต่สมุทยสัจก็เป็น
สิ่งที่ปรากฏชัดโดยอุปปัตติกล่าวคือการเกิด เช่น เกิดอยากกิน อยากรับประทานอาหาร
อย่างนี้เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ทุกขสัจและสมุทยสัจทั้งสองนั้นเป็นสิ่งที่ลุ่มลึกยากที่จะรู้
ได้โดยสภาวลักษณะ ทั้งนี้เพราะว่าทั้งสองมีสภาพที่บุคคลเห็นได้ยากนั่นเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 58 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร