วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 11:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2019, 06:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Image-528.jpg
Image-528.jpg [ 24.91 KiB | เปิดดู 2858 ครั้ง ]
องค์ที่ ๒ คือ สังขาร
สังขาร เป็นปัจจัยแก่ วิญญาณ
วิญญาณ จะปรากฏขึ้นได้ ก็เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย ลักขณาทิจตุกะของสังขารมีดังนี้ คือ

อภิสงฺขรณลกฺขณา มีการปรุงแต่งเป็นลักษณะ
อายุหนรสา มีการพยายามให้ฏิสนธิวิญญาณเกิดขึ้น หรือพยามให้ผล คือ รูปขันธ์นามขันธ์เกิดขึ้นเป็นกิจ
เจตนา ปจฺจุปฏฺฐานา จงใจทำให้เกิดความสำเร็จเป็นผล
อวิชฺชา ปทฏฺฐานา มี อวิชชา เป็นเหตุใกล้

สังขารที่กล่าวในบทอวิชชานั้น เป็นสังขารที่เป็นปัจจยุบบันธรรมของอวิชชา
ซึ่งได้แก่ เจตนา ๒๙ หรือ กรรม ๒๙
ส่วนสังขารที่จะกล่าวถึงในบทนี้ เป็นสังขารที่เป็นปัจจัยธรรม อุปการะช่วยเหลือให้เกิดวิญญาณนั้น
ก็ได้แก่ เจตนา ๒๙ หรือ ๒๙ เหมือนกัน

วิญญาณที่เป็นปัจจยุบบันธรรมของสังขารนี้ มีแสดง ๒ นัย คือ อภิธัมมภาชนิยนัย ตามนัยแห่งพระอภิธรรม ๑
และ สุตตันตภาชนิยนัย ตามนัยแห่งพระสูตร ๑
ตามนัยแห่งพระอภิธรรมนั้น วิญญาณที่เป็นปัจจยุบันของสังขาร ได้แก่ จิตทั้งหมด (และเจตสิกที่ประกอบจิตนั้นๆ ด้วย)
เพราะจิตจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยมีสังขารเป็นปัจจัย คือสังขารปรุงแต่ง
ตามนัยแห่งพระสูตรนั้น วิญญาณที่เป็นปัจจยุบบันธรรมของสังขารก็ได้แก่ โลกียวิปากวิญญาณ ๓๒ คือ
อกุศลวิบากจิต ๗ อเหตุกกุศลวิบากจิต ๘ มหาวิบาก ๘ และมหัคคตวิบาก ๙ เท่านั้น

โลกียวิบากวิญญาณ ๓๒ อันเป็นปัจจยุบบันธรรมของสังขารนี้ ยังจำแนกได้เป็น ๒ จำพวก คือ
วิญญาณที่เกิดในปฏิสนธิกาล มีชื่อว่า ปฏิสนธิวิญญาณ ได้แก่ ปฏิสนธิจิต ๑๙ ดวงนั้นพวกหนึ่ง
ปฏิสนธิวิญญาณ ๑๙ ดวงนี้ก็อยู่ในจำนวนโลกียวิบากวิญญาณ ๓๒ นั่นเอง
วิญญาณที่เกิดในปวัตติกาล มีชื่อว่า ปวัตติวิญญาณ ได้แก่โลกียวิบากจิต ๓๒ อีกพวกหนึ่งไม่ได้ทำกิจ
ปฏิสนธิ แต่ทำภวังคกิจ และกิจอื่นๆ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 05:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20180904_200432.jpg
20180904_200432.jpg [ 28.16 KiB | เปิดดู 2848 ครั้ง ]
อบุญญาภิสังขาร

๑. อบุญญาภิสังขาร เพราะเจตนาในอกุศลจิต ๑๑ ดวง(เว้นอุทธัจจเจตนา)เป็นปัจจัยธรรม
ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจยุบบันธรรมในปฏิสนธิกาล คืออุเบกขาสันตีรณวิบาก ๑ ให้ปฏิสนธิ
ในอบายทั้ง ๔ เป็นพวกทุคติอเหตุกบุคคล ซึ่งมัดเรียกกันสั้นๆ ว่า ทุคติบุคคล

๒. อบุญญาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในอกุศลจิตทั้ง ๑๒ ดวงเป็นปัจจัยธรรม ให้เกิดปวัตติวิญญาณ
เป็นปัจจยุบบันนธรรมในปวัตติกาล คือ อกุศลวิบากจิต ๗ ดวง ให้ได้เห็น(จักขุวิญญาณ) ให้ฟัง (โสตวิญญาณ)
ให้ได้กลิ่น (ฆานวิญญาณ) ให้ได้รส(ชิวหาวิญญาณ) ให้สัมผัสถูกต้อง(กายวิญญาณ) ให้มีการ
รับอารมณ์ (สัมปฏิจฉันนะ) ให้มีการไต่สวนอารมณ์(สันตีรณะ) และการรับอารมณ์ต่อจากขวนะ (ตทารัมมณะ)
ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่ดี ตลอดจนรักษาภพชาตินั้นด้วย(ภวังคจิต)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20180904_200432.jpg
20180904_200432.jpg [ 28.16 KiB | เปิดดู 2848 ครั้ง ]
บุญญาภิสังขาร

๑. บุญญาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในมหากุสลชนิดที่เป็นทวิเหตุกโอมกุกกัฏฐะ และทวิเหตุกโอมโกมกะ เป็นปัจจัยธรรม ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจยุบบันน ธรรมในปฏิสนธิกาล คือ อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑ ดวง ให้ปฏิสนธิเป็นมนุษย์ และเทวดาชั้นต่ำ มีความพิกลพิการ บ้า ใบ้ หนวก บอด เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็น พวกสุคติอเหตุกบุคคล

๒. บุญญาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในมหากุสล ชนิดที่เป็นติเหตุกโอมกุกกัฏฐะ ติเหตุกโอมโกมกะ ทวิเหตุกอุกกัฏฐุกกัฏฐะ และทวิเหตุกอุกกัฏโฐมกะ เป็นปัจจัย ธรรม ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณ เป็นปัจจยุบบันนธรรมในปฏิสนธิกาล คือ มหาวิบาก ญาณวิปปยุตต ๔ ดวง ให้ปฏิสนธิเป็นมนุษย์และเทวดาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา มาแต่กำเนิด ซึ่งเรียกว่าเป็นพวก ทวิเหตุกบุคคล

๓. บุญญาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในมหากุสลชนิดที่เป็นติเหตุกอุกกัฏฐุกกัฏฐะ และติเหตุกอุกกัฏโฐมกะ เป็นปัจจัยธรรม ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจยุบบันน ธรรมในปฏิสนธิกาล คือ มหาวิบากญาณสัมปยุตต ๔ ดวง ให้ปฏิสนธิเป็นมนุษย์ และเทวดาที่ประกอบด้วยปัญญามาแต่กำเนิด ซึ่งเรียกว่าเป็นพวก ติเหตุกบุคคล

๔. บุญญาภิสังขาร ทั้ง ๓ ข้อนี้ซึ่งได้แก่เจตนาในมหากุสลทั้ง ๘ เป็นปัจจัย ธรรม ให้เกิดปวัตติวิญญาณเป็นปัจจยุบบันนธรรมในปวัตติกาล คือ

ก. อเหตุกกุสลวิบาก ๘ ดวง ให้ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส ถูกต้อง การรับอารมณ์ การไต่สวนอารมณ์ และการรับอารมณ์ต่อจากชวนะ เหล่านี้ ล้วนแต่ที่ดีทั้งนั้น

ข. มหาวิบาก ๘ ดวง ทำกิจรับอารมณ์ต่อจากชวนะ คือทำตทาลัมพนกิจ

ค. มหาวิบาก ๘ ดวง และอุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑ ดวง รวม ๙ ดวง ทำหน้าที่รักษาภพรักษาชาตินั้น ๆ (ภวังคจิต) กับทำหน้าที่จุติกิจด้วย

เจตนาในมหากุสลจิต ๘ ดวง ที่จำแนกเป็น ติเหตุกอุกัฏฐุกกัฏฐะ, ติเหตุกอุก กัฏโฐมกะ, ติเหตุกโอมกุกกัฏฐะ, ติเหตุกโอมโกมกะ, ทวิเหตุกอุกัฏฐุกกัฏฐะ, ทวิ เหตุกอุกกัฏโฐมกะ, ทวิเหตุกโอมกุกกัฏฐะ และทวิเหตุกโอมโกมกะ รวม ๘ อย่างนี้ ได้กล่าวแล้วในปริจเฉทที่ ๕ หมวดที่ ๓ กัมมจตุกะ ตอนที่ตั้งแห่งวิบากจิต (ปากฐาน) นั้นแล้ว จึงไม่กล่าวซ้ำในที่นี้อีก

๕. บุญญาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในรูปาวจรกุสลจิต ๕ ดวง เป็นปัจจัยธรรม ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจยุบบันนธรรมในปฏิสนธิกาล คือ รูปาวจรวิบากจิต ๕ ดวง ในปฏิสนธิเป็นรูปพรหมในรูปภูมิ ซึ่งเรียกว่าเป็นพวกติเหตุกบุคคล เหมือน กัน

๖. บุญญาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในรูปาวจรกุสลจิต ๕ ดวง เป็นปัจจัยธรรม ให้เกิดปวัตติวิญญาณเป็นปัจจยุบบันนธรรมในปวัตติกาล คือการรักษาภพชาตินั้น ๆ (ภวังคจิต) ตลอดจนทำหน้าที่จุติกิจด้วย ส่วนอเหตุกกุสลวิบากจิต ๕ ดวง ให้ได้ เห็น(จักขุวิญญาณ), ให้ได้ยิน(โสตวิญญาณ), มีการรับอารมณ์(สัมปฏิจฉันนะ) และ การไต่สวนอารมณ์(สันตีรณะ) ล้วนแต่ที่ดีทั้งนั้น พร้อมทั้งรักษาภพรักษาชาตินั้นๆ (ภวังคจิต)ด้วย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2019, 18:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20180904_200432.jpg
20180904_200432.jpg [ 28.16 KiB | เปิดดู 2848 ครั้ง ]
อาเนญชาภิสังขาร

๑. อาเนญชาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในอรูปาวจรกุสลจิต ๔ ดวง เป็นปัจจัย ธรรม ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจยุบบันนธรรมในปฏิสนธิกาล คือ อรูปาวจร วิบากจิต ๔ ให้ปฏิสนธิเป็นอรูปพรหมในอรูปภูมิ ซึ่งเรียกว่าเป็นจำพวก ติเหตุก บุคคล

๒. อาเนญชาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในอรูปาวจรกุสลจิต ๔ ดวง เป็นปัจจัย ธรรม ให้เกิดปวัตติวิญญาณเป็นปัจจยุบบันนธรรมในปวัตติกาล คือ อรูปาวจรวิบาก จิต ๔ ทำหน้าที่ภวังคกิจ รักษาภพรักษาชาตินั้น ๆ และทำหน้าที่จุติกิจอีกด้วย

ในบทสังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณนี้ มีข้อที่ควรสังเกตอยู่ว่า

สังขาร ๓ ที่เป็นเหตุให้เกิดวิญญาณ จำแนกได้เป็น ๒ ประเภท คือ สังขาร ๓ ที่เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณนั้น ได้แก่ เจตนา ๒๘ เท่านั้น โดยต้องเว้น อุทธัจจเจตนาเสีย ๑ เพราะอุทธัจจเจตนาไม่สามารถส่งผลให้เป็นปฏิสนธิได้ ส่วน สังขาร ๓ ที่เป็นปัจจัยให้เกิดปวัตติวิญญาณนั้น ได้แก่ เจตนาทั้ง ๒๙ ดวง

เหตุที่อุทธัจจเจตนาไม่สามารถให้ผลเป็นปฏิสนธิได้นั้น ได้กล่าวไว้ในปริจเฉท ที่ ๕ หมวดที่ ๓ กัมมจตุกะ ตอนที่ตั้งแห่งวิบากจิต (ปากฐาน) นั้นแล้ว

วิญญาณที่เป็นปัจจยุบบันนธรรมของสังขาร ก็จำแนกได้เป็น ๒ จำพวก คือ ปฏิสนธิวิญญาณ ได้แก่ ปฏิสนธิจิต ๑๙ และปวัตติวิญญาณ ได้แก่ โลกียวิบาก วิญญาณ ๓๒

โลกียวิบากวิญญาณ ๓๒ นั้น เกิดได้ในปวัตติกาลอย่างเดียว มี ๑๓ ดวง คือ ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐, สัมปฏิจฉันนจิต ๒ และ โสมนัสสันตีรณจิต ๑ ส่วนปฏิสนธิ วิญญาณ ๑๙ นั้น นอกจากทำปฏิสนธิกิจในปฏิสนธิกาลโดยตรงแล้ว ในปวัตติกาล ก็ยังเกิดจิต ๑๙ ดวงนี้ได้ แต่ว่าเกิดขึ้นมาทำกิจอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่ปฏิสนธิกิจ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2019, 05:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจัย ๒๔ ที่เกี่ยวแก่สังขาร

ในบทสังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณนี้ เมื่อกล่าวโดยปัจจัย ๒๔ แล้วก็เป็นไป ได้ด้วยอำนาจแห่งปัจจัยเพียง ๒ ปัจจัย คือ

๑. ปกตูปนิสสยปัจจัย

ความหมายแห่งปกตูปนิสสยปัจจัย นั้นได้กล่าวแล้วในบทก่อน ในบทนี้ก็มีนัย เป็นทำนองเดียวกันนั้นเอง
จึงไม่กล่าวซ้ำอีก

๒. นานักขณิกกัมมปัจจัย
ส่วน นานักขณิกกัมมปัจจัย หมายถึงกรรมหรือสังขาร คือเจตนาที่เกิดต่าง ขณะกัน
(คือเจตนาที่ดับไปแล้วนั้น) เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่นามและรูปที่เกิด จากกรรมนั้น ๆ
ดังนั้นในที่นี้จึงได้แก่ สังขาร (เจตนา) เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย วิญญาณ (วิบากวิญญาณ ๓๒)
เป็นนานักขณิกกัมมปัจจยุบบันน

นานักขณิกกัมมปัจจัย หมายถึงสภาวธรรมที่ช่วยอุปการะโดยความเป็นกรรมที่เกิดต่างขณะกัน

เมื่อว่าโดยลักษณะ มีลักษณะ ๒ อย่าง คือ ขณะต่างกัน คือ
ดับไปก่อน (นานกฺขณิก) จัดการส่งผลด้วย (กมฺม)

นานักขณิกกัมมปัจจัยจัดอยู่ในกลุ่มปัจจัยธรรม นานักขณิกกัมมชาติ
หมายถึง เจตนาที่ เกิดต่างขณะกันกับผลของตน ได้แก่ เจตนาในกุศล
อกุศลที่ดับไปแล้ว เป็นปัจจัยแก่วิปากจิต และกัมมชรูปที่เกิดเพราะกรรมนั้น
คือ ทำหน้าที่ “พีชนิธานกิจ” นั่นเอง

เมื่อพิจารณาโดยลักษณะแล้ว นานักขณิกกัมมปัจจัย มีลักษณะปัจจัยธรรรม
นั้นดับไปเกิด แล้วจึงจัดการส่งผลได้ในภายหลัง ว่าโดยกลุ่มปัจจยธรรม เป็น
นานักขณิกกัมมชาติอันเป็นชื่อของ ปัจจัยธรรมนั่นเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2019, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


แสดงปฏิสนธิวิญญาณโดยนัยต่าง ๆ

ปฏิสนธิวิญญาณ คือ ปฏิสนธิจิต ซึ่งมีจำนวน ๑๙ ดวงนี้ มีการแสดงโดยนัย ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

กล่าวโดย นัยแห่ง มิสสกะ และสุทธะ แล้วก็มี ๒ คือ

๑. รูปมิสสกวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณที่มีรูปเกิดพร้อมด้วยนั้นมี ๑๕ ดวง
ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณะ ๒ มหาวิบาก ๘ และรูปาวจรวิบาก ๕

๒. รูปอามิสสกวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณที่ไม่มีรูปเกิดพร้อมด้วยนั้นมี ๔ ดวง
ได้แก่ อรูปาวจรวิบาก ๔ เพราะไม่มีรูปเกิดมาปะปนด้วย จึงได้ชื่อว่า สุทธะ

กล่าวโดยนัยแห่งภูมิ ก็มี ๓ คือ

๑. กามวิญญาณ หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในกามภูมิ มีจำนวน ๑๐ ดวง
ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณ ๒ และมหาวิบาก ๘

๒. รูปวิญญาณ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในรูปภูมิ มีจำนวน ๕ ดวง
ได้แก่ รูปาวจรวิบาก ๕

๓. อรูปวิญญาณ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในอรูปภูมิ มีจำนวน ๔ ดวง
ได้แก่ อรูปาวจรวิบาก ๔

กล่าวโดย นัยแห่งกำเนิด ก็มี ๔ คือ

๑. อัณฑชวิญญาณ คือ ปฏิสนธิวิญญาณในไข่ มีจำนวน ๑๐ ดวง
ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณะ ๒ และมหาวิบาก ๘

๒. ชลาพุชวิญญาณ คือ ปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดา มีจำนวน ๑๐ ดวง
ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณะ ๒ และ มหาวิบาก ๘

๓. สังเสทชวิญญาณ คือ ปฏิสนธิวิญญาณในที่เปียกชื้น มีจำนวน ๑๐ ดวง
อุเบกขาสันตีรณะ ๒ และมหาวิบาก ๘

๔. โอปปาติกวิญญาณ คือ ปฏิสนธิวิญญาณที่ไม่ได้อาศัยที่เกิดเหมือน ๓ อย่างข้างต้นนั้น
แต่เกิดโดยอาการที่ผุดหรือโผล่ขึ้นมาเต็มที่เลยทีเดียว มีจำนวน ๑๙ ดวง คือ
ปฏิสนธิวิญญาณทั้ง ๑๙ อันได้แก่ อุเบกขาสันตีรณ ๒, มหาวิบาก ๘ และ มหัคคตวิบาก ๙ นั่นเอง

กล่าวโดย นัยแห่งคติ ก็มี ๕ คือ

๑. เทวคติวิญญาณ หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในเทวภูมิ ๖, ในรูปภูมิ ๑๕ และในอรูปภูมิ ๔ นั้น
มีจำนวน ๑๘ ดวง ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑, มหาวิบาก ๘ และ มหัคคตวิบาก ๙

๒. มนุสสคติวิญญาณ หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในมนุสสภูมิ มีจำนวน ๙ ดวง
ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑ และ มหาวิบาก ๘

๓. ดิรัจฉานคติวิญญาณ

๔. เปตคติวิญญาณ

๕. นิรยคติวิญญาณ

ทั้ง ๓ นี้มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง ได้แก่อุเบกขาสันตีรณอกุสลวิบากดวงเดียวเท่านั้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2019, 04:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


กล่าวโดย นัยแห่งวิญญาณฐีติ คือภูมิอันเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณนั้น ก็มี ๗ ได้แก่

๑. นานัตตกายนานัตตสัญญีวิญญาณ[/b] ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่าง ต่างกันและปฏิสนธิจิตก็ต่างกัน อันได้แก่ ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ ๗ นั้น มีปฏิสนธิ วิญญาณ ๙ ดวง คือ อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑ และมหาวิบาก ๘

คำว่า นานัตตะ นี้บางทีก็ใช้อย่าง ทีฆะ ว่า นานาตตะ

๒. นานัตตกายเอกัตตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่าง ต่างกัน แต่มีปฏิสนธิวิญญาณอย่างเดียวกัน อันได้แก่ ปฏิสนธิในอบายภูมิ ๔ และ ในปฐมฌานภูมิ ๓ รวม ๗ ภูมิด้วยกัน

ปฏิสนธิในอบายภูมิ ๔ มี ปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ อุเบกขาสันตีรณ อกุสลวิบาก ๑

ปฏิสนธิในปฐมฌานภูมิ ๓ มี ปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ รูปาวจรปฐม ฌานวิบาก ๑

๓. เอกัตตกายนานัตตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่าง เหมือนกันแต่มีปฏิสนธิวิญญาณต่างกัน อันได้แก่ ปฏิสนธิในทุติยฌานภูมิ ๓ มี ปฏิสนธิวิญญาณ ๒ ดวง คือ รูปาวจรทุติยฌานวิบาก ๑ และรูปาวจรตติยฌาน วิบาก ๑

๔. เอกัตตกายเอกัตตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่าง เหมือนกัน และมีปฏิสนธิวิญญาณก็อย่างเดียวกัน อันได้แก่ ปฏิสนธิในตติยฌานภูมิ ๓, เวหัปผลาภูมิ ๑ และสุทธาวาสภูมิ ๕ รวม ๙ ภูมิ มีปฏิสนธิวิญญาณ ๒ ดวง คือ

ปฏิสนธิใน ตติยฌานภูมิ ๓ มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ รูปาวจรจตุตถ ฌานวิบาก ๑

ปฏิสนธิในเวหัปผลาภูมิ ๑ และสุทธาวาสภูมิ ๕ นั้น มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ
รูปาวจรปัญจมฌานวิบาก ๑

๕. อากาสานัญจายตนวิญญาณ ปฏิสนธิในอากาสานัญจายตนภูมิ มี ปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ
อากาสานัญจายตนวิบาก ๑

๖. วิญญาณัญจายตนวิญญาณ ปฏิสนธิในวิญญาณัญจายตนภูมิ มีปฏิสนธิ วิญญาณ ๑ ดวง คือ วิญญาณัญจายตนวิบาก ๑

๗. อากิญจัญญายตนวิญญาณ ปฏิสนธิในอากิญจัญญายตนภูมิ มีปฏิสนธิ วิญญาณ ๑ ดวง คือ อากิญจัญญายตนวิบาก ๑

ตามนัยแห่งวิญญาณฐีตินี้ ไม่ได้กล่าวถึง อสัญญสัตตภูมิ และเนวสัญญานา สัญญายตนภูมิ เพราะว่า อสัญญสัตตภูมิเป็นภูมิของสัตว์ที่ไม่มีปฏิสนธิวิญญาณ ส่วนเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ แม้จะเป็นภูมิของสัตว์ที่มีปฏิสนธิวิญญาณก็จริง แต่ว่าวิญญาณนั้นไม่ปรากฏชัด จะว่ามีก็ไม่ใช่จะว่าไม่มีก็ไม่เชิง ด้วยเหตุนี้จึงไม่จัด เข้าในวิญญาณฐีติ ๗ นี้ด้วย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2019, 04:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


กล่าวโดย นัยแห่งสัตตาวาสภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อาศัยอยู่ของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งจำแนกไว้เป็น ๙ ภูมิด้วยกัน ในจำนวน ๙ ภูมินี้มีอยู่ภูมิ ๑ ซึ่งเป็นที่อาศัยอยู่ของ อสัญญสัตตผู้ไม่มีวิญญาณ ซึ่งไม่ต้องกล่าวในที่นี้ด้วย คงจะกล่าวแต่เพียง ๘ ภูมิซึ่ง เป็นภูมิที่อาศัยอยู่ของสัตว์ที่มีวิญญาณ ดังต่อไปนี้

๑. นานัตตกายภูมิ หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างต่าง ๆ กัน มี ๑๔ ภูมิ คือ กามภูมิ ๑๑ และปฐมฌานภูมิ ๓

๒. เอกัตตกายภูมิ หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างเหมือน ๆ กัน มี ๑๒ ภูมิ คือ ทุติยฌานภูมิ ๓, ตติยฌานภูมิ ๓, เวหัปผลาภูมิ ๑ และสุทธาวาส ภูมิ ๕

๓. นานัตตสัญญีภูมิ หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีปฏิสนธิจิตต่างกัน มี ๑๐ ภูมิ คือ กามสุคติภูมิ ๗ และ ทุติยฌานภูมิ ๓

๔. เอกัตตสัญญีภูมิ หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีปฏิสนธิจิตอย่าง เดียวกันมี ๑๖ ภูมิคือ อบายภูมิ ๔, ปฐมฌานภูมิ ๓, ตติยฌานภูมิ ๓, เวหัปผลา ภูมิ ๑ และสุทธาวาสภูมิ ๕

๕. อากาสานัญจายตนภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในอากาสานัญจายตน ภูมิ ๑ ภูมิ

๖. วิญญาณัญจายตนภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในวิญญาณัญจายตนภูมิ ๑ ภูมิ

๗. อากิญจัญญายตนภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในอากิญจัญญายตนภูมิ ๑ ภูมิ

๘. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในเนวสัญญานา สัญญายตนภูมิ ๑ ภูมิ

กล่าวโดย นัยแห่งภพ ก็มี ๙ ภพ ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างหน้า

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร