วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 55 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ปก099.jpg
ปก099.jpg [ 128.72 KiB | เปิดดู 14708 ครั้ง ]
คำนำ

หนังสือ "คำสอนเซน" ภาคเซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ เล่มนี้ ผู้เขียนได้เขียนขึ้นเนื่องจากมีความสนใจ ในคำสอนของพระอาจารย์โพธิธรรม (ตั๊กม้อ) ท่านเป็นพระอินเดียรูปเดียว ที่ได้นำเอาหลักพระพุทธศาสนาอันแท้จริง เข้ามาเผยแผ่ในประเทศจีน และมีผู้สืบทอดคำสอนของท่านจนเป็นที่ยอมรับทั่วไป และได้ยกย่องให้ท่านเป็นสังฆปรินายกองค์ที่ 1 แห่งนิกายเซนในประเทศจีน ในส่วนของ "หมวดที่ 1 เซนในสายเลือด" นั้น ผู้เขียนได้เขียนเกี่ยวกับอัตชีวประวัติความเป็นมาของท่าน ตั้งแต่ท่านได้ตัดสินใจเดินทางมาจากเมืองปัลลวะ ประเทศอินเดียทางตอนใต้ จนท่านได้เข้ามาพำนักในเมืองจีน และผู้เขียนได้เขียนถึงเหตุการณ์สำคัญๆที่เกิดขึ้นในชีวิตท่าน ซึ่งมีผลทำให้คำสอนของท่านได้ถูกสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ในส่วนของ "หมวดที่ 2 หลักธรรมชาติ" นั้น ผู้เขียนได้นำเอาหลักธรรมอันคือธรรมชาติ ที่ปรากฏมาในคำสอนของพระอาจารย์โพธิธรรม (ตั๊กม้อ) มาเขียนอธิบายข้ออรรถข้อธรรมนั้นตามความเข้าใจของผู้เขียนเอง และเป็นการเขียนที่ตรงต่อหลักคำสอนเซนของคณาจารย์ ผู้ซึ่งเป็นครูสอนเซนในยุคก่อนๆ โดยเขียนขึ้นด้วยการอิงหลักความเป็นธรรมธาตุในสองลักษณะ คือ อสังขตธาตุ (ธรรมธาตุแห่งธรรมชาติที่ว่างเปล่าของมันอยู่อย่างนั้น) และสังขตธาตุ (ธรรมธาตุแห่งการปรุงแต่ง) และท้ายที่สุดใน "หมวดที่ 3 สายเลือดแห่งความเป็นพุทธะ" เป็นการเขียนขึ้นด้วยการแปลจาก คำสอนของพระอาจารย์โพธิธรรม (The Zen teaching of Bodidharma) ซึ่งเป็นคำสอนที่ถูกรวบรวมไว้โดยคณาจารย์เซนรุ่นหลัง ผู้ซึ่งเป็นผู้สืบทอดคำสอนของพระอาจารย์โพธิธรรม เป็นคำสอนที่ถูกรวบรวมมาจากลูกศิษย์ของท่านหลายคน ที่ได้บันทึกคำสอนอันคือเทศนาธรรมของท่านไว้ แต่ทั้งนี้ผู้เขียนได้เลือกแปลเฉพาะคำสอนที่น่าสนใจ และสามารถเป็นหลักให้ผู้อ่านได้อ่านเพื่อทำความเข้าใจ ให้ตรงต่อความเป็นจริงตามหลักธรรมชาติ และสามารถนำไปปฏิบัติตามธรรมชาตินั้นได้

ด้วยคำสอนของพระอาจารย์โพธิธรรม เป็นคำสอนที่ตรงต่อธรรมที่พระพุทธองค์ได้ประกาศไว้ เป็นคำสอนที่ชี้ตรงต่อความเป็นธรรมในความเป็นธรรมชาติของมัน ก็ด้วยคำพยากรณ์ของพระพุทธองค์ที่ได้ทรงตรัสไว้ว่า พระพุทธศาสนาจักเจริญรุ่งเรืองในแถบสุวรรณภูมิต่อไปในภายภาคหน้า โดยเฉพาะในประเทศไทย ผู้เขียนมีเจตนารมณ์ที่จะเผยแผ่คำสอนธรรมอันคือธรรมชาตินี้ ให้เป็นที่ยอมรับทั่วไปในบ้านเกิดเมืองนอนของผู้เขียนเอง ผู้เขียนจึงหวังว่าคำสอนอันคือธรรมชาติแห่งเซนนี้ จะเป็นที่ยอมรับแพร่หลายทั่วไปในประเทศไทยในกาลข้างหน้า ผู้เขียนมีความหวังว่าหากผู้อ่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้ และมีความเข้าใจในธรรมชาติอันแท้จริงนี้แล้ว ก็ขอให้ผู้อ่านจงโปรดได้ช่วยสงเคราะห์ ให้ธรรมชนิดนี้เป็นธรรมทานแก่บุคคลอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้ที่ยังมืดมนและอับจนหนทาง โดยหวังว่าผู้อ่านจะได้โปรดช่วยชี้ทางอันคือหนทางสว่างที่แท้จริง ให้กับบุคคลอื่นผู้ที่เขามีความสนใจ และมีศรัทธาที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้นในชาตินี้

และท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนหวังว่าธรรมอันคือคำสอนเซนที่เกี่ยวกับธรรมชาตินี้ จะช่วยให้ผู้อ่านทุกคนและผู้ที่สนใจ ได้ค้นพบหนทางที่แท้จริง และนำพาชีวิตตนเองให้พ้นจากความทุกข์ยากทั้งปวงได้ และสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ในฐานะที่ตนเองได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้มีบุญวาสนานำพาชีวิตของตน เข้ามาพึ่งพิงความร่มเย็น ภายใต้ร่มเงาแห่งบวรพระพุทธศาสนา ในห้วงเวลาขององค์พระศาสดาตถาคตเจ้า

ขอแสดงความนับถือ
ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
9 มกราคม 2557

สารบัญ

หมวดที่ 1 เซนในสายเลือด
บทที่ 1 การณ์เป็นไปเช่นนั้น
บทที่ 2 เซนในสายเลือด
บทที่ 3 ปรมาจารย์ตั๊กม้อ
บทที่ 4 เดินทางสู่การเพาะบ่ม
บทที่ 5 บัวบานกลางหิมะสีแดงฉาน
บทที่ 6 ตายเพื่ออิสรภาพที่แท้จริง
บทที่ 7 แต่งตั้งธรรมทายาท
บทที่ 8 การจากไปด้วยรองเท้าข้างเดียว
บทที่ 9 พระมหากัสสปะ

หมวดที่ 2 หลักธรรมชาติ
บทที่ 10 เข้าสู่กระแสธรรมอันคือ ธรรมชาติ
บทที่ 11 ความทุกข์ยาก คือ เมล็ดพันธุ์พืชแห่งพุทธะ
บทที่ 12 ความเงียบบนเส้นทางนั้น
บทที่ 13 วิถีที่เรียบง่าย
บทที่ 14 "ตถตา"มันเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น
บทที่ 15 วิถีธรรมชาติสู่ความเป็นธรรมชาติ
บทที่ 16 เข้ามาได้เลย
บทที่ 17 โลกแห่งความสมบูรณ์
บทที่ 18 ความบริบูรณ์แห่งมรรค
บทที่ 19 จิต
บทที่ 20 การเกิดขึ้นแห่งธรรม
บทที่ 21 ธรรมชาติยังคงอยู่
บทที่ 22 ความเพียรพยายาม
บทที่ 23 การเข้าถึง
บทที่ 24 อิสรภาพที่แท้จริง
บทที่ 25 ทางสายกลาง
บทที่ 26 นาข้าวแห่งพุทธโคดม
บทที่ 27 พระพุทธเจ้าทั้งหลายมิได้แสดงธรรมอะไรเลย
บทที่ 28 ไม่มีอริยสัจ
บทที่ 29 เคลื่อนไหวดั่งสายลม
บทที่ 30 ธรรมชาติจำลอง
บทที่ 31 ต้นธาตุต้นธรรม
บทที่ 32 จิตที่ปรุงแต่งไปในความว่างเปล่า

หมวดที่ 3 สายเลือดแห่งความเป็นพุทธะ
บทที่ 33 ค้นหาตัวเอง
บทที่ 34 ธรรมชาติแห่งพุทธะ
บทที่ 35 มายา
บทที่ 36 พุทธะคือหน้าที่
บทที่ 37 จิตสู่จิต
บทที่ 38 ปลดปล่อยตนเอง
บทที่ 39 นิพพาน
บทที่ 40 ความเป็นพุทธะ
บทที่ 41 กรรม
บทที่ 42 ปฏิบัติตามธรรมชาติ


“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




0a86da865299c39feb6be62542e1ac9.jpg
0a86da865299c39feb6be62542e1ac9.jpg [ 102.22 KiB | เปิดดู 14704 ครั้ง ]
บทที่ 1 การณ์เป็นไปเช่นนั้น

ความอุดมสมบูรณ์แห่งผืนดิน ทำให้ต้นไม้ได้แผ่กิ่งก้าน ผลิใบบางต่อยอดต่อกิ่งของมันออกไป สายฝนที่โปรยปรายตามฤดูกาล ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่อย่างสม่ำเสมอ รากของต้นไม้เร่งทำหน้าที่ของมันดูดซับน้ำหล่อเลี้ยงลำต้น เมื่อมันเป็นวาระแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่มาเยี่ยมเยือน ต้นไม้มันก็พร้อมแสดงศักยภาพในความงดงามของมันออกมา ปุ่มเล็กๆค่อยๆทแยงดันออก จากข้อต่อระหว่างใบไม้และเปลือกหุ้มลำต้น การเจริญเติบโตเป็นไปด้วยความเหมาะสมบนกาลเวลา เป็นความพร้อมที่จะผลิตดอกออกผลมา ความสมบูรณ์อย่างเต็มที่ก็ทำให้เปลือก ที่เป็นปุ่มที่หุ้มเนื้อเยื่อมันปริออก เยื่อที่แผ่กลีบบางๆมีสีสันสวยงาม มันบานออกเพื่อความงามของมันตามรูปทรงแห่งธรรมชาติ มันคือดอกไม้ที่ธรรมชาติแห่งต้นแม่ได้รังสรรค์ปั้นแต่งขึ้น นี่คือความเป็นของดอกไม้

ไข่อ่อนของตัวหนอนไหมที่ถูกแม่ไข่ทิ้งไว้ มันสามารถเจริญเติบโตของมันเองตามธรรมชาติ สัญชาตญาณจะพาให้มันเลี้ยงดูหากินด้วยตัวมันเอง เมื่อมันเติบโตพอมันจึงหาอาหารกินใบไม้ เพื่อพ่นเส้นใยทำรังห่อหุ้มตัวของตัวเอง อวัยวะเริ่มแปรเปลี่ยนสภาพไปจากความเป็นหนอน หู ตา แขน ขา และปีก เริ่มแทงทะลุเหยียดออกมาจากลำตัว เมื่อความพร้อมมาเยือนสำหรับการเริ่มต้น ของชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งของดักแด้นั้น การลอกคราบ เพื่อโบยบินกระพือปีกไป ในความเป็นอิสรเสรีบนโลกกว้าง ก็เริ่มขึ้น นี่คือความเป็นไปแห่งผีเสื้อ

เมื่อดอกไม้และผีเสื้อ ยังคงปรากฏในความเป็นไปตามธรรมชาติอยู่เช่นนี้ ความสัมพันธ์ของสองสิ่ง ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงโดยรูปลักษณ์ จึงเข้ามาเกี่ยวพันกันด้วยเหตุปัจจัยที่ถึงพร้อม ในความเป็นของมันเองทั้งสอง ดอกไม้ก็ชูช่อบานไสวท้าทายแดดลม อวดโฉมความงามของมันโดยไม่สนใจใคร ผีเสื้อก็โบกบินไปภายใต้ผืนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล เมื่อดอกไม้ทำหน้าที่เบ่งบานออกมาในยามเช้าแห่งอรุณรุ่ง และผีเสื้อก็ปรากฏกาย ณ ที่นั้น ถึงแม้ทั้งสองจะไม่มีใจถวิลหาต้องการซึ่งกันและกัน แต่ความมีหน้าที่ต่อกันตามธรรมชาติจึงทำให้เป็นไปเช่นนั้นเอง ดอกไม้บานเพื่อแสดงให้เห็นละอองเกสรของมัน ผีเสื้อก็ก้มดูดกินน้ำหวานที่ซ่อนอยู่ในเกสรของดอกไม้นั้น มันดูดกินดอกแล้วดอกเล่า เป็นการผสมพันธุ์ให้ต้นไม้นั้นผลิเป็นผลดอกออกมา ธรรมชาติได้ดึงดูดให้สองสิ่งทำหน้าที่ต่อกันอย่างลงตัว ดอกไม้ไม่เคยเชื้อเชิญผีเสื้อสักครั้งเดียว และผีเสื้อก็ไม่มีความตั้งใจถวิลหาดอกไม้ แต่เมื่อเหตุและปัจจัยเป็นไปตามธรรมชาติ ดอกไม้จึงบานออก ผีเสื้อจึงบินมาวน การณ์จึงเป็นไปเช่นนั้น เป็นไปอยู่แบบนั้น




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร


แก้ไขล่าสุดโดย เมฆ โซะระคุโมะ เมื่อ 12 มี.ค. 2014, 17:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




0ab84114fcedf25cd31957ec25dd844b.jpg
0ab84114fcedf25cd31957ec25dd844b.jpg [ 156.79 KiB | เปิดดู 14704 ครั้ง ]
บทที่ 2 เซนในสายเลือด

เมื่อครั้งที่ฉันยังปฏิบัติธรรมฝึกฝนตนเองอยู่ที่อินเดีย ท่านอาจารย์สอนให้ฉันรู้จักความเป็นตัวตนที่แท้จริงของฉันเอง ได้รู้จักหน้าตาที่แท้จริงของธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ที่อยู่มากับตัวฉันเองโดยตลอดตั้งแต่ต้น อาจารย์ท่านได้มีความเมตตากรุณาถ่ายทอดธรรมชาตินั้น มาสู่เนื้อหาความเป็นธรรมชาติในความเป็นฉันเอง เพื่อให้ฉันได้ตระหนักว่าแท้จริงชีวิตซึ่งเป็นชีวิตจริงๆของฉันนั้นคืออะไร และควรดำเนินชีวิตนี้ไปในทางใดลักษณะใด หลังจากนั้นต่อมา ฉันจึงได้รู้อย่างแจ้งชัดแล้วว่า การเห็นธรรมชาติแห่งตนเองนั้นก็คือ เซน ความที่เป็นธรรมชาติแห่งการไม่เคยคิดถึงอะไรเลยก็คือ เซน ทุกสิ่งที่ฉันทำก็คือ เซน เพราะเซนก็คือความเป็นธรรมชาติที่ฉันเป็นอยู่นั่นเอง หน้าที่แห่งการชำระจิตใจอันแปดเปื้อนสกปรกโสมมของฉัน ก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ แต่หน้าที่แห่งการที่จะต้องดำเนินชีวิตต่อไปนี้ ก็สุดแล้วแต่โชคชะตาจะพาฉันไป

ฉันมาสู่ประเทศจีน ก็ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียว คือการทำหน้าที่เผยแผ่ถ่ายทอดธรรมอันบริสุทธิ์ ซึ่งคือธรรมชาตินี้ให้ไปสู่แก่ชนรุ่นหลัง ด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะทำให้ความรู้ อันเป็นเหตุให้ได้ตระหนักรู้อย่างชัดแจ้งในธรรมชาติดั้งเดิมแท้นี้ มีการสืบทอดคงอยู่ตลอดไปแบบไม่ขาดสาย
ความเป็นเนื้อนาบุญแห่งการรักษาจิตใจของตน ไม่ให้เศร้าหมองเพื่อกั้นจิตไม่ให้ตกไปสู่ภพภูมิที่ลำบากนั้น ฉันไม่ค่อยเป็นห่วง เหล่าโพธิสัตว์ทั้งหลายในรุ่นก่อนๆก่อนหน้าที่ฉันจะมาสู่ที่นี่ ก็ได้ทำหน้าที่ของตนเอง ในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนได้อย่างดีที่สุดแล้ว การบำเพ็ญบริจาคทานและการรักษาศีลในจีนนั้น เป็นไปด้วยความมีศรัทธาอย่างกว้างขวางในหมู่บรรพชิตนักบวช และอุบาสกอุบาสิกาผู้ที่มีความตั้งใจมั่นยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ฉันรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก และเป็นเหตุปัจจัยเดียวที่ทำให้ฉันมาเหยียบแผ่นดินนี้ ก็คือความที่ไม่มีใครเลยสักคนเดียว ที่รู้จักคำสอนอันเป็นแก่นแท้ของตถาคตเจ้าอันคือธรรมชาตินี้ ไม่มีใครสักคนที่รู้จักความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของตนเองเลย ทุกคนเอาแต่ใฝ่บุญ ซึ่งเป็นการสร้างเหตุปัจจัยชั่วคราวแบบไม่ยั่งยืนแต่เพียงเท่านั้น แท้จริงแล้วความเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าชีวิตและความตาย ที่มันยืนรอเราอยู่เบื้องหน้า ชีวิตที่ก่อเกิดเป็นอยู่และกำลังดำเนินไปอยู่นั้น มันเป็นชีวิตที่เสมือนแขวนไว้อยู่บนเส้นด้าย เมื่อเส้นด้ายซึ่งมีเพียงสภาพอันเปราะบางนั้นขาดลง ก็ทำให้เราพลัดตกลงไปสู่ภพภูมิต่างๆ ที่รอการเกิดใหม่อยู่เบื้องหน้าซึ่งเป็นหนทางที่ยากลำบาก

ความเป็นทุกข์เพราะการไปเกิดในสังสารวัฏอันนับไม่ถ้วนนั้น ทำให้ต้องเร่งรีบย้อนกลับมามองดูตนเองว่า เสี้ยวเวลาแห่งชีวิตที่เหลืออยู่อันน้อยนิดนั้น เราควรที่จะดำเนินชีวิตไปด้วยความไม่ประมาทอย่างยิ่ง ไม่ประมาทด้วยการใฝ่หาประโยชน์อันสูงสุด นำมาสู่ชีวิตอันมีค่าประเสริฐยิ่งของพวกเรา อันจะทำให้เราพ้นออกมาจากพงหนาม ที่เราได้เหยียบย่ำไปในที่รกชัฏแห่งวัฏสังสารการเวียนว่ายตายเกิด ด้วยอำนาจแห่งความโง่เขลาของเราเอง

เมื่อฉันมาที่นี่ผู้เดียว ฉันจึงเป็นอาจารย์แต่ผู้เดียวที่สามารถสั่งสอนพวกเธอได้ ฉันได้รับวิธีการใดมาจากอาจารย์ของฉัน ฉันก็จะสอนพวกเธอไปแบบนั้น คำเทศนาที่พรั่งพรูออกมาจากหัวใจแห่งพุทธะของฉัน ที่พวกเธอได้ตั้งใจฟังนั้น มันเป็นคำสอนที่ล้วนออกมาจากสายเลือดแห่งความเป็นเซนของฉันเอง มันเป็นเลือดทุกหยดซึ่งคือประสบการณ์ในชีวิตของฉันทั้งชีวิต และเลือดแห่งเซนนี้ ก็นำพาฉันมาที่นี่เพื่อมาเป็นครูสอนพวกเธอโดยเฉพาะ ก็ทั้งร่างกายและจิตใจของฉันทั้งหมดนี่แหละ คือเซน คือธรรมชาติแห่งเซน พวกเธอทั้งหลายล้วนอย่าได้มีความวิตกกังวลใดๆเลย จงโปรดมอบความไว้วางใจนั้นหยิบยื่นมาให้แก่ฉัน ในฐานะที่ฉันเป็นอาจารย์ผู้ชี้หนทางอันสว่างให้แก่พวกเธอ ธรรมชาติที่ฉันตั้งใจจะมาถ่ายทอดให้กับพวกเธอนี้ ล้วนเป็นธรรมชาติอันสืบทอดมาโดยตรงจากองค์พระศาสดา อันจะทำให้พวกเธอไม่มีวันได้หลงออกไปจากหนทางที่แท้จริงนี้ได้อีก และมันจะทำให้พวกเธอได้ทำหน้าที่ของพวกเธอเองได้อย่างถูกต้อง และด้วยภาระหน้าที่อันสาหัสสากรรจ์ ฉันก็จะใช้ความอดทนและรอคอย ต่อความเป็นไปใน "การนับหนึ่ง" เพื่อให้ถึงความสมบูรณ์พร้อมในวันข้างหน้า ฉันเป็นเพียงฐานะตัวแทนแห่งกลีบเดียวของดอกไม้ดอกนั้น กาลเวลาและเหตุปัจจัย ในการลงมาทำหน้าที่ของเหล่าโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่พวกเขาเหล่านี้ "ผูกใจไว้" ด้วยความศรัทธายิ่งต่อพระตถาคตเจ้า การสืบสายธรรมของเหล่าโพธิสัตว์ทั้งหลายนี้ ก็จะเป็นไปอย่างบริบูรณ์พรั่งพร้อมในวันข้างหน้า เมื่อกลีบดอกไม้รวมได้ครบหกกลีบ และดอกไม้นั้นได้ผลิบานออกมา มันจึงเป็นนิมิตหมายถึงเมล็ดพันธุ์พืชแห่งพุทธะอันจำนวนมากมาย ที่สามารถแพร่กระจายเจริญเติบโต กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ไปทั่วดินแดนแห่งจีนนี้ อันสามารถเติบโตเป็นร่มเงาที่พึ่งให้แก่พุทธศาสนิกชน ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาทั้งหลายในรุ่นหลังๆ ให้เข้ามาพึ่งพิงพักพิงตลอดสืบไป




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




3bd1ec4ff7abf9b72bf203da68e6ece.jpg
3bd1ec4ff7abf9b72bf203da68e6ece.jpg [ 151.29 KiB | เปิดดู 14703 ครั้ง ]
ฉันเดินมาถึงแผ่นดินนี้
ถ่ายทอดธรรมช่วยผู้หลงงมงายอารมณ์
หนึ่งดอกไม้บานครบ 5 กลีบแล้ว
ผลที่สุดธรรมชาติจะปรากฏขึ้นมาเอง

เซน แห่ง ปรมาจารย์ตั๊กม้อ





“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




3ae9980e0575f7ebad3dc04448db5f3.jpg
3ae9980e0575f7ebad3dc04448db5f3.jpg [ 19.99 KiB | เปิดดู 14703 ครั้ง ]
จักรวาลทั้งมวลเคลื่อนที่ไป
ดวงอาทิตย์ฉายแสงสาด
แม่น้ำหลากไหลเอื่อยๆ
ทั้งหมดนี้
เพื่อให้ดอกไม้ดอกเล็กๆดอกนั้น ดำรงอยู่ได้

เซน แห่ง สรรพสิ่งเกี่ยวพัน
ครูสอนเซน อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




2bf96896c73de7bb17188c7a5e747.jpg
2bf96896c73de7bb17188c7a5e747.jpg [ 67.18 KiB | เปิดดู 14702 ครั้ง ]
ถ้าชีวิตมาถึง
นี่ก็คือชีวิต
ถ้าความตายมาถึง
นี่ก็คือความตาย

เซน แห่ง จะอยู่หรือจะไป
ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




3ea6bc497985dc3fe07b30ac47eaa1b0.jpg
3ea6bc497985dc3fe07b30ac47eaa1b0.jpg [ 89.06 KiB | เปิดดู 14702 ครั้ง ]
มีใจ
มีกระบี่
และด้วยความวุ่นวาย
จึงต้องตัดใจ
แต่เมื่อไร้ใจ
จึงไร้กระบี่
และไม่มีอะไรให้ตัด
ในท่ามกลางความสงบ
ตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น

เซน แห่ง ไม่ต้องชักกระบี่
ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




3ed14f344c2ae6234ba8bee81acdd35a.jpg
3ed14f344c2ae6234ba8bee81acdd35a.jpg [ 59.35 KiB | เปิดดู 14702 ครั้ง ]
บทที่ 3 ปรมาจารย์ตั๊กม้อ

ท่านโพธิธรรมหรือปรมาจารย์ตั๊กม้อ ท่านถือกำเนิดเมื่อปี พุทธศักราช 440 ณ เมืองคันธารราช (Kanchi) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของดินแดนปัลลวะ อันเป็นที่อยู่ของชาวพื้นเมืองกลุ่มใหญ่ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย ท่านเกิดในวรรณะกษัตริย์ โดยเป็นราชโอรสองค์ที่ 3 ของพระเจ้าสิงหวรมัน ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินของแคว้นคันธารราช ก็ครั้งเมื่อพระองค์มีพระชนมายุวัยเยาว์ ท่านมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ท่านมีความแตกฉานในคัมภีร์ไตรเภท ของศาสนาพราหมณ์ที่ท่านเคยนับถือมาแต่เดิม เพราะพระบิดาได้ส่งท่านไปเรียนในสำนักตักศิลา ในฐานะราชบุตรที่จะได้ขึ้นปกครองมีอำนาจสืบต่อความเป็นกษัตริย์ แทนพระบิดาท่านต่อไปในภายภาคหน้า แต่เมื่อท่านเติบโตเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ ท่านได้มีความศรัทธาหันมานับถือพระพุทธศาสนา เหตุเพราะในครั้งนั้นพระบิดาของท่าน ได้อาราธนาท่านพระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระ (Prajnatara) ซึ่งเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ผู้มีความแตกฉานในคัมภีร์ต่างๆและมีลูกศิษย์มากมาย และเป็นภิกษุที่อาศัยอยู่ในแคว้นมคธ ดินแดนแห่งพุทธธรรมที่ยังคงฝังรากลึกอยู่ที่นั่นในเวลานั้น ให้ท่านเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเมืองคันธารราช เพื่อที่จะให้คำสอนอันคือธรรมชาตินี้ ได้เผยแผ่ไปทั่วดินแดนแห่งปัลลวะของท่าน

ก็เพราะด้วยคำสอนที่ตรงต่อความเป็นจริงตามธรรมชาติ จึงเป็นเหตุให้ท่านโพธิธรรมซึ่งเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ที่นับถือศาสนาพราหมณ์มาโดยเคร่งครัด ได้ละทิ้งทิฐิเดิมของตนหันหน้ามานับถือศาสนาพุทธอย่างจริงจัง ด้วยความมีศรัทธาอันแรงกล้าต่อคำสอนที่แท้จริงของตถาคตเจ้า ครั้งเมื่อพระบิดาของท่านได้เสด็จสิ้นพระชนม์ ก็เกิดการแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างรัชทายาทเพื่อขึ้นปกครองเป็นกษัตริย์ ท่านโพธิธรรมหามีความปรารถนาต้องการ จะยื้อแย่งชิงมายาแห่งสมบัติเลือดนั้นไม่ ท่านจึงตัดสินใจหลบหนีภยันตรายอันใหญ่หลวงนี้ ไปหลบลี้ภัยและฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อศึกษาธรรมอย่างแท้จริง กับพระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระผู้ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของพระบิดาท่าน และพระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระนี้เอง เป็นภิกษุผู้รับสืบทอดวิถีธรรมอันคือธรรมชาติซึ่งเป็นธรรมอันแท้จริง มาจากสังฆปรินายกองค์ก่อนๆแห่งนิกายเซน ซึ่งเป็นการสืบทอดด้วยการถ่ายทอดธรรมแก่กันและกันเป็นรุ่นๆ สืบต่อกันมาตลอดโดยไม่ขาดสาย ซึ่งท่านพระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระนั้น นับว่าท่านเป็นสังฆปรินายก องค์ที่ 27

ต่อมาเมื่อท่านโพธิธรรมได้บรรลุธรรมอันคือ ธรรมชาติ ที่มันมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้น ด้วยอุบายการคุ้ยเขี่ยธรรมให้ตรงต่อความเป็นจริง ซึ่งเกิดจากการชี้แนะสั่งสอนของพระอาจารย์ปรัชญาตาระ เมื่อท่านรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้แล้ว ท่านจึงได้ตัดสินใจอุปสมบทเป็นภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา เป็นการบวชที่ถึงพร้อมไปด้วยการตระหนักชัดแจ้ง และรู้แจ้งในความเป็นจริง และท่านก็ได้สำเร็จลุล่วงในความเป็นธรรมแห่งอภิญญา ตามบุญวาสนาของท่านในธรรมชาติแห่งฌานชั้นสูงนั่นเอง ท่านจึงเป็นพระภิกษุผู้บรรลุอรหันต์ และสำเร็จอภิญญามีฤทธิ์นานาประการ ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ท่านจะเดินทางมาสู่ประเทศจีนแล้ว

ด้วยเส้นทางบุญบารมีของท่านโพธิธรรม ที่ลงมาทำหน้าที่แห่งตนในฐานะโพธิสัตว์ ผู้ที่ผูกใจซึ่งเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาของตนไว้ต่อตถาคตเจ้า และได้อธิษฐานต่อหน้าองค์พระพักตร์แห่งพระศาสดาเจ้า ครั้งเมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน
ณ ใต้ต้นสาละคู่นั้นแห่งเมืองกุสินารา ว่าตนจะลงมาทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมคำสั่งสอนอันแท้จริงนี้ ตามวาระกรรมแห่งบุญวาสนาที่เคยได้สั่งสมมาไว้ เมื่อกิจคือหน้าที่ที่ตนต้องชำระความมัวหมองแห่งใจตน ได้สำเร็จลุล่วงแล้ว พระอาจารย์ปรัชญาตาระเถระจึงได้ทำการ "มอบบาตรและจีวรของตถาคตเจ้า" ที่ได้สืบทอดรับมอบต่อกันมาเป็นช่วงๆ มาตั้งแต่รุ่นที่หนึ่งคือ พระมหากัสสปะเถระ ที่ท่านได้รับมอบบาตรและจีวรนี้ "มาโดยตรง" จากองค์พระศาสดาตถาคต พระโพธิธรรมหรือปรมาจารย์ตั๊กม้อจึงถูกนับเข้าเป็น พระสังฆปรินายกองค์ที่ 28 แห่งนิกายเซน และท่านเองก็ได้รับหน้าที่ ให้เผยแผ่พระธรรมคำสอนที่แท้จริงตามธรรมชาตินี้ ให้คงอยู่ต่อสืบไปอย่างไม่มีวันที่ขาดสายลงไปได้

เมื่อท่านโพธิธรรมได้เดินทางมาเมืองจีนแล้ว ชาวจีนได้เรียกท่านด้วยความเคารพว่า "ปรมาจารย์ตั๊กม้อ" และถึงแม้ว่าคำสอนของท่านยังไม่เป็นที่เข้าใจแพร่หลาย และท่านก็มีลูกศิษย์เป็นจำนวนน้อยมาก แต่การสืบทอดคำสอนของท่าน ก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยอยู่ภายใต้ "เงื่อนไข" ในกรรมวิสัย แห่งโพธิสัตว์รุ่นหลังทั้งหลาย ที่จะลงมาเกิดและเข้ามารับธรรม เพื่อสืบต่อไปเป็นรุ่นๆจนถึงรุ่นที่หก ก็ในคราวนั้นท่านเว่ยหล่างหรือฮุ่ยเหนิง ซึ่งเป็นโพธิสัตว์ผู้ที่มีปัญญามากและมีบริวารมากเช่นเดียวกัน ก็จะลงมาเกิดเพื่อทำหน้าที่แห่งตน และในคราวนั้น คำสอนอันคือหลักธรรมชาติแห่งนิกายเซนนี้ จะถูกแพร่ขยายสืบต่อไปตามสายธารธรรมแห่งลูกศิษย์ท่าน และจะเป็นที่ยอมรับนับถือกันไปอย่างกว้างขวาง ทั่วทุกหนทุกแห่งในผืนแผ่นดินจีน และก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยสืบต่อกันไป จนเป็นศาสนาประจำชาติหยั่งรากลึกลงถึงอย่างมั่นคงในประเทศญี่ปุ่นสืบต่อไปในภายภาคหน้า เมื่อคำสอนแห่งนิกายเซนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ด้วยบุญบารมีแห่งท่านเว่ยหล่าง จึงมีการจัดลำดับ "คณาจารย์" ผู้ที่ได้รับสืบทอดคำสอนที่แท้จริงอันคือธรรมชาตินี้ และได้รับบาตรและจีวรแห่งตถาคตเจ้าสืบมา โดยที่ท่านโพธิธรรมหรือปรมาจารย์ตั๊กม้อ เป็นผู้ที่ได้รับสืบทอดเป็นองค์ที่ 28 และทางคณาจารย์ทั้งหลายแห่งเซนในประเทศจีน ได้ยกย่องให้ท่านเป็น สังฆปรินายก องค์ที่ 1 แห่งนิกายเซนประเทศจีน

การจัดลำดับคณาจารย์ ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดธรรมเพื่อสืบทอดธรรมอันคือธรรมชาตินี้ ให้อยู่ตลอดสายอย่างถาวรในความเป็นเซน จนกว่าจะสิ้นอายุแห่งบวรพระพุทธศาสนา เมื่อครบ 5,000 ปี นับแต่พระพุทธองค์ได้ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน จึงมีดังนี้

พระพุทธเจ้า ได้ถ่ายทอดธรรมชาตินี้มาสู่
พระสังฆนายกที่ 1 พระอารยะ มหากัสสปะ
พระสังฆนายกที่ 2 พระอารยะ อานนท์
พระสังฆนายกที่ 3 พระอารยะ สันวสะ
พระสังฆนายกที่ 4 พระอารยะ อุปคุปต
พระสังฆนายกที่ 5 พระอารยะ ธริตกะ
พระสังฆนายกที่ 6 พระอารยะ มิฉกะ
พระสังฆนายกที่ 7 พระอารยะ วสุมิตร
พระสังฆนายกที่ 8 พระอารยะ พุทธนันทิ
พระสังฆนายกที่ 9 พระอารยะ พุทธมิตร
พระสังฆนายกที่ 10 พระอารยะ ปาสวะ
พระสังฆนายกที่ 11 พระอารยะ ปุนยยสัส
พระสังฆนายกที่ 12 พระโพธิสัตว์ อัศวโฆษ
พระสังฆนายกที่ 13 พระอารยะ กปิมละ
พระสังฆนายกที่ 14 พระโพธิสัตว์ นาคารชุน
พระสังฆนายกที่ 15 พระอารยะ คนเทว
พระสังฆนายกที่ 16 พระอารยะ ราหุลตะ
พระสังฆนายกที่ 17 พระอารยะ สังฆนันทิ
พระสังฆนายกที่ 18 พระอารยะ สังฆยสัส
พระสังฆนายกที่ 19 พระอารยะ กุมารตะ
พระสังฆนายกที่ 20 พระอารยะ ขยตะ
พระสังฆนายกที่ 21 พระอารยะ วสุพันธุ
พระสังฆนายกที่ 22 พระอารยะ มนูระ
พระสังฆนายกที่ 23 พระอารยะ อักเลนยสัส
พระสังฆนายกที่ 24 พระอารยะ สินหะ
พระสังฆนายกที่ 25 พระอารยะ วิสอสิต
พระสังฆนายกที่ 26 พระอารยะ ปุนยมิตร
พระสังฆนายกที่ 27 พระอารยะ ปรัชญาตาระ
พระสังฆนายกที่ 28 พระอารยะ โพธิธรรม (พระสังฆนายกองค์ที่ 1 ของจีน ปรมาจารย์ตั๊กม้อ)
พระสังฆนายกที่ 29 พระอาจารย์ เว่ยโห (พระสังฆนายกองค์ที่ 2 ของจีน)
พระสังฆนายกที่ 30 พระอาจารย์ ซังซาน (พระสังฆนายกองค์ที่ 3 ของจีน)

พระสังฆนายกที่ 31 พระอาจารย์ ตูชุน (พระสังฆนายกองค์ที่ 4 ของจีน)

พระสังฆนายกที่ 32 พระอาจารย์ ฮวางยาน (พระสังฆนายกองค์ที่ 5 ของจีน)

พระสังฆนายกที่ 33 พระอาจารย์เว่ยหล่าง (พระสังฆนายกองค์ที่ 6 ของจีน)




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




4a2cc814bb2e8ca3cd38ac1437073acf.jpg
4a2cc814bb2e8ca3cd38ac1437073acf.jpg [ 155.01 KiB | เปิดดู 14702 ครั้ง ]
ในหัวใจของพวกเธอทุกๆคน
มีเมล็ดพันธุ์ของความรัก
และความปรารถนาอันบริสุทธิ์

เซน แห่ง พึ่งจะก้าว
ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




4f47013eeaf4a591a583291e63374ccf.jpg
4f47013eeaf4a591a583291e63374ccf.jpg [ 145.38 KiB | เปิดดู 14702 ครั้ง ]
บทที่ 4 เดินทางสู่การเพาะบ่ม

ด้วยอนาคตังสญาณแห่งปรัชญาตาระเถระ ที่ได้ล่วงรู้ด้วยอำนาจอภิญญาแห่งตนว่า ผืนแผ่นดินแห่งปัลลวะจะลุกเป็นไฟ เพราะการณ์ข้างหน้าจะเกิดเหตุมีศึกสงครามครั้งใหญ่ นับแต่ท่านจะได้ดับขันธ์ล่วงไปแล้ว 67 ปี เมื่อไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงกรรรมวิบากแห่งสรรพสัตว์ ที่ต้องชดใช้ซึ่งกันและกันนี้ได้ เมื่อเกิดอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง ในการเผยแผ่ธรรมแห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมหาปรัชญาตาระเถระจึงได้แนะนำให้ลูกศิษย์ของตน คือ ท่านโพธิธรรม ให้ตระเตรียมการไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อถ่ายทอดธรรมนี้ไปยังผู้ที่สมควร จะได้รับธรรมให้สืบต่อไปในภายภาคหน้า เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ท่านโพธิธรรมจึงวางแผนส่งพระภิกษุสองรูป ผู้ซึ่งบรรลุเป็นพระอรหันต์และแตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณ ให้เดินทางไปยังจีนล่วงหน้าก่อน เพื่อดูลาดเลาความเป็นไปในบ้านเมืองจีน

แต่การเดินทางมาถึงของภิกษุสองรูป กลับไม่ได้รับการต้อนรับจากชนชาวจีนแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะด้วยการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน แต่การเดินทางเพื่อมาสำรวจล่วงหน้าของภิกษุสองรูปนี้ ก็มิได้เป็นการเสียเวลาเปล่า ภิกษุสองรูปนี้ก็ยังได้ถ่ายทอดธรรมอันแท้จริง ให้แก่ภิกษุชาวจีนรูปหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์มีลูกศิษย์มากมาย และเป็นเจ้าอาวาสวัดที่ภิกษุสองรูปได้เข้าพำนัก ซึ่งเป็นอารามที่อยู่บริเวณเทือกเขาหลู่ซัน ท่านพระอาจารย์รูปนี้มีนามว่า "ฮุ่ย เอวียน" ท่านฮุ่ย เอวียน เป็นพระที่เคร่งครัด ต่อการท่องสวดพระสูตรต่างๆในมหายาน เมื่อภิกษุสองรูปจากปัลลวะได้จาริกเดินทางมาถึงเขาหลู่ซัน และได้เข้าพำนักที่อารามแห่งนี้ จึงได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ฮุ่ย เอวียน พระอาจารย์ฮุ่ย เอวียน จึงถามภิกษุสองรูปนี้ไปว่า พวกท่านมาเผยแผ่ธรรมที่จีนนี้ได้นำเอาธรรมชนิดไหนเข้ามา แล้วทำไมล่วงมาถึงป่านนี้ชาวจีนจึงยังไม่ศรัทธาพวกท่าน ภิกษุชาวปัลลวะทั้งสองจึงได้โต้ตอบออกไปทันควัน ด้วยภาษามือที่สื่อกันโดยไม่ต้องออกเสียง ด้วยการยื่นมือไปข้างหน้าแล้วดึงมือนั้นกลับมาอย่างรวดเร็ว และภิกษุทั้งสองก็ได้กล่าวว่า ไม่ว่าความเป็นพุทธะที่ท่านอาจารย์อยากจะรู้ มันมีสภาพไม่ต่างกันเลยจากความทุกข์ที่ท่านอาจารย์ยังคงแบกไว้ มันก็มีอาการเกิดขึ้นและดับไปรวดเร็ว เช่นเดียวกับมือของข้าพเจ้าที่ยื่นให้ท่านดู ด้วยการเกิดขึ้นแห่งมัน และชักกลับคืนมา ด้วยการดับไปแห่งมันเช่นกัน และสิ่งที่ท่านเห็นอยู่ต่อหน้าด้วยความว่างเปล่าในอากาศ ด้วยความไม่มีอะไรของมันเองอยู่อย่างนั้น นั่นแหละคือความเป็นธรรมชาติแห่งพุทธะ ที่ข้าพเจ้าทั้งสองได้นำมาเผยแผ่ แต่หาคนรับธรรมนี้แทบไม่มีเลยสักคน เมื่อท่านอาจารย์ฮุ่ย เอวียน ได้ฟังได้เห็นดังนั้นแล้ว จึงมีความเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ความอยากรู้ในสภาพธรรมที่แท้จริงของตนเองนั้น ที่จริงมันก็คือตัณหาใน "ความอยากรู้" และมันก็คือภาวะทุกข์ที่เกิดขึ้น และมันก็ไม่มีความแตกต่างจากความทุกข์เดิม ที่ตนเองมีก่อนอยู่แล้วและยังแบกมันอยู่ ด้วยภาวะแห่งการอยากแก้ไขทุกข์ของตน ด้วยการอยากรู้ธรรมอันแท้จริง กับภาวะทุกข์ที่ตนมีอยู่เดิม มันก็ล้วนเป็นความทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น ท่านจึงได้ตระหนักชัดรู้แจ้งในขณะนั้นเลยว่า แท้จริงธรรมชาติมันย่อมไม่มีอะไรอยู่แล้วโดยตัวมันเอง เหมือนอากาศที่มันว่างเปล่าที่อยู่ต่อหน้าท่าน ปราศจากมือที่ถูกชักกลับ แท้จริงธรรมชาติมันย่อมว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วโดยตัวมันเองอยู่อย่างนั้น แท้จริงธรรมชาติมันย่อมคือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ อยู่แล้วโดยตัวมันเองเช่นกัน เมื่อท่านอาจารย์ฮุ่ย เอวียน ได้รู้แจ้งสว่างในธรรมแล้ว ท่านจึงได้นิมนต์ให้ภิกษุสองรูปชาวปัลลวะ ซึ่งกลายเป็นอาจารย์สอนธรรมท่านไปแล้วภายในพริบตาเดียว ได้พำนักอาศัยอยู่กับท่านที่นี่ และก็เป็นการมาที่มิได้ไปไหนอีกเลย ภิกษุสองรูปนี้ได้พำนักอาศัยอยู่ที่นี่ ตราบจนได้ดับขันธ์ทิ้งร่างสรีระไว้กลายเป็นศพ ถูกฝัง ณ เชิงเขาหลู่ซัน หลุมศพของภิกษุทั้งสองรูปนี้ ก็ยังปรากฏหลักฐานมาตราบจนทุกวันนี้ การตายของภิกษุทั้งสอง เป็นการตายเพื่อรอคอยพระอาจารย์ของตน คือท่านโพธิธรรมตั๊กม้อ มารับกลับไปเมืองปัลลวะที่อินเดีย เป็นการอยู่รอคอยถึงร้อยปี ณ หลุมฝังศพนั้น และภิกษุทั้งสองก็ได้เดินทางกลับปัลลวะพร้อมกับท่านโพธิธรรม เมื่อหลังจากที่ท่านโพธิธรรมได้เสียชีวิตลงแล้วศพหายไป

เมื่อภิกษุสองรูปได้เสียชีวิตลง โดยมิได้มีการส่งข่าวกลับมายังเมืองปัลลวะเลย เมื่อกาลเวลาได้ผ่านไปอยู่หลายปี ท่านโพธิธรรมจึงตัดสินใจโดยสารเรือ เพื่อมายังเมืองจีนด้วยตัวท่านเอง โดยครั้งนั้นท่านได้ลงเรือโดยสารมาลำเดียว กับภิกษุที่ชื่อ มหาปัลลิปุรัม (Mahaballipurum) ด้วยการเดินออกมาทางชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย มายังช่องแคบทางหมู่เกาะสุมาตรา (ปลายเกาะประเทศมาเลเซีย) และลัดเลาะไปทางมหาสมุทรแปซิฟิก เพื่อไปขึ้นแผ่นดินจีนทางตอนใต้เมืองกวางโจว โดยท่านใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 3 ปี

ก็ในสมัยนั้นประมาณพุทธศตวรรษที่สาม ประเทศจีนถูกแบ่งเป็นจีนสองราชวงศ์ คือราชวงศ์ไว่ และราชวงศ์ซ่ง โดยแบ่งเป็นราชวงศ์ฝ่ายเหนือและราชวงศ์ฝ่ายใต้ และก็ถูกแบ่งกันอย่างนี้มาเรื่อย ท่านโพธิธรรมได้เดินทางมาจีนเมื่อเข้าปลายพุทธศตวรรษที่ห้า คือประมาณปี พ.ศ. 475 ในขณะนั้นพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้ามายังจีน ก่อนหน้านั้นนานแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 65 ในพุทธศตวรรษแรก ด้วยการอุปถัมภ์ค้ำชูจากกษัตริย์ ผู้มีใจใฝ่บำรุงพระพุทธศาสนาในยุคนั้น และพระพุทธศาสนาได้ตั้งมั่นหยังรากลึก ลงไปในดินแดนแห่งจีนนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งจวบถึงวาระแห่งท่านโพธิธรรม ที่ได้นำคำสอนที่แท้จริงมาโปรยธรรมธาตุไว้ เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้สืบทอดศึกษาธรรมอันคือธรรมชาตินี้ ให้คงอยู่สืบต่อไป โดยในขณะนั้น จีนได้มีการก่อสร้างวัดวาอารามอย่างมากมายจนถึงหมื่นวัด ซึ่งเป็นจำนวนที่รวบรวมไว้แล้วทั้งจีนตอนเหนือและจีนตอนใต้ และนักบวชที่เป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาจริงๆ ไม่รวมนักบวชลัทธิเต๋าและขงจื้อ มีจำนวนมากกว่าสองล้านรูป เมื่อท่านโพธิธรรมเดินทางมาถึงกวางโจวใหม่ๆ ท่านได้ขึ้นฝั่งที่ท่าเรือหนานไห่ และท่านก็ได้รับการนิมนต์ให้อยู่ที่ศูนย์พระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีน และในโอกาสนี้เองเมื่อได้พำนักอยู่ที่นี่ ท่านโพธิธรรมจึงได้มีเวลาศึกษาเรียนรู้ภาษาจีน จนท่านมีความคล่องแคล่วสามารถสื่อสารภาษาจีนกับชนชาวจีน ได้สะดวกและมีความหมายที่ถูกต้อง

ต่อมาท่านได้ย้ายเข้าไปอยู่เมืองหลวงที่ชื่อว่า เฉียนกัง (Chienkang) ทั้งนี้เป็นกิจอันสำคัญยิ่งที่ท่านได้รับนิมนต์ ให้เข้าไปแสดงธรรมต่อหน้าองค์จักรพรรดิในเวลานั้น แต่ก็ไม่เกิดประสพความสำเร็จแต่อย่างใด เพราะจักรพรรดิหามีความเข้าใจธรรมอันคือธรรมชาติที่แท้จริง ที่ท่านโพธิธรรมได้เทศนาออกไปไม่ ท่านโพธิธรรมจึงเดินทางออกมาจากเมืองหลวง ด้วยไร้ซึ่งความหวัง เพราะถ้าหากองค์จักรพรรดิได้รู้แจ้งตระหนักชัดในธรรมที่ท่านได้เทศนา การเผยแผ่ธรรมในจีนโดยเฉพาะทางจีนตอนใต้ คงเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว เพราะอาจได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากผู้ที่มีอำนาจปกครอง ซึ่งคือกษัตริย์ในยุคนั้น

ท่านจึงเดินทางลงมาและข้ามแม่น้ำที่เมืองแยงซี และได้เข้าไปพำนักอาศัยอยู่ที่เมืองโลหยาง (Loyang) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโล และเป็นเมืองหลวงใหม่ที่พึ่งถูกย้ายมา และถูกสถาปนาความเป็นเมืองหลวงขึ้น ด้วยจักรพรรดิ เฉาเวน (Hsiao-wen) และหลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ให้ท่าน ต้องอยู่ใกล้ๆวัดเส้าหลิน และนั่งสมาธิหันหน้าเข้าหากำแพงโดยไม่ไหวติงถึงเก้าปีเต็ม เป็นเวลายาวนานถึงเก้าปีแห่งการรอคอย เพื่อเพาะบ่มเมล็ดพันธุ์พืชแห่งพุทธะเมล็ดหนึ่ง ที่ชื่อ เสินกวง(ฮุ่ยเค่อ)




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




5c03b674ca87a5a7af0ba2edb6921838.jpg
5c03b674ca87a5a7af0ba2edb6921838.jpg [ 120.58 KiB | เปิดดู 14701 ครั้ง ]
คนที่เอ่ยปากขอโทษก่อน
คือคนที่กล้าหาญที่สุด
คนที่ให้อภัยก่อน
คือคนที่เข้มแข็งที่สุด
และคนที่ลืมได้ก่อน
คือคนที่มีความสุขที่สุด

เซน แห่ง "คน"คนนั้น
ครูสอนเซน อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร



“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




6_74_1360529083.jpg
6_74_1360529083.jpg [ 96.33 KiB | เปิดดู 14701 ครั้ง ]
หนังสือ "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
บทที่ 5 บัวบานกลางหิมะสีแดงฉาน

ท่านโพธิธรรมหรือที่ชาวจีนในยุคนั้นเรียกท่านว่า "ปรมาจารย์ตั๊กม้อ" ท่านเป็นพระภิกษุผู้มีดวงตากลมใหญ่ผิวสีดำคล้ำ และด้วยเอกลักษณ์ของท่านเวลาที่ท่านเดินทางไปไหนมาไหน เมื่อถึงคราวต้องตากแดดที่มีสภาพร้อนจัด ท่านจึงมักจะเอาชายจีวรที่อยู่เบื้องล่างขึ้นมาคลุมศีรษะ เพราะฉะนั้นภาพวาดส่วนใหญ่ที่ศิลปินผู้มีเซนอยู่ในสายเลือด ได้วาดขึ้นเพื่อเป็นภาพประกอบโกอานไขปริศนาธรรม หรือวาดขึ้นโดยเฉพาะเพื่อเป็นสัญลักษณ์ สื่อความหมายไปในทางธรรมนั้น ก็จะปรากฏเป็นภาพของปรมาจารย์ตั๊กม้อที่มีร่างกายสูงใหญ่ และมีหนวดเครารุงรัง และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือมีการวาดภาพโดยมีผ้าคลุมศีรษะ และอยู่ในท่านั่งสมาธิหันหน้าเข้ากำแพงเสียเป็นส่วนใหญ่ เหตุที่ทำให้ท่านโพธิธรรมตั๊กม้อได้นั่งอยู่ในฌานสมาธิถึงเก้าปีเต็มนั้นเป็นเพราะวาระกรรมได้แสดงถึงเนื้อหากรรม ให้เป็นไปในภาวะที่ยืดเยื้อ และเป็นไปในระหว่างบุคคลสองคนที่มีกรรมต่อกัน ทั้งในด้านกุศลและกรรมวิบาก และเป็นวาระกรรมที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับการเริ่มต้นนับ "หนึ่ง" ซึ่งถือเป็นก้าวย่างที่ได้ก้าวไปข้างหน้าแล้วอย่างแท้จริง สมดั่งเจตนารมณ์ในการที่ท่านโพธิธรรมได้มาเหยียบแผ่นดินจีนในครั้งนี้ เหตุเพราะท่านได้พบลูกศิษย์คนสำคัญของท่าน ซึ่งลูกศิษย์คนนี้เป็นลูกศิษย์คนแรกและคนเดียวที่เข้าใจท่าน และสามารถรับการถ่ายทอดธรรมอันคือธรรมชาติ เป็นทายาทที่แท้จริงในการสืบต่อธรรม ด้วยการผ่านสู่ "ใจต่อใจ" ระหว่างครูกับศิษย์ และเป็นเหตุให้ธรรมนั้นได้สืบต่อกันไปจนเป็นที่แพร่หลาย ยอมรับกันอย่างทั่วไปภายในแผ่นดินจีนตอนใต้หลังจากนั้น แต่ด้วยเหตุปัจจัยเป็นกุศลกรรมอันสำคัญยิ่งนี้ ได้เกิดขึ้นจากกรรมวิบากนั้น

ก็หลังจากที่ท่านโพธิธรรมได้เดินทางออกมาจากพระราชวัง ในคราวที่ท่านได้รับกิจนิมนต์เพื่อไปเทศนาธรรมให้องค์จักรพรรดิฟัง ท่านก็ออกเดินทางรอนแรมไปเรื่อย หลังจากที่ท่านได้อุปสมบทให้กับลูกศิษย์เป็นพระรูปหนึ่งที่ชื่อ เชง ฟุ ท่านโพธิธรรมก็ได้พำนักพักอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของเมืองหลวง เป็นระยะเวลานานนับสิบปี และภายในปี พ.ศ. 496 จักรพรรดิก็ได้รับสั่งให้สร้างวัด เพื่อถวายเป็นราชกุศลขึ้น เป็นการก่อสร้างที่อยู่ติดกับบริเวณภูเขาซ่งที่อยู่ทางเมืองโหหนาน ซึ่งเมืองนี้อยู่ทางทิศใต้ของเมืองโลหยางซึ่งเป็นเมืองหลวง วัดนี้องค์จักรพรรดิสร้างขึ้นเพื่อให้นักบวชพระภิกษุสงฆ์ในนิกายเซน เข้ามาพักอาศัยเพื่อเป็นที่หลบลี้และได้ขัดเกลาจิตใจของตนเอง วัดแห่งนี้นี่เองที่ชื่อว่า "วัดเส้าหลิน" เป็นวัดซึ่งท่านโพธิธรรมได้มาสอนการฝึกออกกำลังกายแบบโยคะ ให้แก่ภิกษุในภายหลังที่ท่านได้ออกจากสมาบัติแล้ว

เมื่อท่านโพธิธรรมได้ทราบข่าวว่าวัดเส้าหลินได้สร้างเสร็จแล้ว และเป็นวัดที่มีความสวยงามอยู่กลางหุบเขา และบริเวณเทือกเขาเหล่านั้นเป็นที่สงบวิเวก เหมาะสำหรับการปลีกตัวออกจากหมู่คณะเพื่อเก็บตัวบำเพ็ญภาวนา ท่านโพธิธรรมจึงตัดสินใจเดินทางมายังบริเวณหุบเขาแห่งนี้ เพื่อหาที่สงบพักผ่อนใจให้กับตนเอง แต่ในระหว่างทางก่อนถึงแม่น้ำแยงซี เพื่อจะข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งหุบเขาเฉาฉือ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาซ่ง ท่านก็ได้พบพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้เป็นธรรมทายาทเพื่อสืบสายโลหิตแห่งเซน ภิกษุรูปนี้มีชื่อว่า "เสินกวง" ท่านเสินกวงเป็นเจ้าอาวาสวัดที่ท่านโพธิธรรมได้แวะพักอาศัย ก่อนที่จะเดินทางไปถึงจุดหมาย เสินกวงเป็นพระที่มีความจดจำพระสูตรได้แม่นยำ และเป็นนักเทศนาธรรมตัวยงในแถบนั้นโดยหามีใครเทียบไม่ ก็ในขณะนั้นเป็นวันที่ท่านโพธิธรรมเดินทางมาถึง และท่านเสินกวงกำลังขึ้นเทศน์ธรรม ให้แก่สาธุชนผู้มีศรัทธาได้ฟังกันภายในหอประชุมบริเวณวัด ท่านเสินกวงถึงแม้จะมีสัญญาความจำได้หมายรู้อย่างยอดเยี่ยม แต่ท่านก็ยังมิใช่เนื้อนาบุญอย่างแท้จริง ท่านเสินกวงมีความสามารถอ่านอธิบายธรรมในพระสูตรได้ แต่ท่านเสินกวงกลับไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจตระหนักชัด ในธรรมที่ท่านกำลังสาธยายเลย เมื่อท่านเสินกวงได้เทศนาธรรมจบแล้วจึงเดินลงมาจากพระธรรมาสน์ เพื่อพูดคุยกับอาคันตุกะภิกษุแปลกหน้าผู้มาเยือนในเช้าของวันนั้น แต่การพูดคุยกลับกลายเป็นเหตุให้ท่านเสินกวง ได้ทำร้ายร่างกายพระอาคันตุกะซึ่งมาจากเมืองปัลลวะอินเดียรูปนี้ โดยการสนทนาธรรมนั้น ท่านโพธิธรรมได้พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า ท่านเสินกวงถึงแม้จะเป็นพระนักเทศน์ ที่สามารถเทศนาธรรมได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ก็ยังมิได้บรรลุธรรมอะไรเลย เพราะท่านโพธิธรรมได้นั่งฟังธรรมเทศนาอยู่ด้วย โดยท่านได้นั่งอยู่แถวหลังสุดและได้ฟังธรรมเทศนานั้น จนทำให้ท่านรู้ได้ด้วยเนื้อหาธรรมที่ถูกเทศน์ออกมาในขณะนั้นว่า ท่านเสินกวงยังไม่ได้ตระหนักชัดรู้แจ้งภายในธรรมชาติดั้งเดิมแท้เลย เมื่อท่านได้พูดออกไปแบบนี้อย่างตรงๆไม่อ้อมค้อม ก็เป็นเหตุให้ท่านเสินกวงเกิดโทสะ เอาสายลูกประคำเม็ดใหญ่ฟาดเข้าไปที่ปากของท่านโพธิธรรม จนเป็นเหตุให้เลือดไหลออกมากลบปาก และฟันด้านหน้าของท่านหักออกไปถึงสองซี่ เมื่อเหตุการณ์ซึ่งเป็นกรรมวิบากได้เกิดขึ้นเช่นนี้แล้ว ท่านโพธิธรรมจึงหันหลังออกไปจากที่นั่นไปโดยมิได้กล่าวลา

แต่หลังจากนั้นด้วยความสำนึกผิดของท่านเสินกวง ในการล่วงละเมิดประทุษร้ายพระอาคันตุกะผู้มีปัญญา และด้วยความที่ทราบต่อมาภายหลังว่าพระอินเดียรูปนั้น ก็คือท่านพระอาจารย์โพธิธรรมซึ่งเดินทางมาจากเมืองปัลลวะ เพื่อเข้ามาเผยแผ่ธรรมอันคือคำสอนตามธรรมชาติที่แท้จริง ให้แก่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ท่านเสินกวงจึงรู้สึกเสียใจในการกระทำของตน และท่านเสินกวงมีเจตนาที่จะกราบขอขมาลาโทษ และมีความตั้งใจจริงที่จะฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน และมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยวที่จะดูแลรับใช้ท่านโพธิธรรม จนตราบที่ท่านโพธิธรรมจะหมดลมหายใจละจากโลกใบนี้ไป ท่านเสินกวงเมื่อรู้สึกตัวและมีความละอายใจ จึงรีบเดินทางออกตามหาท่านโพธิธรรม

เมื่อท่านโพธิธรรมได้เดินทางจนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำแยงซี แต่ตอนนั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เรือข้ามฝากไปฝั่งโน้นก็หามีไม่ ท่านโพธิธรรมจึงได้หยิบต้นอ้อมากำหนึ่ง และเหยียบอ้อกำนั้นข้ามฝั่งไป ก็ด้วยน้ำหนักคนมีน้ำหนักมาก หากเหยียบไปบนต้นอ้อซึ่งมีน้ำหนักเบา ต้นอ้อก็ต้องจมน้ำไปเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ด้วยอำนาจแห่งอภิญญาของท่านโพธิธรรม ท่านสามารถเหยียบขึ้นยืนบนต้นอ้อกำนั้นและไม่ตกจมลงไปในน้ำ ด้วยฤทธิ์แห่งอภิญญาที่ท่านสำเร็จ ก็ในขณะที่ท่านกำลังอยู่กลางแม่น้ำแยงซีด้วยอำนาจจิตที่ยิ่งใหญ่ ท่านเสินกวงจึงได้เดินทางมาถึงพอดี และท่านเสินกวงได้เห็นอภินิหารของท่านโพธิธรรมแล้ว จึงก้มหน้าร้องไห้ในความสำนึกผิดแห่งตน และท่านเสินกวงจึงหาทางข้างฝั่งแม่น้ำแยงซี ด้วยการมัดหญ้าคากำใหญ่และพยุงลอยตัวเอง จนข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้อย่างปลอดภัย และเร่งรีบติดตามท่านโพธิธรรมไปอย่างไม่ลดละ

เมื่อท่านโพธิธรรมได้เดินทางมาถึงเทือกเขาซ่ง แถวบริเวณหมู่บ้านลั่วหยางซึ่งอยู่ใกล้วัดเส้าหลิน ท่านโพธิธรรมจึงได้เข้าพักอาศัย ณ ถ้ำซึ่งมีความเป็นธรรมชาติแห่งหนึ่งซึ่งอยู่แถวบริเวณหลังวัด และท่านก็ตัดสินใจนั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติ โดยนั่งหันหน้าเข้าหาผนังถ้ำ และตัดสินใจที่จะนั่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีกำหนดออกเลย ท่านนั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาถึงเก้าปีโดยไม่ไหวติง มันเป็นระยะเวลานานมากจนกระทั่ง เงาร่างที่ถูกแสงแดดสาดส่องเข้ามาอยู่ตลอดเวลานั้น มันทาบลงไปบนฝาผนังและฝังรอยเป็นเงาอยู่อย่างนั้น ตราบจนสามารถเห็นได้จนถึงทุกวันนี้ ชาวบ้านแถบนั้นเรียกมันว่า "ผนังเงาศิลา"

ท่านเสินกวงเมื่อได้ติดตามท่านโพธิธรรมมา และได้สอบถามชาวบ้านในละแวกนั้น จึงได้รู้ว่าท่านโพธิธรรมได้หลบหนีผู้คนเข้าไปนั่งสมาธิในฌานแล้ว เมื่อเสินกวงตามไปพบและรอคอยท่านโพธิธรรม เพื่อให้ออกมาจากฌานสมาบัติ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปอย่างเนิ่นนานก็ไม่มีวี่แวว ว่าท่านโพธิธรรมจะลุกขึ้นมาจากจุดที่ท่านนั่ง เสินกวงจึงตัดสินใจที่จะรับใช้ดูแลท่านโพธิธรรม อยู่ ณ ภายในถ้ำนั้น โดยท่านเสินกวงมีหน้าที่ดูแลรักษาความสะอาดภายในบริเวณถ้ำ และเมื่อเสร็จภารกิจในแต่ละวันแล้ว ท่านเสินกวงก็จะออกมานั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าถ้ำ โดยท่านเสินกวงจะนั่งตั้งแต่เช้าไปจนจรดเย็นและค่ำมืด ท่านเสินกวงจะนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนี้ทุกวัน เพื่อเป็นการขอขมาลาโทษต่อท่านโพธิธรรม และเพื่อรอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเรียนรู้ธรรมอันแท้จริงกับท่าน

และแล้วความพยายามของท่านเสินกวงก็ประสพความสำเร็จ ด้วยระยะเวลาแห่งการรอคอยมันผ่านพ้นมานานถึงเก้าปีเต็มๆ ก็ช่วงสายในวันหนึ่งของวันที่ 29 ปีไท่เหอที่สิบ ในขณะที่ภิกษุเสินกวงได้ทำความสะอาดถ้ำและฉันอาหารเสร็จแล้ว จึงได้มานั่งคุกเข่าอยู่หน้าถ้ำ ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงของกลางฤดูหนาว ที่มีหิมะโปรยปรายตกลงมาปกคลุมเต็มอยู่หน้าถ้ำ แต่ท่านเสินกวงก็นั่งอยู่ตรงหน้าถ้ำนั้นมิได้ลุกหนีไปไหน จนหิมะมันได้ท่วมขึ้นมาจนถึงหัวเข่า และแล้วตรงปากถ้ำก็ได้ปรากฏกายของท่านโพธิธรรม ผู้ซึ่งพึ่งออกจากฌานสมาบัติที่ตนได้นั่งเข้าสมาธิแบบลืมวันลืมปี เมื่อท่านโพธิธรรมได้เห็นท่านเสินกวง ผู้ซึ่งเคยทำร้ายร่างกายท่านจนฟันหักถึงสองซี่ ท่านจึงเกิดความสงสารที่เห็นพระรูปนี้มานั่งตากหิมะอยู่หน้าถ้ำ ท่านจึงถามเสินกวงไปว่า "เธอมานั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางหิมะด้วยมีความต้องการอะไร" เมื่อท่านเสินกวงได้ยินเสียงท่านโพธิธรรมกล่าวดังนั้น ก็มีความปีติยินดีและได้ก้มกราบขอขมาลาโทษ ในการกระทำไม่ดีไม่ควรของตน และก็เอ่ยปากขอร้องให้ท่านโพธิธรรมรับตนเป็นศิษย์ ท่านโพธิธรรมได้ฟังดังนั้นจึงได้พูดตอบท่านเสินกวงไป ด้วยความที่จะทดสอบความเด็ดเดี่ยว ในความตั้งมั่นแห่งศรัทธาที่จะมุ่งมั่นปฏิบัติธรรม ท่านจึงบอกภิกษุเสินกวงไปว่า "ให้นั่งคุกเข่าอยู่เช่นนี้ตลอดไป จนกว่าหิมะที่อยู่ต่อหน้ากองนี้จะกลายจากสีขาวเป็นสีแดง" แต่การทดสอบความมีศรัทธาในหัวใจแห่งพุทธะของเสินกวง กลับไปกระตุ้นอนุสัยซึ่งเป็นเนื้อหาสะสมกรรมวิบากของเสินกวงในอดีตที่มีต่อท่านโพธิธรรมครั้งในอดีตชาติที่ผ่านมานับไม่ถ้วน ออกมาให้ได้ชดใช้กรรมกันในขณะนั้น โดยเมื่อเสินกวงได้ฟังท่านโพธิธรรมพูดออกมาดังนั้น กรรมวิบากจึงดลให้ท่านเสินกวงเกิดความหุนหันพลันแล่น คว้าไปหยิบมีดผ่าฟืนซึ่งมีความคมกริบนั้นขึ้นมา เฉือนมือข้างซ้ายของตนจนขาดวิ่น และท่านก็ได้หยิบแขนซ้ายของตนข้างนั้น ที่ตกลงอยู่กับพื้นส่งให้ท่านโพธิธรรม โดยท่านเสินกวงได้กล่าวขึ้นระคนไปด้วยความเจ็บปวดว่า "ท่านพระอาจารย์โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย เพราะบัดนี้กองหิมะกองนี้มันได้กลายเป็นสีแดงหมดแล้ว" ก็เพราะด้วยการตัดแขนของเสินกวงซึ่งมีเจตนา จะทำให้เลือดของตนชะล้างความเป็นสีขาวของหิมะออกไปให้หมด เพราะความที่มันถูกกลบไปด้วยความเป็นสีแดงแห่งเลือดตน ที่หลั่งรินไหลออกมานองพื้นเป็นสีแดงฉานไปทั่วบริเวณนั้น มันเป็นเลือดแห่งความเป็นพุทธะ ที่มันพุ่งออกมาจากสายเลือดแห่งความใฝ่ดีของท่าน ที่บ่มเพาะตัวเองด้วยความมีขันติอย่างยิ่ง ในการรอคอยเพื่อก้าวข้ามไปสู่ประตูดินแดน "ธรรมชาติแห่งพุทธะ" ถึงเก้าปีเต็มๆ เป็นการรอคอยที่ใช้ความอดทนด้วยความสิ้นหวังตลอดเวลาที่ผ่านมา เลือดทุกหยดนี้มันจึงเป็นเลือดทุกหยดแห่งเซน ที่มันจะทาบทาไปทั่วผืนแผ่นดินจีน ด้วยเหตุปัจจัยอันเกิดจากภิกษุเสินกวงรูปนี้นั่นเอง

เมื่อท่านโพธิธรรมได้ยื่นมือรับแขนของเสินกวง และรับท่านเสินกวงเป็นศิษย์แล้ว ท่านจึงช่วยทำแผลห้ามเลือดให้ ในขณะที่กำลังทำแผลนั้นท่านเสินกวงได้รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา จึงร้องขึ้นมาอย่างดังว่า "พระอาจารย์ช่วยศิษย์ด้วย ศิษย์มีความเจ็บปวดมาก ศิษย์จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว จงโปรดช่วยให้ศิษย์เกิดความสงบด้วย" ในขณะนั้นท่านโพธิธรรมจึงหยุดการทำแผล แล้วพูดกับท่านเสินกวงขึ้นมาว่า "เสินกวง เธอจงเอาจิตของเธอออกมาสิ จิตอันเจ็บปวดนั้น แล้วฉันจะทำให้มันสงบ" เสินกวงได้ฟังดังนั้นจึงได้บรรลุธรรมรู้แจ้งชัดในเวลานั้นเอง เพราะแท้จริงจิตมันไม่มีตัวตน และไม่สามารถเอาออกมาแสดงให้กับท่านโพธิธรรมได้ หลังจากเสินกวงได้ทำแผลเสร็จ ท่านโพธิธรรมจึงได้ถ่ายทอดอธิบายธรรมอันคือธรรมชาติที่แท้จริง และในคืนนั้นเองด้วยวิถีแห่งความเป็นธรรมชาตินี้ จึงได้ถูกส่งตรงมายังภิกษุเสินกวง ด้วยความบริบูรณ์พรั่งพร้อมในธรรมชาติของมัน

ด้วยโพธิปัญญาแห่งภิกษุเสินกวง คือความเป็นเซนในสายเลือด ที่มาพร้อมกับกรรมวิบากที่ต้องใช้คืน แขนซ้ายที่ขาดวิ่นพร้อมกับเลือดที่หลั่งริน คือ "บัวบานกลางหิมะสีแดงฉาน"




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




6_5887_1393884399.jpg
6_5887_1393884399.jpg [ 109.83 KiB | เปิดดู 14701 ครั้ง ]
ผู้ซึ่งติดยึดอยู่กับความรื่นรมย์
ได้ทำลายปีกแห่งชีวิต
แต่ผู้ซึ่งจุมพิตความรื่นรมย์ขณะที่มันบินจากไป
จะมีชีวิตสถิตในนิรันดรภาพแห่งแสงอรุณ

เซน แห่ง ไม่เหนี่ยวรั้ง
หนังสือ "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




6_10882_1391446440.jpg
6_10882_1391446440.jpg [ 65.96 KiB | เปิดดู 14701 ครั้ง ]
หนังสือ "คำสอนเซน ภาค เซนในสายเลือด ปรมาจารย์ตั๊กม้อ"
ครูสอนเซน อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร
บทที่ 6 ตายเพื่ออิสรภาพที่แท้จริง

ด้วยกรรมที่เคยทำกันมา จึงได้ก่อให้เกิดธรรมธาตุ ที่ยังแสดงลักษณะไปในทิศทางของมันอยู่เสมอๆ ด้วยความที่ท่านโพธิธรรมเคยประกอบบุญกุศล ช่วยเหลือบรรดาสรรพสัตว์ให้รอดพ้นจากภยันตรายมานับไม่ถ้วน ครั้งเมื่ออดีตชาติที่ผ่านมาหลายภพหลายชาติ รูปแบบแห่งการกระทำกุศลกรรมแห่งการช่วยเหลือนั้น มันจึงตามมาแสดงผลแบบได้กระทำซ้ำอยู่อย่างนั้น ก็ด้วยบุญชนิดหนึ่งที่ท่านโพธิธรรม ได้ช่วยเหลือบรรดาสรรพสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก เพื่อให้พ้นภยันตรายด้วยความมีอิสระ อันเนื่องมาจากการทำอุบายด้วยการแกล้งตาย จึงทำให้ท่านโพธิธรรมได้รับกุศลผลกรรมในชาติสุดท้ายนี้ของท่านด้วย กล่าวคือครั้งเมื่อท่านโพธิธรรมพึ่งได้เดินทางมาเมืองจีน และในระหว่างทางแห่งการจาริกไป ท่านได้ไปเจอนกแก้วอยู่ตัวหนึ่งซึ่งเป็นนกโพธิสัตว์ ที่กำลังได้รับความตกระกำลำบาก ต้องเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานในชาตินี้ และถูกกักขังอยู่ในกรงอย่างนี้มานานแสนนานแล้ว และด้วยผลบุญในครั้งเก่าก่อนที่นกแก้วโพธิสัตว์ตัวนี้ เคยมีต่อท่านโพธิธรรม เมื่อเส้นทางบุญได้นำพาท่านโพธิธรรมมาเจอะเจอกับมันอีกที่เมืองจีน เมื่อมันเห็นท่านโพธิธรรมเดินผ่านมา มันจึงพูดขึ้นในใจเป็นภาษานกว่า "ข้าแต่นายท่าน จงโปรดมีความเมตตาช่วยเหลือข้าที ข้าอยากมีความเป็นอิสระ ข้าถูกเจ้าของจับมาขังไว้อย่างนี้มานานแสนนานมากแล้ว" ท่านโพธิธรรมซึ่งเป็นภิกษุผู้มีอภิญญาสูงส่ง สามารถฟังภาษาสัตว์รู้เรื่อง ท่านจึงกำหนดจิตบอกนกแก้วตัวนั้นไปว่า "สองขาเหยียดตรง สองตาปิดสนิท" แล้วท่านโพธิธรรมก็ได้เดินจากนกแก้วตัวนั้น ไปตามทางจาริกของท่าน นกแก้วตัวนั้นด้วยความที่เกิดมาเป็นโพธิสัตว์ ลงมาเกิดเพื่อชดใช้กรรมแห่งตน เมื่อมันได้ฟังท่านโพธิธรรมได้บอกกล่าวเป็นความหมายนัยยะ มันจึงรู้แจ้งถึงอุบายในการเป็นอิสระแห่งมัน

ก็ในเช้าวันรุ่งขึ้นนั่นเองก่อนที่เจ้าของจะเอาอาหารมาให้มันที่กรง นกแก้วโพธิสัตว์อันเป็นผู้มีเชาว์ปัญญา มันจึงแกล้งเหยียดขาสองข้างของมันให้ตรงออก และแกล้งปิดตาทั้งสองข้างของมันให้หลับลงสนิท ประหนึ่งว่ามันได้นอนตายด้วยตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น เมื่อเจ้าของเอาอาหารมาให้ และเห็นนกของตนเหยียดขานอนตายปิดตาลงด้วยตัวแข็งทื่อ ก็คิดว่านกของตนได้ตายแล้ว จึงเอามือล้วงหยิบมันออกมาจากกรงขังเพื่อที่จะนำร่างของมันไปฝัง เมื่อเจ้าของวางมันลงไว้กับพื้น นกแก้วตัวนั้นที่แกล้งตาย จึงบินหนีจากที่นั่นไป ด้วยความมีอิสรเสรีตามที่มันมุ่งหวัง และมันก็รู้สึกขอบคุณท่านโพธิธรรม ที่ได้โปรดช่วยชี้ทางอันคือความพ้นจากภยันตราย จากการโดนขังลืมในกรงอยู่เป็นเวลานาน

ด้วยผลบุญผลกรรมที่ท่านโพธิธรรม ได้ทำกุศลช่วยเหลือบรรดาสรรพสัตว์ให้เป็นอิสระ ด้วยการแกล้งทำเป็นตาย ผลบุญนั้นก็ทำให้ท่านโพธิธรรม ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันไปทั่วแผ่นดินจีน ในความเกี่ยวพัน "ในความตายของท่าน" ที่ท่านแกล้งตายและศพท่านได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ความเป็นจริงก็ยังมีผู้คนจากจีนเดินทางไปอินเดีย หลังจากที่ท่านโพธิธรรมเสียชีวิตไปแล้วเป็นเวลาหลายร้อยปี และไปพบเจอท่านโพธิธรรมอยู่ที่นั่นท่านยังมีชีวิตอยู่ การตายของท่านโพธิธรรมจึงเป็นการแกล้งตาย ที่ทำให้ท่านโพธิธรรมเองมีชีวิตอยู่ อยู่ด้วยความเป็นอิสระในอมตธรรมแห่งนิพพานอยู่อย่างนั้น ตราบจนถึงทุกวันนี้





“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




6_10882_1392814449.jpg
6_10882_1392814449.jpg [ 87.62 KiB | เปิดดู 14701 ครั้ง ]
ทุกคนก็ต่างอยู่
บนเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งของตัวเองอยู่
เพียงแค่ว่าจะเลือกเส้นทางใหน
ที่จะนำตัวเองไปสู่ "คำตอบ"
ที่เป็นความจริงแท้ของชีวิตตน


เซน แห่ง นิ้วกลม พื้นที่ชีวิต
อาจารย์ราเชนทร์ สิมะสุนทร




“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”
“การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง”

ครูสอนเซน
อาจารยฺราเชนทร์ สิมะสุนทร
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 55 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร