วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 17:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 103 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ





บทที่ ๗๒ มิคสัญญี


ท้องฟ้าได้มีสีแดงก่ำดังสีเลือดแดงฉานมันเป็นอย่างนี้มาหลายวันแล้ว
เหมือนเป็นลางร้ายมาเตือนว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นในเร็ววันนี้
หลังจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่วันฉันและครอบครัวได้หลบลี้หนีภัยจากพวกคนอันธพาลทั้งหลาย
เพราะความแล้งมานานจึงทำให้ไม่มีอาหารและผู้คนได้ล้มตายไปต่อหน้าต่อตาเป็นจำนวนมาก
ความโหยหิวทำให้คนเริ่มจับอาวุธเท่าที่จะหามาได้เข้าทำการเข่นฆ่าเพื่อล่าเอาเนื้อคนมากิน
ฉันเกือบถูกจับไปฆ่าเพราะพรางตัวไม่ดีแต่โชคดีที่หนีรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
ฉันเห็นผู้คนที่อ่อนแอไม่มีปัญญาต่อสู้กับพวกกลุ่มคนที่มีกำลังเหนือกว่าพวกเขาถูกลากไปฆ่า
ได้แต่นึกสลดสังเวชใจว่าทำไมคนถึงต้องกินเนื้อคนด้วยกัน
ฉันคิดไปเองว่ามันคงมีคนไม่กี่คนที่มีจิตวิปลาสบ้าไปแล้วที่เที่ยวจับเอาคนด้วยกันเองมากิน
ผู้คนในยุคนี้ทำไมทำบาปทำกรรมหนักโดยไม่เกรงกลัวต่อผลแห่งกรรมที่ตนจะได้รับ
ฉันทำไมต้องมาเกิดในยุคที่มีแต่คนมีใจเยี่ยงสัตว์นรกนี้ด้วย
แต่แล้วฉันก็คิดผิดไปเพราะฉันมองไปทางไหนก็มีแต่กลุ่มคนที่ไล่ล่าฆ่าฟันกันเองแทบทั้งหมด
เส้นทางที่ฉันจะต้องหลบหนีไปก็มองอะไรแทบไม่เห็นเพราะท้องฟ้าปิดมืดคล้ำแทบไม่มีแสงสว่างนำทางฉันไม่รู้เลยว่านี่คือกลางคืนหรือกลางวัน
ถ้ำแห่งนั้นที่ฉันจะไปมันอยู่กลางป่าฉันเคยหลบไปพักอาศัยและขุดหาหัวกลอยมากินเมื่อเดือนที่แล้ว
ทุกย่างก้าวมีแต่ภยันตรายมองเห็นแต่กองเลือดและกลิ่นคาวจากซากศพ
เมียฉันได้พลัดหลงไปและรู้สึกเป็นห่วงเธอเอามากๆได้แต่นึกในใจว่าให้เธอได้รอดชีวิตและพบเจอกับฉันอีกครั้ง
ฉันได้ซ่อนซุ่มตัวมาสามวันแล้วหนทางจากที่นี่ไปถึงถ้ำแห่งนั้นเป็นระยะทางไม่ถึงสิบกิโลแต่เหมือนว่ามันอยู่ไกลสุดขอบฟ้าจากสถานที่ที่ฉันได้หลบตัวซ่อนอยู่
การขยับตัวไปทีละก้าวเพื่อไม่ให้นักไล่ล่าได้มองเห็นมันเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวและลำบากยากยิ่ง
แล้ววันที่เจ็ดฉันก็ประสพความสำเร็จฉันมาถึงที่ถ้ำแห่งนี้แล้ว
น้ำตาของลูกผู้ชายอย่างฉันต้องไหลพรั่งพรูออกมาเมื่อฉันได้เจอเมียรักมาหลบอยู่ที่นี่ด้วยความปลอดภัย
กอดที่แน่นๆและไม่อยากปล่อยมือออกของเราทั้งสองคนมันทำให้เรารู้ว่าชีวิตที่เหลืออยู่ของเราทั้งสองนั้นมันมีค่ามากน้อยแค่ไหน
ในเย็นวันนั้นได้มีผู้คนมาสมทบรวมตัวกันอยู่ในถ้ำแห่งนี้หลายชีวิต
ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในความหวาดผวาและต่างก็เล่าถึงเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้น
พ่อเฒ่าอายุสามสิบปีที่รอดชีวิตต่างก็บอกว่าตอนนี้ผู้คนได้ฆ่ากันล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
ข้างนอกมีแต่ศากศพชิ้นเนื้อที่กระจัดกระจายและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
ทุกคนได้แต่ร้องไห้และได้แต่บอกซึ่งกันและกันว่าพวกเราเป็นผู้โชคดีที่เหลือรอดอยู่แต่เพียงเท่านี้
หลังจากที่ทุกคนตั้งสติได้ก็ได้นั่งล้อมกันเป็นวงและปรึกษาพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เราทุกคนต่างก็มีความสำนึกในบาปบุญคุณโทษมีความสำนึกในความเป็นมนุษย์ของตน
เราทุกคนได้สำนึกในตอนนี้แล้วว่าเพราะเราไม่เคยรักษาบุญกุศลแห่งกรรมใดๆไว้ในจิตใจของพวกเราเลย
เราต่างก็ใช้ชีวิตด้วยแรงแห่งตัณหาอุปาทานความทะยานอยากอันไม่มีประมาณหาความสิ้นสุดมิได้
ต่อแต่นี้ไปพวกเราทุกคนที่รอดชีวิตต่างก็มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะเริ่มต้นรักษาจิตใจของตนให้ดีที่สุด
จะงดเว้นต่อการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นพวกเราจะช่วยกันสร้างสังคมของพวกเราขึ้นมาใหม่เราจะพยายามดำรงชีวิตให้ไปในทิศทางที่ถูกที่ควร
ผู้ใหญ่ก็ควรทำตัวให้ดีเพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่คนรุ่นหลังๆเป็นเสาหลักให้แก่คนรุ่นต่อไป
ทุกคนจะต้องมีความรักความเมตตามีความปรารถนาดีต่อกันอยู่ตลอดไป
ใครมีความขาดตกบกพร่องก็ต้องช่วยเหลือจุนเจือให้มีความเท่าเทียมเสมอกันในความเป็นอยู่ทั้งหลาย
พวกเราได้ตั้งสัจจะวาจาร่วมกันในคืนวันนั้นก่อนที่จะพากันออกมาจากถ้ำเพื่อพากันไปสร้างหมู่บ้านเป็นของพวกเราเอง
หลายเดือนต่อมาพวกเราพยายามหาเมล็ดพันธุ์พืชเท่าที่พวกเราจะกินมันได้มาเพาะปลูก
ฉันนึกถึงเถากลอยที่เลื้อยขึ้นอยู่หน้าถ้ำที่ฉันและเมียรักได้พากันมาขุดหัวกลอยเพื่อเอาไปกินกันในวันนั้น
เพราะกลอยมันจึงทำให้ฉันได้รอดชีวิตและได้มาเจอเมียรักของฉันที่นี่หลังจากที่พลัดพากจากกันไปอาทิตย์หนึ่งเต็มๆ
หลังบ้านของฉันจึงเต็มไปด้วยกลอยป่านานาพันธุ์เท่าที่ฉันจะเสาะแสวงหามาปลูกได้




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ



บทที่ ๗๓ วิริยสัมโพชฌงค์

เมื่อรู้ว่าทุกสรรพสิ่งย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน ทุกสรรพสิ่งจึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น ทุกสรรพสิ่งจึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น



เมื่อรู้ว่าจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นที่เรานำมาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นจิตที่เกิดขึ้นในหมวดกาย เวทนา จิต ธรรม ล้วนแต่เป็นจิตที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นอัตตาตัวตนในภาวะนั้นๆจิตนี้มันก็คือสิ่งๆหนึ่งในทุกสรรพสิ่งที่ย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน จิตที่ปรุงแต่งขึ้นจึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น จิตที่ปรุงแต่งขึ้นจึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น



เมื่อรู้ว่าจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นที่เรานำมาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นจิตที่เกิดขึ้นในหมวดกาย เวทนา จิต ธรรม มันเกิดจากการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และรู้ว่าขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นมันก็คือสิ่งๆหนึ่งในทุกสรรพสิ่งที่ย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน ขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น ขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น

เมื่อรู้เช่นนี้แล้วความเป็นจริงตามธรรมชาติย่อมปรากฏขึ้นมาว่าธรรมชาติที่แท้จริงย่อมคือความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนและการที่ธรรมชาติมันได้ทำหน้าที่ในความเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนตามปกติของมันอยู่อย่างนั้นมันคือความหมายแห่งธรรมชาติแท้จริงที่ "ความเป็นอัตตาตัวตนไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ในความเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าฯนี้" ได้อยู่แล้วและการที่ธรรมชาติมันได้ทำหน้าที่ในความเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนตามปกติของมันอยู่อย่างนั้นมันคือความหมายแห่งธรรมชาติแท้จริงที่ "เป็นการละทิ้งสลัดออกซึ่งเหตุปัจจัยอันเป็นการยึดมั่นถือมั่นปรุงแต่งเป็นอัตตาตัวตน" ได้อยู่แล้วและการที่ธรรมชาติมันได้ทำหน้าที่ในความเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนตามปกติของมันอยู่อย่างนั้นมันคือความหมายแห่งธรรมชาติแท้จริงที่แสดงว่า "ทุกสรรพสิ่งนั้นมันคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าฯของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว ทุกสรรพสิ่งย่อมมีความแปรผันไม่เที่ยงแท้อยู่แล้ว ทุกสรรพสิ่งย่อมหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้อยู่แล้ว" และการที่ธรรมชาติมันได้ทำหน้าที่ในความเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนตามปกติของมันอยู่อย่างนั้นมันคือความหมายแห่งธรรมชาติแท้จริงที่มันเป็น "ความบริบูรณ์พร้อมเต็มเปี่ยมในความเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น" อยู่แล้ว การที่ปล่อยให้ธรรมชาติมันได้ทำหน้าที่ในความเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนตามปกติของมันอยู่อย่างนั้นมันจึงเป็นไปเพื่อให้วิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นบ้าง เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความบริบูรณ์แห่งการเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง





“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ




บทที่ ๗๔ สวัสดียุคเมตไตรย


โลกก็ยังคงหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์ตามความเป็นไปของมันอยู่ตามปกติ
แต่โลกใบนี้เคยมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายจนกลายเป็นตำนานเล่าขานอย่างไม่รู้จบสิ้น
หากเปรียบเทียบโลกใบนี้เป็นคนก็คงเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่มีอายุมากๆผ่านร้อนผ่านหนาวในประสบการณ์ชีวิตของตนมาอย่างมากมาย
นับตั้งแต่เกิดโลกและจักรวาลแห่งนี้ขึ้นมาโลกใบนี้ก็เคยถึงความเจริญและตกต่ำถึงความเสื่อมเพราะเหตุในความเป็นไปของระดับจิตวิญญาณมนุษย์
มาบัดนี้โลกก็ได้จวนเจียนมาถึงวาระใกล้ปิดฉากตัวเองไปสู่ความสูญสิ้นอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อหมดสิ้นศาสนาแห่งพุทธโคดมและผ่านเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นเพราะวาระแห่งกรรมวิบากนั้น
มันก็เหมือนลมพายุฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักจนสรรพสัตว์แทบมอดม้วยมรณะ
เมื่อคนไม่มีความสำนึกในความเป็นคน
ธรรมชาติก็เลยลืมทำหน้าที่แห่งตนเองไปชั่วขณะหนึ่ง
สรรพสัตว์ที่ได้ล้มหายตายจากเมื่อปลายศาสนาที่แล้วเป็นจำนวนมากมายนั้น
ถือว่าเป็นบาปเคราะห์ที่เกิดขึ้นและต้องก้มหน้ารับกันไปเพราะเหตุแห่งความประมาทของตน
เมื่อมนุษย์เริ่มมีความสำนึกได้ว่าตนยังมีความเป็นมนุษย์อยู่และไม่ควรประมาท
พลังแห่งความตั้งใจอย่างแรงกล้าของคนกลุ่มนั้น
มันทำให้โลกใบนี้กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากที่มนุษย์ได้ฆ่าฟันกันเองจนชีวิตปลิดปลิวไปเหมือนใบไม้ร่วง
เลือดแห่งความชั่วช้าสามานย์ของสัตว์ที่ได้ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ที่มีแต่ความใฝ่ต่ำ
ได้หลั่งชโลมจนเจิ่งนองไปทั่วท้องปฐพี
เมื่อมันตกต่ำจนถึงที่สุดและไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้
จิตวิญญาณแห่งเมตไตรยที่เคยตั้งสัจจะวาจาไว้ในครั้งนั้น
ก็จึงได้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในเขตบุญของระบบกรรมวิสัยแห่งตน
ท้องฟ้าได้เริ่มกระจ่างใส
จิตใจของคนก็เริ่มสว่าง สะอาด สงบ ขึ้น
ธรรมธาตุแห่งเมตไตรยทุกธรรมธาตุเริ่มทำหน้าที่ของตนได้อย่างตรงต่อความเป็นจริงในฐานะที่พวกตนได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีใจสูงและประเสริฐยิ่ง
ฟ้าหลังฝนเป็นท้องฟ้าที่ยังดูครึมๆแต่กลับมีบรรยากาศที่สดใส
เป็นผืนฟ้าที่ระคนไปด้วยกลิ่นกรุ่นไอดินที่ระเหยขึ้นมาจากผืนแผ่นดินแม่
คนโบราณได้เคยกล่าวไว้ว่าฟ้าหลังฝนย่อมมีความใสกระจ่างอยู่เสมอ
ประสบการณ์แห่งการเรียนรู้ชีวิตของพวกตนมาโดยตลอดสิบหกอสงไขยเวลานับแต่สังขจักรพรรดิได้ตั้งสัจจะวาจาไว้
มันคงทำให้ท้องฟ้าแห่งผืนแผ่นดินเมตไตรยเป็นท้องฟ้าที่ปกคลุมชีวิตมนุษย์ทุกชีวิตให้มีแต่ความร่มเย็นผาสุก
ขอให้ประสบการณ์สุดท้ายที่จะบังเกิดขึ้นแก่โลกใบนี้มันจงเป็นเรื่องราวที่น่าจดจำตลอดไป
สายลมแห่งความหนาวเย็นที่กำลังเริ่มพัดผ่านมายังโลกนี้
มันเป็นสายลมลูกสุดท้ายก่อนที่โลกจะปิดตัวเองลงอีกครั้งหนึ่ง
มันคงเป็นสายลมที่จะพัดเอาความเย็นกายเย็นใจมาสู่มวลหมู่มนุษยชาติกลุ่มสุดท้าย
ให้ได้พักพิงบนโลกใบนี้ได้ด้วยบุญบารมีแห่งความเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถอย่างเต็มเปี่ยมของพวกตน สวัสดียุคเมตไตรย










“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ



บทที่ ๗๕ ปีติสัมโพชฌงค์

เมื่อรู้ว่าทุกสรรพสิ่งย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน ทุกสรรพสิ่งจึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น ทุกสรรพสิ่งจึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น



เมื่อรู้ว่าจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นที่เรานำมาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นจิตที่เกิดขึ้นในหมวดกาย เวทนา จิต ธรรม ล้วนแต่เป็นจิตที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นอัตตาตัวตนในภาวะนั้นๆจิตนี้มันก็คือสิ่งๆหนึ่งในทุกสรรพสิ่งที่ย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน จิตที่ปรุงแต่งขึ้นจึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น จิตที่ปรุงแต่งขึ้นจึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น



เมื่อรู้ว่าจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นที่เรานำมาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นจิตที่เกิดขึ้นในหมวดกาย เวทนา จิต ธรรม มันเกิดจากการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และรู้ว่าขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นมันก็คือสิ่งๆหนึ่งในทุกสรรพสิ่งที่ย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน ขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น ขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น



เมื่อรู้เช่นนี้แล้วความเป็นจริงตามธรรมชาติย่อมปรากฏขึ้นมาว่าธรรมชาติที่แท้จริงย่อมคือความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนและความอิ่มกายอิ่มใจความแช่มชื่นใจก็ย่อมปรากฏขึ้นด้วยเพราะเหตุแห่งการละทิ้งสลัดออกซึ่งภาวะธรรมที่ปรุงแต่งทั้งปวงได้และการที่ธรรมชาติมันได้ทำหน้าที่ในความเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนตามปกติของมันอยู่อย่างนั้นมันจึงเป็นไปเพื่อให้ปีติสัมโพชฌงค์ (ความอิ่มกายอิ่มใจความแช่มชื่นใจ) ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นบ้าง เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความบริบูรณ์แห่งการเจริญปีติสัมโพชฌงค์(ความอิ่มกายอิ่มใจความแช่มชื่นใจ) ที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง





“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ




บทที่ ๗๖ ข้าวในอำพัน


เมล็ดข้าวที่เก็บสะสมมาในอำพันอันเก่าแก่ของฉัน
มันเป็นเมล็ดข้าวตั้งแต่คราวที่ฉันได้ลงมาปลูกในแปลงนาเมื่อห้าพันปีที่แล้วก่อนเกิดมิคสัญญี
มันเป็นข้าวที่ฉันเคยตั้งใจไว้ว่า
ฉันจะปลูกข้าวพันธุ์นี้ตลอดไปในทุกๆฤดูและจะคัดเลือกเมล็ดพันธุ์เก็บไว้เป็นรุ่นสู่รุ่น
ตั้งความหวังไว้ว่าข้าวสายพันธุ์นี้มันจะพัฒนาตัวมันเองไปสู่ข้าวที่มีคุณภาพมากๆ
และฉันตั้งใจไว้อย่างจริงๆจังๆว่าฉันจะลงมาปลูกข้าวจนกว่าข้าวนี้มันจะกลายเป็นต้นข้าวทิพย์ในสักวันหนึ่ง
แต่แล้วเมื่อฝนฟ้าไม่ตกมาเลยนับแต่เริ่มเข้าเขตพื้นที่สีแดงเมื่อจิตวิญญาณของมนุษย์ได้ตกต่ำลงมาเป็นอย่างมาก
ฉันยังคิดไปเองเลยว่ามันแล้งมามากเกือบพันปีจนเหมือนว่าไฟประลัยกัลป์มันคงจะเริ่มมาเยือนแผดผลาญโลกใบนี้จนไม่อาจเกิดยุคเมตไตรยขึ้นมาได้
ฤดูสุดท้ายแห่งการไถหว่านและเก็บเกี่ยวนี้มันจึงทำให้ฉันต้องตั้งใจอย่างมากเพื่อคัดเลือกเมล็ดพันธุ์
และออกหาอำพันในป่าลึกเท่าที่ฉันจะเสาะหาได้บนโลกใบนี้เพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวชุดสุดท้ายนี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด
ด้วยญาณล่วงหน้ามันบ่งบอกว่ามนุษย์จะเริ่มฆ่าฟันกันเองจนแทบจะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ในเร็ววันนี้
และต่อมาเมื่อมนุษย์ต้นตระกูลเผ่าพันธุ์เมตไตรยได้รอดชีวิตและเริ่มสร้างสังคมใหม่ของพวกตนขึ้นมา
พวกเขาจึงเป็นแรงบันดาลใจอย่างมากที่ทำให้ฉันต้องลงมาเป็นชาวนาอีกครั้ง
พื้นที่ของโลกเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ฝนเริ่มตกมากขึ้น
ต้นไม้ใบหญ้าระบัดแตกใบอ่อนพื้นแผ่นดินเริ่มมีความชุ่มชื้นขึ้น
พืชหลายพันธุ์ที่ถูกกลบไว้ใต้ผืนดินแบบลืมเลือนมาหลายพันปีมันก็เริ่มแตกหน่อและทแยงยอดอ่อนของมันขึ้นมาเหนือพื้นประดุจชีวิตใหม่ที่พึ่งเริ่มต้น
เพราะที่ผ่านมามนุษย์ไม่มีใครเคยรู้จักพืชพันธุ์ข้าวนี้เลย
ทุกคนผ่านชีวิตที่ทุกข์ระทมขมขื่นด้วยความอดอยากหิวโหยมานานประทังชีวิตด้วยการกินหญ้าและรากไม้แต่เพียงเท่านั้น
ข้าว อ้อย น้ำผึ้ง นมสด เนยข้น ซึ่งเป็นอาหารสามัญและมนุษย์ในยุคที่แล้วยังเคยได้ลิ้มรสชาติกันอยู่เสมอๆมันก็ได้สูญหายไปจากโลกใบนี้มานานมากแล้ว
ดอกไม้และต้นไม้หลายชนิดได้อันตรธานหายไปพร้อมกับกาลเวลาที่พาความเสื่อมโทรมมาเยือน
ฉันจึงต้องเตรียมคำตอบอย่างละเอียดไว้ให้แก่เกษตรกรหน้าใหม่แห่งยุคนี้ว่าข้าวคือพันธุ์พืชชนิดอะไร
และคงมีความจำเป็นต้องเปิดโรงเรียนสอนการปลูกข้าวตามธรรมชาติที่ฉันได้เรียนรู้มาตั้งแต่สมัยศาสนาพุทธโคดม
ข้าวที่อยู่ในยางอำพันซึ่งมีจำนวนไม่มากนักจึงถูกแกะออกมาด้วยความระมัดระวัง
และเตรียมพร้อมลงแปลงนาที่เตรียมหน้าดินไว้อย่างดีที่มีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ
หวังไว้แต่เพียงว่าผลผลิตข้าวรุ่นแรกนี้จะมีปริมาณเพียงพอแก่การแจกจ่ายครบในทุกครัวเรือน




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ



บทที่ ๗๗ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์

เมื่อรู้ว่าทุกสรรพสิ่งย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน ทุกสรรพสิ่งจึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น ทุกสรรพสิ่งจึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น



เมื่อรู้ว่าจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นที่เรานำมาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นจิตที่เกิดขึ้นในหมวดกาย เวทนา จิต ธรรม ล้วนแต่เป็นจิตที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นอัตตาตัวตนในภาวะนั้นๆจิตนี้มันก็คือสิ่งๆหนึ่งในทุกสรรพสิ่งที่ย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน จิตที่ปรุงแต่งขึ้นจึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น จิตที่ปรุงแต่งขึ้นจึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น


เมื่อรู้ว่าจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นที่เรานำมาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นจิตที่เกิดขึ้นในหมวดกาย เวทนา จิต ธรรม มันเกิดจากการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และรู้ว่าขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นมันก็คือสิ่งๆหนึ่งในทุกสรรพสิ่งที่ย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน ขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น ขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น



เมื่อรู้เช่นนี้แล้วความเป็นจริงตามธรรมชาติย่อมปรากฏขึ้นมาว่าธรรมชาติที่แท้จริงย่อมคือความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนและความสงบระงับซึ่งเป็นความสงบทั้งทางกายและใจก็ย่อมปรากฏขึ้นด้วยเพราะเหตุแห่งการละทิ้งสลัดออกซึ่งภาวะธรรมที่ปรุงแต่งทั้งปวงได้และการที่ธรรมชาติมันได้ทำหน้าที่ในความเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนตามปกติของมันอยู่อย่างนั้นมันจึงเป็นไปเพื่อให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ (ความสงบระงับซึ่งเป็นความสงบทั้งทางกายและใจก็) ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นบ้าง เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความบริบูรณ์แห่งการเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ (ความสงบระงับซึ่งเป็นความสงบทั้งทางกายและใจก็) ที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง





“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ



บทที่ ๗๘ มะเกลือป่า

เพราะอานิสงค์ผลบุญแห่งระบบกรรมวิสัยเมตไตรย
จึงทำให้บัวนานาพันธุ์ไม่สูญหายไปและขึ้นเกลื่อนไปทั่วตามหนองน้ำ
บ้านเรือนไม้ที่ฉันสร้างขึ้นบนหัวนาเป็นแบบทรงไทยโบราณ
ฉันตั้งใจอนุรักษ์รูปแบบไว้เพราะฉันเคยเกิดเป็นคนไทยและหลงใหลในความเป็นสถาปัตยกรรมของความเป็นชนชาติของฉันอย่างที่ไม่เคยลืมเลือน
และที่ท้ายทุ่งหลังบ้านฉันได้ขอร้องแรงงานของผู้คนแถบนี้มาขุดลอกให้เป็นบึงใหญ่และไขน้ำเข้ามาจนเต็ม
ทุกคนมีความเต็มใจที่เข้ามาช่วยเป็นแรงงานเพราะมีความเกรงใจที่ฉันได้แบ่งเมล็ดพันธุ์พืชที่หายากให้ทุกปีๆ
การขุดเอาทั้งกอและเหง้าบัวหลวงมาลงในบึงเป็นงานที่หนักอย่างยิ่งแต่ทุกคนมีศรัทธาเพราะหวังในบุญที่ตนได้รับเพราะความตั้งใจนั้นเอง
ฉันบอกไปว่าบุญนี้จะส่งผลให้ทุกคนไปเกิดในศาสนาเมตไตรยที่จะมาถึงในเร็ววันนี้
การที่ฉันเอาบัวมาปลูกเพราะฉันมีโครงการจะเอาใยบัวมาทอผ้าให้คนเหล่านี้ได้มีเสื้อผ้าใส่
การลงมาอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์และทำตัวให้ไม่มีความแตกต่างในยุคที่ขัดสนในปัจจัยขั้นพื้นฐานทั้งสี่เป็นเรื่องที่ลำบากใจ
เพียงแค่มีกางเกงชาวเลสีดำและเสื้อยืดสีขาวก็ทำให้ดูแตกต่างไปจากมนุษย์ในยุคนี้มากแล้ว
ทุกคนได้แต่ถามว่าอาจารย์เป็นคนมาจากที่ไหนทำไมถึงมีเสื้อผ้าใส่
คำถามนั้นทำให้ฉันต้องอดกลั้นจิตใจรู้สึกสลดสังเวช
ชาวบ้านที่นี้มีเพียงแต่เอาใบไม้มานุ่งห่มปกปิดร่างกายกันเท่าที่จะทำได้แต่เพียงเท่านั้น
การเอามือของฉันเข้ามาล้วงความเป็นไปแห่งกรรมวิสัยในแต่ละยุคมันเป็นเรื่องที่ต้องคิดแล้วคิดอีก
แต่ความจำเป็นขั้นพื้นฐานของการดำรงชีวิตมันทำให้ฉันไม่ต้องคิดอะไรให้มาก
ฉันมีความดำริที่จะผลิตเครื่องทอผ้าแบบง่ายๆขึ้นมาและสอนคนเหล่านี้ทอผ้าให้เป็น
เมื่อผ้าชิ้นแรกได้ถูกทอขึ้นฉันจึงเข้าไปในป่าใหญ่เพื่อหาลูกมะเกลือป่ามาย้อมผ้า
ลูกมะเกลือป่าหาได้ง่ายในผืนราวป่าแถบนี้
สีดำมีความหมายถึงจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ
ผลของมะเกลือเมื่อเอามาย้อมผ้ามันทำให้เนื้อผ้ามีสีดำสนิทใส่แล้วไม่ดูสกปรก
ฉันสังเกตได้ถึงความสุขของพวกเขาที่กำลังช่วยกันย้อมผ้าผืนดำผืนใหญ่ผืนนั้น
ทุกคนคงกำลังดีใจที่ตนเองจะได้มีเสื้อผ้าสวยๆใส่ภายในอีกไม่กี่วันนี้






“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ




บทที่ ๗๙ สมาธิสัมโพชฌงค์

เมื่อรู้ว่าทุกสรรพสิ่งย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน ทุกสรรพสิ่งจึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น ทุกสรรพสิ่งจึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น



เมื่อรู้ว่าจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นที่เรานำมาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นจิตที่เกิดขึ้นในหมวดกาย เวทนา จิต ธรรม ล้วนแต่เป็นจิตที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นอัตตาตัวตนในภาวะนั้นๆจิตนี้มันก็คือสิ่งๆหนึ่งในทุกสรรพสิ่งที่ย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน จิตที่ปรุงแต่งขึ้นจึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น จิตที่ปรุงแต่งขึ้นจึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น


เมื่อรู้ว่าจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นที่เรานำมาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นจิตที่เกิดขึ้นในหมวดกาย เวทนา จิต ธรรม มันเกิดจากการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และรู้ว่าขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นมันก็คือสิ่งๆหนึ่งในทุกสรรพสิ่งที่ย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน ขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น ขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น

เมื่อรู้เช่นนี้แล้วความเป็นจริงตามธรรมชาติย่อมปรากฏขึ้นมาว่าธรรมชาติที่แท้จริงย่อมคือความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนและก็เพราะความเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าฯมันเป็นความปกติตามสภาพธรรมชาติแห่งมันอยู่แล้วนั้นมันจึงมีความหมายถึงการมีความตั้งมั่นในความเป็นปกติแห่งธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าฯนั้นอยู่แล้วเช่นกันโดยไม่มีความแปรผันไปในความหมายอื่น การที่ธรรมชาติมันได้ทำหน้าที่ในความเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนตามปกติของมันอยู่อย่างนั้นมันจึงเป็นไปเพื่อให้สมาธิสัมโพชฌงค์ (ความตั้งมั่นในความเป็นปกติแห่งธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าฯโดยไม่มีความแปรผันไปในความหมายอื่น) ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นบ้าง เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความบริบูรณ์แห่งการเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ (ความตั้งมั่นในความเป็นปกติแห่งธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าฯโดยไม่มีความแปรผันไปในความหมายอื่น) ที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง







“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ






บทที่ ๘๐ ความรู้ทางด้านจิตวิญญาณ


นับตั้งแต่ได้เริ่มเข้ามาใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ในสังคมใหม่บนโลกใบนี้
การเรียนรู้ซึ่งกันและกันทำให้ฉันเข้าใจและมองเห็นถึงธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง
ฉันได้ดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ทั่วไปอยู่ปะปนกับผู้คนในสังคมแห่งนี้ผ่านมาหลายรุ่นแล้ว
ฉันเห็นวิวัฒนาการความเจริญก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้งของมวลหมู่มนุษยชาติ
ทุกคนล้วนแต่มีความสามารถดำเนินวิถีชีวิตของตนไปตามหนทางที่พวกเขาเลือกกันไว้เองแล้ว
คนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งถึงแม้จะมีความเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปตามวาระแห่งกรรมในการเวียนว่ายตายเกิด
แต่สิ่งที่ยังคงอยู่และไม่มีวันเปลี่ยนแปลงก็คือคำสอนของบรรพบุรุษที่ได้ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีไว้ให้แก่ชนรุ่นหลัง
จารีตที่เกิดขึ้นเท่าที่ฉันได้วิเคราะห์ไว้นั้นมันเป็นสิ่งที่ดีที่มนุษย์ในยุคนี้มีความเต็มใจที่จะสืบสานช่วยกันรักษาไว้จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ไปในทิศทางเดียวกัน
ถึงแม้ในตอนนี้ประชากรจะมีจำนวนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัวแต่ทุกคนก็มีวิถีชีวิตที่ได้ดำเนินไปตามครรลองคลองธรรมที่เหมือนๆกัน
เป็นเพราะทุกคนมีความเคารพเชื่อฟังพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ จารีตที่เกิดขึ้นและเป็นที่ยอมรับกันอย่างทั่วไปนั้นมันจึงมิใช่เป็นกฎระเบียบที่เป็นไปในเชิงบีบบังคับให้จิตใจของแต่ละคนต้องยอมจำนนฝืนปฏิบัติตาม
แต่เพราะจารีตเหล่านี้มีรากเหง้ามาจากความรักความเมตตาที่มนุษย์ในยุคนี้มีความเต็มใจหยิบยื่นให้แก่กันและกันด้วยความอบอุ่นเอื้ออาทร
เนื่องเพราะเหตุแห่งความโหดร้ายทารุณที่มนุษย์ในยุคต่ำทรามก่อนหน้านั้นได้เบียดเบียนชีวิตกันอย่างหนักหนาสาหัส
ความทุกข์ยากจึงเป็นครูสอนให้มนุษย์ในยุคต่อมาได้เรียนรู้และไม่หวนกลับไปหาความตกต่ำทางด้านจิตวิญญาณของพวกตนอีก
ด้วยความเมตตาที่มีให้แก่กันอย่างแท้จริงจึงเป็นพื้นฐานให้สังคมแห่งนี้เกิดความสงบสุขอย่างถาวร
เมื่อพ่อและแม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกๆในทุกครัวเรือน
ลูกๆทุกคนเมื่อได้ออกมาจากครอบครัวมาสู่สังคมของตนเพื่อเรียนรู้ชีวิตที่กว้างใหญ่ขึ้น
มันจึงทำให้ทุกคนมีคติที่ไม่แตกต่างกัน
ทุกคนมีพื้นฐานทางด้านจิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ที่เสมอเหมือนกันหมด
สังคมจึงไม่ก่อเกิดปัญหาและมีศักยภาพเพียงพอที่จะพัฒนาไปสู่สังคมที่มีแต่ความเจริญในทุกๆด้าน






“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ



บทที่ ๘๑ อุเบกขาสัมโพชฌงค์

เมื่อรู้ว่าทุกสรรพสิ่งย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน ทุกสรรพสิ่งจึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น ทุกสรรพสิ่งจึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น



เมื่อรู้ว่าจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นที่เรานำมาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นจิตที่เกิดขึ้นในหมวดกาย เวทนา จิต ธรรม ล้วนแต่เป็นจิตที่ปรุงแต่งขึ้นเป็นอัตตาตัวตนในภาวะนั้นๆจิตนี้มันก็คือสิ่งๆหนึ่งในทุกสรรพสิ่งที่ย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน จิตที่ปรุงแต่งขึ้นจึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น จิตที่ปรุงแต่งขึ้นจึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น

เมื่อรู้ว่าจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นที่เรานำมาพิจารณาไม่ว่าจะเป็นจิตที่เกิดขึ้นในหมวดกาย เวทนา จิต ธรรม มันเกิดจากการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และรู้ว่าขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นมันก็คือสิ่งๆหนึ่งในทุกสรรพสิ่งที่ย่อมมีความแปรผันหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ในคุณลักษณะและคุณสมบัติเดิมแห่งมัน ขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงหาความเป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ในขณะที่เราเข้าไปยึดในขณะนั้น ขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงย่อมคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนของมันอยู่อย่างนั้น



เมื่อรู้เช่นนี้แล้วความเป็นจริงตามธรรมชาติย่อมปรากฏขึ้นมาว่าธรรมชาติที่แท้จริงย่อมคือความว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนและก็เพราะความเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าฯมันเป็นความปกติตามสภาพธรรมชาติแห่งมันอยู่แล้วนั้นมันจึงมีความหมายถึงการวางเฉยในความเป็นกลางเพื่อให้ธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนนั้นเป็นไปตามปกติแห่งความเป็นธรรมชาติของมันได้เป็นการวางเฉยด้วยการรู้ถึงความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงและไม่กลับไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้งห้าให้กลายเป็นจิตที่ปรุงแต่งเป็นอัตตาตัวตนขึ้นมาอีกด้วยอำนาจแห่งอวิชชาความไม่รู้ การที่ธรรมชาติมันได้ทำหน้าที่ในความเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนตามปกติของมันอยู่อย่างนั้นมันจึงเป็นไปเพื่อให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ (การวางเฉยในความเป็นกลาง) ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นบ้าง เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความบริบูรณ์แห่งการเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ (การวางเฉยในความเป็นกลาง) ที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง





“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ



บทที่ ๘๒ ไม้หอม

บ้านทรงไทยที่เคยได้ปลูกไว้เมื่อเก้าร้อยปีที่แล้วมาบัดนี้มันเล็กและคับแคบเกินไป
เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาปรากฏว่ามีผู้คนแวะมาเยี่ยมเยือนฉันอยู่อย่างสม่ำเสมอ
โดยเฉพาะในตอนเย็นจะมีเพื่อนบ้านที่ใจดีทำกับข้าวอร่อยๆเอามาเผื่อแผ่อยู่แทบทุกวันจนที่บ้านฉันแทบไม่ต้องทำอะไร
ส่วนใหญ่จะมีญาติสนิทมิตรสหายมานั่งพูดคุยเป็นเพื่อนด้วยจนถึงสองสามทุ่มแล้วจึงจะกลับกันไป
ปีนี้ฉันจึงได้ต่อเติมบ้านเรือนไทยออกไปอีกหลายหลังส่วนใหญ่จะทำเป็นเรือนรับรองและมีซุ้มไม้เลื้อยเพื่อเอาดอกไม้กลิ่นหอมๆมาปลูก
กลิ่นหอมของดอกไม้ที่โชยมาอ่อนๆทำให้เรารู้สึกชื่นใจมันบ่งบอกถึงความเป็นไทยแท้
จำปูน จำปี จำปา การเวก มณฑา เป็นไม้ต้นขาเก่าแก่ประจำที่ฉันต้องเสาะแสวงหามาปลูกตามนิสัยของตนเองให้จนได้
ถึงแม้ต้นไม้เหล่านี้จะกลายพันธุ์ไปบ้างตามกาลเวลาแต่กลิ่นหอมของพวกมันยังคงหอมในแบบฉบับของตัวมันเองอยู่เหมือนเดิม
ไม้เลื้อยบางพันธุ์ที่ไม่มีกลิ่นหอมแต่มันออกดอกมาได้อย่างสวยงามมากจนทำให้ฉันหลงใหลจนต้องเอาดอกไม้ป่าบางชนิดเหล่านี้มาปลูกไว้ให้มันเลื้อยพันขึ้นไปบนรั้วของหน้าบ้าน
ส่วนปาริชาติหรือทองหลางนั้นฉันปลูกเอาไว้รอบบ้านฉันได้โค่นทิ้งและปลูกขึ้นมาแทนใหม่อีกก็หลายรุ่นแล้ว
มันเป็นต้นไม้มงคลซึ่งเป็นตัวแทนจิตวิญญาณแห่งฉันเสมอมาและตลอดไป
ฉันเคยได้สังเกตถึงความเป็นไปในแต่ละหมู่บ้าน
ตั้งแต่สังคมแห่งนี้ได้เริ่มก่อสร้างนิคมของพวกตนขึ้นมาใหม่ๆ
ถึงแม้ในตอนนั้นทุกคนยังมีความขัดสนและความไม่สะดวกในการดำเนินชีวิต
แต่ทุกคนก็พยายามออกเสาะหาดอกไม้ป่าซึ่งมีความสวยและแปลกมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านของตน
น่าจะเป็นเพราะวิสัยของความเป็นมนุษย์ที่ชอบอะไรที่มันดูแล้วมีความเจริญหูเจริญตา
ฉันยังเคยได้รับของฝากจากพวกที่ชอบเข้าป่าและพวกเขาเอาดอกไม้สวยๆพวกนี้ติดมือมาให้ฉันอยู่บ่อยๆ
มันจึงบ่งบอกได้ว่าแท้จริงภายในจิตใจอันลึกๆของมนุษย์นั้นมีความอ่อนโยนแอบซ่อนอยู่
และรอวันเผยธาตุแท้ของความเป็นมนุษย์นั้นเองออกมาเมื่อได้พบเจอสิ่งที่ตนเองชอบและถูกใจ
ดอกไม้จึงเป็นสิ่งที่ธรรมชาติได้เต็มใจมอบไว้ให้แก่มวลหมู่มนุษยชาติเพื่อเป็นเพื่อนแท้ทำให้มนุษย์ได้คลายเหงาและใช้เวลาพักผ่อนหย่อนใจกับสิ่งสวยงามของโลกสิ่งนี้
ไม้หอมทุกชนิดจึงไม่เคยตายไปจากใจของฉันเลย




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ




บทที่ ๘๓ โพชฌงค์ธรรม

โพชฌงค์ธรรม คือ ธรรมที่ทำให้รู้แจ้งถึงความเป็นจริงตามธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตน เป็นธรรมในทุกส่วนแห่งความพร้อมสรรพของธรรมสามัคคี ๗ ประการ เพราะฉะนั้นธรรมทั้ง ๗ นั้นจึงชื่อว่า "สัมโพชฌงค์".คือ
สติสัมโพชฌงค์
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
ปีติสัมโพชฌงค์
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
สมาธิสัมโพชฌงค์
อุเบกขาสัมโพชฌงค์
พระพุทธองค์มีพุทธประสงค์ให้น้อมนำโพชฌงค์ธรรมมาพิจารณาเพื่อเป็นไปตามความเป็นปกติของธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนด้วยการพิจารณาเห็นธรรมในธรรมภายในแห่งตนบ้าง พิจารณาเห็นธรรมในธรรมภายนอกที่พึงเห็นจากบุคคลอื่นบ้าง พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในธรรมบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นและความเสื่อมในธรรมบ้าง ทั้งนี้เพื่อความเป็นไปตามปกติแห่งธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนอยู่อย่างนั้นด้วยความเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ




บทที่ ๘๔ งานเททอง

หลังฤดูดำนาและปลักกล้าข้าวเสร็จแล้วในปีนี้ฉันจึงได้ปรึกษาหารือกับหัวหน้าหมู่บ้าน
เพื่อเรียกประชุมลูกบ้านทุกคนที่เรือนไทยของฉันภายในอาทิตย์หน้า
ฉันได้ให้บริวารส่งข่าวไปถึงบุคคลสำคัญในทุกทั่วภูมิภาคที่อยู่กระจัดกระจายทั่วโลกเพื่อให้เดินทางมาพูดคุยกันในครั้งนี้ด้วย
เมื่อวันนั้นมาถึงฉันจึงได้เริ่มการสนทนาขึ้นซึ่งเรื่องที่จะพูดคุยนี้ทุกคนรบเร้ามาตั้งนานแล้ว
ฉันได้บอกกับทุกคนว่าเพราะพวกเรามีจิตวิญญาณที่ดีร่วมกันเพื่อช่วยกันก่อร่างสร้างสังคมแห่งนี้ขึ้นมาบนโลกตั้งแต่ในคราวก่อนโน้น
ในกาลข้างหน้าด้วยจิตใจที่เริ่มเข้าสู่ความเป็นปกติสิ่งๆนี้มันก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้บรมมหาโพธิสัตว์ลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านามว่า "เมตไตรย"
และฉันยังได้กล่าวให้ทุกคนอย่ามีความประมาทเพราะมันถึงเวลาในยุคสุดท้ายนี้แล้วเมื่อหมดศาสนาแห่งเมตไตรยโลกใบนี้ก็จะอาศัยอยู่ต่อไปมิได้
ไฟประลัยกัลป์จะมาเยือนโลกใบนี้และทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า
ฉันจึงได้เริ่มเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาในหลายๆเรื่องของเส้นทางนี้ว่ามันมีแต่ความทุกข์ยากแค่ไหนกว่าจะมีวันนี้ของพวกเราขึ้นมาได้
ในหลายๆเรื่องที่ฉันได้เล่าออกไปมันทำให้ทุกคนสลดใจนั่งนิ่งเงียบ
และเมื่อห้วงเวลานี้มันเป็นเขตบุญอันแท้จริงของพวกท่านฉันจึงได้ขอร้องให้พวกเขาใช้ชีวิตด้วยความเป็นปกติและมีความสุขบนวิถีทางที่เรียบง่าย
ขอให้ทุกคนพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่และช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่าได้ทอดทิ้งกันไปไหนเมื่อใครบางคนได้รับกรรมวิบาก
เพราะในขณะนี้อายุมนุษย์ยืนยาวเพียงสองร้อยปีเอง
แต่เท่าที่ฉันได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนผู้คนในยุคนี้ต่างก็พอมีสุขภาพที่ดีกันอย่างถ้วนหน้า
เพราะทุกคนรู้จักรักษาร่างกายและจิตใจของตนเองให้ดีอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ทุกคนจะมีสวนสมุนไพรที่หลังบ้านของตนกันอยู่ในทุกครัวเรือน
เพราะฉันมีความรู้ตรงนี้เป็นอย่างดีและได้แนะนำให้ชาวบ้านได้เก็บสมุนไพรบางตัวมาปลูกทิ้งไว้ที่บ้านบ้างเพราะในยามนี้เทคโนโลยีทางด้านการรักษายังไม่ค่อยดีนัก
แต่ฉันมีความเชื่อมั่นในความที่มนุษย์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและธรรมชาติก็มีหน้าที่รักษาชีวิตของมนุษย์อยู่แล้ว
ยาที่ดีที่สุดก็คือตัวยาที่ได้มาจากการกินผักผลไม้ที่มีคุณค่าทางด้านโภชนา
และถ้าหากร่างกายได้ทรุดโทรมบกพร่องไปเราก็ควรเน้นหาตัวยาที่มันมีอยู่ในพืชพรรณตามธรรมชาติอยู่แล้ว
ไปๆมาๆทุกคนกลับสนใจเรื่องสมุนไพรและเสาะหากันมาปลูกอย่างมากมายหลายชนิด
และฉันก็ได้พูดถึงเรื่องที่ฉันดำริจะเททองหล่อรูปสำริดขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนในคุณงามความดีแห่งพวกเราทุกคนในฐานะที่มีจิตวิญญาณแห่งเมตไตรยติดตัวมา
รูปหล่อสำริดนี้ฉันตั้งใจจะรมดำทั้งองค์และจะเททองบริสุทธ์เป็นวงแหวนคาดที่ศีรษะเอาไว้และตั้งชื่อรูปหล่อสำริดนี้ว่า "จิตวิญญาณแห่งเมตไตรย"
และจะให้ชาวบ้านทุกคนช่วยกันสร้างวิหารหลังใหญ่เพื่อเป็นที่ประดิษฐานของรูปหล่อองค์นี้ด้วย
ฉันได้บอกกับชาวบ้านทุกคนว่าเดิมทีฉันตั้งใจจะหล่อไว้ตั้งแต่ยุคต้นเผ่าพันธุ์ของพวกเมตไตรย
แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะผู้คนในยุคนั้นยังไม่มีความพร้อมและทุกอย่างก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง
ทองที่หล่อคาดศีรษะนั้นเป็นทองเก่าแก่ที่ฉันเก็บสะสมมาตั้งแต่สมัยศาสนาพุทธโคดม
มันเป็นทองสุโขทัยซึ่งเป็นทองเนื้อเก้าและหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
ฉันบอกชาวบ้านว่าฉันขอทำบุญเองทั้งหมดในส่วนทองที่จะเทนั้น
หลังจากนั้นต่อมางานปั้นด้วยหุ่นขี้ผึ้งและการออกแบบจึงเป็นหน้าที่ของฉันเองแต่ผู้เดียว
เมตไตรยที่นั่งตรัสรู้ ณ ควงต้นกากะทิงต้นใหญ่ต้นนั้นจึงถูกฉันส่องดูด้วยอนาคตังสญาณอยู่หลายครั้งกว่างานปั้นและแกะแบบจะเสร็จ
ทุกคนเต็มใจที่จะไปขนดินในจอมปลวกและนวดผสมน้ำจนเหนียวข้นให้กับฉัน
งานฝีมือที่ถูกเสกสรรขึ้นชิ้นนี้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งพุทธะของผู้ปั้นอย่างฉันเช่นกัน
ทุกคนล้วนแต่ถามว่างานนี้ออกมาสวยมากและอาจารย์เอาแบบมาจากไหน
ทุกคนบอกว่าเมื่อมองรูปปั้นนี้แล้วเกิดความศรัทธาขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
"จิตวิญญาณแห่งเมตไตรย" องค์นี้มีความงดงามปานว่าจากฟากฟ้าสุลาลัยมายังภาคพื้นจรดผืนแผ่นดินแห่งวิมานแมนเมืองมนุษย์




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ




บทที่ ๘๕ มายาแห่งการปฏิบัติ




ปกติของความเป็นมนุษย์ย่อมมีสิ่งที่ตนเองต้องการและไม่ต้องการ ยามใดเมื่อมีความต้องการในสิ่งๆหนึ่งขึ้นมายามนั้นมนุษย์ก็ล้วนแต่ลงมือแสวงหาให้ได้มาถึงสิ่งๆนั้น ยามใดที่ไม่ต้องการสิ่งๆหนึ่งขึ้นมายามนั้นมนุษย์ก็ล้วนแต่ผลักไสไล่ส่งสิ่งๆนั้นให้พ้นไปจากตนเอง การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกันหากนักปฏิบัติคิดว่าตนเองยังไม่มีสิ่งๆหนึ่งที่เรียกว่าภาวะธรรมที่ตนเองอยากได้มานักปฏิบัติก็เริ่มแสวงหาธรรมนั้นๆให้เกิดขึ้นแก่ตนด้วยวิธีการต่างๆที่เข้าใจไปว่าสิ่งที่ตนเองมีอยู่คือภาวะธรรมที่ตนเองไม่ต้องการและต้องเอาภาวะธรรมนี้ออกไปจากตนให้หมดสิ้นและมีความดำริริเริ่มเพื่อให้ได้ภาวะธรรมใหม่ๆเข้ามาให้สมกับความต้องการแห่งตน ด้วยความเข้าใจผิดของนักปฏิบัติที่เข้าใจไปว่าธรรมชาติที่แท้จริงนั้นย่อมเป็นสิ่งๆหนึ่งที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยการเอาธรรมที่เป็นภาวะปรุงแต่งทั้งปวงออกไปให้หมดเท่าที่ตนเองมีอยู่และค่อยๆปฏิบัติธรรมไปที่ละขั้นทีละตอนเป็นลำดับขั้นตอนเพื่อให้ธรรมชาติที่แท้จริงเกิดขึ้นและคงอยู่กับตนเองได้ตลอดไป ก็เมื่อความเป็นจริงตามธรรมชาตินั้นมันคือความว่างเปล่าที่บริบูรณ์ถึงความเต็มรอบโดยตัวมันเองแห่งความเป็นธรรมชาตินั้นอยู่แล้วและธรรมชาติมันก็มิใช่สิ่งๆหนึ่งอันจะเป็นการเกิดขึ้นและเป็นการได้มา มันไม่มีสิ่งใดๆจะมาเกิดขึ้นในความเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าฯนี้ได้แม้กระทั่งสิ่งๆนั้นเองที่เรียกว่า "สิ่งอันเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเพราะการปฏิบัติของนักปฏิบัติธรรมเอง" มันก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นมาในความเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าฯอย่างแท้จริงนี้ได้เลย สิ่งอันเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเพราะการปฏิบัติของนักปฏิบัติธรรมเองมันจึงเป็นมายาแห่งอัตตาตัวตนที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก็ความเป็นจริงตามธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่มันว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนนั้นมันคือความว่างเปล่าฯที่แท้จริงมันเป็นธรรมชาติที่พ้นจากภาวะธรรมอันคือความปรุงแต่งทั้งปวงได้โดยสภาพธรรมชาติของมันเองอยู่แล้วอยู่อย่างนั้น มันจึงเป็นความอิสระแท้จริงโดยที่มันไม่ต้องการให้ใครมายุ่งเกี่ยวมาแก้ไขมาตกแต่งเพิ่มเติมในความเป็นมันขึ้นมาอีก


เมื่อเข้าใจแล้วว่า "จิตที่ปรุงแต่งขึ้นด้วยการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้งห้าและสิ่งที่เพียงแค่ประกอบเป็นเราขึ้นมาในความเป็นขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และทุกสรรพสิ่งในโลกใบนี้" ก็ล้วนแต่คือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ความหมายแห่งความเป็นอัตตาตัวตนอยู่อย่างนั้น เมื่อเข้าใจแล้วว่าธรรมชาติที่แท้จริงนั้นมันเป็นไปด้วยความเป็นปกติตามหน้าที่แห่งความเป็นธรรมชาติของมันเองได้อยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว มันจึงเป็นความอิสระแท้จริงที่ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมในความที่มันบริบูรณ์เต็มเปี่ยมอยู่แล้ว การปฏิบัติธรรมไปด้วยการค่อยๆเอาอัตตาตัวตนออกไปอยู่เป็นนิจด้วยการค่อยๆพิจารณาในทีละส่วนๆและลงมือกระทำเพิ่มเติมเอาธรรมที่ละส่วนๆเพิ่มเข้ามา ว่านี่คือสติของเรา ว่านี่คือสมาธิของเรา ว่านี่คือปัญญาของเรา ว่านี่คือความเพียรของเรา อยู่เป็นนิจแล้วเข้าใจว่าอินทรีย์แห่งธรรมเหล่านี้จะทำให้ธรรมชาติมันบริบูรณ์พร้อมขึ้นมาได้และการปฏิบัติไปตามลำดับขั้นตอนอยู่แบบนั้นตลอดเวลาแล้วเข้าใจว่ามันคือความเพียรที่แท้จริงด้วยการปฏิบัติไปแบบไม่หยุดหย่อนมันจึงเป็นได้แค่ "มายาแห่งการปฏิบัติ" แต่เพียงเท่านั้นหาทำให้ธรรมชาติที่แท้จริงเกิดขึ้นไม่





“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ





บทที่ ๘๖ ก้าวย่างแห่งสัจจะวาจา


กาลเวลาที่ล่วงผ่านเลยมามันทำให้ฉันแทบจะลืมเลือนเรื่องราวในอดีตทุกสิ่งทุกอย่าง
บางเรื่องที่เคยเก็บซ่อนเอาไว้ลึกๆในใจและเป็นเรื่องที่ไม่ดีมันก็จืดจางหายไปกับธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งที่ว่างเปล่าฯของฉัน
ส่วนเรื่องที่ประทับใจก็ขุดคุ้ยขึ้นมาเล่าให้คนอื่นฟังจนเป็นฟิล์มหนังม้วนเก่าที่ไหม้ขาดเพราะฉายอยู่หลายรอบ
ฉันก็เป็นแบบนี้มานานและจะเป็นแบบนี้ตลอดไปเพราะไม่รู้จะเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว
มีก็แต่พยายามปรับความเป็นปกติของธรรมชาติแห่งใจให้ดีที่สุดเพื่อไปให้ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเขาในหมู่บ้านนี้
ถ้านับตั้งแต่ที่ฉันได้เรียนรู้และรู้ซึ้งถึงความเป็นธรรมชาติของมนุษย์และความเป็นพุทธะที่แท้จริง
กาลเวลาตรงจุดนั้นมันก็ได้พาชีวิตของฉันล่วงเลยผ่านมานานแสนนานมากแล้ว
ภาพความทรงจำเก่าๆอันรางเลือนค่อยๆปรากฏเด่นชัดขึ้นมาในสติที่พึงดำริระลึกถึงเรื่องราวในภพชาติครั้งนั้น
มันเป็นภาพแห่งจังหวัดอุบล ทุ่งศรีเมือง ตระการพืชผล เขมราฐ ริมฝั่งโขงที่วัดปากแซง บ้านบก บักหำลูกชายของฉัน บ้านโพนแพง บ้านหนองบัว บ้านถ้ำตาลาว บ้านค้อน้อย บ้านค้อใหญ่ และภูเขาลูกนั้นที่ฉันเคยตั้งชื่อไว้เล่นๆในใจว่า "ภูแห่งสัจจะ"
จริงๆแล้วภูเขาลูกนี้เป็นที่ตั้งของวัดชื่อวัดภูถ้ำทอง
ในภพชาตินั้นฉันเองได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในยุคกึ่งพุทธกาลแห่งศาสนาพุทธโคดม
เป็นชนชาวไทยและเรียนจบทางด้านกฎหมาย จาก นิติศาสตร์ จุฬาฯ
บุญในอดีตชาติก่อนหน้านั้นได้นำพาฉันให้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
และได้เดินทางจาริกธุดงค์มายังภูแห่งนี้
ฉันได้เข้าพักอาศัยที่กุฏิปูนหลังน้อยริมสุด
กุฏินี้มีขนาดเล็กมากแค่พอได้พลิกซ้ายทีพลิกขวาทีเวลานอนจำวัด
ด้วยความที่กุฏินี้มันมีขนาดเล็กเกินไปและบนเพดานห้องมีตุ๊กแกภูเขาและจิ้งจกตัวใหญ่ได้มาอาศัยอยู่อย่างแออัดเกินกว่าสิบตัว
มันจึงทำให้ที่พื้นกุฏิมีแต่ขี้ตุ๊กแกและขี้จิ้งจกตกลงมาเต็มเกลื่อนไปหมดเหมือนดวงดาวที่พากันตกลงมาจากท้องฟ้า
ฉันจึงเรียกกุฏิหลังนี้ว่า "กุฏิฝนดาวตก"
ในพรรษานั้นฉันได้ออกเสาะหากิ่งทองหลางหรือปาริชาติมาปักชำอยู่ที่ใต้ถุนกุฏิและได้สั่งซื้อต้นกวาวคำหรือทองกวาวคำจากเชียงใหม่มาสามต้น
ในปีนั้นจึงได้ปลูกต้นไม้เหล่านี้ทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์ที่หน้าบริเวณกุฏิและริมทางเดิน
ฉันได้เข้าอยู่กรรมฐานตลอดพรรษาสามเดือนและไม่ค่อยออกมารับบาตร
กุฏิที่อยู่นี้เป็นกุฏิหลังสุดท้ายที่อยู่ในแนวป่าที่ลึกที่สุดของทางเดินในเขตกรรมฐานจึงไม่ค่อยมีผู้คนเดินเข้ามารบกวน
จะมีแต่พวกพ่อออกแม่ออกซึ่งเป็นชาวบ้านในละแวกนั้นมาหาเก็บเห็ดระโงกซึ่งขี้นอยู่ในป่าชายเขาหลังกุฏิ
เห็ดจะออกขึ้นมาอย่างชุกชุมเมื่อฝนได้ตกลงมา
การเข้าอยู่กรรมฐานที่ภูลูกนี้มันทำให้ฉันได้เข้าถึงหัวใจแห่งคำสอนของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
ก็เพราะความเป็นมนุษย์และความสามารถของสัตว์มนุษย์ผู้มีปัญญาจึงเกิดมหาบัณฑิตและพระพุทธศาสนาขึ้นมาบนโลกใบนี้
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาซึ่งชี้ให้เห็นถึงแก่นแท้ในความเป็นธรรมชาติของมนุษย์
เพราะความสำนึกของฉันในครั้งนั้นฉันจึงได้ตั้งสัจจะวาจาไว้ว่านับแต่ต่อนี้ไปในทุกย่างก้าวของฉัน
ฉันจะก้าวไปด้วยคุณงามความดีของฉันเองเท่าที่ความสามารถของฉันจะมีได้
และเมื่อถึงกาลออกพรรษาในปีนั้นฉันได้เดินก้าวย่างออกมาจากที่ภูแห่งสัจจะลูกนั้นด้วยรอยเท้าที่มีรูปหอยสังข์ใหญ่ขึ้นเต็มอยู่ใต้ฝ่าเท้าของฉันทั้งสองข้าง
มันพึ่งขึ้นมาเมื่อฉันได้มาอยู่ที่วัดแห่งนี้เพราะด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าของฉันที่มีต่อความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะและที่มีต่อความเป็นธรรมชาติอันแท้จริงของความเป็นมนุษย์
เขมราฐวันนั้นกับชีวิตของฉันในวันนี้
มันทำให้ฉันคิดถึงใครๆอีกหลายคนที่เคยมีความปรารถนาดีต่อกันในอดีตที่ผ่านมา
บางทีสายฝนที่กำลังตกลงมาพรำๆในตอนนี้มันอาจทำให้ฉันนึกถึงหน้าใครบางคน
รอยหอยสังข์ใหญ่ใต้ฝ่าเท้าที่ฉันได้ยกมันขึ้นมาดูในตอนนี้ก็เช่นกัน
มันทำให้ฉันนึกถึงความตั้งใจของฉันในวันนั้นอยู่เสมอมา
ภาพแห่ง อุบล ประเทศไทย ค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับเสียงของเม็ดฝนขนาดใหญ่ที่ตกลงมากระทบหลังคาอย่างหนักและสาดเข้ามาจนฉันต้องรีบเดินหลบเข้ามาอยู่ในห้องนอน


“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” ราเชนทร์ สิมะสุนทร
หนังสือ "ธรรมชาติคือศาสนาของฉัน จักรวาลแห่งนี้คือวัดวาอาราม"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 103 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร