วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 16:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2012, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ปกหนังสือ 1ลานธรรมจักร.jpg
ปกหนังสือ 1ลานธรรมจักร.jpg [ 152.09 KiB | เปิดดู 11071 ครั้ง ]
คำนำ
ธรรมะในหนังสือ “ใจต่อใจในการฝึกตน” นี้ เป็นเนื้อหาธรรมที่ตรงตามแบบแผนแห่งคำสอนนิกายเซนในป ระเทศจีนและญี่ปุ่น ซึ่งทางครูสอนเซนทั้งหลายในรุ่นก่อนๆได้สืบทอดคำสอนเหล่านี้มาโดยตรงจากองค์พระศาสดา เพื่อนำไปชี้ทางหลุดพ้นให้แก่บรรดาลูกศิษย์ของตนเองมาหลายต่อหลายรุ่นแล้ว เป็นการสอนโดยมุ่งเน้นที่จะคุ้ยเขี่ยธรรมะให้ลูกศิษย์ได้ตระหนักชัดและซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ซึ่งคือ ตถตา ความเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น มันเป็นธรรมชาติแห่งธรรมที่อยู่นอกเหนือภาวะความหลุดพ้นและความไม่หลุดพ้น ธรรมะในหนังสือเล่มนี้จึงถูกเขียนขึ้นตามแบบแผนแห่งคำสอนเซนอย่าง-แท้จริง โดยแบ่งเป็น 2 ภาคใหญ่ คือ ภาค 1 สังขตธาตุ และ ภาค 2 อสังขตธาตุ
ในส่วนของ ภาค 1 สังขตธาตุนั้น บรรดาครูสอนเซนทั้งหลายได้หยิบยกเรื่องธรรม คือ สังขตธาตุ อันคือคุณลักษณะแห่งการที่ยังเข้าใจผิดโดยยังเห็นว่า มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น และตั้งอยู่ได้ไม่นาน ย่อมมีความแปรปรวนดับไปเป็นธรรมดานั้น มาสอนลูกศิษย์ของตนเพื่อชี้ให้เห็นว่า ธรรมอันคือคุณลักษณะแห่งสังขตธาตุนั้นยังไม่ใช่ธรรมะอันแท้จริง ซึ่งคือ ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ หากใครได้หลงผิดหยิบยกธรรมเหล่านี้ขึ้นมาพิจารณาและปฏิบัติก็จะมีแต่ทำให้เข้าไปติดในการปรุงแต่งในวิธีปฏิบัติและติดปรุงแต่งในการหวังผลแห่งการปฏิบัติอยู่เนืองๆ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ผู้เขียนจึงได้เขียนธรรมะในส่วนของสังขตธาตุขึ้น เพื่อให้นักศึกษาทางฝั่งโน้นทุกท่านได้อ่านและพิจารณาในรายละเอียดแห่งสังขตธรรมนั้นอย่างถี่ถ้วน เพื่อที่จะได้สลัดออกซึ่งธรรมเหล่านี้ทิ้งไปเสีย ผู้เขียนจึงขอเตือนนักศึกษาฝั่งทางโน้นทั้งหลายว่า หากได้หยิบหนังสือใจต่อใจในการฝึกตนขึ้นมาอ่านเพื่อศึกษาธรรมะในหนังสือเล่มนี้แล้ว ก็ขอให้นักศึกษาฝั่งทางโน้นทั้งหลายพึงเฝ้าระวังเตือนตนเองให้มากๆว่า การอ่านเพื่อศึกษาธรรมอันคือ สังขตธาตุ ในภาค 1 นั้น เป็นการอ่านเพียงเพื่อทำความเข้าใจว่าธรรมในลักษณะนี้ยังไม่ใช่ธรรมอันแท้จริงที่จะทำให้นักศึกษาฝั่งทางโน้นทั้งหลายหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ จึงเป็นเพียงการอ่านเพื่อให้เกิดความเข้าใจเพื่อที่จะได้สลัดออกซึ่งธรรมเหล่านี้อันว่าด้วยการปฏิบัติและการรอคอยผลแห่งการปฏิบัติทิ้งไปสีย มิใช่เป็นการอ่านเพื่อน้อมนำมาปฏิบัติแต่อย่างใด
ในส่วนของภาค 2 อสังขตธาตุนั้น บรรดาครูสอนเซนทั้งหลาย ได้หยิบยกเรื่องธรรมคือ อสังขตธาตุ อันคือคุณลักษณะแห่งความว่างเปล่าอันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ซึ่งคือ ตถตา ความเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น มาสอนลูกศิษย์ของตนเพื่อชี้ให้เห็นว่า ธรรมอันคือคุณลักษณะแห่งอสังขตธาตุนั้น เป็นธรรมะอันแท้จริง คือ ธรรมชาติดั้งเดิมแท้ ซึ่งเป็นธรรมะที่จะต้องใช้ความตั้งใจเข้าไปเพื่อศึกษาให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อที่จะได้ตระหนักชัดและซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมนั้นได้ ผู้เขียนจึงได้พยายามเขียนธรรมะในส่วนของอสังตธาตุขึ้นให้ครบทุกประเด็นเท่าที่ผู้เขียนจะรำลึกได้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ที่ตั้งใจศึกษา
และท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนก็มีความมุ่งหวังอย่างมากที่ต้องการให้นักศึกษาฝั่งทางโน้นทั้งหลาย ได้ตระหนักชัดถึงความหมายที่แท้จริงในเนื้อหาแห่งธรรมอันคือธรรมชาติดั้งเดิมแท้ และสามารถซึมทราบกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมชาติดั้งเดิมแท้นั้นได้ ทั้งนี้ เป็นความมุ่งหวังเพื่อให้นักศึกษาทุกคน มีชีวิตที่เต็มอิ่มและเพียงพอใจ เปี่ยมไปด้วยสันติภาพตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

23 พฤษภาคม 2555
ครูสอนเซน
พระอาจารย์ราเชนทร์ อานนฺโท
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2012, 21:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ลานธรรมจักร 1.jpg
ลานธรรมจักร 1.jpg [ 106.8 KiB | เปิดดู 11069 ครั้ง ]
บทที่ 1 คุณลักษณะ
ทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนแต่คือเนื้อหาแห่งความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คือเนื้อหาแห่งธรรมชาติที่มันเป็นเช่นนั้นของมันเองแบบนี้อยู่แล้ว แต่ด้วยความที่มีหลายดวงจิตที่ยังถูกอวิชชาความไม่รู้ถูกห่อหุ้มเอาไว้ดวงจิตเหล่านี้จึงมองสิ่งรอบข้างว่า “ มีสิ่งนั้นอยู่ ” เป็นตัวเป็นตนอยู่ มีเรามีเขาอยู่ มีเราและมีสิ่งนั้นอยู่
ครั้งเมื่อสันดุสิตบรมหาโพธิสัตว์ได้มาจุติบนโลกใบนี้ และได้ตรัสรู้ถึงธรรมซึ่งคือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ในนาม “พุทธโคดมพระพุทธเจ้า” พระพุทธองค์จึงได้ทรงแจกแจงธาตุอันเป็นธรรมไว้ตามความเป็นจริงและโดยแท้จริงแล้ว “ ธรรมธาตุ ” ตามความเป็นจริงซึ่งตรงต่อสัจจธรรมมีอยู่ประการเดียว คือ อสังขตธาตุอันเป็นธาตุหรือคุณลักษณะที่ไม่ใช่เป็นการปรุงแต่ง คือ ธาตุที่ “แสดงเนื้อหาลักษณะแห่งความว่างเปล่าจากความหมายแห่งความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้วโดยเนื้อหามันเอง” คือความว่างเปล่าโดยตัวมันเองอยู่แล้ว คือกฎธรรมชาติข้อเดียวที่มันแสดงตัวของมันปรากฎคุณลักษณะของมันอยู่แบบนั้น แต่ด้วยความเมตตาที่พระพุทธองค์มีต่อบรรดาสรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดและรอบบารมีไม่เท่ากัน พระพุทธองค์จึงทรงแจกแจงธรรมเพื่อเอื้อต่อบรรดาสรรพสัตว์ที่รอบบารมียังไม่ถึงขั้น “ ที่จะเรียนรู้ศึกษาเพื่อทำความเข้าใจและตระหนักชัดถึงภาวะธรรมชาติล้วนๆ และเป็นเนื้อหาเดียวกันกับธรรมอันคือธรรมชาติซึ่งเป็นอสังขตธาตุได้” พระองค์จึงทรงแจกแจงธรรมซึ่งยังไม่ตรงต่อธรรมชาติที่แท้จริงไว้ด้วย ธรรมธาตุดังกล่าวคือ สังขตธาตุ ซึ่งเป็นธาตุปรุงแต่งนั่นเอง เพราะโดยหลักแล้วทุกสรรพสิ่งย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยเนื้อหามันเองอยู่แล้ว แต่เนื่องด้วยอวิชชาความไม่รู้พาเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้งห้า คือ รูป วิญญาณ สัญญา สังขาร เวทนา ซึ่งก่อให้เกิด ตัณหา อุปาทาน ความอยากจนกลายเป็นความเป็นตัวเป็นตนเป็นอัตตาขึ้นมา มันจึงผิดหลักธรรมชาติ เมื่อยังไม่เข้าใจว่าทุกสรรพสิ่งย่อมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้วและยังเข้าใจผิดอีกว่าทุกสรรพสิ่งนั้นคือตัวตน คือเราคือเขา คือทุกๆสิ่งขึ้นมา พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า “ สิ่งๆนั้นย่อมอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้แน่นอนอยู่แล้วโดยตัวมันเองเช่นกัน มันย่อมตั้งอยู่ได้ไม่นานมีความแปรปรวนไปดับไปเป็นธรรมดา ตามสภาพธรรมชาติของมันอยู่แล้ว”


พระพุทธองค์จึงทรงแจกแจงธรรมธาตุอันคือคุณลักษณะไว้ สองประการคือ
สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขาร (ขันธ์ 5) ทั้งหลายไม่เที่ยง
สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขาร (ขันธ์ 5) ทั้งหลายเป็นทุกข์
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่ใช่ตัวไม่ใช่
ตน

1.อสังขตธาตุ คือ คุณลักษณะอันว่างเปล่าจากความหมายแห่งความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนโดยตัวมันเองอยู่แล้ว ด้วยธรรมชาติที่มันแสดงเนื้อหาคุณลักษณะไว้แบบนี้โดยเนื้อหามันเองอยู่เช่นนี้ มันจึงไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเลย ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งตั้งอยู่ได้และจึงไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งดับไปเลยเช่นกัน อสังขตธาตุ จึงเป็น “ กฎธรรมชาติอันแท้จริง ” ข้อเดียวเท่านั้น (สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา)

2.สังขตธาตุ คือ คุณลักษณะอันเป็นการปรุงแต่งซึ่งทำให้เกิดเป็นตัวเป็นตนเป็นทุกข์ขึ้นมา และโดยธรรมดาในเนื้อหาแห่งการปรุงแต่งนั้น เมื่อมันเกิดขึ้นมันก็ย่อมตั้งอยู่ได้ไม่นานและมีความแปรปรวนไม่เที่ยงดับไปเป็นธรรมดาอยู่แล้วโดยสภาพมันเอง (สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา , สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2012, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ลานธรรมจักร 2.jpg
ลานธรรมจักร 2.jpg [ 198.85 KiB | เปิดดู 11069 ครั้ง ]
ภาค 1


สังขตธาตุ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 02:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ธรรมจักร 2.jpg
ธรรมจักร 2.jpg [ 173.75 KiB | เปิดดู 11036 ครั้ง ]
บทที่ 2 ปุพเพนิวาสนุสติญาณ
ครั้งเมื่อ “สิทธัตถะ”ได้กลับใจเลิกทรมาณตนด้วยความเข้าใจผิดว่าการกระทำประพฤติข้อวัตรดังกล่าวจะเป็นหนทางทำให้พ้นทุกข์ แต่แท้ที่จริงเป็นเพียงศีลพรตปรามาสคือข้อวัตรที่เต็มไปด้วยความงมงายในมิจฉาทิฐิ ณ ปฐมยามแห่งราตรีในวันตรัสรู้ “สิทธัตถะ” จึงหันมาทำจิตให้สงบนิ่งปราศจากความปรุ่งแต่งวุ่นวายในเรื่องต่างๆ ด้วยการเจริญอานาปานสติเข้าถึงภาวะอัตตาละเอียดปราณีตในองค์ฌาณ 4 และด้วยเหตุปัจจัยที่ว่า “เพราะมีสิ่งนี้จึงทำให้เกิดสิ่งนี้” ของ “สิทธัตถะ” ที่จะทำให้ท่านได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงทำให้เกิดภาวะการลากจูงให้ท่านเข้าไปรับรู้ถึงเรื่องราวในอดีตชาติของตนเองที่ตนเคยเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ที่ประกอบขึ้นเป็นตัวตนของท่านที่ทำให้ “ท่านสิทธัตถะ” ต้องเวียนว่ายตายเกิดในอดีตชาตินับครั้งไม่ถ้วน ตรงนี้เรียกว่า “ปุพเพนิวาสนุสติญาณ” เป็นการเข้าไปรับรู้การระลึกชาติซึ่งเป็นความรู้อันคือเหตุให้ระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในอดีต


แก้ไขล่าสุดโดย เมฆ โซะระคุโมะ เมื่อ 24 ส.ค. 2012, 02:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 02:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ธรรมจักร 1.jpg
ธรรมจักร 1.jpg [ 142.02 KiB | เปิดดู 11036 ครั้ง ]
บทที่ 3 จุตูปปาตญาณ
ครั้งล่วงเข้าเวลามัชฌิมยามในราตรีแห่งการตรัสรู้ ด้วยเหตุปัจจัยที่ว่า “เพราะมีสิ่งนี้จึงทำให้เกิดสิ่งนี้” ของ “สิทธัตถะ” ที่จะทำให้ท่านได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอีกเช่นกัน จึงทำให้เกิดภาวะการลากจูงให้ “สิทธัตถะ” เข้าไปรับรู้ถึงเรื่องราวการจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ทำให้ท่านเห็นสัตว์ทั้งหลายกำลังตายและเกิดในภพภูมิต่างๆตามผลแห่งกรรม
ซึ่งเป็นการรับรู้ว่าบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายต่างได้ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 ของตน แล้วต่างก็ได้กระทำกรรมในแต่ละภพแต่ละชาติ และกรรมนั้นได้ส่งผลให้สัตว์ทั้งหลายต้องตายและไปเกิดในภพภูมิต่างๆไม่ว่าจะเป็น สวรรค์ โลกมนุษย์ และภูมิสัตว์นรก อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
การเข้าไปรับรู้ตรงนี้ทำให้ “สิทธัตถะ” ได้มีความรู้เกี่ยวกับระบบกรรมวิสัยของมวลหมู่สรรพสัตว์ที่มีความเกี่ยวโยงกันเป็นกลุ่มๆต่อกันในแต่ละส่วน ซึ่งมีรายละเอียดเนื้อหาทางกรรมแตกต่างกันไปและมันยุ่งเหยิงซับซ้อนเหมือนหญ้าปล้องที่พันกัน
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 02:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ธรรมจักร 3.jpg
ธรรมจักร 3.jpg [ 146.55 KiB | เปิดดู 11036 ครั้ง ]
บทที่ 4 หลุดพ้นจากความเห็นผิดต่างๆ
ในชมพูทวีปสมัยนั้นได้มีเจ้าลัทธิต่างๆเผยแพร่ทิฏฐิความเห็นของตนซึ่งเป็นความเข้าใจผิดของเจ้าลัทธินั้นเอง ความเห็นผิดต่างๆในยุคนั้นแบ่งออกเป็นลักษณะสองกลุ่มใหญ่ดังนี้ คือ
สัสสตทิฏฐิ คือ ความเห็นว่าทุกสรรพสิ่งนั้นยั่งยืน หากเคยยึดมั่นถือมั่นในขันธ์อย่างไรตายไปก็ต้องไปเกิดในสภาพขันธ์เช่นนั้นอีกเสมอ เช่น “คน” เมื่อตายไปแล้วก็ต้องไปเกิดเป็น “คน” อีก ไม่มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
อุจเฉททิฏฐิ คือ ความเห็นว่าทุกสรรพสิ่งนั้นขาดสูญตายแล้วต้องสูญ ไม่ต้องไปเกิดใหม่ ถึงเกิดใหม่ก็ไม่ใช่ความเป็นเราอีก


ความเห็นผิดในทิฏฐิทั้งสองนี้ ไม่เชื่อเรื่องผลแห่งกรรมว่าทำกรรมเช่นไรแล้วต้องได้รับผลแห่งกรรมเช่นนั้น ไม่เชื่อเรื่องภพภูมิที่ต้องสลับสับเปลี่ยนไปเกิดตามเนื้อหาแห่งกรรมการกระทำนั้นๆ
แต่ความรู้ของ “สิทธัตถะ” ในเรื่อง ปุพเพนิวาสนุสติญาณและจุตูปปาตญาณในห้วงเวลาแห่งปฐมยามและมัชฌิมยามราตรีที่ผ่านมา ทำให้ท่านเข้าใจในเรื่องการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นของขันธ์ทั้งหลาย ที่ว่าเมื่อได้กระทำกรรมในลักษณะต่างๆ กรรมนั้นก็จะส่งผลทำให้ตายแล้วต้องไปเกิดใหม่เพื่อชดใช้กรรมที่เคยได้ประกอบทำมาในอดีตชาติและต้องไปเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้นเพราะเหตุที่ได้กระทำกรรมอยู่ตลอดเวลาทุกภพชาติไป
ความรู้ของ “ สิทธัตถะ ” ตรงนี้ทำให้ท่านเข้าใจในเรื่อง การเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์และผลแห่งการกระทำกรรมนั้นส่งผลทำให้ตายแล้วต้องไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ เป็นการรู้เห็นตามความเป็นจริงในเส้นทางการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลายทำให้ “ สิทธัตถะ ” หลุดพ้นจากความเห็นผิดต่างๆในยุคนั้นและไม่เดินหลงทางในเส้นทางตรัสรู้ของท่านอีก
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 02:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ธรรมจักร 4.jpg
ธรรมจักร 4.jpg [ 153.04 KiB | เปิดดู 11036 ครั้ง ]
บทที่ 5 ทุกข์
ในปัจฉิมยามแห่งราตรีตรัสรู้ “สิทธัตถะ” ได้ไล่เรียงวิเคราะห์ถึงเหตุและผลที่ทำให้ท่านและสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องไปเวียนว่ายตายเกิดตามภพภูมิต่างๆ เพราะการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 “ท่านสิทธัตถะ” ก็ได้สรุปข้อเท็จจริงต่างๆที่ท่านได้วิเคราะห์และกรองออกมาดังนี้ว่า แท้จริงแล้วมันคือการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน ซึ่งเรียกว่า ปฏิจสมุปบาท มันก็คือตัวทุกข์หรือการปรุงแต่งเป็นจิตนั่นเอง
การที่ “ทุกข์” หรือ “จิต” หนึ่งชุดจะเกิดขึ้นได้นั้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัยต่อเนื่องกัน “ท่านสิทธัตถะ” ได้แจกแจงไว้ดังนี้
• เพราะอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นปัจจัยสังขาร(การปรุงแต่ง) จึงมี
• เพราะสังขาร(การปรุงแต่ง) เป็นปัจจัยวิญญาณ (การรับรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) จึงมี
• เพราะวิญญาณ(การรับรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เป็นปัจจัย นามรูป(ขันธ์ทั้ง 5) จึงมี
• เพราะนามรูป(ขันธ์ทั้ง 5)เป็นปัจจัย สฬายตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ) จึงมี
• เพราะสฬายตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ) เป็นปัจจัย ผัสสะ(การสัมผัสกระทบ) จึงมี
• เพราะผัสสะ(การสัมผัสกระทบ) เป็นปัจจัย เวทนา(ความรู้สึกต่างๆ) จึงมี
• เพราะเวทนา(ความรู้สึกต่างๆ)ป็นปัจจัย ตัณหา(ความอยาก) จึงมี
• เพราะตัณหา(ความอยาก) เป็นปัจจัย อุปทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) จึงมี
• เพราะอุปทาน(ความยึดมั่นถือมั่น) เป็นปัจจัย ภพ(การมีภาวะ) จึงมี

• เพราะภพ(การมีภาวะ) เป็นปัจจัย ชาติ (การเกิดอัตตา"ตัวตน") จึงมี
• เพราะชาติ(การเกิดอัตตา"ตัวตน") เป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ฯ(ความทุกข์) จึงมี

“ ปฏิจสมุปบาท” หนึ่งชุด ก็คือ ทุกข์หรือการปรุงแต่งเป็นจิตหนึ่งครั้งนี่เองที่ทำให้ “ท่านสิทธัตถะ” และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดแบบไม่จบไม่สิ้น เพราะเหตุแห่งอวิชชาความไม่รู้พาเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 และปรุงแต่งจนก่อให้เกิดอัตตาตัวตน เป็นเรา เป็นเขา กลายเป็นจิตต่างๆขึ้นมา ซึ่งก็คือการปรุงแต่งกลายเป็น “ความคิด” ขึ้นมานั่นเอง

ความคิดทั้งปวง คือ ปฏิจสมุปบาท
ความคิดทั้งปวง คือ สังขตะธรรม (ธรรมอันปรุงแต่ง)
ความคิดทั้งปวง คือ จิตที่ปรุงแต่ง
ความคิดทั้งปวง คือ ทุกข์ นั่นเอง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 02:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ธรรมจักร 5.jpg
ธรรมจักร 5.jpg [ 152.63 KiB | เปิดดู 11036 ครั้ง ]
บทที่ 6 เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
หลังจากที่ “สิทธัตถะ” ได้วิเคราะห์ถึงเนื้อหาแห่ง ปฏิจสมุปบาท คือ การเกิดขึ้นพร้อมเพรียงแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกันซึ่งก็คือตัวทุกข์นั่นเอง ก็ทำให้ “ท่านสิทธัตถะ” ทราบถึงสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ด้วย
ก็เพราะ “ความไม่รู้” นั่นเองที่พาสรรพสัตว์ทั้งหลายเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 เป็น “ความไม่รู้” ในเรื่องกฎธรรมชาติที่ว่า แท้จริงแล้วไม่มีทุกสรรพสิ่งอยู่เลยไม่มีเรา ไม่มีเขา มันคือความว่างเปล่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว ความไม่รู้ (อวิชชา)ในเรื่องกฎธรรมชาตินี้เองทำให้เกิดความเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 โดยเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์แห่งเวทนา คือ ความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สุขเวทนา (ความรู้สึกที่เป็นสุข) ทุกขเวทนา(ความรู้สึกที่เป็นทุกข์) หรือ อทุกขมสุขเวทนา(ความรู้สึกเฉยๆที่ไม่สุขไม่ทุกข์) จนก่อให้เกิด ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ กลายเป็นอัตตาตัวตนขึ้นมา กลายเป็นเราเป็นเขาขึ้นมา
นี่คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ หรือ สมุทัย นั่นเอง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 02:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ธรรมจักร 7.jpg
ธรรมจักร 7.jpg [ 90.06 KiB | เปิดดู 11036 ครั้ง ]
บทที่ 7 ความดับไปแห่งทุกข์
การที่รู้ว่า ”ทุกข์” เกิดขึ้นเพราะ ความไม่รู้คืออวิชชาพาเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 ทำให้ “สิทธัตถะ” ไตร่ตรองและพิจารณาไคร่ครวญถึงเหตุและผล จนในห้วงเวลาปัจฉิมยามแห่งคืนตรัสรู้นั่นเองทำให้ “ท่านสิทธัตถะ” ได้ตระหนักชัดว่าการออกจากกองทุกข์ได้นั้น ก็คือ “ความที่ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 เพื่อก่อให้เกิด ตัณหา อุปาทาน เป็นตัวเป็นตนเป็นอัตตาขึ้นมา” นั่นเอง
“ท่านสิทธัตถะ” รู้ว่า เพราะเหตุที่ทุกข์นั้นมันเกิดมาเพราะความไม่รู้คืออวิชชาก็จริงอยู่ แต่โดยสภาพความทุกข์นั้น “ ก็โดยตัวมันเอง โดยคุณสมบัติมันเอง โดยคุณลักษณะมันเอง ” นั้น มันตั้งอยู่ได้ไม่นาน และทุกข์นั้นมันก็ดับไปโดยตัวมันเองเป็นธรรมดาอยู่แล้ว “ท่านสิทธัตถะ” จึงตระหนักชัดว่า

ความทุกข์ ดับไปโดยตัวมันเองทำให้ ชาติ ดับ
ชาติ ดับไปทำให้ ภพ ดับ
ภพ ดับไปทำให้ อุปาทาน ดับ
อุปาทาน ดับไปทำให้ ตัณหา ดับ
ตัณหา ดับไปทำให้ เวทนา ดับ
เวทนา ดับไปทำให้ ผัสสะ ดับ
ผัสสะ ดับไปทำให้ สฬายตนะ ดับ

สฬายตนะ ดับไปทำให้ นามรูป ดับ
นามรูป ดับไปทำให้ วิญญาณ ดับ
วิญญาณ ดับไปทำให้ สังขาร ดับ
สังขาร ดับไปทำให้ อวิชชา ดับ


เมื่ออวิชชาความไม่รู้จะดับไปได้ ก็ด้วย “ ความรู้ ” ที่ว่า เพราะแท้ที่จริงแล้วทุกสรรพสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาเป็นทุกข์นั้น โดยสภาพมันเองนั้นมันตั้งอยู่ได้ไม่นานแล้วมันก็ล้วนดับไปโดยตัวมันเองอยู่แล้วเป็นธรรมดา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรเข้าไปเนื่อง ไม่ควรเข้าไปเนิ่นช้า ไม่ควรเข้าไปสาละวน ในความคิดนั้นในอาการจิตที่ปรุงแต่งนั้นให้มันยืดยาวออกไป
เมื่อไม่เข้าไปเนื่อง ไม่เข้าไปเนิ่นช้า ก็ทำให้ “ท่านสิทธัตถะ” กลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับความดับไปเป็นธรรมดาของทุกข์
และ “สิทธัตถะ” ยังได้ตระหนักชัดด้วยความเข้าใจอีกว่า แท้จริงแล้วทุกสรรพสิ่งมันไม่ใช่ตัวใช่ตนอยู่แล้ว
โดยธรรมชาติ ไม่มีเราอยู่แล้ว
โดยธรรมชาติ เป็นเพียงแต่ กายกับจิต
โดยธรรมชาติ เป็นเพียงแต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
รูป คือ รูปกาย เช่น ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย ใจ
วิญญาณ คือการรับรู้ถึงสิ่งที่เข้ามาทางรูป ( ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย ใจ )
โดยธรรมชาติ เมื่อมีเหตุปัจจัย เข้ามาทางรูป เช่น
ภาพ ที่เข้ามาทาง ตา
เสียง ที่เข้ามาทาง หู
กลิ่น ที่เข้ามาทาง จมูก
รสชาติ ที่เข้ามาทาง ลิ้น
การสัมผัสสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาทาง ผิวกาย
สิ่งที่ผุดขึ้นในความรู้สึก ที่เข้ามาทาง ใจ

วิญญาณคือ การรับรู้ถึงการเข้ามาของสิ่งต่างๆเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ภาพ เสียง กลิ่น รสชาติ การสัมผัสสิ่งต่างๆหรือสิ่งที่ผุดขึ้นในความรู้สึก ที่เข้ามาทางทวารทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย หรือใจ

สรุป
เหตุปัจจัย ที่เข้ามาทาง รูป และ มีการรับรู้การเข้ามา(วิญญาณ)
สามสิ่งสิ่งนี้ เป็นการกระทบกัน เรียกว่า ผัสสะ
สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ว่า สิ่งที่เข้ามาทางรูปนั้นคืออะไร
สังขาร คือ การปรุงแต่งในรายละเอียดทั่วๆไปแบบเสร็จสรรพ ของเหตุปัจจัยที่เข้ามาทางรูปและมีการรับรู้ถึงการเข้ามาและก่อให้เกิดการกระทบกัน
เวทนา คือ ความรู้สึก ที่มีต่อเหตุปัจจัยที่เข้ามาทางรูป
โดยหลักใหญ่ มี 3 เวทนาคือ
สุขเวทนา คือ ความรู้สึกที่เป็นสุขต่อเหตุปัจจัยที่เข้ามาทางรูป
ทุกขเวทนา คือ ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ต่อเหตุปัจจัยที่เข้ามาทางรูป
อทุกขมสุขเวทนา คือค วามรู้สึกที่เป็นกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ต่อเหตุปัจจัยที่เข้ามาทางรูป


“ท่านสิทธัตถะ” ยังได้ตระหนักชัดในความจริงที่ว่า
เป็นธรรมดาที่ เวทนาย่อมดับไปเอง
เป็นธรรมดาที่ เวทนาย่อมดับไปอยู่แล้วโดยตัวมันเอง
และเมื่อ เวทนาดับ สังขารย่อมดับ สัญญาย่อมดับ วิญญาณย่อมดับ รูปย่อมดับ
ทำให้ “ท่านสิทธัตถะ” ได้กลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับความดับไปเป็นธรรมดาแห่งขันธ์ทั้ง 5
ตรงนี้เรียกว่า ความดับไปแห่งทุกข์ หรือ นิโรธ นั่นเอง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 02:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ธรรมจักร 9.jpg
ธรรมจักร 9.jpg [ 140.03 KiB | เปิดดู 11036 ครั้ง ]
บทที่ 8 อัคคิเวสสนะสูตร
อัคคิเวสสนะ
เวทนาสามอย่างนี้ คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขม
สุขเวทนา ๑. อัคคิเวสสนะ สมัยใดได้เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่
ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่สุขเวทนาเท่านั้น. ในสมัยใดได้เสวยทุกขเวทนา ใน
สมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่ทุกขเวทนาเท่านั้น. ใน
สมัยใดได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ได้
เสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น

อัคคิเวสสนะ
สุขเวทนาไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น
อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา

แม้ทุกขเวทนาก็
ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น
อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา

แม้อทุกขมสุขเวทนาก็ไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น
อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา

อัคคิเวสสนะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อ
เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหน่ายทั้งในสุขเวทนา ทั้งในทุกขเวทนา ทั้งในอทุกขมสุขเวทนา เมื่อหน่าย
ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้น
แล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 02:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ธรรมจักร 10.jpg
ธรรมจักร 10.jpg [ 146.45 KiB | เปิดดู 11036 ครั้ง ]
บทที่ 9 หนทางหลุดพ้น
ในบั้นปลายปัจฉิมยามแห่งราตรีคืนตรัสรู้ หลังจากที่ “ สิทธัตถะ ” ได้ตระหนักชัดและกลายเป็นเนื้อหาเดีวยกันกับความดับไปเป็นธรรมดาแห่งทุกข์นั้น ทำให้ท่านได้รู้และตระหนักชัดว่านี่คือทางสายกลางอันแท้จริงที่ทำให้ท่านพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้ ทำให้ “ ท่านสิทธัตถะ ” งดเว้นอย่างเด็ดขาดที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการประพฤติข้อวัตรอันสุดโต่งอีกต่อไป คือ
1.การบำเพ็ญทุกกรกิริยา คือ การแสวงหาความหลุดพ้นด้วยการทรมาณตนด้วยวิธีต่างๆซึ่งเป็นที่นิยมและเข้าใจผิดในยุคนั้น
2.การแสวงหาความสุขด้วยการหมกหมุ่นในกามคุณ อันเป็นข้อวัตรประพฤติแบบที่สามัญชนทั่วไปนิยมกระทำกัน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ธรรมดาไม่เป็นประโยชน์และเป็นสิ่งที่ต่ำทราม
เมื่อ “ ท่านสิทธัตถะ ” ได้ตระหนักชัดและกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับความดับไปเป็นธรรมดาแห่งทุกข์และความดับไปเป็นธรรมดาแห่งขันธ์ทั้ง 5 ทำให้ท่านรู้ว่ามันก็คือ หนทางที่ดำเนินออกมาจากกองทุกข์ไปในตัวมันเองอยู่แล้ว ( โดยนัยยะแห่งความหมาย )
ซี่งมันประกอบขึ้นแบบพร้อมเพรียงกันด้วยคุณลักษณะมันเอง ประกอบไปด้วยอินทรีย์แห่งธรรม 8 ประการ คือ
1.สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ
2.สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริชอบ
3.สัมมาวาจา คือ การเจรจาชอบ
4.สัมมากัมมันตะ คือ การกระทำชอบ
5.สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ
6.สัมมาวายามะ คือ ความเพียรชอบ
7.สัมมาสติ คือ ความระลึกชอบ
8.สัมมาสมาธิ คือ ความตั้งใจมั่นชอบ
มรรคมีองค์แปดนี้เป็นเพียงธรรมที่ “ท่านสิทธัตถะ” ได้แจกแจงเพื่อให้เกิดความเข้าใจเท่านั้นว่า การที่ท่านได้ตระหนักชัดและกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับความดับไปเป็นธรรมดาแห่งทุกข์ทั้งหลายและความดับไปเป็นธรรมดาแห่งขันธ์ทั้ง 5 ตามสภาพธรรมชาติของมันเองอยู่แล้วนั้น มันคือเส้นทางแห่งมรรคหรือหนทางที่ออกมาจากกองทุกข์ “ไปในตัวอยู่แล้ว” นั่นเอง
เมื่อปล่อยให้ทุกข์หรือขันธ์ทั้ง 5 มันดับไปเองตามธรรมดาตามธรรมชาติของมัน มันก็เป็นหนทางออกจากทุกข์อยู่แล้วโดยเนื้อหามัน ซึ่งหมายถึงความเป็นปกติแห่ง “การดำเนินไปบนมรรคมีองค์แปด” อยู่แล้ว
นี่คือ มรรค อันคือหนทางหลุดพ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 02:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ลานธรรมจักร 2.jpg
ลานธรรมจักร 2.jpg [ 141.48 KiB | เปิดดู 11036 ครั้ง ]
บทที่ 10 เอกะมหาบุรุษ

สิ่งที่ “ สิทธัตถะ ” ได้ตระหนักชัดถึงความหมายแห่งทุกข์และเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์(สมุทัย) และท่านก็ได้กลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับความดับไปแห่งทุกข์(นิโรธ) ซึ่งมันคือ หนทางหลุดพ้น(มรรค) จากกองทุกข์ทั้งปวงได้นั้น ถือได้ว่า “ท่านสิทธัตถะ” เป็นเอกะมหาบุรุษคนแรกในห้วงเวลาแห่งกัปป์นี้ ที่ได้เข้าไปรู้และกลายเป็นเนื้อหาเดียวกันกับ “ กฎธรรมชาติ ” อันยิ่งใหญ่ ซึ่งยังไม่มีบุคคลใดรู้มาก่อนในห้วงเวลากัปป์นี้ที่ผ่านมา จึงทำให้ท่านถูกขนานนามเรียกว่า “ พระพุทธเจ้า ” เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ในธรรมอริยสัจจ์ทั้ง 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้ว ก็ได้ทำให้ความเป็นตัวตนแห่ง “ สิทธัตถะ ” นั้นสลายหายไป เหลือเพียงแต่เนื้อหาที่แสดงถึงความเป็น “ พุทธะ ” อันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นเนื้อหาธรรมชาติล้วนๆแห่งความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่อย่างนั้น
และหลังจากที่ “ พระพุทธองค์ ” ได้ทรงทวนญาณแห่งการตรัสรู้อยู่ถึง 49 วัน “ พระพุทธองค์ ” ท่านก็ได้ทรงลุกจากโคนต้นศรีมหาโพธิ์เพื่อออกประกาศสัจจะธรรมไปทั่วทุกที่ทุกหนแห่งภายในดินแดนแห่งชมพูทวีป จนได้ก่อรูปแบบขึ้นมาเป็น“ พระพุทธศาสนา ” อันประกอบไปด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อุบาสกอุบาสิกาและ พุทธศาสนิกชน ผู้ที่เข้าถึงพระรัตนไตรเป็นที่พึ่ง ท่านได้ประกาศและแสดงธรรมบนเส้นทางกรรมตามหน้าที่แห่ง “ พุทธวิสัย ” ของท่านตราบจนวาระสุดท้าย “ พระพุทธองค์ ” จึงได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานใต้ต้นนางรังคู่นั้น

ณ กาลบัดนี้ เวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยมา 2555 ปีแล้ว
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 02:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ธรรมจักร 11.jpg
ธรรมจักร 11.jpg [ 90.33 KiB | เปิดดู 11036 ครั้ง ]
บทที่ 11 ใจต่อใจในการฝึกตน



ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวแห่งฤดูร้อนในเดือนกรกฎาคม วัดเรียวอันจิร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ให้ร่มเงาแก่ผู้มาเยือนชมหิน ๑๕ ก้อนอันลือนาม ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ปีนั้นเกียวโตอายุครบ ๑,๒๐๐ ปี มูลนิธิญี่ปุ่นร่วมฉลองงานโดยให้ทุนอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไปทัศนศึกษา เพื่อเป็นการเตรียมงานฉลองเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อมีโอกาสแวะวัดเรียวอันจิคราวนี้ เราได้รับอนุญาตพิเศษเข้าไปในบริเวณด้านใน หลบลี้หนีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปที่ประดิษฐานข้างใน หลังจากนั้น อาจารย์ศิริชัย นฤมิตรเรขการ ขอเข้าพบเจ้าอาวาสวัดที่เคยพบเมื่อหลายปีก่อนเพื่อถวายของฝากให้ท่าน ครั้นไปพบแล้วก็ปรากฏว่าไม่ใช่รูปนี้ที่เคยพบแต่ก็ถวายของที่นำมาให้กับท่าน แล้วบอกท่านว่า พวกเรามาจากที่ที่วุ่นวายมาก ท่านจะมีอะไรจะสอนเพื่อให้เราได้มีความสงบใจบ้าง ยังจำหน้าตายิ้มแย้มและเสียงหัวเราะอันกังวานของท่านได้ เมื่อท่านตอบผ่านล่ามว่า “อาตมาอยู่ที่นี่ก็วุ่นวายมากแล้วเห็นจะไม่มีอะไรจะบอกกล่าว” ทำให้เรานึกภาพวัดเรียวอันจิที่พลุกพล่าน ขนมหวานที่ท่านกรุณานำมาต้อนรับ รสกลมกล่อม ชาเขียวเล่าก็ปลุกเราให้ตื่น ลิ้มรสหมดเกลี้ยง แล้วจึงได้กราบลาท่าน พอเราเดินพ้นประตูกุฏิท่านได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็มีคนวิ่งออกมาบอกว่าพระที่เราอยากจะพบตัวจริงนั้นอยู่ที่ไดชูอิน พร้อมนำเราเดินไปอีกมุมหนึ่งของวัดเรียวอันจิ และมอบของที่ระลึกคืนเพื่อถวายให้กับท่านอาจารย์ ที่อาจารย์ศิริชัยต้องการมาเยี่ยมคารวะตรงประตูเล็ก ๆ หน้าบริเวณไดชูอิน ชาวตะวันตกชายหญิง ๑ คู่ ในเสื้อญี่ปุ่นสีดำ ละมือจากการตัดเล็มพุ่มไม้มาต้อนรับคณะเรา แล้วนำเราไปนั่งรออาจารย์ที่เรือนไม้หลังเล็กอันเป็นกุฏิของท่าน
ท่านโซโก โมรินากะ โรชิ ดูสูงสง่าด้วยผ้าสีน้ำตาลอ่อนค่อนไปทางสีชมพู ที่เป็นเสื้อคลุมตัวนอก หรือ (okesa) กลมกลืนกับจีวรที่คล้องคอ ในวัย ๗๐ ปีต้น ๆ ท่าทางท่านยังคล่องแคล่วแข็งแรง เราเริ่มสนทนากับท่านโดยผ่านล่ามคือ คุณโอชิ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ทานาเบ้ ผู้ซึ่งยอมรับในภายหลังว่า ได้รับประโยชน์อย่างมากจากการเป็นล่ามครั้งนี้เพราะเขารู้เรื่องพุทธศาสนานิกายเซนน้อยมาก แม้เป็นชาวญี่ปุ่นโดยกำเนิด ท่านโซโก โรชิ พูดถึงการฝึกปฏิบัติแบบซาเซนว่าสำหรับบางคนต้องใช้เวลายาวนาน พลางชะโงกหน้าไปข้างนอกดูลูกศิษย์ชาวเยอรมัน ๒ คน ที่ต้อนรับเราเมื่อครู่ก่อน ก่อนจะบอกเราว่า “คู่นี้อยู่ฝึกมาแล้ว ๑๕ ปี แล้วยังไม่ละลายเลย”
ท่าน โซโก โรชิ เกิดในเมืองเล็ก ๆ ชื่อ อูโอทซู จังหวัดโตยามะ ที่ตั้งริมฝั่งทะเลญี่ปุ่น และเติบโตมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ กำลังเข้มข้นแผ่ขยาย และญี่ปุ่นถลำลึกลงในเวทีประยุทธ์พร้อมชูความรักชาติเป็นธงชัยให้ประชาชนเห็นดีงามด้วย ช่วงนี้ท่านโซโก โรชิ ยังเป็นนักเรียนอยู่ชั้นมัธยมสายศิลปะซึ่งถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารสู้รบศัตรู ในขณะที่นักเรียนสายวิทยาศาสตร์ที่ถูกเก็บไว้ให้ทำงานด้านเทคนิควิทยาการ และการแพทย์ ท่านเล่าไว้ใน Pointers to Insight หนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่เป็นอัตชีวประวัติว่า ที่เป็นดังนั้นก็เพราะรัฐบาลเห็นว่า นักเรียนสายวิทยาศาสตร์จะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้มาก นักเรียนสายศิลปะซึ่งมักจะมีปรัชญา และความเห็น ขัดแย้งกับรัฐบาลเสมอ ในที่สุดเด็กหนุ่มทั้งหลายในสายศิลปะก็ต้องไปทำสงครามในนามของความรักชาติ เพื่อนร่วมชั้น และ ร่วมโรงเรียนของท่านหลายคน ได้ทิ้งชีวิตไว้ในสนามรบ ทำให้ท่านและเพื่อนร่วมวัยต้องตกอยู่ในภาวะครุ่นคำนึงถึงความตาย และในกรณีของท่านเองนั้นเองนั้น ก่อนที่ท่านจะต้องออกไปเป็นซามูไรสมัยใหม่นั้น ทั้งโยมพ่อ และโยมแม่เสียชีวิตในเวลาไร่เรี่ยกันเพียงไม่กี่วัน การรอดชีวิตจากสงคราม ยามเมื่อสงบลงแล้วนั้น จะเรียกว่าเป็นโชคดีเสียทั้งหมดเลยก็มิได้ เพราะประเทศผู้แพ้นั้นตกอยู่ในสภาพที่ย่อยยับดับสลาย โดยเฉพาะเรื่องของมาตรฐานศีลธรรมจรรยา รวมทั้งความเชื่อซึ่งสั่นคลอนทั้งสังคมก็ว่าได้ ถูก–ผิด ดี–ชั่ว นั้นแทบแยกกันไม่ออกตัดสินกันไม่ได้เลยทีเดียว ยากนักที่จะดำเนินชีวิตต่อไปด้วยสิ้นไร้รากฐานความเชื่อในชีวิต การศึกษาก็ดูไร้ค่าไปหมด และมีการปฏิรูปที่ดินครั้งใหญ่หลังสงคราม ท่านโซโก โรชิ พบว่าที่ดินที่บรรพบุรุษได้สั่งสมไว้ถูกยึดคืนไปหมด เคว้งคว้างหาที่พึ่งอยู่ได้ไม่นาน โชคชะตา ก็นำพาให้ไปยืนเคาะประตูไดชูอิน สาขาเล็ก ๆของวัดเซนในเกียวโต

ที่นี่เอง ท่านได้เรียนรู้ที่จะวางใจในครู หลังจากที่สูญสิ้นความวางใจในทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว วันแรกที่ไปถึงพระอาจารย์คือท่าน ซูอิกัน โรชิ ขณะนั้นอยู่ในวัย ๗๐ ปีแล้ว ได้ตั้งคำถาม หลังที่ได้ฟังเรื่องราวของหนุ่มน้อย ผู้แจ้งความประสงค์จะบวชอยู่ที่วัด ว่า “ดูเหมือนว่าเธอจะสิ้นศรัทธาต่อทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งผู้คนด้วย แต่ที่นี้การฝึกปฏิบัตินั้น จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากเธอไม่วางใจในครู เธอจะไว้เนื้อเชื่อใจฉันได้ไหมล่ะ ถ้าได้ฉันจะรับเธอไว้ที่นี่ แต่ถ้าไม่ ก็เป็นการสูญเปล่า เธอก็กลับบ้านเสียดีกว่า” แม้จะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของความวางใจ แต่ด้วยความกลัวจะถูกปฏิเสธท่าน โชโก โรชิ จึงตอบแข็งขันว่า ท่านวางใจในท่านอาจารย์ บทเรียนในวันแรกที่ไดชูอิน อาจารย์ซูอิกัน ไม่ได้สอนด้วยการนั่งเทศนา พรรณนาด้วยคำพูดอันมากมาย แต่ด้วยวิธีการชี้นำที่ล้ำลึกควรแก่การเอ่ยถึง นั่นคือท่านบอกให้ท่าน โซโก โรชิ ไปกวาดบริเวณรอบ ๆ ไดชูอิน ในวัดเซนทุกวัดนั้นพระท่านตั้งใจปลูกต้นไม้หลากหลายพันธุ์ เพื่อที่จะให้มีใบไม้ร่วงให้พระได้กวาดเป็นการฝึกปฏิบัติตลอดทุก ๆ ฤดูกาล เพื่อจะเป็นที่ยอมรับของอาจารย์ ท่าน โซโก โรชิ จับไม้กวาดลงมือปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายอย่างแข็งขัน ไม่นานก็ได้ใบไม้กองใหญ่เท่าภูเขา แล้วจึงไปถามอาจารย์ท่านว่าจะให้เอาขยะกองนี้ไปไว้ที่ไหน อาจารย์ซูอิกัน ส่งเสียงดังทันใด “ใบไม้ไม่ใช่ขยะนะ นี่เธอไม่เชื่อใจใช่ไหม” พอท่านเปลี่ยนคำถามว่า จะให้กำจัดใบไม้เหล่านี้อย่างไร อาจารย์ก็แผดเสียงอีกว่า “เราไม่กำจัดมันหรอก” และบอกให้ท่านไปเอาถุงมาใส่ใบไม้ที่กวาดได้นำไปเก็บไว้เป็นเชื้อเพลิง ส่วนที่เหลือเป็นก้อนกรวดก้อนหินที่หลังเก็บไปแล้วท่านให้นำไปไว้ตรงชายหลังคา เป็นทั้งที่รองรับน้ำฝน และเพิ่มความงามให้กับสถานที่ และท้ายสุดท่านอาจารย์ก้มลงเก็บเศษของกรวดหินชิ้นเล็ก ๆ นำไปฝังไว้ในดินจนบริเวณนั้นเกลี้ยงเรียบหมดจด แล้วจึงพูดขึ้นว่า “เธอเข้าใจบ้างแล้วหรือยังว่า สภาพที่แท้และดั้งเดิมของมนุษย์และสรรพสิ่งนั้นปราศจากขยะ” นี่เป็นบทเรียนแรกในชีวิตสมณะของท่าน โซโก โรชิ อีกนานกว่าท่านจะค่อย ๆ เข้าใจว่า นี่คือถ้อยคำที่เป็นสัจธรรมในพุทธศาสนา และเป็นสาระเดียวกันกับที่ศากยมุนีได้เปล่งเป็นวาจาในคืนวันตรัสรู้ ดังที่บันทึกไว้ในพระสูตรมหายานของจีนว่า “ตถาคต บรรลุถึงซึ่งมรรควิถีพร้อมโลกทั้งโลก และสรรพชีวิต สรรพสิ่งทั้งหลาย ภูผาป่าดง แม่น้ำลำธาร ไม้ใหญ่ และหย่อมหญ้าล้วนตรัสรู้ด้วยกันหมดทั้งสิ้น”
เช้าจรดค่ำในวัดเซน จะเป็นช่วงเวลาของการฝึกตนในวิถีชีวิตที่ดำเนินไปแต่ละวัน ตื่นนอนตอนเช้า ฉันอาหาร ตามด้วยพิธีชงชาอย่างสั้น ๆ อันเป็นโอกาสที่จะได้พบปะสนทนากับครูที่ไดชูอิน ช่วงนั้นมีเพียงท่านอาจารย์ซูอิกัน ลูกศิษย์ชื่อ โซโก โมรินากะ และสตรีผู้สูงวัย อีกท่านหนึ่ง ชื่อ โอกาโมโต ผู้ซึ่งเคยมีส่วนพัฒนาการการศึกษาของผู้หญิงในญี่ปุ่น แต่บัดนี้ดูแลเอาใจใส่ท่านอาจารย์ ชูอิกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พระเซนจะอยู่ร่วมกับสตรี แม้ก่อนหน้าจะมีการอนุญาตให้พระแต่งงานมีครอบครัวได้อย่างเป็นทางการ (เชื่อกันว่าเป็นการลดอำนาจของพระสงฆ์ที่มีสูงมากในช่วง โชกุนเป็นใหญ่) ก็มีผู้หญิงพำนักพักพิงอยู่ในวัดอย่างไม่เปิดเผย ดังที่มีคำใช้เรียกเธอว่า ไดโกกุ–ซามะ (Daikoku–sama) ซึ่งเป็นชื่อเทพารักษ์แห่งโชค องค์หนึ่งในเจ็ด ชาวญี่ปุ่นมักจะเอาเทวรูปของ ไดโกกุ–ซามะ ไว้ในครัวหรือตามทางเดินเข้าบ้าน สุภาพสตรีของท่านซูอิกันท่านนี้นอกจากจะดูแลเรื่องส่วนตัวของท่านอาจารย์แล้ว ยังเป็นคู่สนทนาธรรมที่มีสติปัญญาเฉียบแหลม เป็นประโยชน์ต่อศิษย์ที่นั่งฟังอยู่ เมื่อแรกที่ได้อยู่ในไดชูอินนั้น ท่านอาจารย์ไม่เคยสนทนากับลูกศิษย์เลย แม้เมื่อคุณโอกาโมโต จะบอกให้เสนอ

ความเห็น ท่านอาจารย์ก็ตัดบทไม่ให้กล่าวอะไรด้วยเหตุผลที่ว่า “เขายังไม่พร้อมที่จะพูดต่อหน้าผู้คน” ช่วงนั้นท่านโซโก โรชิ ยังโต้เถียงอาจารย์ อึงอลอยู่ในใจ แล้วจึงเข้าใจในเวลาต่อมาว่า การฝึกตนที่จะไว้วางใจครูนั้น จะต้องฝึกที่จะตอบรับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะแค่วาจาท่าทางเท่านั้นแต่ด้วยใจทั้งหมดทั้งสิ้นด้วย เมื่อมองย้อนไปในอดีต ท่านโซโก โรชิ รู้สึกซาบซึ้งในวิธีการอันเข้มงวดที่อาจารย์ของท่านปฏิบัติต่อท่าน เพราะทำให้ท่านได้สำรวจตรวจสอบความตั้งมั่นในสายสัมพันธ์ ครู–ศิษย์ และความตั้งใจในการปฏิบัติ และท่านภูมิใจยิ่งที่ครูจัดให้เป็นศิษย์แถวหน้าไม่เคยอ่อนด้อยถอยถด
จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งท่านได้ประจักษ์ในน้ำใจครู คือวันที่ท่านจากลาเพื่อไปเรียนรู้ในวัดที่ใหญ่ขึ้น ท่านอาจารย์ซูอิกันเรียกท่านเข้าไปพบแล้วมอบเงินจำนวนหนึ่งให้ พลางบอกว่า “นี่เป็นเงินเพื่อไปสู่นิพพาน” “การฝึกปฏิบัติในวัดนั้นหนักหนาสากรรจ์อาจถึงตายได้ถ้าหากเธอประคองตนไปไม่ถึงฝั่ง เงินจำนวนนี้คือเงินทำศพของเธอ จะได้ไม่ต้องให้ใครเดือดร้อน” แม้จะรู้สึกสะทกสะท้านบ้างกับคำพูดของครู แต่ท่านก็น้อมรับอย่างเต็มใจ พอพร้อมที่จะก้าวเดินจากประตูไดชูอิน ครูผู้ปกติมีบุคลิกน่าเกรงขาม เดินตามหลัง และได้กระทำในสิ่งที่ศิษย์ไม่คาดคิดมาก่อน คือ ก้มลงผูกสายรองเท้าให้เสร็จแล้วเอามือตบเบา ๆ บนปมเชือกที่ผูกรัดกัน และเอ่ยคำที่ต้องจำให้มั่น “อย่าแกะมันออกนะ” คำที่ย้ำเตือนถึงคำมั่นสัญญาที่ศิษย์ได้ให้ในการฝึกปฏิบัติ ซึ่งเสมือนเสริมสร้างให้ความมุ่งหมายนั้นมั่นคงขึ้น โดยที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่า ประสบการณ์ที่จะได้รับ ที่ประตูวัดไดโตกูจิ จะสร้างความสั่นคลอนให้กับความมุ่งมั่นตั้งใจนั้น แม้จะเตรียมใจมาก่อนว่า “นิวาซูเม” (Niwazume) ซึ่งคือการทดสอบความตั้งใจ ที่ต้องพิสูจน์ด้วยความอดทนรอคอยหน้าประตูวัดเซนก่อนการยอมรับเข้าวัดนั้น เป็นกระบวนการตรวจสอบที่ทรหดตามประเพณีที่ถือปฏิบัติมา เมื่อครั้งท่าน เอกะ หรือจีนเรียกว่า หุยค่อ ผู้เป็นพระสังฆปริณายกรูปที่สองได้ตัดแขนซ้ายถวายแด่ท่านอาจารย์ คือพระโพธิธรรม เพื่อให้เห็นถึงความมั่นคงในทางธรรม แต่เมื่อต้องยืนหนาวเหน็บหน้าประตูไดโตกูจิเข้าจริงก็แทบจะหมดสิ้นความมุ่งมั่น ในวันที่ ๓ ของการรอคอยท่ามกลางอากาศที่เย็นยะเยือกเข้าไปในทุกอณูของร่างกาย และในขณะที่ความตั้งใจหมายมั่นทั้งหมดกำลังจะถึงจุดพังทลาย ท่านโซโกโรชิ ก็ได้ประจักษ์ในความหมายที่แท้จริงของประเพณีนิวาซูเม และแล้วประตูสู่ความสำเร็จทางใจก็เปิดอ้ารับ
บรรยากาศของพุทธศาสนาแบบเถรวาททำให้เราคุ้นชินกับเสียงสวดมนต์ คำเทศนาและวาทะถ้อยต่าง ๆ แต่นิกานเซนนั้นดูจะเบื่อลัทธิถ้อยไปเลย เราพบว่าสื่อจากใจถึงใจจะไปอยู่ในสวนญี่ปุ่น

การชงชา ลีลาในละครโนะ ศิลปะการวาดรูปแบบตวัดพู่กันครั้งเดียวจบ หรือแม้กระทั่งการยิงธนู เมื่อจะใช้คำพูดก็น้อยมาก พระเซนที่มีชื่อ เช่น ชุนเรียว ซูซูกิ ฝากหนังสือเล่มเล็ก ๆ ไว้ให้โลกเพียงเล่มเดียวก่อนลาจากคือ Zen Mind, Beginner’s Mind ส่วนท่านโซโก โรชิ ก็มีเพียงอัตชีวประวัติที่ชื่อ Pointer to Insight เล่มบาง ๆ เช่นกันก่อนที่จะล่วงลับด้วยโรคมะเร็ง ๒ ปีหลังจากที่ไปคารวะท่านครั้งนั้น จำได้ว่าก่อนจะกราบลาท่านวันนั้น เราถามคำถามท่านกันคนละข้อ ต่อคำถามของผู้เขียนว่า เซนยังอยู่ในญี่ปุ่นหรือไปเบ่งบานในยุโรปและอเมริกานั้น ท่านชี้แจงไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของท่านดังต่อไปนี้ “สิ่งซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าสำคัญนั้น ไม่ใช่อยู่ที่ว่าพุทธศาสนาจะแพร่ขยายหรือนิกายเซนจะเจริญรุ่งเรือง แต่อยู่ที่ว่าคนแต่ละคนมีชีวิตที่เต็มอิ่ม และเพียงพอใจ เปี่ยมด้วยสันติภาพตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต”
ประตูทางเข้าไดชูอิน ยังคงสงบไร้ความพลุกพล่าน ปลายฤดูใบไม้ผลิแล้วแต่เมืองทั้งเมืองคงอบอวลด้วยกลิ่นหอม อันเป็นสาระของดอกไม้นานาพันธุ์ บริเวณรอบไดชูอินก็เช่นกัน ทั้งความหอมหวานและสีสันของดอกไม้สีม่วงแม้ใกล้ร่วงโรย แต่ยังคงกระจ่างแจ้งอยู่ในใจถึงทุกวันนี้ ผู้มาเยือนจากเชียงใหม่ในครั้งนี้เหลือเพียงสตรี ๒ คนพร้อมล่าม ทั้งที่ทราบว่าท่านโซโก โรชิได้มรณภาพเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว แต่จุดมุ่งหมายของการเยือนคือ อยากศึกษาเรื่องการสืบทอดทางวัฒนธรรม อีกทั้งใจจริงใคร่รู้ว่าใครคือผู้นั่งในไดชูอินแทนท่านอาจารย์ สุภาพบุรุษในวัย ๓๐ ที่นั่งคุกเข่าก้มศีรษะต้อนรับเราตรงหน้าเรือนไม้หลังเดิม อยู่ในเสื้อคลุมอย่างไม่เป็นทางการ เป็นผู้เดียวกับที่เข้ามาในห้องที่เราสนทนากับท่านโซโก โรซิเมื่อสองปีก่อน ที่จำได้แม่นเพราะเป็นท่าทางและร่างกายอันอ่อนน้อมและงดงาม เช่นเดียวกันกับเมื่อนำเสนอน้ำชาและขนมให้กับเราคราวนั้น เราไม่รู้จักแม้กระทั่งนามของท่าน ได้แต่เดินท่านไปตามระเบียงไม้ ผ่านห้องเล็ก ๆ ที่มีคน ๓–๔ คนกำลังนั่งเรียนเขียนอักขระแบบโบราณไปยังห้องกลาง ล่ามบอกว่า เพื่อให้เราได้คารวะและระลึกถึงอาจารย์ผู้ล่วงลับคนก่อน ๆ จากนั้นก็ถูกพาไปยังอีกห้องหนึ่ง เพื่อรอที่จะพบท่านเจ้าอาวาสไดชูอินคนใหม่
การนั่งกับพื้นของชาวตะวันออก นอกจากจะเป็นการสำรวมด้วยท่วงท่าของร่างกายแล้ว ยังหมายลึกถึงประเพณีของการสื่อสาระของใจด้วยการนั่ง ดังที่เรารู้กันว่าคำว่า อุปนิษัท ที่ใช้เรียกยุคทองของปรัชญาอินเดีย ๒๕๐ ปีก่อนและหลังพุทธกาลนั้น รากลึก ๆ แปลว่านั่งใกล้ นั่งใกล้ครูผู้สอนสั่งหรือนั่งใกล้สัจธรรมที่โน้มนำใจ ตรงกลางห้องในขณะที่นั่งรอคอยนี่เอง เราเห็นการนั่งด้วยใจที่ปรากฏเป็นความงามในท่าทางของสุภาพสตรีวัย ๔๐ ที่กำลังชงชาอยู่ตรงห้อง เพลินอยู่กับการชงชาของเธอจนกระทั่ง ประตูโชจิ ด้านหลังของห้องเลื่อนเปิดออกจากกัน ผู้ที่ก้าว

เข้ามาคือ ผู้ที่นำขนมมาให้ในปีก่อนโน้น และผู้ที่เพิ่งจะต้องรับเราเข้ามาในตัวเรือนนั่นเอง บัดนี้อยู่ในเครื่องแต่งกายเต็มรูปแบบ ด้วยเสื้อคลุมตัวนอกหรือโอเกสะผ้าค่อนข้างหนาสีคราม และจีวรคล้องคอสีเขียวเข้ม “ทามูระ โซกัน” เราเพิ่งจะรู้จักฉายาท่านผ่านล่าม ท่านบวชที่ไดชูอินเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว ครั้งยังอายุ ๒๑ และอยู่เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์โซโก โรชิ ที่ไดชูอินมาโดยตลอดแม้จะต้องไปเรียนและฝึกฝนตนในวัดเซน ที่ใหญ่กว่าที่มีชื่อว่า เมียวชินจิ นับว่าอายุท่านยังน้อยเมื่อนึกถึงว่า ท่านรับภาระหน้าที่แทนท่านอาจารย์ ในตำแหน่งเจ้าอาวาสไดชูอิน และอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮานาโซโน ที่สอนพุทธศาสนาด้วย แต่ท่านทามูระ โซกัน ได้ใช้ชีวิตนักบวชตามวิถีเซน คือ เรียนรู้จากครูผู้ถ่ายทอดจากใจหนึ่งถึงอีกใจหนึ่งซึ่งพร้อมรับ ถึงวันนี้ศิษย์ต้องยืนอยู่ด้วยตัวเองไม่มีอาจารย์คอยประคับประคอง ยังมีการสอนซาเซนอยู่ที่ไดชูอิน แต่ด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิที่ต่างจากท่านโซโกโรชิจึงทำให้ท่านพบว่า การสอนซาเซนเช่นอาจารย์นั้นเป็นความยากยิ่งสำหรับท่าน แต่ก็มีศิษย์ชาวตะวันตกของอาจารย์แวะเวียนมาปีละ ๑ ครั้ง เราสนทนากันหลายเรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในญี่ปุ่น พุทธศาสนาในญี่ปุ่นที่คลายความสำคัญ อิทธิพลของเซนที่ยังคงแทรกซึมอยู่ในชีวิตเล็กๆ ของผู้คนจำนวนไม่มากแต่มีพลังเรื่อง “ซาโตริ หรือสัมโพธิ”ซึ่งคือ ญาณที่เป็นคำฮิตติดปากคน เมื่อเอ่ยถึงพุทธศาสนานิกายเซน ซึ่งท่านบอกว่าเอามายึดเป็นที่พึ่งไม่ได้ อีกทั้งไม่แน่ใจนักว่ามีจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงมายา เรื่องเล็กที่สุดที่ท่านตอบสนองความใคร่รู้จากเบื้องลึกของใจผู้เขียนคือ อาจารย์ท่านสั่งเสียอะไรในลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ท่านทามูระ โซกัน เล่าให้ฟังว่า อาจารย์ไม่ได้บอกกล่าวสาระสำคัญอันใดไว้ เพียงยกมือขึ้นวางแนบลงตรงหัวใจเท่านั้นเอง และท่านก็ยกมือทำท่าสาธิตให้ดู เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งต้องจดไว้ในบันทึกหน้าขนบแห่งชีวิตของครูตอนก่อนหมดลมหายใจ
ท่านทามูระ โซกัน สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน จากประเทศที่มีประเพณีทางพุทธศาสนาที่แตกต่างอย่างแน่นอน แต่นั่นเป็นเพียงรูปแบบภายนอก ที่สะท้อนจากการฝึกปฏิบัติภายในที่เป็นผลทำให้ใจใสบริสุทธิ์ ท่านผู้นี้ทำให้เราเกิดความหวังต่อโลกสมัยใหม่อีกนานัปการ เรื่องราวของการสื่อธรรมะจากครูถึงศิษย์ด้วยใจต่อใจที่สืบสายกันมาใน ไดชูอิน ทำให้เข้าใจซึ้งถึงความหมายของคำว่า อันเตวาสิก ที่ไม่หมายความผิวเผินเพียงแค่ศิษย์ก้นกุฏิที่ชิดใกล้ แต่ตามรากความเดิมคือ ผู้อาศัยอยู่ภายใน ล่วงรู้ใจของกันและกัน นอกจากนี้ยังรู้สึกยินดีที่ได้พบว่า บรรยากาศอุปนิษัทนั้นมิใช่อยู่แต่ในประวัติศาสตร์อันห่างไกลสุดไขว่คว้า หากเป็นเรื่องจริงที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน แม้จะเกิดขึ้น ณ มุมเล็ก ๆ บนผืนแผ่นดินโลกอันกว้างใหญ่ เรื่องวัฒนธรรมประเพณีก็สำคัญ แม้ไม่ใช่สาระอันยิ่งใหญ่ แต่เรื่องใจนั้นยิ่งยวดกว่ายากจะหาอะไรเสมอเหมือน
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 02:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ธรรมจักร 12.jpg
ธรรมจักร 12.jpg [ 148.33 KiB | เปิดดู 11036 ครั้ง ]
บทที่12 ยุคคนกินคน
กาลเวลาในกัปป์นี้ในห้วงพุทธันดรนี้ เป็นกาลสมัยแห่งศาสนาพุทธโคดม พระพุทธองค์ลงมาตรัสรู้ในยุคที่มนุษย์เกิดความประมาทเป็นอย่างมากๆแล้ว เป็นกรรมพิสดารแห่งพุทธวิสัยของพระองค์ท่านที่ลงมาตรัสรู้เมื่ออายุมนุษย์ลดน้อยถอยลงเหลือแค่ 120 ปี เท่านั้น และพระพุทธองค์ท่านก็ได้ตรัสพยากรณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคตข้างหน้าไว้ใน “ จักรวรรดิสูตร ” ว่า ต่อจากนี้ไปเมื่อสิ้นศาสนาแห่งเราอายุมนุษย์จักน้อยลงไปเรื่อยๆเพราะความประมาท ไม่รักษาศีล ไม่ปฏิบัติธรรม เมื่ออายุมนุษย์น้อยลงเหลือแค่ 25-30 ปี เมื่อไหร่ จะเกิดยุคมิคคสัญญีเกิดขึ้นซึ่งเป็นห้วงเวลาที่มีแต่ภยันตราย เป็นห้วงเวลาที่เกิดจากภัยอันเกิดจากอาวุธเข้าทำการประหัตประหารกันของมวลมนุษยชาติ ที่เรียกว่า “ สัตถันตรกัปป์ ”

พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า คนในยุคที่มีอายุสั้นแค่ 25-30 ปีนั้นเป็นมนุษย์ที่ดำรงชีวิตด้วยสัญชาติญาณคล้ายสัตว์ป่าเถื่อนเป็นคนไม่มีศีลธรรมดำรงชีวิตอยู่คล้ายสัตว์เดรัจฉาน ใครมีกำลังมากก็จักจะได้เป็นผู้นำฝูงมนุษย์ในยุคนั้น ห้วงเวลาสัตถันตรกัปป์ซึ่งเป็นยุคมิคคสัญญีนี้เป็นรอยต่อระหว่างกัปป์ต่อกัปป์ เป็นรอยต่อระหว่างพุทธันดรต่อพุทธันดรเป็นรอยต่อระหว่างศาสนาพุทธโคดมกับระยะเวลาที่เข้าเขตแห่งศาสนาเมตไตรโย รอยต่อระหว่างยุคในคราวนี้จักจะไม่มีน้ำท่วมโลกเพื่อล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนครั้งรอยต่อระหว่างศาสนากัสสัปโปพระพุทธเจ้ากับศาสนาพุทธโคดมที่ผ่านมา

ในยุคมิคคสัญญีนั้นโลกจะเต็มไปด้วยภาวะมลพิษอันเกิดจากฝีมือมนุษย์ น้ำจะไม่สามารถดื่มกินได้เพราะเกิดจากการปนเปื้อนสารเคมีที่สะสมมานาน ผิวพรรณของมนุษย์ในยุคนั้นมีผิวหนังหยาบกร้านผิวพรรณทรามเป็นมะเร็งผิวหนังกันเป็นส่วนใหญ่เพราะเกิดจากสภาวะเรือนกระจกจึงทำให้หน้าตามนุษย์ในยุคนั้นไม่หล่อไม่สวย อายุมนุษย์ในยุคนั้นสั้นมีอายุยืนเฉลี่ยแค่ 25-30 ปีเท่านั้น เพราะสุขภาพมนุษย์ในยุคนั้นแย่มากๆเป็นโรคแปลกๆที่รักษาไม่หาย เทคโนโลยีทางการแพทย์ก็สูญสลายไปการรักษาแบบสมุนไพรก็ไม่ได้ผล เพราะต้นไม้ใบหญ้าในยุคนั้นแห้งเหี่ยวเฉาตายแคระแกร็นไม่ค่อยเจริญเติบโตสุญพันธุ์ไปหลายชนิดด้วยสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย โลกจะร้อนระอุเหมือนดั่งทะเลทราย ผู้คนในยุคนั้นจะรีบครองเรือนเพื่อเสพกามกัน ชายอายุ 10 ขวบ หญิงอายุ 5 ขวบ จะรีบได้เสียเป็นเมียผัว การครองเรือนแบบนี้จะกลายเป็นที่ยอมรับทั่วไปในยุคนั้นเพราะความที่มนุษย์ในยุคมิคคสัญญีมีอายุสั้นวงจรชีวิตสั้นนั้นเอง ในยุคนั้นพระพุทธศาสนาได้สูญหายไปรวมทั้งศาสนาอื่นๆด้วย เคยมีคนกล่าวว่าในกาลข้างหน้าจะมีคนคาดไถดำนาแล้วไปเจอรูปปั้นพระพุทธรูปที่ฝังไว้ใต้โคนต้นโพธิ์ แล้วคนเหล่านั้นถามกันว่า “ นี้คือตุ๊กตาอะไร ทำไมถึงปั้นกันแบบแปลกๆมีหัวแหลมๆ ” นี้คือความเสื่อมสูญสิ้นแห่งพระพุทธศาสนา
สัตว์ต่างๆจะสูญพันธ์ไปจากโลกใบนี้ เพราะมนุษย์ในยุคก่อนๆล่าเอามากินเป็นอาหารจนแทบจะหมดสิ้น มนุษย์ในยุคมิคสัญญีนี้จักอดอาหารตายเป็นส่วนมากเป็นยุคที่เกิดมาเพื่อรับวิบากกรรม เกิดมาเพื่อสืบพันธุ์เท่านั้น และเกิดมาเพื่อเบียดเบียนกันเป็นส่วนใหญ่ เป็นการเกิดมาเพื่อตายอย่างทรมาน เมื่ออดอาหารมากๆเข้ามนุษย์ในยุคนั้นจักต้องถกหญ้ากับแก้มากินเพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอด แต่ความเป็นมนุษย์มิใช่วัวมิใช่ควายการกินหญ้ากับแก้ก็ไม่ทำให้ชีวิตอยู่รอดได้ เมื่อความหิวเกิดขึ้นมากๆเข้าสัญญาคือความจำได้หมายรู้ คือ สัญญาที่ว่าตนเองเป็นมนุษย์ก็จักเลือนหายไปกลายเป็นสัญญาที่วิปลาสผิดปรกติเห็นมนุษย์ด้วยกันเป็นเหยื่ออันโอชะ จักล่ากันเองเอามากินเป็นอาหาร จึงเกิดการใช้อาวุธอันเป็นมีดของมีคม ท่อนไม้ ก้อนหิน มาไล่ฆ่ามนุษย์ด้วยกันเพื่อนำเนื้อมนุษย์มากินเป็นอาหารประทังความอยู่รอด พระพุทธองค์จึงทรงตรัสเรียกกาลเวลาในยุคนี้ว่า “ สัตถันตรกัปป์ ” คือห้วงกาลเวลาที่เกิดอันตรายเกี่ยวกับอาวุธและเรียกชื่อยุคนี้อีกว่า “ ยุคมิคคสัญญี ” คือยุคแห่งกาลเวลาที่สัญญาความจำได้หมายรู้ของผู้คนส่วนใหญ่เกิดผิดปรกติวิปลาสเข้าใจผิดว่า เนื้อ (มิคคะ)คนกินได้ ยุคมิคสัญญีจึงเป็นยุคแห่งคนกินคน
คนจักไล่ล่าฆ่าคน เพื่อนำเนื้อคนมากินเป็นอาหาร เมื่อคนกินคนมากๆเข้ามนุษย์ก็จักแทบจะสูญเผ่าพงษ์พันธุ์ จะมีผู้คนกลุ่มหนึ่งที่ยังประคองสติและสัญญายังไม่วิปลาสพากันหนีเข้าป่าเข้าหุบเขาหลบหนีอยู่ตามถ้ำ เป็นการหนีเพื่อเอาชีวิตรอดมิให้ถูกมนุษย์ด้วยกันฆ่ากินกันเป็นอาหาร เมื่อมนุษย์ที่หลบหนีรอดได้จำนวนหนึ่งมาเจอกันก็ต่างวิ่งเข้าโอบกอดกันแล้วร้องไห้เศร้าโศกเสียใจว่า โลกใบนี้ถึงกาลพินาศด้วยน้ำมือมนุษย์เองแล้วต่างปรับทุกข์กันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าที่มนุษย์ฆ่ากันและอายุสั้นแบบนี้ เพราะเหตุมาจากมนุษย์ไร้ศีลธรรมเบียดเบียนซึ่งกันและกันเป็นอาจิณ

เมื่อพวกเรารอดตายแล้วพวกเราจักอยู่ร่วมกันกันด้วยความสงบสุขเถิด พวกเราจักไม่กินกัน พวกเราจักทำความดีและร่วมกันสร้างกฎระเบียบ จารีตประเพณี ศิลปะวัฒนธรรม อันจะทำให้ความเป็นมนุษย์สมบัติกลับคืนมา และสืบพันธุ์เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้ให้ดำรงอยู่คู่โลกใบนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสว่ามนุษย์พวกที่รอดตายและเริ่มต้นรักษาความดีกันใหม่นี้ จักเป็นต้นตระกูลบรรพบุรุษแห่งมวลมนุษยชาติแห่งศาสนาเมตไตรโย เมื่อมนุษย์เริ่มรักษาความดีรักษาศีลและอายุมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ จิตมนุษย์สูงขึ้นเรื่อยๆ จาก 25 ปี เป็น 50 ปี จาก 50 ปีเป็น 100 ปี จาก 100 ปีเป็น 500 ปี จากหลักร้อยสูงเป็นหลักพัน จากหลักพันสูงเป็นหลักหมื่น เมื่ออายุมนุษย์ยืนถึง 80,000 ปี เมื่อนั้น โพธิสัตว์ชั้นดุสิตจักจะได้ลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2012, 02:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ส.ค. 2012, 21:53
โพสต์: 235

สิ่งที่ชื่นชอบ: ใจต่อใจในการฝึกตน
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว




ธรรมจักร 13.jpg
ธรรมจักร 13.jpg [ 123.7 KiB | เปิดดู 11036 ครั้ง ]
บทที่ 13 ธรรมชาติฟื้นฟูตัวเอง
“มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ” เป็นเจ้าของแนวคิดเกษตรธรรมชาติที่เป็นที่รู้จักในหมู่เกษตรกรและนักวิชาการ ชาวไทยเป็นอย่างดี ภายหลังจากที่หนังสือ One Rice Straw Revolution หรือในชื่อไทยคือ ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว ได้รับการเผยแพร่ในปี พ.ศ. 2530 ฟูกูโอกะได้รับรางวัล แมกไซไซ ในปี 2531 จากผลงานเกษตรธรรมชาติซึ่งมีหลักการสี่ประการได้แก่ การไม่ไถพรวน การไม่ใช้ปุ๋ยเคมี การไม่กำจัดวัชพืช และการไม่ใช้สารเคมี ซึ่งหลักการของฟูกูโอกะได้สวนทางกับการเกษตรกรรมแผนปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ฟูกูโอกะเป็นนักโรคพืชวิทยาที่ผันตัวเองไปเป็นเกษตรกรมาไม่ต่ำกว่า 50 ปี โดยพยายามที่จะฟื้นฟูดินและระบบนิเวศในไร่นาให้กลับมามีชีวิตดังเดิม สร้างเสริมความอุดมสมบูรณ์ให้แก่พรรณไม้และพืชผลในทางคุณภาพและปริมาณอีก
ด้วยมาซาโนบุ ฟูกูโอกะ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2454 ในหมู่บ้านเล็กๆ บนเกาะซิโกกุทางตอนใต้ของญี่ปุ่น และจบการศึกษาทางจุลชีววิทยาสาขาโรคพืชวิทยา เคยทำงานเป็นนักวิจัยทางการเกษตรของกรมศุลกากรเมืองโยโกฮาม่าในการตรวจสอบ พันธุ์พืชที่จะนำเข้าและส่งออก เมื่อเขาอายุได้ 25 ปี ได้ตัดสินใจลาออกจากงานและกลับไปทำเกษตรกรรมที่บ้านในชนบท เขาใช้เวลากว่า 50 ปี ไปกับการพัฒนาวิธีการทำการเกษตรธรรมชาติ
ฟูกูโอกะเป็นผู้นำงานจากห้องทดลองออกมาสู่ไร่นา เขาอธิบายว่า ชาวนาเชื่อว่าทางเดียวที่จะให้อากาศเข้าไปปรับสภาพเนื้อดินได้ดี คือ ต้องใช้จอบ พลั่ว ไถ หรือใช้แทรคเตอร์พรวนดิน แต่ยิ่งไถพรวนมาก ดินก็จะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากขึ้นทำให้อนุภาคของดินแตกกระจายออกจากกัน ทำให้อนุภาคของดินเหล่านี้เข้าไปอุดอยู่ในช่องว่างในดิน ดินก็จะแข็งขึ้นเกิดชั้นดินดาน แต่ถ้าปล่อยให้วัชพืชทำหน้าที่นี้แทน รากของวัชพืชจะซอนไซลงไปได้ลึกได้ถึง 30-40 ซม. ซึ่งจะช่วยทำให้ทั้งอากาศและน้ำผ่านเข้าไปในเนื้อดินได้ เมื่อรากเหล่านี้ตายก็เป็นอาหารของจุลินทรีย์ทำให้แพร่ขยายจำนวนมากขึ้น ไส้เดือนก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นและตัวตุ่นก็จะมีตามมา ซึ่งจะช่วยขุดดิน เป็นการช่วยพรวนดินตามธรรมชาติ ดินจะร่วนซุย และสมบูรณ์ขึ้นเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องให้มนุษย์ช่วย เพียงแต่ปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นฟูตัวเอง

ผู้เขียนนึกถึงหนังสือเล่มนี้ทีไรก็อดนึกถึงวันเก่าๆในสมัยที่ยังเป็นพระเด็กๆซึ่งเริ่มหัดภาวนาไม่ได้ ก็เพราะว่าหนังสือเล่มนี้นี่เอง “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” ( One Rice Straw Revolution ) ที่มันพลิกโฉมหน้าการปฏิบัติของข้าพเจ้ามาสู่เส้นทางธรรมอันคือธรรมชาติมาจนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าต้องขอบคุณ ดร.ฟูกูโอกะ ที่ท่านเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นและหนังสือของท่านได้รับรางวัลแมกไซไซ แล้วข้าพเจ้าก็เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่สมัยเป็นฆาราวาสตอนนั้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ปี 3 และครั้งเมื่อมาบวชได้ 9 พรรษาจึงได้มาเจอหนังสือเล่มนี้อีกครั้งบนศาลาใหญ่หอประชุม แห่ง “วัดถ้ำเสือวิปัสสนา” จังหวัดกระบี่ เป็นวัดที่ข้าพเจ้าได้มาจำพรรษาพำนักอยู่หลายปีแล้ว ครั้งเมื่อเจอมันโดยบังเอิญก็รีบหยิบมันขึ้นมาอ่านเพื่อเสพอรรถรสในเนื้อหาเดิมๆของหนังสือเล่มนี้
แต่เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านไปๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาไม่รู้ตัวถึง “วิธีการธรรมชาติ” ที่ ดร.ฟูกูโอกะ ท่านนำเอามาใช้ในวิธีการทำเกษตรของท่านเองที่ตั้งใจย้อนยุคไปสู่วิธีการธรรมชาติดั้งเดิมในการทำกสิกรรมของคนญี่ปุ่นโบราณ บนพื้นฐานความคิดที่ว่า “ไม่ต้องใส่วิธีการใดๆลงไปในการเพาะปลูก ไม่ไถพรวน ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่กำจัดวัชพืช และไม่ใช้สารเคมี ควรให้ธรรมชาติมันปรับปรุงระบบมันเอง แล้วทุกอย่างที่เพาะปลูกมันจะลงตัว” ข้าพเจ้าได้เปรียบเทียบว่า มันก็เหมือนกับการที่ข้าพเจ้า พยายามปฏิบัติธรรม ทำโน้น ทำนี่ ทำตรงนั้นกับตรงนี้ เป็นการใส่วิธีการลงไปเพื่อให้ได้มาซึ่งผลแห่งการปฏิบัติตามที่ข้าพเจ้ามุ่งหวังไว้ แต่ในภาวะความเป็นจริง ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมมาตั้ง 9 พรรษาแล้วนับแต่บวช แต่ผลแห่งการปฏิบัติก็ไม่คืบหน้าเท่าที่ควรแต่อย่างใด ก็เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งปฏิบัติจนได้อภิญญาแล้วในระดับหนึ่งซึ่งเป็นโลกียฌาน ได้มาหลายๆอย่างแต่ก็ทำให้ตัวเองควบคุมกำลังจิตตรงนั้นไม่ได้ จนทำให้จิตข้าพเจ้ามันเกิดความวิปลาส จิตแตกจิตเสีย เกือบแทบเสียผู้เสียคนเสียความเป็นพระนักปฏิบัติไป ครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้าละเลิกการเข้าไปทำกรรมฐานแบบกสินอย่างเด็ดขาดและหันมาวิปัสสนาดูจิตตนเองมากขึ้น แต่เมื่อวิปัสสนามาอีกหลายปีมันก็ยังไม่ดีขึ้น ราคะ โทสะ โมหะ ก็ยังมีอยู่เต็มหัวใจ จนกระทั่งข้าพเจ้าคิดว่า ตนเองคงไม่มีวาสนาที่จะบรรลุขึ้นฝั่งพระนิพพานเป็นพระอรหันต์เหมือนครูบาอาจารย์รูปอื่นๆแล้วกระมัง ทั้งๆที่ข้าพเจ้าก็นั่งสมาธิเพื่อให้จิตสงบขึ้นและเดินจงกรม พิจารณาเพื่อให้เกิดความเข้าใจในปัญญาตามรู้ตามดูจิตของตนเองตลอด โดยมีเวลาพักผ่อนได้นอนวันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
แต่เมื่อมาอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ฉุกคิดขึ้นมาถึงคำว่า “เพียงแต่ให้ธรรมชาติมันฟื้นฟูตัวมันเอง แล้วทุกอย่างที่เพาะปลูกมันจะลงตัว” มันทำให้ข้าพเจ้าครุ่นคิดเก็บนำมาพิจารณาถึงเรื่อง “จิต” ของเราเช่นกัน เราเองก็ควรปล่อยให้จิตมันดำเนินกลับไปสู่วิถีธรรมชาติดั้งเดิมของมัน แล้วมันน่าจะฟื้นฟูตัวมันเองออกจาก อวิชชาตัณหาอุปาทานได้ เพราะโดยธรรมชาติของจิตนั้นเมื่อถูกปรุงแต่งขึ้น มันก็ย่อมตั้งอยู่ได้ไม่นาน หลักธรรมชาตินั้นมันไม่มีอะไรที่สามารถตั้งอยู่ได้เพราะธรรมชาติแท้จริงมันคือความไม่มีไม่เป็น ถ้ามีมันก็ย่อมแปรปรวนเสื่อมไปสิ้นไป ดับไปเองตามภาวะธรรมชาติอยู่แล้ว ข้าพเจ้าเลยกลับมาพิจารณาถึงวิธีปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าที่พยายามฝืนธรรมชาติทำในสิ่งที่ขัดต่อธรรมชาติ โดยข้าพเจ้าพยายามเข้าไป บังคับ จับฉวย จับกุม ให้จิตมันว่างไม่ปรุงแต่งขึ้นมา

มันก็คงเหมือนกับที่ พวกชาวนาญี่ปุ่นเชื่อว่า... “ทางเดียวที่จะให้อากาศเข้าไปปรับสภาพเนื้อดินได้ดี คือ ต้องใช้จอบ พลั่ว ไถ หรือใช้แทรคเตอร์พรวนดิน แต่ยิ่งไถพรวนมาก ดินก็จะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากขึ้นทำให้อนุภาคของดินแตกกระจายออกจากกัน ทำให้อนุภาคของดินเหล่านี้เข้าไปอุดอยู่ในช่องว่างในดิน ดินก็จะแข็งขึ้นเกิดชั้นดินดาน” มันเป็นการที่ชาวนาใช้ความพยายามทำอะไรลงไปสักอย่างในผืนนาแล้วชาวนาเหล่านี้คิดว่า การกระทำแบบนั้นเป็นการช่วยส่งเสริมการพรวนดินทำให้คุณภาพดินดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงการกระทำดังกล่าวมันกลับทำให้ดินแย่ลงกว่าเดิม และชาวนาพวกนี้ก็ลืมและมองข้าม “วิธีธรรมชาติ” ไปว่า แท้จริงแล้วธรรมชาตมันก็มีวิธีการปรับปรุงตัวมันเองอยู่แล้ว และวิธีการธรรมชาติมันก็เป็นวิธีการจัดการโดยตัวมันเองโดยกระบวนการมันเอง และเป็นวิธีที่ดีที่สุดแบบเหมาะสมลงตัว ด้วยการปล่อยให้วัชพืชทำหน้าที่นี้แทน รากของวัชพืชจะซอนไซลงไปได้ลึกได้ถึง 30-40 ซม. ซึ่งจะช่วยทำให้ทั้งอากาศและน้ำผ่านเข้าไปในเนื้อดินได้ เมื่อรากเหล่านี้ตายก็เป็นอาหารของจุลินทรีย์ทำให้แพร่ขยายจำนวนมากขึ้น ไส้เดือนก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นและตัวตุ่นก็จะมีตามมา ซึ่งจะช่วยขุดดิน เป็นการช่วยพรวนดินตามธรรมชาติ ดินจะร่วนซุย และสมบูรณ์ขึ้นเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องให้มนุษย์ช่วย

ในการจัดการจิตก็เช่นกัน หากเรางดเว้นที่จะเอาความเป็น “เรา” เข้าไปยุ่งเกี่ยวยุ่งยากกับมัน แล้วปล่อยให้ “ธรรมชาติ” แห่งจิตนั้น มันจัดการปรับปรุงตัวมันเอง โดยเราเห็นว่าจิตที่ถูกปรุงแต่งขึ้นนั้นมันคือทุกข์ ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเข้าไปสาละวนในการปรุงแต่งต่อเติมยืดเยื้อออกไป เมื่อเราหยุดสาละวน โดยธรรมชาติแห่งจิตนั้นเมื่อไม่มีสิ่งใดแปลกปลอมเข้ามายุ่งเกี่ยวกับมันมาทำให้มันต้องแสดงเนื้อหาแห่งความปรุงแต่งเป็นตัวจิตมันให้ยืดยาวออกไป โดยธรรมชาติจิตนั้นเองมันก็จะมีความแปรปรวนไปตั้งอยู่ได้ไม่นานและในท้ายที่สุดแล้วมันก็จะดับไปเองเป็นธรรมดาตามระบบธรรมชาติแห่งมันอยู่แล้ว การที่จิตมันดับไปๆ มันก็ทำให้เราออกจากพฤติกรรมที่ชอบเข้าไปปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเป็นจิตอยู่เนืองๆ มันเป็นระบบธรรมชาติที่ช่วยฟื้นฟูปรับปรุงจิตให้กลับไปสู่ระบบธรรมชาติของจิตที่มันแปรปรวนดับไปไม่มีเหลือเป็นธรรมดา ธรรมชาติแห่งความเสื่อมไปสิ้นไปมันจะช่วยปรับปรุงฟื้นฟูให้เกิดความคลายกำหนัดอันเกิดจากการที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจถึงความหมายแห่งธรรมชาติที่มันมีอยู่ในธรรม และเข้าใจอย่างชัดเจนในพุทธประสงค์ที่พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ว่า
-ธรรมชาติแห่งจิตนั้น เมื่อมันถูกปรุงแต่งเกิดขึ้นเป็นจิต มันย่อมตั้งอยู่ได้ไม่นาน มีความแปรปรวนดับไปเป็นธรรมดา
-ธรรมชาติแห่งขันธ์ทั้ง 5 นั้น เมื่อขันธ์ทั้ง 5 เกิดขึ้นแล้ว ขันธ์ทั้ง 5นั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
พระพุทธองค์ท่านก็ใช้ระบบธรรมชาติที่สามารถฟื้นฟูตัวมันเองเข้ามาในการแก้ไขปัญหาแห่งทุกข์แห่งการปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเป็นจิตต่างๆ และพระพุทธองค์ท่านก็ค้นพบในวันที่ท่านได้ตรัสรู้ว่า แท้ที่จริงหากหลงผิดยังคิดว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ ธรรมชาติแห่งความมีของสิ่งนั้นย่อมไม่เที่ยงแท้แน่นอนตั้งอยู่สภาพแห่งความมีเดิมๆได้ไม่นาน มันย่อมแปรปรวนสิ้นไปดับไปเป็นธรรมดาตามสภาพแห่งธรรมชาติ และแท้ที่จริงธรรมชาติอันแท้จริงนั้นย่อมว่างเปล่าไร้ความเป็นตัวเป็นตนอยู่อย่างนั้นไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นได้เลย และจึงไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะแปรปรวนดับไป มันคือความว่างเปล่าที่เป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสไว้ใน ตติยนิพพานสูตร ว่า นิพพาน คือ “ธรรมชาติ แห่งการปรุงแต่งไม่ได้แล่ว”


เมื่อข้าพเจ้าเข้าใจเนื้อหาธรรมชาติดังนี้แล้ว นับแต่วันที่ได้อ่านหนังสือ “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” ของ ดร.ฟูกูโอกะ เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าจึงงดเว้นที่จะเอาความเป็น “ข้าพเจ้า” เข้าไปกำกับจิต จับฉวยจับกุมจิต ตามรู้ตามดูเพื่อบังคับจิตมิให้มันเกิดขึ้นหรือคอยบังคับให้มันดับไปตามความต้องการของข้าพเจ้าแล้วคอยประคองภาวะความว่างอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันผิดวิธีธรรมชาติ ข้าพเจ้าได้เริ่มนำเอากระบวนการวิธีธรรมชาติมาใช้ในการปฏิบัติธรรม เพื่อให้ระบบธรรมชาติมันปรับปรุงฟื้นฟูตัวมันเอง จนกว่าข้าพเจ้าจะตระหนักชัดและซึมทราบภาวะแห่งความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้ของมัน อีกครั้ง
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร