วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 21:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2009, 11:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตเกิดและดับ

จิตนั้นมีลักษณะรู้อารมณ์ที่มากระทบ
อารมณ์ใดเกิดขึ้นการรู้อารมณ์นั้นเรียกว่าจิต
เช่นรูปกระทบจักขุปสาทเกิดการเห็น การเห็นนั้นคือจิต
แล้วจิตหรือการเห็นนั้นก็ดับไป

เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตก็มิได้มีสภาพตั้งทรงอยู่
หากแต่มีการเกิดดับตามนามรูปอยู่ทุกขณะ

และก็มิใช่เป็นจิตดวงเดียวกัน กล่าวคือ เมื่ออารมณ์มากระทบ
จิตดวงแรกก็เกิดขึ้นรับอารมณ์นั้นแล้วก็ดับไป
และในการดับไปนี้ ยังมีอำนาจที่ช่วยอุดหนุนเป็นปัจจัยให้ธรรมที่เป็นพวกเดียวกัน
อันได้แก่จิตดวงที่ ๒ให้เกิดขึ้นรับช่วงสืบต่อไป
แล้วจิตดวงที่ ๓ ก็เกิดขึ้นรับช่วงสืบต่อไป และดับลงเช่นเดียวกัน
จิตดวงที่ ๔ ก็เกิดขึ้นสืบต่อไป เป็นอยู่อย่างนี้ไปหมดวิถีของจิต

เหมือนอย่างน้ำนิ่งที่อยู่ในสระ เมื่อเอาก้อนหินโยนลงไปกลางสระ
คลื่นลูกแรกเกิดขึ้นแล้วจางหายไป คลื่นลูกที่ ๒ ก็เกิดสืบเนื่องต่อ
และเมื่อคลื่นจางหายไป คลื่นลูกที่ ๓ ก็เกิดขึ้นสืบเนื่องต่อไปอีก
เป็นดังนี้จนกว่าจะเลือนหายไปหมด

การเกิดดับของจิตเป็นไปอย่างรวดเร็ว ยากที่จะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้
แม้กระแสไฟฟ้าที่เกิดดับอยู่ในหลอดไฟ อันมีความรวดเร็วอย่างไม่อาจมองเห็น
ความเกิดดับด้วยสายตานั้น ก็ยังมีความเร็วห่างไกลจากความเกิดดับของจิตอยู่มาก

ขณะที่อารมณ์มากระทบอันเป็นปัจจุบันนั้น จิตมีการเกิดดับ ๑๗ ครั้ง
จึงเป็นเหตุให้บุคคลไม่น้อยเข้าใจผิดว่าจิตมีอยู่เพียงดวงเดียว
ปรากฏอยู่ทรงอยู่ไม่สูญสลาย
ทั้งนี้เพราะสันตติ คือความเกิดดับของจิตเกิดดับสืบเนื่องติดต่อกันเร็วมาก
พระคัมภีร์มหาปัฏฐานกล่าวว่า จิตดวงแรกเกิดขึ้นและดับไปนั้นเป็นอนันตรปัจจัย (เหตุ)
แก่จิตดวงที่ ๒ ให้เกิดขึ้นและจิตดวงที่ ๒ เป็นอนันตรปัจจยุบ(ผล) นั้น
ในขณเดียวกันก็เป็นอนันตรปัจจัย(เหตุ) ให้เกิดจิตดวงที่ ๓ ต่อไปอีก
สืบต่อกันไปเช่นนี้ โดยไม่มีเวลาหยุดหย่อนหรือเว้นว่างเลย

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสว่า
วิญญาณํอนิจฺจํ วิญญาณ คือจิตไม่เที่ยงเกิดดับอยู่เสมอ

จิตเป็นนามธรรม มีเกิดดับเป็นสันตติอยู่เมื่อยังเป็นสังขตธรรม
ไม่ใช่ Soul หรือดวงวิญญาณอย่างที่บุคคลโดยมากเข้าใจ
ว่า เป็นอัตตาตัวตนทรงสภาพอยู่ชั่วนิรันดรไม่เปลี่ยนแปลง
นอกจากมีการเกิดดับเป็นสันตติแล้ว จิตแต่ละดวงยังมีสภาวะรู้อารมณ์แต่ละขณะอารมณ์เดียว
จะรู้มากกว่าอารมณ์หนึ่งในขณะจิตหนึ่งหาได้ไม่

เช่นการนึกถึงเด็กที่โรงเรียน อารมณ์เด็กกระทบจิตก็รู้เฉพาะเด็ก
การที่เข้าใจว่าจิตนึกถึงเด็กและนึกถึงโรงเรียนด้วยในคราวเดียวพร้อมกัน
และเป็นจิตดวงเดียวกันนั้นหาใช่ความจริงไม่ ขอให้พิจารณาดูง่ายๆ
จะเห็นว่า สัญญาความจำเด็กคนนั้นอย่างหนึ่ง
สัญญาความจำโรงเรียนนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง
ลักษณะของอารมณ์ต่างกันอยู่ จะซ้อนอยู่เป็นสองอยู่ในขณะจิตเดียวกันไม่ได้

เหตุที่ทำให้เข้าใจว่า จิตดวงเดียวนึกคิดในอารมณ์ทั้งสองได้ในคราวเดียวกันนั้น
เป็นเพราะจิต มีสันตติเกิดดับสืบต่อกันเร็วมากจึงทำให้เห็นไปว่าเป็นจิตดวงเดียว
ซึ่งความจริงนั้นในอารมณ์ที่นึกถึงโรงเรียนและเด็กดังกล่าวแล้ว ตามสภาวะมีจิตดวงอื่นๆ เกิดดับคั่นอยู่อีกมาก


ที่มา : พระอิธรรมสังเขปฯ : พระนิติเกษตรสุนทร : ๒๕๐๕ : ๙๒-๙๔

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
อนุโมทนาสาธุค่ะ

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 02:06
โพสต์: 811

อายุ: 0
ที่อยู่: มหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:

.....................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 23:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนากับกุศลจิตที่เกิดเมื่อได้อ่าน บทความนี้ด้วยนะคะ คุณ คนไร้สาระ คุณariyachon

และทุกท่านค่ะ

หวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่ผู้เริ่มศึกษา เพื่อความเข้าใจเรื่องการเกิดดับของจิต

ข้าพเจ้าสติปัญญาน้อย เมื่อได้รับหนังสือจากคุณสุวรรณี ที่เอื้อเฟื้อให้มา

เล่มนี้พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ แต่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ทำให้มีกำลังใจที่จะศึกษา

พระอภิธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

ขอความกตัญญูรู้คุณของข้าพเจ้า จงเป็นปัจจัยยังให้เกิดปัญญายิ่งๆ ขึ้นไป

เพื่อเห็นแจ้งในธรรมทั้งหลายแม้จนถึงพระนิพพานในอนาคตกาลโน้นเทอญฯ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 23:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขออนุญาตไม่เห็นด้วยกับ พระอิธรรมสังเขปฯ: พระนิติเกษตรสุนทร และไม่เห็นด้วยกับคุณแมวขาวมณีนะครับ ที่เห็นเกิดดับนั้นเป็นอาก่ารของจิต ไม่ใช่ตัวจิต เพราะตัวจิตไม่มีการเกิดดับ ลูกคลื่นนั้นไม่ใช่ตัวคลื่นแต่อย่างใด

จิตนั้นเป็นอัตตาตัวตนทรงสภาพอยู่ชั่วนิรันดรไม่เปลี่ยนแปลงนั้นถูกแล้ว อัตตา(ตัวตน)นี้คือธรรม พอเราทำให้อาการของจิตเที่ยง ไม่ส่ายไปส่ายมา ไม่โดนกระทบจากอารมณ์ต่างๆ ที่ถูกกิเลสตัณหาเข้ากระทบ อาการหรืออารมณ์ของจิตจะกลายเป็นคลื่นที่สงบ

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร


"จิตวิญญาณมันไม่ใช่ของแตกของทำลาย แลไม่ใช่ของสูญหาย พระพุทธเจ้าสอนให้จิตมันเที่ยง เหมือนพระนิพพานเป็นของเที่ยง ไม่แปรผัน ยักย้าย "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 00:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสว่า
วิญญาณํอนิจฺจํ วิญญาณ คือจิตไม่เที่ยงเกิดดับอยู่เสมอ


นี่คือจิตวิญญาณในสังขตธรรมที่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่จิตวิญญาณในอสังขตธรรม ตัวนี้เป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา ครับ


สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี เทศน์ว่า

"นิพพาน คือว่างจากกิเลส จิตวิญญาณของพระอรหันต์ไม่สูญ ที่วิญญาณสูญนั่นคือวิญญาณในขันธ์ ๕ เท่านั้น "

"นิพพาน คือว่างจากกิเลส 1.จิตวิญญาณของพระอรหันต์ไม่สูญ 2. ที่วิญญาณสูญนั่นคือวิญญาณในขันธ์ ๕ เท่านั้น "

1.จิตวิญญาณของพระอรหันต์ไม่สูญ = ตัวนี้คืออัตตา

2. ที่วิญญาณสูญนั่นคือวิญญาณในขันธ์ ๕ เท่านั้น " = ตัวนี้คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


อ้างคำพูด:
จิตเป็นนามธรรม มีเกิดดับเป็นสันตติอยู่เมื่อยังเป็นสังขตธรรม
ไม่ใช่ Soul หรือดวงวิญญาณอย่างที่บุคคลโดยมากเข้าใจ
ว่า เป็นอัตตาตัวตนทรงสภาพอยู่ชั่วนิรันดรไม่เปลี่ยนแปลง
นอกจากมีการเกิดดับเป็นสันตติแล้ว จิตแต่ละดวงยังมีสภาวะรู้อารมณ์แต่ละขณะอารมณ์เดียว
จะรู้มากกว่าอารมณ์หนึ่งในขณะจิตหนึ่งหาได้ไม่

ที่มา : พระอิธรรมสังเขปฯ : พระนิติเกษตรสุนทร : ๒๕๐๕ : ๙๒-๙๔


จิตวิญญาณที่เป็นสังขตธรรม ก็คือ Soul หรือดวงวิญญาณอย่างที่บุคคลโดยมากเข้าใจ เขาเข้าใจถูกต้องแล้วล่ะครับ

ส่วน "อัตตาตัวตนทรงสภาพอยู่ชั่วนิรันดรไม่เปลี่ยนแปลง" คือ จิตวิญญาณที่เป็นอสังขตธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 12:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b53: ขอแจมด้วยคน เผื่อจะมีอะไรดี ๆ สนองกลับมาสอนตน ผู้รู้เห็นข้อผิด โปรดคิดสงสารด้วยครับ :b53:

:b41: เกิด ดับ ก็แต่ ขันธ์ 5 มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (รูป 1 +นาม 4) ( ความรู้ ..รู้การเกิด.รู้การดับ) :b41:
:b18: เกิด ดับ ก็แต่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ( ความรู้ ..รู้การเกิด.รู้การดับ) :b18:
:b39: เกิด ดับ ก็แต่ กามตันหา ภวตันหา วิภวตันหา ( ความรู้ ..รู้การเกิด.รู้การดับ) :b39:
:b37: เกิด ผัสสะ ทางสฬายตนะ ขันธ์ 5 ทำงาน เวทนาเกิด ตันหาเกิด ( ความรู้ ..รู้การเกิด) :b37:
:b43: สิ้น ผัสสะ วิญญาณขันธ์ ดับ ( ความรู้ ..รู้การดับ) :b43:

:b26: อุปมา ความรู้เป็น TV ... มีภาพ มีเสียง เขาว่า TV เปิด ไม่มีภาพ ไม่มีเสียง เขาว่า TV ปิด ความจริงคือไม่ว่า จะเปิด หรือปิด TV มันก็อยู่อย่างนั้น ไม่ได้ผุด หรือ จมหายไปไหน) :b34:
(ปล. ที่จริงอยากใช้ว่า “ตัวรู้” แทน “ความรู้” แต่เกรงใจเหล่าอนัตตาสาวก แบบหลับตา ว่าเอา )

ปุถุชนหลงว่า ขันธ์ 5 เป็นเรา เวทนา ตันหา เป็นของเรา เป็นจริงเป็นจัง
พระบอกให้รู้ว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา เวทนา ตันหา ไม่ใช่ของเรา อย่าหลง ให้มองโลกตามความเป็นจริง ตามความเป็นธรรม ว่า สัพเพ ธรรมา ทุกขัง / อนิจจัง / อนัตตา ตามกฎไตรลักษณ์ ( ในโลกของขันธ์ 5 ในโลก/ภพ ทั้ง 3 มี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ซึ่งเป็นภพที่ยังมีความเคลื่อนอยู่ /แปรผันอยู่)


ความทุกข์ พระท่านย้ำนักย้ำหนาเรื่องทุกข์ ในวัฏฏสงสารนี้ บอกละเอียดว่ามีอะไรบ้างที่ทุกข์ แม้สุขที่เรา ๆ ท่าน ๆ รู้สึก เป็นแค่เวทนาเท่านั้น เดียวมันก็ทุกข์ ก็มันเจือทุกข์อยู่ พระองค์ทรงให้เหตุให้ผลหมดว่า ที่มันทุกข์ เพราะอะไร เพราะมันเป็นทุกขัง (ทนอยู่ยาก) มันเป็นอนิจจัง (ไม่เที่ยง) มันอนัตตา (ไม่มีตัวตนจริง) หลงไปยึดในสิ่งที่จะต้องทุกข์ แล้วมันจะสุขอย่างไร ***ไปยึดสิ่งที่ไม่มีตัวตนจริง (อนัตตา) ว่าเป็นเรา เป็นของเรา( อัตตา)*** แล้วมันจะสุขอย่างไร พระองค์ทรงบอกคนฉลาดให้สลัดความหลง ความยึดนี้เสีย พระองค์ทรงบอกคนที่ยังไม่ฉลาด ให้ฉลาด ถึงวิธีสลัดความหลง ความยึดนี้อย่างละเอียดลออ มีมรรค 8 เป็นต้น พระองค์ทรงบอกคนไม่ฉลาดให้ทราบถึงกรรม กฎของกรรมในโลกของวัฏฏะสงสารนี้ ให้ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น
ความสุข พระท่านบอกแค่ว่า นิพพานเป็นสุข อย่างยิ่ง ไม่พูดมาก ก็เมื่อยังไม่พ้นจากกองทุกข์ ไม่พ้นจากวัฏฏะสงสาร อยู่ในโลก อยู่ภายใต้อำนาจแห่งไตรลักษณ์ จะรู้สึกถึงสุขอย่างยิ่งได้อย่างไร หากพ้นแล้ว ไม่ต้องบอก ก็รู้เอง

ดังนั้นใคร จะบอกว่าอาการเกิด อาการดับ เรียก จิตเกิด จิตดับ ก็ตามสะดวก อย่างน้อยก็รู้ว่าเกิด รู้ว่าดับ
ผมละไม่อยากจะเรียกจิตเกิด จิตดับเลย อยากทำตามที่พระทุก ๆ พระองค์ บอกว่า ทำจิตให้สะอาด ให้บริสุทธิ์

เมื่อทราบความจริงว่า อัตตาตัวตนที่เราเคยคิดว่านี้เป็นเรา เป็นของเรานี้ แท้จริงแล้วเป็นแค่อาการของขันธ์ 5 เป็นแค่เวทนา เป็นแค่ตันหาเท่านั้น มีแต่อนัตตา

แล้วเห็นจริงว่า มีแต่อนัตตาเท่านั้นที่ปรากฏในขันธ์ 5 ในเวทนา ในตันหา ไม่ยึดมั่นว่าเป็นอัตตาตัวตนของเรา

เมื่อละอัตตาตัวตนนี้ได้จริงแล้ว จะเป็นอะไรพระท่านไม่อยากพูดมาก เพราะรู้ว่าท่านจะรู้เอง
เพราะยังไม่รู้..บางกลุ่มก็ว่า..เมื่อละอัตตาความมีตัวมีตนแล้วก็ถึงซึ่งความเป็นอนัตตาคือไม่มีตัวไม่มีตน นะซิ .. (ดูกะมันซี อุตส่าละแล้วยังวกไปหาอนัตตาอีก..)

ยังไม่พอ..ดูถูกพวกที่ว่าทำนอง มีตัวมีตนในนิพพาน

เมื่อนามมาแล้ว ผมยึดที่ว่า “ สัพเพ ธรรมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา “ นี้แหละเที่ยวไปสงสัยพระอรหันต์ เที่ยวตำนิพระอริยะเจ้า กรรมนี้แหละทำให้ผมยังโง่อยู่ อาศัยขอขมาพระรัตนตรัย ไปเรื่อย ๆ

ผมกำลังไถ่บาป...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 15:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

สาธุค่ะ.ทุกท่าน ขอบคุณที่มาเพิ่มเติมค่ะ ดิฉันคงไม่สามารถมีความเห็็นขัดแย้งกับท่านใดได้

ด้วยเหตุ ปัจจัยนำมาให้รู้ต่างกันเห็นต่างกัน

คงต้องแน่วแน่ที่จะศึกษาให้มากขึ้นให้กว้างขว้างขึ้นในธรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์ ทั้งหลาย

พระธรรมและคำสอนมีที่มาเป็นเหตุ อะไรคือที่มา

ก็ผู้ที่จะรับพระธรรมนั้นๆ มีปัจจัยขณะนั้นเป็นอย่างไร(หมายถึงบริบท)
คำสอนอย่างหนึ่งทำให้ผู้รับอย่างหนึ่ง เห็นแจ้งได้
ผู้รับมีหลายร้อยประเภทแต่เมื่อถึงถิ่นที่
และเวลาที่เหมาะสมจึงควรได้รับธรรมอย่างนั้นๆ


แต่เป้าหมายของคำสอนก็คือให้ผู้รับได้รู้แจ้ง
ได้เข้าใจในเหตุปัจจัยที่จะนำให้พ้นทุกข์

ขอท่านทั้งหลายจงเคารพในคำสอนที่ครูบาอาจารย์แนะนำแก่ท่านเถิด


อนุโมทนาค่ะ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 37 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร