วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 12:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 17:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


พระธรรมที่ทรงตรัสสอนไว้ในเดือน

ธันวาคม ๒๕๔๕




สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนไว้ มีความสำคัญดังนี้

(ในเดือนนี้ทรงเน้นตรัสสอนเรื่องขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง – ให้ยอมรับกฎของกรรมและเคารพในกฎของกรรม – จงมองทุกสิ่งทุกอย่างตามกรรม อย่ามองว่าใครผิด-ใครถูก และอย่าวุ่นวายไปกับโลก อย่ายุ่งกับกรรมของผู้อื่น ให้ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียว เพราะเที่ยงเสมอ – เรื่องภรรยานุสสติแล้ว ไปพระนิพพานได้ – ท่านท้าวสหัสบดีพรหม และท่านท้าวผกาพรหม)

๑. อะไรทีทำแล้วเป็นทุกข์ จงอย่าทำ การจะทำอะไรก็ให้ทำไปเถิด เอาความถูกต้อง และเอาความสบายใจเป็นสำคัญ ทั้งนี้จักต้องไม่ขัดต่อศีล-สมาธิ-ปัญญาด้วย หากทำอะไรแล้วเกิดความทุกข์ใจ อึดอัดขัดข้อง จงอย่าทำ เพราะนั่นจักทำให้ขาดทุน ไม่ได้ผลดีในการปฏิบัติธรรมด้วย เรื่องของใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ ระวังอย่าให้กิเลสมาฟอกจิตจนทำให้ไม่สบายใจ

๒. จงหาความจริงที่กายเรา และจิตเราเท่านั้น พยายามอย่าไปยุ่งกับกายผู้อื่น และจิตผู้อื่น ให้ดูร่างกายเข้าไว้ จักมีประโยชน์ที่เห็นโทษของความไม่เที่ยงของร่างกาย ซึ่งมีความเสื่อมไปเป็นธรมดาทุกวัน ทุกๆ ขณะจิตร่างกายก็เสื่อมลงไปทุกที ดังนั้น จงเตือนจิตตนเองเข้าไว้ว่า จงอย่าประมาท สิ่งใดเป็นความชั่ว เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง เลือกทำเอาแต่ความดี ใคร่ครวญเสียก่อนจึงค่อยทำเป็นสิ่งที่ดี

๓. การตั้งอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญ ทำใจให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูเข้าไว้ จิตจักมีความผ่องใส จงอย่าทำใจให้แฟบ-ท้อแท้-หดหู่-ขาดความสดชื่น และจงรักษากำลังใจให้เป็นสุขเข้าไว้ด้วยการยอมรับกฎของธรรมดา มีอะไรเกิดขึ้นก็ให้ลงธรรมดาเสียให้หมด


๔. บารมี ๑๐ เป็นของสำคัญ รักษากำลังใจไว้ให้ดี อะไรจักเกิดขึ้น ก็ให้ถือว่าเป็นกฎของกรรม ไม่มีใครสามารถที่จักหลีกเลี่ยงกฎของกรรมไปได้ ทุกอย่างให้ลงธรรมดาให้หมด เอาจิตตั้งมั่นให้อยู่กับพระนิพพานเข้าไว้ จงอย่าประมาทในชีวิต ทำอะไรให้คิดหน้าคิดหลังเข้าไว้บ้าง

๕. ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ดูร่างกายที่มันไม่เที่ยงเข้าไว้ จักเห็นความแปรปรวนของร่างกายอยู่เป็นปกติ จงอย่ากลัวความไม่เที่ยงของร่างกาย ให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา คือความไม่เที่ยงของร่างกาย แล้วใจจักเป็นสุข การอยู่ในโลกเราไม่สามารถจักอยู่คนเดียวได้ โลกเขาอยู่กันด้วยสังคม ให้ระมัดระวังตัวให้ดี จักมีอะไรเกิดขึ้นก็ให้ถือว่าเป็นกฎของกรรม อย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับใครปล่อยวางให้จิตมีอารมณ์สบาย ๆ นั่นแหละเป็นการวัดผลของการปฏิบัติของใจเราเอง

๖. เห็นทุกข์ จึงจักพ้นทุกข์ได้ ไม่มีจุดใดในโลกนี้ที่มันไม่ทุกข์ ดังนั้นจงอย่ากังวลใจ ก่อนจักหลับ จงสำรวมจิตให้เห็นสภาวะของจิตตามความเป็นจริง จักเห็นความฟุ้งซ่านของจิต-เห็นความไม่เที่ยงของจิต-เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎแก่จิต แล้วให้เห็นหนทางแก้ไขจิต ด้วยกรรมฐานแก้จริตด้วย

๗. คนผิดคนถูกไม่มี มีแต่มาตามกรรม แล้วก็ไปตามกรรมเท่านั้น คิดให้ได้-คิดให้ตก เป็นตามความเป็นจริง จิตก็จักสบายไม่เดือดร้อนไปด้วยกรณีใดๆ ทั้งปวง ดังนั้นอาการไม่ดิ้นรน ไม่เดือดร้อนไปกับกรณีใดๆ ทั้งปวง จัดว่าเป็นของดีให้รักษากำลังใจจุดนี้เอาไว้ว่า จิตเราจักไม่เดือดร้อนกับเรื่องของใครทั้งหมด จักเป็นหรือจักตาย ก็ไม่เดือดร้อนปล่อยวางภาระที่จักต้องไปรับผิดชอบกับเรื่องคนอื่นเขาเสีย ให้เห็นเป็นปกติธรรมของโลก มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง จิตที่มีความร้อนระงับได้แล้ว เป็นจิตที่เข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย

๘. จงอย่างยุ่งกับปฏิปทาของผู้อื่น ทำใจให้สบาย อย่าไปกังวลใจกับใครทั้งปวง ปล่อยวาง ปฏิปทาของใครก็ของมันคิดถูกก็เรื่องของเขา คิดผิดก็เรื่องของเขา จงรักษาใจของตนเองให้เห็นถูกโดยธรรมอยู่เสมอ

๙. โลกพร่องอยู่เป็นนิจ เพราะตกเป็นทาสของตัณหา จงอย่าวุ่นวาย ทำใจให้เห็นธรรมดาของโลกเข้าไว้ โลกนี้วุ่นวายอยู่เป็นนิจ แต่จิตใจอย่าไปวุ่นวายกับโลก ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ มีแต่วุ่นวายด้วยตัณหา ๓ ประการทั้งสิ้น เห็นโลกจงรู้โลก ศึกษาโลก แล้วหวนกลับมาแก้ไขที่จิตใจ อย่าไปแก้โลก โลกนี้แก้ไขอะไรไม่ได้ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง

๑๐. ธรรมภายนอกแก้ไขไม่ได้ ให้แก้ที่ใจตนเองเป็นธรรมภายใน ทำใจให้สบาย เหตุการณ์ใดๆ จักเกิดก็ไม่สามารถจักทำอะไรกับจิตใจที่สบายได้ การรักษาจิตใจให้สบาย จักต้องมีปัญญา พิจารณาทุกอย่างตามความเป็นจริง ใจที่ยอมรับความเป็นจริงก็มีความสบาย คนที่มีความสบายใจ จึงเป็นผู้เข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย

๑๑. อย่าเที่ยวแบกทุกข์ของผู้อื่น เรื่องของใครก็เรื่องของใคร จงอย่าเอาภาระของคนอื่นมาไว้ในใจ ปล่อยวางมันไปเสีย จิตจักมีความสุขไม่วุ่นวายกับใครทั้งสิ้น ค่อยๆ ทำไป อย่าเร่งรัด

๑๒. อย่าทำร้ายจิตตนเอง-อย่าเผาจิตตนเอง อย่าทำกำลังใจให้อ่อนแอ จงคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จักทำใจให้ห่อเหี่ยว-ท้อแท้ จิตไม่เป็นสุข เป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว จักต้องทำกำลังใจให้เข้มแข็ง ไม่ท้อแท้ อ่อนแอ กระทบกับสิ่งใด ให้รู้ว่านั่นเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่แก้ไขอะไรไม่ได้ ในเมื่อเหตุมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง จักต้องไปเดือดร้อนใจไปทำไมกันเล่า ให้รู้จักใช้ปัญญาคิดตามความเป็นจริง และต้องตัดให้รอบคอบด้วย

๑๓. จงอย่าตีตนไปก่อนไข้ ให้มองปัญหาแต่ในปัจจุบันเท่านั้นเป็นพอ เรื่องอะไรที่ยังมาไม่ถึง ก็จงอย่าตีตนไปก่อนไข้ แม้กระนั้นก็จงอย่าประมาท พึงเตรียมการสิ่งใดก็ให้ครุ่นคิดอย่างรอบคอบเสียก่อน

๑๔. ทุกข์ของกายห้ามฝืน ในเมื่อเห็นว่าร่างกายมันไปไม่ไหวก็ต้องปล่อยวางในทุกสิ่งทุกอย่าง เอาจิตมาเกาะแต่พระนิพพานจุดเดียวเท่านั้นเป็นพอ พิจารณาเพียงว่าจักไม่ประมาทในความตาย เพราะคน-สัตว์ เกิดมาเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น ไม่มีใครหนีความตายไปได้ และทุกๆ ขณะจิตสามารถตายได้เสมอ

๑๕. ภรรยานุสสติ ความโดยย่อมีดังนี้ คุณจันทนา วีระผล ในอดีตชาติเป็นพี่สาวของท่านแม่ศรี ซึ่งขณะนี้อยู่พระนิพพานแล้ว เจ๊จันทนา ท่านทำบุญหนักมาทุกๆ ชาติ โดยเฉพาะท่านชอบทำบุญเรื่องแสงสว่างให้กับพระพุทธศาสนา มีผลทำให้จิตใจท่านสว่าง-ฉลาด-มีปัญญาตัดกิเลสได้คล่องตัว ในชาติสุดท้ายท่านก็ทำบุญแสงสว่าง คือ พวงแก้วเจียรนัย ขนาดใหญ่และเล็กในวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร ของหลวงพ่อท่านเป็นส่วนใหญ่ หากหลวงพ่อไม่ห้ามไว้ เจ๊จันทนา ก็จะขอจองไว้ทั้งหมด เมื่อหลวงพ่อฝึกมโนมยิทธิให้ ก็สามารถปฏิบัติได้ทั้งมโนเล็ก และมโนใหญ่คล่องตัว เมื่อร่างกายเจ็บป่วย เจ๊ก็ใช้มโนใหญ่ออกไปหาลงุพุฒิ หรือเจ้าพระยายมราช ขอดูบัญชีบุญและบาป ปรากฎว่าบัญชีบาปปิดไปนานแล้ว คือพ้นนรกนานแล้ว จึงขอดูบัญชีอายุขัยว่า อีกกี่ปีจึงจะตาย ในบัญชีบอกว่า อีก ๑๒ ปี จะต้องเจ็บ ๆ หาย ๆ อยู่อย่างนี้ไปอีก ๑๒ ปี เจ๊ก็ตัดสินใจว่าหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ขอกลับเข้าไปอยู่ในกายเนื้ออีก เพราะออกมาแล้วขอไปพระนิพพานเลย ท่านมีมรณากับอุปมานุสสติทรงตัว จึงเข้าสู่พระนิพพานได้แบบง่ายๆ สามีของท่านคือ คุณสุวรรณ วีระผล มาฝึกมโนมยิทธิกับหลวงพ่อก็ฝึกได้ดี จึงใช้วิชชามโนมยิทธินี้ไปพบเมีย ซึ่งเป็นพระอรหันต์ เท่ากับเป็นสังฆานุสสติ เมียสอนสามีให้จงอย่ากลัวตาย เราคือจิตเป็นอมตะไม่เคยตาย ผู้ตายคือร่างกาย (ขันธ์ ๕) มันหาใช่เรา-หาใช่ของเราไม่ เจ๊สอนสามี ๒ ครั้ง ย้ำธรรมะจุดนี้ คุณสุวรรณ รักเมียมาก ก็เชื่อฟังเมียและปฏิบัติตามเมียทุกประการ คือ วางร่างกาย (ขันธ์ ๕ ) ได้ตัวเดียวก็ไปพระนิพพานได้ เพราะสิ่งที่เรารักที่สุดในโลก ก็คือตัวเรา หากวางมันได้ก็จบกิจ หลวงพ่อฤๅษีท่านคงมาบอกว่า คุณสุวรรณไปพระนิพพานได้ เพราะรักเมียมาก มีภรรยานุสสติ (ภรรยาเป็นพระอรหันต์ จึงเป็นสังฆานุสสติด้วย และเป็นพระรัตนตรัยด้วย)

๑๖. รักษากำลังใจให้เข้มแข็งอยู่เสมอ การรักษากำลังใจเป็นสิ่งสำคัญในเวลานี้ เพราะร่างกายกำลังเจ็บป่วยอยู่ให้พยายามวางภาระและพันธะต่างๆ ลงให้หมด ใครจักเป็นอย่างไร ใครจักว่าอย่างไร จงอย่าสนใจ ตั้งใจทำความดีตามคำสั่งสอนของพระ ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน โดยไม่หวังผลตอบแทน

๑๗. อารมณ์จิตต้องเบา จึงจักเป็นของจริง จิตเห็นตัวธรรมดา จิตลงตัวธรรมดาได้ก็เบา จึงต้องรักษากำลังใจเอาไว้ให้ดี จงอย่ายินดี-ยินร้ายไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด ให้เห็นธรรมดาให้มากๆ แม้กระทั่งร่างกายที่มันไม่ดี ก็จงอย่ายินดี-ยินร้าย ให้เห็นธรรมดาของร่างกายให้มาก จงพยายามพยุงจิต อย่าให้มีความหนักใจ จงฝึกการเบาใจให้เกิดกับจิตใจให้มากๆ ทำอาการโล่งใจให้กับจิตให้มาก ๆ

๑๘. พระอรหันต์เป็นที่จิต จิตพ้นสมมุติจาก ๓ โลกแล้ว คือ มนุษยโลก-เทวโลกและพรหมโลก แต่หากร่างกายยังอยู่ก็หาได้พ้นจากกฎของกรรมไปได้ ยังจะต้องเจ็บป่วยรับกรรมที่ตามมาให้ผล และให้ผลไม่ผิดตัวด้วย จงอย่าลืมว่าแม้เทวดา และพรหมก็มีได้ ๒ ประเภท คือเป็นสัมมาทิฐิ (เป็นโดยคุณธรรม) เป็นมิจฉาทิฐิ (เป็นโดยบังเอิญ เช่นก่อนตายจิตเกาะบุญ ก็เป็นเทวดาได้ ก่อนตายจิตเกาะความสงบ คือเข้าฌานตายก็เป็นพรมหได้) พวกเทวดามิจฉาทิฐิ ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีพระอินทร์เป็นนาย เป็นผู้ปราบปราม ส่วนพวกพรหมมิจฉาทิฐิต้องร้อนถึงท่านท้าวผกาพรหม และท่านท้าวสหัมบดีพรหม ซึ่งเป็นนายของพรหมทั้งหมด เป็นผู้ปราบปราม ผมขอเขียนไว้ย่อๆ เพียงแค่นี้

๑๙. งานใดทำแล้วกลุ้มใจ ไม่สบายใจ จงอย่าทำ จงทำใจให้สงบ ทำงานทุกอย่างด้วยใจเยือกเย็น อย่าเร่าร้อน ทำทุกอย่างด้วยใจเย็นเป็นสุข จักเป็นกำลังใจให้ได้มรรคผล และปฏิบัติได้ง่าย ใครจักเป็นอย่างไรไม่สำคัญ ให้ปล่อยวางเป็นดีที่สุด และเตือนใจอย่าไปหลงจริยาของผู้อื่น เพ่งโทษโจทจิตของตนเองให้มากๆ พยายามละกิเลสให้ได้ งานอะไรทั้งหลายแหล่ จงจำไว้ว่าทำแล้วกลุ้มใจ-ไม่สบายใจก็จงอย่าทำ

๒๐. มรณานุสติเป็นนิพพานสมบัติ ผู้ใดนึกถึงความตายมากเท่าไหร่ ความไม่ประมาทในความตายก็มีมากเท่านั้น จงอย่าประมาทในความตาย ระลึกนึกไว้เสมอว่าชีวิตร่างกายต้องตายแน่ ไม่มีใครเอาสมบัติของโลกไปได้ ทำงานทุกอย่างให้พร้อมที่จักปล่อยวาง รักษากำลังใจไว้ให้ดี การรู้อุบัติภัยล่วงหน้าเป็นของดี จักได้วางกำลังใจได้ถูก อย่าลืมรักพระนิพพานเข้าไว้ และจงอย่าปรารถนาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นอกเหนือจากพระนิพพาน ผู้ฉลาดจึงมีมรณานุสสติ ควบกับอุปมานุสสติอยู่กับใจตลอดเวลา คือ รู้ลม-รู้ตาย-รู้นิพพาน

รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน


ข้อมูลจาก

http://www.tangnipparn.com/page_book_all.html

ขออนุโมทนาท่านผู้รวบรวมและผู้บริจาคในการจัดพิมพ์หนังสือ และผู้จัดทำเวบไซด์ที่ช่วยในการเผยแพร่ออกสู่วงกว้างทุกท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 16:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ประวัติพระพุทธเจ้าองค์ปฐมและเจดีย์พุดตาน

โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ


............................................................

ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐมและเจดีย์พุดตาน

คำนำ


หนังสือเล่มนี้สร้างขึ้นด้วยเสียง คือ บันทึกเสียงแล้ว ให้พระอธิชัย (น้อย) น้องชาย ดร.ปริญญา นุตาลัย เป็นคนคัดจากเสียงเป็นตัวหนังสือ การพูดก็กระท่อนกระแท่น เพราะมีอาการป่วยมาก เมื่อ วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๓๔ เป็นวันครบอายุ ตามที่ท่านต่อให้ และท่านขอให้ต่อใหม่อีก ๒๐ ปี หรืออยู่ถึงอายุ ๑๒๐ ปี ก็ไม่รับปากท่าน เพราะครบสัญญาต่ออายุคราวไร เป็นป่วย หนักทุกคราว มาคราวนี้มีอาการหนักกว่าทุกคราว และระยะยาวนานมาก จึงกราบเรียนท่านว่า ถ้าจะให้อยู่เพื่อทำงาน ก็ขออย่าให้ป่วยหนัก ถ้าป่วยหนักอย่างนี้ ก็ขอไปเลย ถ้าบ้านใหม่ไม่เปิด ก็จะพัก ที่สาธารณะ ( จุฬามณี ) อาการบางอย่างค่อยดีขึน หลังจากโรคร้าย ๔ อย่าง คือ

๑. ความดันสูงถึง ๑๖๐ เศษ
๒. ท้องถ่ายไม่ออก ฉันอาหารไม่ได้ อาเจียนตั้งแต่ ๔ โมงเย็นถึง ๕ ทุ่ม
๓. หัวใจเต้น ๆ หยุด ๆ เหนื่อยมาก หน้ามืดตาลาย เวลานี้อาการยังมีอยู่
๔. มีน้ำในปอด


อาการทั้งหมดเป็นอาการที่ต้องตาย ทั้งนี้เพราะมีเสมหะ ก้อนใหญ่กว่าปาก อุดอยู่ในช่องท้อง ทำให้กินยาไม่ลง กินอาหารไม่ลง ดื่มน้ำก็อาเจียน แต่เมื่อท่านไม่ให้ตาย เจ้าเสมหะก็ออกมาทางปาก ๒ ก้อน ใหญ่มาก มันถึงปาก ต้องรีดตัวออก เพราะมันใหญ่กว่าปาก และแข็งมาก บีบได้มันไม่เละ พร้อมทั้งอายุครบอายุขัย จึงตั้งใจทำงานทิ้งทวน สอนกรรมฐานตอนปลาย สร้างอาคารไว้เป็นอนุสสติ แก่ผู้เห็น ถ้าป่วยหนักเมื่อไร เป็นไปเมื่อนั้น เพราะอยู่อย่งคนไม่มีสัญญาผูกมัด สบายใจ

หนังสือนี้ทำเพื่อแจกแก่ท่านที่มาทำบุญ ตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไป ให้เปล่าไม่ได้ เกรงว่าจะรกบ้านท่าน สาระก็ไม่มีอะไร นอกจาก บอกให้ทราบความเป็นมาของการก่อสร้าง พระพุทธรูปพระพุทธเจ้าองค์ปฐม และเจดีย์ดอกพุดตาน ประดับแก้ว เท่านั้น

ที่สุดขอทุกท่านที่อ่าน และร่วมทำบุญกับคนคอยความตาย คือ อาตมา จงมีความรุ่งเรืองสมหวังตามที่ตั้งใจจงทุกประการ เทอญ

ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐมและเจดีย์พุดตาน

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ เมื่อตอนเช้า เวลาประมาณ ๙ นาฬิกาเศษ ๆ หลังจากทำงานจากหนังสือแล้ว ก็นอนพัก พอพักเริ่มภาวนา ก็มีพระท่าน มาบอกว่า เรื่องการสร้างเจดีย์ก็ดี สร้างองค์พระปฐมก็ดี สร้างวิหารองค์พระปฐมก็ดี ทั้งหมดนี้ ควรจะทำเป็นหนังสือไว้ เพื่อลูกหลานทั้งหลายจะได้มีความเข้าใจว่า สร้างทำไม ก็ขอนำเรื่องนี้มาคุยกัน อันนี้ไม่มีตำรานะ คุยกันแบบธรรมดา ๆ

การสร้างเจดีย์ พุทธบริษัทและลูกหลานทุกคน โปรดทราบว่า เมื่อต้นปี ๒๕๓๔ ตอนนั้นกำลังป่วยมาก เวลานี้ก็ป่วย แต่ว่าการป่วยคราวนั้นต่างกับเวลานี้ ถ้าถึงเวลา ๔ โมงเย็น มันจะเริ่มอาเจียนแล้วก็ อาเจียนเรื่อยไป จนถึง ๕ ทุ่ม หลังจาก ๕ ทุ่มแล้วจึงนอนได้ เป็นอย่างนี้ทุกวัน การฉันอาหารก็ฉันไม่ได้มาก บางทีพอกินน้ำไปหนึ่งแก้ว ก็อาเจียนไป ๓ แก้ว ท้องก็ผูก แล้วต่อมาก็มีโรคความดันสูงถึง ๑๖๐ และก็มีน้ำในปอด หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อย่างนี้เป็นต้น ได้รับการทรมานทางร่างกายอย่างหนัก

แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ไม่มีใครเคยคิดว่า เนื้อแท้จริง ๆ แล้ว ทำไมอาตมาจึงทำการ ก่อสร้าง ถ้าพูดถึงการก่อสร้างแล้ว เบื่อจริง ๆ เวลานี้อยากจะหยุดทุกอย่างที่ทำ เพราะว่าทั้งแก่ และทั้งป่วย แต่ว่าในขณะนั้น มีวันหนึ่ง ตอนต้นปี ขณะที่เจริญภาวนาอยู่ ท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ เป็นที่พอใจ เป็นที่สบายแล้วก็กลับพื้นที่ เมื่อกลับพื้นที่ พอจะถอนสมาธิ ก็พอดีเห็นพระท่านมา ท่านบอกว่า คุณยังตายไม่ได้นะ ความจริงเวลานั้น หรือเวลานี้ก็ตาม อยากตายเต็มที ถ้าตายเมื่อไร ก็มีความสุขเมื่อนั้น เพราะมีบ้านอยู่ แต่ก็ลองอยู่คราวหนึ่ง ถอยหลังจากนี้ไป ๒๐ วันเศษ ๆ จะไปจริง ๆ ประตูบ้านถูกปิดเข้าเขตบ้านไม่ได้ เขาบอกว่า ยังไม่ถึงเวลา ก็ลำบากเหมือนกัน ก็ต้องกลับมานั่งทรมาน คุยกันอยู่นี่แหละ

ก็เป็นอันว่า พระท่านบอกว่า วัดยังไม่เสร็จ ยังตายไม่ได้ ประการที่สอง ทุนสำหรับบำรุงวัดและพระสงฆ์ภายหลัง ถ้ายังมีไม่พอ ยังตายไม่ได้ อย่างอื่นไม่สำคัญ แต่เรื่องทุน จะไปเกณฑ์ใครเขา ต่างคนต่าง ก็มีทุกข์ ทุกคนต่างหากิน พอบ้างไม่พอบ้าง ที่เหลือกินเขาก็มี เขาจำเป็นต้องกิน ต้องเก็บไว้ใช้บ้าง และท่านบอกว่า วัดยังขาดเจดีย์ คุณอย่าคิดนะว่า วัดนี่ทำครบถ้วนแล้วตามความประสงค์ของฉัน อย่าลืมนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท วัดท่าซุงที่สร้างขึ้นนี้ ไม่ได้สร้างตามความประสงค์ของอาตมา อาตมาเองหนีการก่อสร้างมาจากวัดบางนมโค เบื่อการก่อสร้าง หวังจะหาอยู่ที่สงัด เมื่อเห็นวัดท่าซุง มีสภาพเหมือนวัดร้าง ก็คิดว่า วัดอย่างนี้ไม่ค่อยมีคนมา เราจะสร้างกุฏิสักหลังเดียวแบบกระต๊อบเล็ก ๆ ก็สบายใจแล้ว แต่ที่ไหนได้ นั่นเป็นความประสงค์ของอาตมา ต่อมาก็กลายเป็นความประสงค์ของพระ พระท่านมากะเนื้อที่ว่า ต้องสร้างให้เต็มตามบริเวณนี้ มีเนื้อที่เท่านั้น สร้างรูปอย่างนั้น สร้างรูปอย่างนี้ เวลานั้นสตางค์ก็ไม่มี เงิน ๑๐๐ บาท ยังไม่เคยติดกระเป๋า จึงได้ถามท่านว่า จะสร้างได้อย่างไร ท่านบอกว่า ไม่เป็นไร ฉันจะช่วยหาสตางค์ ในเมื่อท่านรับปากจะช่วย ก็ยอมรับทำ เมื่อทำมาถึงขั้นนี้ มันก็ใกล้จะเสร็จ ยังขาดอยู่วิหาร ๒๕ ไร่ ยังไม่ได้ทาสี ทางเดินรอบ ๑๐๐ ไร่ยังไม่ประจบกัน ถึงอย่างไรก็ดี ก็ต้องพบกันจนได้ ค่อย ๆ ทำไปจนเสร็จ ถ้ายังไม่ตาย

ท่านบอกว่า ที่คุณคิดว่าเสร็จ มันก็ยังไม่เสร็จ กุฏิไม้ที่สร้างไว้ในครั้งก่อน หลังโบสถ์ ให้รื้อขึ้นมาเป็นคอนกรีตให้หมด จะได้ไม่พัง และอีกประการหนึ่ง วัดต้องมีเจดีย์ เลยชี้ให้ท่านดูยอดวิหารว่า วิหารหรือมณฑปทุกหลัง มียอดทั้งหมด คล้ายเจดีย์อยู่แล้ว ท่านบอกว่า นั่นมันยอดวิหาร ยอดมณฑป ไม่ใช่เจดีย์ คุณต้องสร้างเจดีย์จึงจะครบถ้วน ก็เลยถามว่า จะสร้างที่ไหน ผมไม่มีที่จะสร้าง ท่านบอกว่า สร้างที่ ๑๐๐ ไร่ก็ได้ เลยกราบเรียนท่านบอกว่า ถ้าที่ ๑๐๐ ไร่ไม่สร้าง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าที่ ๑๐๐ ไร่ ปลูกต้นไม้ไว้เต็ม ต้องการให้เป็นป่า เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของคนและสัตว์ วันแรกตกลงกันไม่ได้ ท่านกำหนดสร้างพระเจดีย์ใหญ่มาก และก็สูงมาก

ต่อมาวันที่สองท่านมาใหม่ ในเวลาเดียวกัน คือ เวลาประมาณเกือบตีสี่ เลิกเจริญพระกรรมฐาน ท่านก็มาพูดอีก อาตมาก็ไม่ยอมรับว่า ถ้าจะให้ผมซื้อที่ใหม่ ผมไม่ซื้อ ที่ที่เหมาะที่จะสร้างเจดีย์ไม่มี ถึงอย่างไรก็ตาม เจดีย์ใหญ่ขนาดนั้นผมไม่ทำแน่นอน ท่านก็นิ่งแล้วท่านก็กลับไป

คืนที่สามท่านมาใหม่ ท่านบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน องค์ใหญ่ไม่ต้องทำ แต่ให้ทำองค์เล็ก ๆ แต่ต้องราคาแพง ถามท่านว่า ราคาประมาณเท่าไร ท่านบอก ไม่รู้ละ ฉันหาให้ทันแล้วกัน เรื่องราคามันไม่ แน่นอน เพราะของมันจะขาด ของมันจะขึ้นราคาภายหน้า ไม่ช้าของจะขาดมือลง ในท้องตลาดราคาจะสูงขึ้น ถ้ากำหนดราคาเวลานี้ก็ใช้ไม่ได้ ก็เป็นอันว่า ท่านยอมรับว่า ท่านจะหาเงินให้ทัน แล้วท่าน ก็สั่งบอกว่า ถ้าจะสร้าง เอาที่ตรงนี้นะ เอาที่ใกล้ ๆ พระพุทธรูปยืนอุ้มบาตรต้องทำให้สวย แล้วก็มีดอกไม้ แล้วดอกไม้ก็ปิดทอง ตามร่องปิดกระจกให้มองเห็นความสวย ถามท่านว่า ทำไมจึงต้องสวย ท่นบอกว่า เป็นการเจริญศรัทธาทุกอย่างที่ให้ทำนี่ ไม่ต้องการโอ้อวด ไม่ต้องการแข่งขันกับใคร จึงทำไม่เหมือนใคร ต้องการอย่างเดียว ให้ทุกคนที่มองเห็นแล้ว ติดตาติดใจว่า วัดท่าซุง มีอะไรบ้าง ที่เราชอบใจ ถ้าเวลาก่อนเขาจะตาย จิตเขานึกขึ้นมาว่า เราเคยเห็นวัดท่าซุงชอบใจตรงนั้น ชอบใจตรงนี้ ในขณะนั้นพร้อมกับเขาตายไป เขาจะไปสวรรค์ทันที

อันนี้เป็นลีลาของพระท่าน ที่ต้องการให้คนไปสวรรค์ โดยใช้รูปแบบสวย ๆ จึงเรียก นายช่างประเสริฐ กับ จำเนียร สองสามีภรรยา เป็นช่างประจำวัด ช่างปั้นพระ เรื่องความสวยงามต้องยกให้สองคน นี้ สองคนนี่มีความรู้บวกกันแล้วเป็น ป.๘ นั่นก็หมายความว่า เมีย ป.๔ ผัวก็ ป.๔ บวกกันแล้วก็เป็น ป.๘ ก็มาปรึกษาหารือ ให้กะสถานที่ว่า ถ้าที่ตรงนี้จะสูงขนาดไหน เธอกะสถานที่แล้วก็บอกว่า ที่ตรงนี้ จะสูงได้ประมาณไม่ต่ำกว่าพระยืน เฉพาะยอดนะ เอาถึงยอด ก็เป็นที่พอใจ ก็บอกกับเธอว่า เจดีย์นี้ ต้องมีดอกพุดตานทั้งหมดปิดทองคำ ร่องพุดตานทั้งหมดปิดทองคำ ร่องพุดตานก็ปิดกระจกเงาขาวใส ห้ามใช้กระจกสี เพราะว่าไม่สวยเวลาสะท้อนแสงแดด ก็ตกลง เธอก็ใช้เวลาผ่านมานาน ใกล้ฤดูฝน เห็นจะเป็น พฤษภาคม ๒๕๓๔ ก็ลงมือทำ

ก่อนที่จะทำก็มี คุณอภิชาติ สุขุม รู้ข่าวเข้า ก็ไปถ่ายภาพเจดีย์มาจากวัดต่าง ๆ วัดโพธิ์บ้าง วัดไหนบ้างก็ตาม เอามาหลายภาพ เอามาให้เลือก เมื่อเลือกแล้ว ไม่เป็นที่พอใจของพระท่าน ทีนี้จึงให้ ประเสริฐเขียนภาพมาสองภาพ แบบเรียบ ๆ กับแบบมีขั้นตอน เธอก็เขียนขึ้น ท่านก็เป็นที่พอใจ
ต่อมาเขาก็ลงมือสร้าง ส่วนล่างทั้งหมดจนถึงคอระฆัง เป็นเรื่องของ ประเสริฐกับจำเนียร ด้านคอระฆังเป็นเรื่องของ พระสามารถ ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญทางนี้อยู่พอสมควร ก็เป็นการก่อสร้าง เจดีย์ ก็เป็นอันเริ่มขึ้น


เจดีย์นี้มีความสำคัญอย่างไร ก็ต้องขอตอบว่า ถ้าเฉพาะเจดีย์จริง ๆ ก็มีความสำคัญ เพราะว่า พระเจดีย์ เป็นองค์แทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราเห็นพระเจดีย์ เรานึกถึงพระพุทธเจ้าก็เป็น พุทธานุสสติ ถ้าเราเห็นพระเจดีย์ เรานึกถึงพระสงฆ์ผู้สร้าง ก็เป็น สังฆานุสสติ เห็นภาพเจดีย์สวย เป็นภาพของกุศล ตายไปสวรรค์ทันที ถ้ามีจิตใจมีความมั่นคงมาก ก็ไปพรหมโลกได้ นี่เฉพาะเจดีย์ การก่อสร้าง ทุนไม่มี บรรดาท่านพุทธบริษัท คงจะมีคนมาทำบุญรวมแล้วทั้งหมดไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท เพราะไม่ได้โฆษณา เมื่อจะเริ่มการก่อสร้าง คุณอภิชาติ สุขุม ที่อยู่กรุงเทพฯ ก็นำทุนมาให้หนึ่งแสนบาท ต่อมาให้อีกแสนบาท ต่อมาให้อีกหนึ่งแสนบาท รวมแล้วเป็นสามแสนบาท เป็นทุนสำรอง ไม่ใช่ให้ยืมนะ คุณอภิชาติให้เลย ให้ทำเลย ก็ทำเรื่อยไปจนกระทั่งจบ ไอ้จบนี้ก็ไม่รู้ว่าราคาเท่าไร เพราะวัดนี้การก่อสร้างไม่ค่อยรู้ราคาแน่นอน เพราะเวลาทำงานทำร่วมกันหมด ทำคราวละหลายสถานที่ ซื้อของมาพร้อมกัน

ถ้าจะให้ตีราคาคร่าว ๆ เรื่องของเจดีย์ ทั้งองค์เจดีย์ด้วย ของในเจดีย์ด้วย ให้ตีราคาสัก ๕ ล้านก็ไม่พอ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าคุณอภิชาติ สุขุม กับคุณแสงเดือน แม้นวงศ์ ไปซื้อแก้วเจียระนัยจาก ฝรั่งเศส ไม่ใช่แก้วลูกเดียวนะ เขาสวยงามมาก มีกิ่งมีก้าน มีเครื่องประดับประดาสวยสดงดงาม เป็นแก้วใหญ่มาก ราคาเรือนแสน เอามาเป็นที่ใส่พระบรมสารีริกธาตุ

และในนั้นก็จะมี พระที่มีคุณค่าสูง อย่าง พระทองคำ เป็นทองคำบุ คณะคุณสันต์ ภู่กร พิษณุโลก นำมาถวาย พร้อมด้วยเครื่องประดับ เอาบรรจุใส่กล่องไว้ในนั้น และก็ พระสมัยรุ่นโน้น เขาลือกันว่า เป็นสมัยพระเจ้าศรีธรรมปิฎก พระเจ้าศรีธรรมปิฎก ก็คือ พระเจ้าพรหมมหาราช เราเรียกกันว่า พระเจ้าพรหมมหาราช เป็นชื่อเดิม แต่เนื้อแท้จริง ๆ เมื่อท่านเป็น พระเจ้าแผ่นดิน ชื่อ พระเจ้าศรีธรรมปิฎก พระเจ้าศรีธรรมปิฎก หรือ พระเจ้าพรหมมหาราช มาสร้างวัดวัดหนึ่ง ใกล้เขตพิษณุโลกกับเพชรบูรณ์ติดต่อกัน ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหนแน่ และก็สร้งพระเจดีย์ บรรจุพระพุทธรูป เทวรูปไว้มาก คณะคุณโยมสันต์ ภู่กร ทราบข่าวว่ามีคนเขาไปขุด ก็ไปติดต่อขอซื้อ เขาก็ให้ เป็นอันว่า ชาวคณะนี้ลงทุนไปหลายหมื่นบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลับใส่พระบรมสารีริกธาตุ เขาคิดหมื่นบาท ความจริงเป็นตลับไม้ ท่านก็ซื้อมา คณะนี้ศรัทธาสูงมาก

แต่ก่อนที่จะซื้อมา ท่านบอกว่า ก่อนที่จะทำการขุดว่า คนที่เขาขุดพบ เขาขายเอกสิทธิ์ เขาขุดพบ เขาได้อะไรไปบ้างก็ไม่ทราบ ทีนี้คณะนี้ต้องการจะขุดต่อไป เขาขายสิทธิ์ของเขา ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ที่ของเขา เขาขายให้ในราคาหลายหมื่นบาท จำไม่ได้ว่า สามหมื่น หรือ สี่หมื่น ก่อนที่จะลงมือขุดก็ทำพิธีบวงสรวง คำว่า บวงสรวง บรรดาพุทธบริษัท ถ้าเป็นนักธรรมเกินไปละก็ มันจะไร้เหตุไร้ผล แต่เป็นพิธีกรรม ที่มีผล เป็นพิธีกรรมที่เขาเชิญเทวดามาได้ เชิญพรหมมาได้ อาราธนาพระมาได้ก็แล้วกัน อย่งเจ๊กที่เขาเข้าทรงในพิธีของเขา เขาทำอะไรแปลก ๆ ก็เห็นอยู่แล้วว่า สิ่งลี้ลับที่มีอยู่ ที่เราไม่สามารถจะเห็นได้ มีอยู่

เมื่อทำพิธีบวงสรวงเสร็จ เสียงใต้ดิน มีเสียงคึ่กคั่ก ๆ คล้าย ๆ กับคนขนของจะหนี เสียงดังสะท้านขึ้นมาเหนือดิน คุณสันต์ ภู่กร บอกว่า ไม่ได้เอาไปไหนหรอก จะขุดไปถวายหลวงพ่อที่วัดท่าซุง เพราะว่าหลวงพ่อ ท่านก็เป็นพระ ที่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ เพราะของนี้เป็นของสงฆ์ ก็ถือว่าไปถวายหลวงพ่อก็แล้วกัน พอบอกเพียงเท่านั้น เสียงก็เงียบ แล้วก็ขุดได้ตามความประสงค์ เมื่อขุดไป ๆ แล้ว เธอก็มาแจ้งข่าวให้ ทราบว่า ยังไม่ได้พระบรมสารีริกธาตุ ก็บอกว่า ให้ไปบูชาใหม่ว่า พระบรมสารีริกธาตุอยู่ทางไหน ให้ตั้งใจขุดทางนั้น ให้คิดจะขุดทางนั้น ก็เป็นอันว่าได้พระบรมสารีริกธาตุ ได้พระพุทธรูป เทวรูปมามาก

ฉะนั้น เจดีย์องค์นี้จึงบรรจุของทั้งหมด ที่คณะคุณโยมสันต์ ภู่กร พิษณุโลก คณะของท่านนำมาเอาไว้ในเจดีย์องค์นี้ และก็ยังมีของอื่นอีกมาก ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทบูชา ที่เป็นแก้วแหวนเงินทองบูชา พระรัตนตรัย ถ้าจะคิดจริง ๆ ราคาทั้งในเจดีย์ และเจดีย์ ถ้าใครให้ ๕ ล้าน หรือ ๑๐ ล้านก็ไม่ขาย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะพระไม่มีอาชีพขายเจดีย์ พระไม่มีอาชีพขายพระพุทธรูป

ก็รวมความว่า เจดีย์มีค่าสูงสุด ที่มีความสำคัญจริง ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่พระท่านมาจัดการสร้างเอง ท่านเคี่ยวเข็ญให้สร้าง เป็นความประสงค์ของท่าน เป็นการยากที่เราจะได้พบ และที่ที่ท่านชี้ว่า ต้อง สร้างตรงนี้ เพราะบริเวณนี้ เป็นที่มีพระสารีริกธาตุมาก สร้างทับลงไป กับวิหารพระพุทธเจ้าองค์ปฐมอีกหลังหนึ่งทับที่พระบรมสารีริกธาตุ ท่านขึ้นอยู่เสมอ เวลาขึ้นมาจากดินสวยอร่ามเหมือนกับดาวดวงใหญ่ ลอยเหนือยอดไม้อยู่บ่อย ๆ ลอยไปวนมาแล้วก็กลับที่เดิม วิหารท่านก็สั่ง ต้องสร้างตรงนั้น ตรงนั้นก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ รถแทรกเตอร์ เวลาเกรดที่ อยู่ดี ๆ ถึงตรงนั้นดับ ไปไม่ได้ แต่ถอยสตาร์ท เครื่องติด ทำงานอื่นได้พอถึงที่ตรงนั้นเครื่องดับ ห้ามผ่าน

บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เจดีย์หลังนี้สร้างเสร็จ กำหนดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ ตรงกับวันกลางเดือนสาม เป็นวันมาฆบูชา ถ้านับอายุอาตมา ตามใบสุทธิ ก็ ๗๕ ปี ครบอายุขัย เพราะเวลานี้ เป็นเวลาอายุขัยมีแค่ ๗๕ ปี ไม่ใช่ ๑๐๐ ปี ก็ถือว่า เป็นเวลาที่ควรจะตาย อยู่มานานแล้ว แต่ว่า ทั้งนี้ก็สุดแล้วแต่พระท่าน พระท่านจะให้ตายหรือไม่ให้ตายเป็นเรื่องของท่าน ถ้ายังอยู่ ทำงานไหว ก็ทำ ทำงานไม่ไหว ก็เลิกกัน เพราะอะไร เวลานี้มันเบื่อทุกอย่าง งานที่ไม่เบื่ออยู่อย่างเดียว คือ สอนกรรมฐาน สอนกรรมฐานเท่านั้นที่ไม่เบื่อ เพราะถือว่าเป็นหน้าที่

ฉะนั้น ขอบรรดาลูกหลานทุกคน เงินที่ทำการก่อสร้างนี้ นอกจากเงินสามแสนของ คุณอภิชาติ สุขุม แล้ว นอกจากนั้นทั้งหมด เป็นเงินที่ลูกหลานทุกคนให้มาใช้เป็นส่วนตัว เงินใช้เป็นส่วนตัวนี้ ใช้ทุกจุด พระพุทธรูปองค์ละ ๕๐,๐๐๐ ไม่พอ เอาเงินส่วนตัวใช้ ห้อง ห้องละ ๕๐,๐๐๐ ไม่พอ ก็เติมด้วยเงินส่วนตัว
เป็นอันว่า ขอญาติโยมลูกหลานทุกคน ที่มาที่วัดท่าซุง เมื่อเห็นเจดีย์องค์นี้เข้า จงคิดว่า เจดีย์นี้เป็นของเรา เราเป็นเจ้าของพระเจดีย์ กำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทจะมีธรรมปีติ เมื่อตั้งใจนึกถึงเจดีย์ที่วัดท่าซุง เห็นเข้าแล้ว จำภาพได้ นึกถึงไว้ทุกวันทุกคืน ตื่นใหม่ ๆ นึกนิดหนึ่ง ก่อนจะหลับนึกหน่อยหนึ่ง เพียงแค่นี้จะมีอารมณ์ติดใจเป็นฌาน จิตจะจับในภาพของกุศล เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน เมื่อเวลาท่านตาย ท่านจะหลีกอบายภูมิได้


การทำบุญที่วัดนี้ ทำไมถึงต้องทำให้สวย มีบางคนเขาบอกว่า ทำเกินหน้าชาวบ้านเขาบ้าง ทำชอบเอาเด่นบ้าง มีคนเขามาเล่าให้ฟังว่า คนคนหนึ่งเป็นผู้ใหญ่ว่า อาตมาชอบเอาเด่น ความจริงคำว่า ดีหรือคำว่า เด่น มันไม่รู้อยู่ตรงไหน ที่ทำนี่ ทำตามใจพระ ไม่ได้ตามใจคนพูด คนพูดไม่มีส่วนในการทำ และไม่มีส่วนในการทำบุญ สตางค์บาทหนึ่งก็ไม่เคยให้ แล้วจะไปตามใจทำไม ถ้าถามว่า ตามใจพระมีประ โยชน์อย่างไร ก็ต้องขอตอบว่า ในเมื่ออาตมาบวชเป็นพระ บวชมาเพราะพระท่านสอน ก็ต้องตามใจท่าน มีชีวิตได้ก็เพราะอาศัยพระ มีข้าวกินก็เพราะพระ มีผ้านุ่งผ้าห่มเพราะพระ มีที่อยู่เพราะพระ มียา รักษาโรคเพราะพระ มีเครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่างก็เพราะพระ พระท่านสงเคราะห์ ปฏิบัติตามใจท่าน ญาติโยมก็ชอบใจ เมื่อญาติโยมชอบใจ มีศรัทธา ญาติโยมก็ให้ นี่อาศัยบารมีของพระ ถ้าเราบวชมาเพราะอาศัยพระ แต่เราไม่เชื่อ พระบอกว่า นรกมีจริง สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง ตายแล้วยังไม่สิ้นกิเลส ต้องเวียนว่ายตายเกิด เราไม่เชื่อ แสดงว่า เราเป็นเดียรถีย์ เป็นคนนอกพระศาสนา เวลาบวชอาศัยพระ อาศัยบารมีของพระ ถ้าบวชเข้ามาแล้ว กลับไปเปลี่ยนแปลงคำสอนของพระ อาตมาก็ยอมทำตามนั้นไม่ได้

อีกประการหนึ่ง เขาบอกว่า สร้างอะไรก็ใหญ่มาก มีคนผู้น่ารังเกียจ ไม่ใช่ผู้ทรงเกียรติ เมื่อสร้างศาลา ๒ ไร่ได้สองปี เสร็จไป ๒ ปี แกมานั่งเคาะพื้นว่า สร้างทำไม มันใหญ่โต จะเอาผู้คนที่ไหนมา แต่ความจริง การสร้างศาลา ๒ ไร่ ช้าไปหนึ่งปี การสร้าง สร้าง ๑ ปี ๖ เดือนเสร็จ มันก็ไม่ช้า แต่ว่าที่ช้าเพราะว่า มีปีหนึ่ง พอกฐินทอดเสร็จ พระท่านก็สั่งว่า ปีนี้ ต่อไปนี้ ต้องสร้างศาลาถึง ๑ ไร่ ให้แล้วเสร็จภายในกฐินปีหน้า บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท มันเป็นคอนกรีต จะสร้างเสร็จได้อย่างไร ก็ยังสร้างไม่เสร็จ พอถึงกฐินปีหน้า ปีนั้นปรากฏว่า เฉพาะรถบัสมา ๕๐ คัน ศาลาพระพินิจไม่พอ ล้น รถเก๋งอีกต่างหาก รถตู้อีกต่างหาก พอสร้างเสร็จ กฐินปีที่สร้างเสร็จ คนล้นศาลาไม่ใช่พอดีกับคน คนล้นศาลา โดยเฉพาะปีนี้ หลายล้น ๒๕๓๕ นี่ หลายล้นศาลา เป็นอันว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้นไป จะรับกฐินที่ศาลา ๑๒ ไร่ ศาลา ๑๒ ไร่ นี่ไม่ใช่คนอื่น อาตมาเองคิดว่า ท่านสั่งสร้างทำไม ทีแรกก็คิดไม่ออก คิดว่า ถ้าเป่ายันต์เกราะเพชร ศาลา ๒ ไร่ก็พอ ต่อมาไม่พอ ใช้ศาลา ๔ ไร่ ร่วม เป็น ๖ ไร่ ก็ไม่พอ ต่อมาศาลา ๑๒ ไร่ ต้อง ๓ รอบ

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องการสร้างเจดีย์ก็ยุติกันเพียงเท่านี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 16:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึง เรื่องสมเด็จองค์ปฐม สำหรับคำว่า สมเด็จองค์ปฐม ก็คือ พระพุทธเจ้าองค์แรก องค์แรกหรือ องค์ที่หนึ่ง เรียกว่า องค์ปฐม การที่จะหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐม ก็มีอยู่ว่า มี นพ. จรูญ ปิรยะวราภรณ์ เคยปรารภว่า หลวงพ่อเคยปรารภเรื่องสมเด็จองค์ปฐมเสมอ ทำไมจึงไม่หล่อรูป จึงคิดตั้งใจจะหล่อรูปท่านขึ้นมา

ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิดหนึ่ง คือ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๓ จำไม่ได้แน่นอน อาจจะผิดก็ได้เรื่องพ.ศ. ตอนนั้นอาตมามาอยู่วัดท่าซุงแล้ว และ พล.อ.อ. อาทร โรจนวิภาต เวลานั้น เป็นนาวาเอก เป็นผู้บังคับกองฝึก โรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั่น ตอนกลางคืน สามีภรรยาก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ ขณะที่ทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือ เห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพาน ยืนสองแถว ยาวเหยียดไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ จึงมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็นอุปาทานของเรา เพราะว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็ก ๆ ที่หลังคาต่ำ ๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคาก็สูงขึ้น แต่เวลานี้ เราเห็นพระพุทธเจ้า ยืนพนมมืออุปาทานคือ กิเลสคงกินใจมาก

เมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพหลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้าง ๆ ท่านบอกว่า คุณไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา อีกประมาณสัก ๕ นาที ปรากฎว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุก ๆ องค์ก้มศีรษะแสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึง อาตมา ท่านก็พูดว่า ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน ก็เลยนั่งบนหัว

แล้วท่านก็บอกว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูดตอนไหน ฉันให้เทศน์ตอนไหน เธอว่าตามนั้น ก็เป็นความจริง บรรดาท่าน พุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางทีคิดว่า วันนี้จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริง ๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้า มุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรค ผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดีใกล้เคียงกัน ก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน

อันนี้ก็เช่นเดียวกัน อาตมาเวลาเทศน์ หรือสอนกรรมฐาน ก็ไม่เคยได้พูดตามที่คิดไว้สักที อาจจะเป็นเพราะท่านดลใจ ถ้าจะถามว่าเป็นที่ชอบใจของคนทุกคนไหม ก็ขอตอบว่า ไม่แน่นัก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ท่านอาจจะจี้จุดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่คนบางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา ก็จึงมาคิดว่า ในเมื่อท่านมีพระคุณอย่างนี้ และก็เห็นเป็นปกติ จึงคิดจะหล่อรูปท่านขึ้นมา วันหนึ่งจึงอาราธนา เมื่อเจริญพระกรรมบานเสร็จแล้ว ท่องเที่ยวไปที่ต่าง ๆ ตามความพอใจ เมื่อกลับมาถึงที่ ก็คิดว่า สมเด็จองค์ปฐมจริง ๆ รูปร่างสมัยที่เป็นมนุษย์ท่านเป็นอย่างไร ก็ขออาราธนา ขอต้องการพบท่าน ท่านก็มาปรากฏพระองค์ให้เห็น ทรวดทรงสวยมาก หน้าของท่านอิ่มเหมือนกับไข่ แก้มอิ่ม ยิ้มน้อย ๆ ริมฝีปากไม่บุ๋ม ไม่เหมือนพระพุทธรูปที่เขาปั้นกัน พระพุทธรูปที่เขาปั้นกัน แก้มตอนปากบุ๋มลงไป ท่านบอก รูปร่างของฉันจริง ๆ เป็นอย่างนี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์และต่อมาก็เปลี่ยนรูป รูปร่างของฉันสมัยนิพพาน หรือแบบมนุษย์ ท่านบอกว่า ปั้นอย่างนี้ก็แล้วกัน แล้วท่านก็นั่งทำภาพให้ดู เป็นเหมือน พระพุทธรูปปั้น แล้วก็มีเรือนแก้วเป็นพระพุทธชินราช รูปจริง ๆ ที่ให้ปั้นไม่เหมือนกับรูปจริง คือไม่เหมือนกับรูปที่เป็นมนุษย์ และก็ไม่เหมือนกับรูปที่นิพพาน แต่ว่าเป็นรูป ที่ท่านต้องการ ท่านมาแสดงแบบนั้นอยู่ถึงสามวันติด ๆ กัน มานั่งให้เห็น วันหนึ่งประมาณ ๑ ชั่วโมง ก็ดูจนละเอียด

ก็คิดในใจว่า เราเป็นคนเห็น แต่ช่างเขาไม่ได้เห็น เขาอาจจะปั้นไม่เหมือนก็ได้ จึงขอบารมีของท่านบอกว่า เวลาที่ช่างเขาปั้น ขอได้โปรดไปดลใจให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ ท่านก็ยอมรับ จึงได้ สั่งให้ นายประเสริฐ แก้วมณี ปั้นรูปขี้ผึ้งขึ้น บอก ลักษณะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ในที่สุดเมื่อเขาปั้นเสร็จ เขาเอามาให้ดู เหมือนกับรูปที่ท่านแสดงจริง ๆ นี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ และนายประเสริฐคนนี้ ก็เจริญกรรมฐานมโนมยิทธิได้ แกก็ทำอะไรตามกำลังใจที่แกได้มา

อาตมาก็บอกว่า ก่อนจะปั้น ให้จุดธูปจุดเทียนก่อน อาราธนาบารมีของท่านก่อน ขอให้ท่านดลใจให้มือทำตามไปที่ท่านต้องการ ความจริงก็เป็นอย่างนั้น

ทีนี้ก็มานั่งนึกอีกทีว่า เรามีพระพุทธรูปทุกองค์ ในสถานที่สำคัญ เราก็บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่พระบรมสารีริกธาตุโดยมากเป็นขององค์ปัจจุบัน สำหรับพระบรมสารีริกธาติโดยมากเป็นขององค์ปัจจุบัน สำหรับพระบรมสารีริกธาตุ ของสมเด็จองค์ปฐมจะหาได้ที่ไหน กำลังใจก็นั่งนึก คิดว่า เราจะทำอย่างไรจึงจะได้พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐม ก็คิดว่า เวลากาลนานมาแล้ว พระบรมสารีริกธาตุย่อมหาไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่เอาขององค์ปัจจุบันบรรจุ เพราะถือว่า เป็นคนขั้นตอน เป็นคนละองค์

ต่อมา เมื่อขณะที่ท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ จบ ก่อนจะนอนก็ไป การไปนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท การทัศนาจรไปเมืองสวรรค์ก็ดี เมืองนรกก็ดี พรหมก็ดี มันเบื่อเต็มที่แล้ว จืด เวลานี้ไม่ไปไหน ที่ไปจุดแรก คือ เทวสภา ไปที่ตรงนั้น ก็ไปไหว้ท่านผู้มีคุณ ตั้งแต่ชาติก่อนโน้นมาจนชาติปัจจุบัน ที่ท่านเป็นครูปบาอาจารย์บ้าง เป็นผู้มีคุณบ้าง เป็นบิดามารดาบ้าง เป็นต้น ไหว้ท่านแล้ว ท่านก็แนะนำบางอย่าง ที่ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง ที่ไหนถูก ท่านก็บอกว่าถูก ที่ผิดท่านให้แก้ไข

ก็เป็นอันว่า ไปอย่างนี้ทุกคืน หลังจากนั้นก็เข้าพระจุฬามณีเจดียสถาน ไปนมัสการพระพุทธเจ้าที่นั่น พระอรหันต์มีเยอะ ก็ไหว้ท่าน ออกจากพระจุฬามณีเจดียสถานแล้วก็ไปนิพพาน ไปวิมานขององค์สมเด็จองค์ปัจจุบันก่อน พระสมณโคดม ไปนมัสการท่าน เสร็จ ถ้ามีอะไรที่ท่านจะบอก ท่านก็บอก ถ้าไม่มีอะไรที่ท่านจะบอก ท่านก็เฉย ก็นั่งนมัสการด้วยความชื่นใจ หลังจากนั้น ท่านก็สั่งให้ไปวิมานของเธอ ในเมื่อไปวิมานของอาตมาเอง ในที่นั้นจะพบพระอรหันต์มาก จะมีพระพุทธเจ้าหลาย ๆ พระองค์ มีองค์ปฐมเป็นประธาน ทรงให้ โอวาทอยู่ทุกวัน เตือนทุกวัน มีอะไรผิด มีอะไรถูก มีอะไรควรทำ มีอะไรควรพูด ท่านจะแนะนำ

เมื่อกลับมาแล้วก็นอน คิดว่า เราจะนอนให้หลับ พอกำลังจิตจะเริ่มเคลิ้มก็ได้ยินเสียงว่า พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐมเอามาให้แล้วนะ วางไว้ที่ตลับ บนเตียงข้าง ๆ หัวนอน ได้ยินเสียงชัดเจน แจ่มใสมาก เหมือนเสียงขององค์ปัจจุบัน จึงลุกขึ้นมาเปิดไฟฟ้า ปรากฏว่า ที่ตรงนั้นไม่เคยวางตลับ มีแต่วางหนังสือสำหรับดูก่อนหลับ ก็มีตลับพลาสติกแบบปัจจุบันอยู่ลูกหนึ่ง ไปเปิดดู เห็นพระบรมสารีริกธาตุองค์โต สององค์ ก็ดีใจว่า เป็นขององค์ปฐมแน่ เพราะเราไม่เคยวางไว้ ก็เก็บไว้ในที่สักการะบูชา เอาไว้บรรจุท่าน ต้นเหตุเป็นอย่างนี้นะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 16:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อมา ท่านก็บอกว่า จะทำมณฑปฉันที่ไหน ก็ถามท่านว่า สถานที่ไม่มีแล้ว ด้านหน้าวัดเต็มไปหมด ที่มองเห็นได้ไม่มี มีแต่หลังวัด หลังวัดก็ไม่สมควร ท่านก็บอกว่า มีที่สำคัญอยู่ที่หนึ่ง ค่อย ๆ ลงจากรถ เดินมันก็จะล้ม แต่ญาติโยมพุทธบริษัทไม่มีใครเข้าใจ เวลารับแขกเห็นท่าทางพูด ท่าทางแข็งแรง ความจริงไม่ใช่ เป็นกำลังพระท่านช่วย หลังจากรับแขกแล้วก็ป่วย อาเจียน ลุกไม่ขึ้น เดินไม่ไหว นี่เป็นอำนาจ พุทธานุภาพ และสถานที่ตรงนั้น ท่านบอกว่า เอาตรงนี้ สถานที่ตรงนั้นมีความสำคัญ ท่านบอกว่า มีพระบรมสารีริกธาตุสำคัญมาก แต่ความจริงก็เป็นความจริง มีคนเห็นอยู่เสมอว่า มีดาวดวงใหญ่ขึ้นจากพื้นดิน ตรงนั้น มีแสงสว่างมาก ลอยไปเหนือยอดไม้น้อย ๆ วนไปวนมาในวัด แล้วก็กลับที่เดิม มีคราวหนึ่ง มีพ.ต. พงษ์เทพ เธอมาอยู่เป็นเพื่อน เธอเห็นเข้า เธอก็นั่งรถกวดว่า ดาวดวงนี้จะลอยไปไหน เธอก็วิ่งตามไป วนไปวนมาอยู่พัก ก็กลับที่เดิม เธอก็มาบอกว่า เมื่อคืนนี้แปลก เห็นดวงดาวขึ้นจากแผ่นดิน ก็เลยบอกเธอว่า นั่นไม่ใช่ดวงดาว เป็นพระบรมสารีริกธาตุ ท่านให้สร้างมณฑปตรงนั้น จึงสั่ง ลุงชิด แก้วแดง เป็นนายช่างทำการก่อสร้าง

สำหรับสมเด็จองค์ปฐม โดยเฉพาะเรือนแก้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท องค์ปฐมหน้าตัก ๔ ศอก เป็นพระหล่อ หล่อด้วยโลหะ แล้วก็ผสมทองคำ เฉพาะเพชรที่ประดับเรือนแก้ว หรือว่าผ้าทิพย์ เท่าที่เราเห็น มีราคา ๗๗๐,๐๐๐ บาทเศษ แต่ความจริงไม่ใช่เพชรจริง ๆ อย่าขโมยไปนะ ถ้าแกะมาหนึ่งเม็ด ราคาเต็มของเขาจะประมาณ ๑๒ - ๑๓ บาทเท่านั้นเอง ทีนี้ซื้อมาก เพื่อประดับเรือนแก้วให้สวย เพราะว่าคนใกล้จะตาย คือ อาตมาเองใกล้จะตาย อายุครบอายุขัยแล้ว ครบอายุขัยก็เป็นอายุที่ควรตาย ก็ทำทิ้งทวน และก็มีคนช่วยมาก มีใครบ้างจะไปขอบัญชีเขามาดู ถ้าเขาคัดไว้ก็จะมาพิมพ์ท้ายหนังสือ มี พล.ท. สมศักดิ์ กับคณะช่วยมา หนึ่งล้านบาทเท่าที่จำได้นะ นอกนั้นมีใครบ้างก็ไม่ทราบ องค์ปฐมนี่ช่วยกันมามาก

สำหรับพื้น ทีแรกคิดว่า จะใช้แกรนิต หรืออะไรไม่ทราบ มันสวย ๆ แต่ว่าพระท่านบอกว่า มันแข็งมาก ต้องสั่งให้เขาตัดให้พอดี ก็เลยล้มความตั้งใจ ก็พอดี พ.ท. นพ. นพพร กลั่นสุภา พร้อมด้วย คณะชาวจังหวัดกาญจนบุรี พ.ท.นพ. นพพร นี่เป็นผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ กองพลที่ ๙ สนใจเรื่องบุญกุศลมาก ได้ทำตาดำตาขาวของพระ พระพุทธรูปหน้าตัก ๔ นิ้วมาถวาย ประมาณ ๖๐๐ คู่เศษ และนำนิลก้อนเล็ก ๆ นำมาให้ทำพื้น ก็เลยตัดสินใจว่า ในเมื่อมีผู้ศรัทธานำนิลมาให้ตั้ง ๑ ตันกว่า เราก็ไม่ควรใช้อย่างอื่น ใช้ขัดพื้นด้วยนิล แทนที่จะเป็นหินขัด หรือว่าจะเป็นหินอ่อน จะเป็นแกรนิต ไม่เป็นแล้ว ใช้นิลเป็นพื้นขัด ถ้านิลไม่พอจริง ๆ ก็เอาอย่างอื่นผสม

ก็รวมความว่า ความสำคัญเนื่องในการสร้างองค์ปฐม คือว่า คนไม่เคยคิด หรือว่า อาจจะคิดบ้างก็ไม่ทราบว่า พระพุทธเจ้าจริง ๆ ที่มีความลำบากมาก คือ องค์ต้น เพราะไม่เคยมีพระพุทธเจ้าเป็นครูมาก่อน ต้องลำบากบุกมาทั้ง ๆ ที่ไม่มีแบบ เป็นเหตุดลใจให้ตั้งใจคิดจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาถึง ๓๐ อสงไขยกัปเศษ จึงจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ถ้าถามว่า รู้ได้อย่างไร ก็ตอบว่า ถามท่านซิ คนฟังหรือคนอ่านจะคิดไหมว่า พูดอย่างนี้ เป็นคนบ้าหรือคนดี บางท่านจะบอกว่า พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว มีสภาพสูญ จะไปคุยกันได้อย่างไร ก็ขอตอบว่า ก็ต้องเป็นคนสูญเหมือนกัน ก็ท่านสูญไปแล้ว เราก็สูญบ้าง ถ้าสูญกับสูญพบกัน ก็ต้องเป็นสองสูญ สองสูญก็มีสภาพกลมเหมือนกัน แต่โตเล็กกว่ากันเท่านั้น เมื่อสูญต่อสูญคุยกัน ก็รู้เรื่องกัน

ถ้าท่านสูญ เรายังไม่สูญ ก็คุยกับท่านไม่ได้ ก็รวมความว่า อาตมาก็เป็นคนสูญ เพราะหนึ่ง สูญจากความเป็นหนุ่ม สอง สูญจากความเป็นคนปกติ มีอาการป่วยไข้ไม่สบายเป็นปกติ และก็สาม สูญจากความเป็นคนที่คิดว่า ไม่สูญ นั่นคือ ความหวัง มีอย่างเดียว คิดว่า เราจะต้องตาย เวลานี้อายุ ๗๕ ปี ตามใบสุทธิ เป็นอายุขัย ควรตายแล้ว ไหน ๆ จะตาย ก็ทำทิ้งทวน เฉพาะสมเด็จองค์ปฐม ราคาเท่าไรไม่ทราบ เฉพาะเพชรที่ประดับราคา ๗๗๐,๐๐๐ บาทเศษ แล้วก็มณฑปทั้งหมดก็จะบุแก้ว ปิดแก้วทั้งข้างนอก ข้างใน ให้คล้าย ๆ กับวิมานของท่าน ทำแบบคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือน เพราะวิมานของท่านสวยมาก เดี๋ยวจะถามว่า รู้ได้อย่างไร ก็ตอบตามเดิมว่า คนสูญก็รู้อย่างคนสูญ ที่เขาบอกว่า นิพพานมีสภาพสูญ อาตมาขอย้อนว่า นิพพานมีสภาพไม่สูญ นิพพานจะสูญไปจากความชั่ว จะทรงไว้แต่วความดี ถ้าหากจะมีคนคัดค้านว่า ตายแล้ว มีสภาพสูญ ก็ต้องตอบว่า เป็นเรื่องของท่าน ต่างคนต่างรู้ ต่างคนต่างมีความเห็น จะให้เหมือนกันไม่ได้ ถ้าหากว่านิพพานมีสภาพสูญจริง ๆ ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวอ้างอิงถึงพระพุทธเจ้า องค์นั้น พระพุทธเจ้าองค์นี้

อย่างคำว่า
สพฺพปาปสฺส อกรณํ ท่านทั้งหลายจงอย่าทำความชั่วทุกอย่าง
กุสลสฺสูปสมฺปทา จงทำแต่ความดี
สจิตฺตปริโยทปนํ จงทำใจให้ผ่องใสจากกิเลส
เอตํ พุทฺธานสาสนํ พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด


พระพุทธเจ้าท่านรู้ได้อย่างไร ถ้านิพพานมีสภาพสูญ ทำไมจึงจะรู้ว่า พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด ก็แสดงว่า นิพพานมีสภาพไม่สูญ เฉพาะของคนไม่สูญ นิพพานมีสภาพสูญ เฉพาะของคนที่สูญจากนิพพาน

รวมความว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การหล่อรูปองค์ปฐมนี้ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท นำทองมาถวายกันมากเป็นกรณีพิเศษ และการหล่อรูปนี้ จะหล่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๕ มี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยาเป็นประธาน จับสายสิญจ์ในการหล่อ ความจริง หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นี่ บางท่านอาจจะไม่รู้ ท่านเป็นพระสูญเหมือนกัน คือ สูญจากการยึดตัว ยึดยศฐาน์บรรดาศักดิ์ ท่านเป็นสมเด็จ ท่านไม่เคยแสดงองค์เป็นสมเด็จเลย ไม่เคยถือเนื้อถือตัว ถือเป็นกันเองทุกอย่าง กับทุกคนที่ไปหา ไม่มีมานะทิฏฐิ และมีความเข้าใจเรื่องของคน มีความเข้าใจในเรื่องของใจคน อย่าง พล.ต.ท. สมศักดิ์ สืบสงวน เคยไปกับ หมอลัดดา ไปหาท่าน ท่านจำวัดอยู่บนกุฏิ ทั้งสองคนก็ไปคอย พอถึงเวลาไม่ลงมา ท่านยังไม่ลงมา ทั้งสองคนก็บอกว่า ในเมื่อท่านจำวัด เราก็กลับเถอะ พูดเบา ๆ เท่านั้นแหละ เสียงกระแอม เปิดประตูหน้าต่าง ท่านก็ลงมา

อาตมาเคยปรึกษากับ มหาวิจิตร เรื่องที่จะทำบุญวันเกิดของท่าน ปรึกษากันที่ซอยสายลมว่า เราคิดจะทำอย่างนี้ และไปกราบเรียนให้ท่านทราบ ถ้าหากอันไหนท่านตัด เราก็ตัดตามท่าน อันไหนท่านให้เติม เราก็เติมตามท่าน เสร็จแล้วก็ไปหาท่าน ท่านนั่งรอรับอยู่ ท่านยังไม่ขึ้นกุฏิ เมื่อกราบ พอเงยหน้าขึ้นมา ท่านก็บอกว่า ปีหน้าจะให้ทำอะไรก็บอกนะ ทำตามทุกอย่างแหละ นั่นคุยกันที่ซอยสายลม ท่านอยู่ที่วัดสามพระยา ทำไมจึงรู้ ก็เป็นอันว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์องค์นี้มีความสำคัญมาก เป็นประธานการหล่อพระคราวไร ไม่เคยเสีย คราวหนึ่งลมแรงจัด ช่างบอกว่า ถ้าลมแรงแบบนี้ การเททอง ลำบาก อย่างไร ๆ พระต้องเสียแน่ ต้องมีเว้า มีโหว่ มีแหว่ง แต่เธอก็พยายามทำไปด้วยความลำบากจนเสร็จ ตอนเช้าตรู่ นี่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์จับสายสิญจ์นะ ช่างรีบไปทุบหุ่นไม่อยากให้คนอื่นเห็น คิดว่า ถ้าเสียจะรีบเก็บ แต่ที่ไหนได้ บรรดาท่านพุทธบริษัท พระทุกองค์เรียบร้อยเกือบไม่ต้องแต่ง ช่างดีใจจนน้ำตาไหล นี่ขอให้ท่านทั้งหลาย จงมีความเข้าใจว่า สมเด็จพระพุทธ โฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นพระที่มีสภาพสูญเช่นเดียวกัน

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ก็เล่าสู่กันฟังก็แค่นี้ ขอจบเพราะเวลาหมด เหลือเวลาประมาณครึ่งนาที ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังก็ตาม ผู้อ่านก็ตาม จงมีแต่ความสุข ปรารถนาสมหวัง รวยตลอดชาติ ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ถ้าใครต้องการหวังนิพพาน ขอให้ได้นิพพานสมความปรารถนา ใครไม่อยากไปนิพพาน ก็ขอให้รวยตลอดทุกชาติ ... สวัสดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 16:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


สนทนาที่สายลม
( เดือนกันยายน ๒๕๓๓ )


ผู้ถาม : "ได้ข่าวว่าหลวงพ่อจะหล่อสมเด็จองค์ปฐมและสร้างมณฑปใกล้พระ ๓๐ ศอกหรือครับ?"

หลวงพ่อ : "ที่ตรงนั้นแปลก รถแทรกเตอร์เคยเข้าไปดินแห้ง ๆ ฟรี ไปไม่ได้ พอเข้าไปถึงเครื่องติด ล้อหมุน แต่สายพานไม่เดิน และก็ยามปกติเวลาพระบรมสารีริกธาตุ เสด็จขึ้นจากที่นั้นบ่อย เห็นกันบ่อยครั้งมาก ก็เป็นว่าสร้างทับที่พระบรมสารีริกธาตุ
เมื่อตอนขากลับขึ้นไป หมอจรูญ เขาขึ้นไป มีหมอหลายคนก็คุยกัน ถามว่าจะสร้างวิหารแบบไหน ก็เลยคิดจะสร้างวิหารแบบโบสถ์ใช่ไหม ท่านเลยตัดสินใจบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สร้างเหมือนหลังนี้ ( มณฑปแก้วที่ข้างตึกรับแขก ) เอาเหมือนหลังนี้ทุกอย่างและหาที่ให้เสร็จในวัดนี้นะ และนั่ง มองที่ว่าจะสร้างที่ไหนจะเหมาะ ท่านก็ชี้ให้"


ผู้ถาม : "คงจะเป็นองค์แรกของโลก"

หลวงพ่อ : " ใช่ ๆ ๆ เออ...ไม่มีใครเขาพูดถึงกันนะ อย่างเก่ง ๆ ก็ สมเด็จพระพุทธทีปังกร คือว่าสมเด็จพุทธทีปังกรนี่ พระพุทธเจ้าเราปรารถนาพุทธภูมิเป็นครั้งแรก แต่ว่าองค์ปฐมไกลกว่านั้นเยอะ พระพุทธเจ้านี่มีหลายแสนองค์นะ ไม่ใช่มีองค์เดียว องค์ปฐมนี่ลำบากมาก ถามท่านว่า บำเพ็ญบารมีมาเท่าไหร่ บอกเขาบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขย ฉัน ๔๐ อสงไขยกว่า เพราะไม่มีตัวอย่าง ก็ถามท่านว่าทำไมจึงคิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ท่านบอกไม่รู้ มันมีชาติหนึ่งคิดว่า คนเกิดมาแล้วมันมีทุกข์ ทำไงจึงหมดทุกข์ ทำไปมันก็ทำผิดบ้าง ถูกบ้าง ใช่ไหม...ใหม่ ๆ ต่อไปก็เข้าเขตถูก"

ผู้ถาม : "หลวงพ่อเคยมีความเกี่ยวพันกับพระองค์ท่านบ้างไหมครับ ?"

หลวงพ่อ : "องค์ปฐมนี่ท่านเคยบอกว่า ฉันเคยเป็นลูกในสมัยที่ท่านยังไม่เป็นพระพุทธเจ้านะ ในกาลก่อน ๆ นะ แล้วต่อมาในสมัยที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้า ฉันก็ปรารถนา ๑๖ อสงไขย อยากจะให้เก่งเหมือนพ่อ..." ( หัวเราะ )
( หลังจากสอนพระกรรมฐาน และลูกหลานสวดอิติปิโสถวาย ๓ จบแล้ว ในขณะที่หลวงพ่อฟังสวด หลวงพ่อพนมมือนั่งนิ่งเป็นสมาธิ สวดจบแล้วท่านมีเรื่องเล่าให้ฟังอีกว่า )

สมเด็จองค์ปฐมท่านมาบอกว่า "เออ...ถ้าหล่อรูปฉันน่ะ เอาแก้วอย่างดีติดที่นิ้วก้อยสักแก้วได้ไหม...นิ้วก้อยซ้าย?" เลยถามท่านว่า ถ้าบังเอิญเขาให้มากกว่านั้นล่ะ "ก็ติดที่แท่นก็แล้วกัน"
แก้วอย่างดีมันก็เพชร เอาแก้วอย่างดี ท่านบอกอย่างนั้น ถามว่า ขโมยเขาไม่ลักหรือ "แกทำให้ดีลักไม่ได้ ท้าวมหาราชมีมาก บีบคอแน่" ถ้ามากจริง ๆ ท่านบอกให้ติดที่ผ้าอะไร.. ผ้าทิพย์ ก็เป็นอันว่าท่านบอกว่า ถ้าบอกเขาว่าหนึ่งมันจะไม่เป็นหนึ่ง เพราะองค์ปฐม ท่านเลยบอกเอางั้นก็แล้วกันนะ แก้วน่ะไม่ต้องดีนัก ราคาแพงมากเกินไป เวลาขโมยลักไปจะเสียดาย เอาแก้วอย่างเลว ตูดขวดก็ได้.. ( หัวเราะ )


บทผนวก
หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า "สมเด็จพระพุทธสิกขี" แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้ว อาจจะมีชื่อซ้ำกันก็ได้ โดยเฉพาะชื่อนี้มีด้วยกัน ถึง ๕ พระองค์ จึงเรียกขานกันว่า "พระพุทธสิกขีที่ ๑" พระองค์จึงทรงเป็นต้นพระวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระพุทธองค์ ว่าทรงเป็น "สมเด็จองค์ปฐมบรมครู"อย่างแท้จริง


ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จมาเล่าให้หลวงพ่อฟังที่บ้านสายลมว่า สมัยที่พระองค์ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้นคนมีอายุขัยประมาณ ๘ หมื่นปี พระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์เมื่อพระชนมายุได้ ๔ หมื่นปี หลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก ๒ หมื่นปี จึงได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์อีกประมาณ ๒ หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานหลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง ๔๐ อสงไขยกัป ในการบำเพ็ญพระบารมีเพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง ดังนี้

อานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม

*****
หลวงพ่อ : "ช่างมาถามเกี่ยวกับลักษณะองค์ปฐม อาตมาบอกสร้างแบบพระพุทธรูปธรรมดา แต่ต้องอ้วนหน่อยนะ คือมีเนื้อมากหน่อย ไม่ใช่อ้วนพุงพลุ้ยนะ และก็ เวลาลงไปสอนกรรมฐาน เมื่อเสร็จแล้วเขาก็คุยกันเขาก็ถามปัญหา ถามไปถามมา เขาถามถึงพระพุทธเจ้าองค์ปฐมว่า ถ้าจะสร้าง จะมีอานิสงส์ยังไง ลุงสองลุง นายบัญชี กับ ลุงพุฒิ ท่านมายืนอยู่นานแล้ว ท่านไม่มีโอกาสคุย เพราะอาตมาขึ้นไปคุยกับพระซะ

ท่านบอกว่า การสร้างองค์ปฐมนี่ ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ เอาบัญชีมาให้ดู บอก นี่..บัญชีเล่มนี้ ( คือว่า เป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่ที่จุดธรรมดา ) "บัญชีสีทอง" เป็นทองคำล้วน ทั้งเล่มเลย ฉันอยากได้บัญชีเอามาขาย ท่านบอก ถ้าสร้างองค์ปฐมลงบัญชีเล่มนี้โดยเฉพาะ ก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่ ต้องเป็นคนมีบุญมาก.. หรือไง?

แต่ก็ไม่ได้หมายความต้องเงินมากนะ คือว่าโดยมากเราจะนึกไม่ถึงกันใช่ไหม เรานึกกันถึง พระกกุสันโธ พระโกนาคม พระพุทธกัสสป แต่ยังไม่เคยนึกถึงองค์ปฐม ส่วนใหญ่ไปนึกถึง พระศรีอาริย์ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม นี่องค์นี้เป็นองค์แรกก็คุยกันแล้ว

ท่านบอกว่า การสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่า เป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด ใช่ไหม และการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี เอาของไปประดับก็ตาม ทีนี้อย่างคนมีเงินน้อย ๆ ใช่ไหม ก็มีสตางค์ไม่มาก เอาสตางค์ ๙ สตางค์ ๑๐ สตางค์ไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีทองหมด คือ ไม่หมายความต้องมีเงินมากเสมอไปนะ ที่เขามีน้อย ๆ บาทสองบาท ๑๐ สตางค์ ๒๐ สตางค์ พวกนี้เอา ไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด ก็ถามว่า บัญชีสีทองหมายถึงอะไร ท่านบอก มันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนาหมด"

ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ การหล่อองค์ปฐมด้วยทองคำนี่ อานิสงส์จะเหมือนกับหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือว่าจะแตกต่างกันอย่างไรครับ ถ้าเป็นทองคำเหมือนกัน?"

หลวงพ่อ : "ก็มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ว่าต่างกันอยู่นิดหนึ่ง ที่ไปนิพพานเร็ว ไปนิพพานเร็วมาก เพราะเขาเข้า บัญชีสีทอง ไม่ใช่ตัวทอง บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น"

ผู้ถาม : "หมายถึง เป็นเจ้าภาพหล่อองค์ปฐมนี่หรือครับ ?"

หลวงพ่อ : " ใช่ ๆ ๆ จะทองคำก็ดี จะเป็นเงินก็ตาม.. เหมือนกัน ลงบัญชีเล่มเดียวกัน"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 16:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


งานพิธีเททองหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐม

วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๘.๐๐ น. หลวงพ่อทำพิธีบวงสรวง ที่ปะรำพิธีเททองหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร

วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๕ เวลา ๐๘.๐๐ น. หลวงพ่อทำพิธีบวงสรวงที่ปะรำพิธีเททองอีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วเดินทางไปที่ศาลา ๒ ไร่ เพื่อทำบุญประจำปีของท่าน ซึ่งมีพระเถรานุเถระ และญาติโยมพุทธบริษัทเดินทางมากันมากมาย

หลังจากเสร็จงานที่นั่นแล้ว หลวงพ่อจึงเดินทางไปที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ซึ่งมีญาติโยมไปนั่งรออยู่ในเต๊นท็หน้าวิหาร ก่อนจะถึงเวลาเททอง มีญาติโยมพุทธบริษัทที่คอยทำบุญและถวายทองกับหลวงพ่อเป็นจำนวนมาก จนใกล้เวลา บ่าย ๒ โมง ก็ดูทีท่าว่าจะยังถวายไม่เสร็จ ดร. ปริญญา จึงประกาศให้วิ่งเร็ว ๆ เข้า กลายเป็นวิ่งทำบุญไป สนุกไปอีกแบบ

เวลา ๑๔.๐๐ น. เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธานพิธีเททอง โดยท่านนั่งอธิษฐานถือสายสิญจน์ภายในระเบียงวิหาร ๑๐๐ เมตร ส่วนหลวงพ่อ ลงไปที่ปะรำพิธีเททองเอง ทองคำที่หลวงพ่อเทลงในเบ้าหล่อสมเด็จองค์ปฐม รวมทั้งสิ้น ๗๘ กิโลกรัม นับว่ามากที่สุดตั้งแต่เททองมาและเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านบอกว่า "พระองค์นี้บูชาให้ดี จะมีลาภมาก"
ในขณะที่หลวงพ่อเททองยังไม่ทันเสร็จ เจ้าประคุณสมเด็จขอกลับก่อน เมื่อหลวงพ่อเททองเสร็จแล้ว จึงขึ้นมาที่วิหาร ๑๐๐ เมตรอีกครั้งหนึ่ง เพราะยังมีคนทำบุญกันอีก จนถึงเวลาบ่าย ๓ โมงจึงขึ้นพัก


รายรับ - รายจ่าย งานหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐม
*****
รายรับ

รับเงินเพื่อสร้างองค์ปฐมโดยตรง ๓,๖๘๒๑๓๖ บาท
ถวายเพื่อใช้สอยส่วนองค์ ๒,๑๑๗,๓๘๒ บาท
ผาติกรรมสังฆทาน ๑,๙๕๑,๕๗๐ บาท
รวมรับทั้งสิ้น ๗,๖๕๑,๐๘๘ บาท


รายจ่าย
ถวายพระที่นิมนต์มาในงานและพระในวัด ๑,๙๙๐,๐๐๐ บาท
ค่าหล่อองค์ปฐมรวมทั้งค่าทองที่หล่อด้วย ๒๕๐,๐๐๐ บาท
ค่าเบ้าหลอมทอง ๑๔ เบ้า ๕๓,๙๐๐ บาท
ค่าพนักงานรักษาความปลอดภัยและอย่างอื่น ๑๗,๕๐๐ บาท
ค่าอาหารฟรีที่วัดจ่าย ๑๐๐,๐๐๐ บาท
รวมจ่ายทั้งสิ้น ๒,๔๑๑,๔๐๐ บาท


ยอดรับ ยกมา ๗,๗๕๑,๐๘๘ บาท
คงเหลือจากงานทำบุญ ๕,๓๓๙,๖๘๘ บาท


รับก่อนงาน
มีท่านผู้มีจิตศรัทธาสร้างองค์ปฐมก่อนงานและส่งมาทางไปรษณีย์ รวมทั้งสิ้น ๑๑,๖๘๙,๓๔๖ บาท
จ่ายก่อนงาน
(๑) ค่าเพชรเทียมจากประเทศออสเตรีย ๗๗๖,๑๓๑ บาท
(๒) ค่าโคมไฟระย้า ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท
(๓) เหลือจากนี้ก็จ่ยค่าก่อสร้างวิหาร เวลานี้วิหารยังไม่เสร็จยังขาดเครื่องประดับ เช่น ยอดช่อฟ้า หน้าบัน ประดับกระจกทั้งภายในและภายนอก ปูกระเบื้องชั้นล่าง ขัดนิลชั้นบน สร้างรูปองค์ปฐมชั้นที่ 3 ประดับกระจกทั้งองค์ (ปางนิพพาน)
ถ้าเงินเหลือ จะใช้ในงานสร้างวิหารพระศรีอาริย์ต่อไป วิหารพระศรีอาริย์นั้น ขณะนี้เริ่มก่อสร้างแล้ว
เรื่องน่าหนักใจ


งานก่อสร้างวิหารนี้ สร้าง ๑ หลัง เท่ากับสร้าง ๒ หลัง เพราะปูนซิเมนต์ขาด เคยได้โควต้าปูนเดือนละ ๓๐๐ ตัน ถูกตัดเหลือ ๓๐ ตัน ต้องหาซื้อตามท้องตลาด ต้องเพิ่มเงินขึ้นอีกตันละ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ วัสดุก่อสร้างอย่างอื่นก็ราคาสูงขึ้นทุกอย่าง ค่าแรงงานช่างก็ต้องเพิ่ม เดิมมีช่าง ๓๐๐ คนเศษ เมื่อปูนหายากต้องตัดช่างออกเหลือ ๔๐ คน งานสร้างจึงล่าช้า เท่ากับสร้าง ๒ หลังก่อนหน้านี้ ค่าใช้จ่ายยังสรุปไม่ได้ เพราะยังสร้างไม่เสร็จ
พระราชพรหมยาน
๙ เมษายน ๒๕๓๕


หมายเหตุ : นิลขัดพื้น พ.ท. นายแพทย์นพพร กลั่นสุภา ร่วมกับญาติโยมชาวกาญจนบุรี ร่วมกันถวายมา ๖ ตัน และขอแจ้งให้ทราบ ตามที่ได้ประกาศไว้ในธัมมวิโมกข์ว่า จะบรรจุพระ บรมสารีริกธาตุสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หล่อแล้ววันกลางเดือน ๖ คือ วันวิสาขบูชา ( ๑๖ พ.ค. ๒๕๓๕ ) แต่ปรากฏว่าช่างมาขอร้องว่าทำไม่ทัน เพราะต้องทำแท่นและประดับเพชรเทียม ทั้งองค์พระที่หล่อก็ใหญ่ ประกอบไม่ทัน จึงขอเลื่อนวันบรรจุพระบรมธาตุองค์ปฐม เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๖ อาราธนา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยาเป็นองค์บรรจุ จึงขอแจ้งมาให้ทราบทั่วกัน

งานพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนแท่น
ภายในวิหารสมเด็จองค์ปฐม
วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เป็นวันวิสาขบูชา หลวงพ่อได้กระทำพิธี ๓ อย่างในวันเดียวกันคือ
ตอนเช้า เวลา ๗.๐๐ น. หลวงพ่อทำพิธีบวงสรวงที่วิหารสมเด็จองค์ปฐม หลังจากนั้นท่านได้เดินขึ้นไปบนวิหารเพื่ออัญเชิญพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ขึ้นประดิษฐานบนแท่นภายในวิหาร เมื่อเห็นว่าช่างได้ยก พระขึ้นบนแท่นเรียบร้อยแล้วท่านจึงเดินลงไปจากวิหาร ท่ามกลางผู้ที่มาร่วมพิธีมากมาย
เวลา ๐๘.๐๐ น. หลวงพ่อแสดงพระธรรมเทศนา ที่ศาลาพระพินิจอักษร
เวลา ๐๙.๐๐ น. หลวงพ่อเดินทางมาที่ศาลา ๑๒ ไร่ และทำพิธีบวงสรวง เนื่องในงานพิธีสะเดาะเคราะห์
เวลา ๑๘.๐๐ น. หลวงพ่อทำพิธีบวงสรวงที่วิหาร ๑๐๐ เมตร เนื่องในพิธีพุทธาภิเษกพระคำข้าว มีดหมอชาตรี และ วัตถุมงคลอื่น ๆ
*****


งานพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเกตุมาลา
พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม
งานนี้เป็นงานทำบุญประจำปีที่หลวงพ่อเคยจัดมา ถึงแม้ท่านจะมรณภาพไปแล้วก็ตาม ท่านพระครูปลัดอนันต์ พทธฺญาโณ เจ้าอาวาสองค์ใหม่ พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ภายในวัดท่าซุง และ ญาติโยม พุทธบริษัท ได้ร่วมกันจัดงานเหมือนสมัยที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ โดยอาราธนาสมเด็จพระราชาคณะ รองสมเด็จพระราชาคณะ และ พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด จำนวน ๖๔ รูป ฉัน ภัตตาหารเพลที่ศาลา ๒ ไร่


วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๓๖ เป็นวันเริ่มงาน ทางวัดได้จัดเตรียมสภานที่ไว้ที่วิหาร ๑๐๐ เมตร สำหรับญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย จะได้สรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐม ( จำนวน ๒ องค์ ที่เสด็จมาเองในห้องนอนหลวงพ่อ ) ก่อนที่จะอัญเชิญไว้ในพระเกตุมาลาพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม
ทางด้านวิหารสมเด็จองค์ปฐม ก็มีการจัดเตรียมสถานที่เช่นกัน โดยประดับธงและผูกผ้า และกางเต๊นท์ ไว้ข้าง ๆ วิหาร เพื่อญาติโยมทั้งหลาย ได้นั่งชมพิธีอยู่ด้านล่างทางโทรทัศน์วงจรปิด ส่วนชั้นล่างและชั้นบนของวิหาร ได้ทำความสะอาดอย่างรีบด่วน เพราะช่างเพิ่งจะทำองค์พระเสร็จ ส่วนช่างไฟฟ้าก็เพิ่งจะเสร็จเหมือนกัน เมื่อจัดโต๊ะหมู่เรียบร้อยแล้ว ก็เปิดไฟท้งหมดภายในวิหาร

ปรากฏว่าภาพที่ประจักษ์ต่อสายตาของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทขณะนั้นแล้ว ต่างก็ร้องชื่นชมด้วยความปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง สมกับเวลาที่รอคอยมานานแล้ว บางท่านที่เพิ่งเดินทางมาถึง เมื่อก้าวขึ้นไปพบบ้าง ก็ได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า สร้างได้วิจิตรตระการตายิ่ง บางคนคงจะเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมพร้อมกับหลวงพ่อเรา เหมือนกับที่ท่านยังมีชีวิตอยู่


วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๖หลังจากฉันภัตตาหารและถวายเครื่องไทยทาน พระสงฆ์ให้พร เป็นเสร็จพิธีที่ศาลา ๒ ไร่แล้วเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เดินทางไปที่วิหาร ๑๐๐ เมตร หลังจากญาติโยมได้สรงน้ำพระบรมธาตุกันแล้ว เมื่อได้เวลาอันสมควร ( เดิมจะเริ่มพิธีเวลา ๑๔.๐๐ น. แต่เจ้าประคุณสมเด็จฯ มีกิจนิมนต์ที่ จ.นครปฐม จำเป็นจะต้องเลื่อนเวลาให้เร็วขึ้นกว่าเดิม จึงต้องขออภัยญาติโยมในวันนั้นด้วย )

ในเวลา ๑๒.๑๕ น. ท่านพระครูปลัดอนันต์ พทธฺญาโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐมเพื่ออาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จฯ บรรจุไว้ในผอบทองคำ ในขณะทำพิธีบรรจุนั้น พระสงฆ์จำนวน ๙ รูปสวดชยันโต
เมื่อบรรจุ ในผอบทองคำแล้ว จึงนำไปวางไว้ในเจดีย์แก้วอีกชั้นหนึ่ง เสร็จแล้วท่านเจ้าอาวาสพร้อมด้วยพระสงฆ์ และท่านสาธุชนทั้งหลาย ได้ร่วมขบวนแห่พระบรมสารีริกธาตุไปยังวิหารสมเด็จองค์ปฐม โดยมีวงโยธวาทิต โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา นำขบวน


เวลา ๑๒.๔๐ น. ขบวนแห่ไปถึงแล้ว พระสงฆ์ก็ขึ้นไปนั่งข้างในด้านซ้ายมือของวิหาร ส่วนญาติโยมนั่งอยู่ด้านตรงข้ามและนั่งรอกันแน่นวิหาร ก่อนที่ขบวนแห่จะมาถึงด้วยซ้ำไป ท่านที่มาภายหลัง จึงต้องไปนั่ง อยู่ภายในเต๊นท์ข้างวิหาร

เวลา ๑๒.๔๕ น. เจ้าประคุณสมเด็จฯ เดินทางมาถึงวิหารสมเด็จองค์ปฐม ท่านเจ้าอาวาสส่งเทียนชนวนให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ จุดธูปเทียนบูชาที่โต๊ะหมู่บูชา เมื่อกราบนมัสการแล้ว ท่านก็มานั่งเก้าอี้รับแขกที่จัดไว้ แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า " พระองค์นี้มีลาภมากนะ" และท่านกล่าวชมอีกว่า "สร้างได้สวยงามมาก เสียดายที่จะต้องรีบไป อยากจะอยู่นาน ๆ กว่านี้อีก ต่อไปคงจะมีโอกาสได้มาชมอีก"

หลังจากนั้น พระชัยวัฒน์ อชิโต ได้อัญเชิญพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพานทองอันวางรอไว้อยู่ที่บนชั้นสูงสุดของโต๊ะหมู่บูชา เมื่อมาถึงแล้ว ท่านพระครูปลัดอนันต์ กราบอาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จฯ อัญเชิญผอบทองคำที่บรรจุพระบรมธาตุของสมเด็จองค์ปฐมจำนวน ๒ องค์ บรรจุไว้ในผอบทองเหลืองก่อน แล้วจึงนำไปใส่ไว้ในพระเกตุมาลานั้น พระสงฆ์ ๙ รูป สวดชยันโต
เสร็จแล้วท่านพระครูปลัดอนันต์ กราบอาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จฯ ขึ้นไปสวมไว้บนพระเศียร ท่านแหงนดูบันไดที่เตรียมไว้ด้านหน้าองค์พระนั้นแล้ว ท่านบอกขึ้นไม่ไหว จึงมีบัญชาให้ท่านเจ้าอาวาสนำขึ้นไปแทน โดยท่านยกมือทั้งสองขึ้นพนมอธิษฐานเสียก่อน ในระหว่างเดินขึ้นไปบนบันไดนั้น พระชัยวัฒน์ เป็นผู้อัญเชิญพานทองพระเกตุมาลาเพื่อให้ท่านพระครูปลัดอนันต์ได้ทำพิธีสวมไว้บนพระเศียร ขณะขึ้นไปสวมนั้น พระสงฆ์สวดชยันโตเป็นเสร็จพิธี


เมื่อใกล้เวลา ๑๓.๐๐ น. อันเป็นเวลาที่ท่านจะต้องเดินทางกลับ พระสงฆ์วัดท่าซุงได้เข้ามากราบนมัสการ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ให้โอวาทสั้น ๆ ว่า ขอให้ช่วยกันดูแลรักษาสมบัติของพระศาสนาไว้ให้ดี ให้มี ความสามัคคีต่อกันไว้ดังนี้ พวกเราได้ฟังขณะนั้นแล้ว แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ปลื้มใจที่พระผู้ใหญ่ให้ความเมตตาปรานี ท่านมีความห่วงใยต่อวัดของเราจริง ๆ ถึงกับพลั้งปากออกไปเบา ๆ ว่า พวกเราจะพยายาม ช่วยกันรักษาไว้ด้วยชีวิตเลยครับ ... !

ก่อนที่จะกลับท่านก็บอกว่า ผมขอไปกราบพ่อก่อน แล้วท่านได้เข้าไปกราบยังหน้าโต๊ะหมู่บูชานั้น ในระหว่างที่ท่านเดินลงจากวิหาร บรรดาลูกหลานหลวงพ่อทั้งหลาย ต่างก็ถวายปัจจัยใส่ย่าม ตามธรรมเนียม ที่เคยประพฤติมา จนกระทั่งท่านเดินไปถึงรถก็ยังทำบุญกันไม่ขาดสาย แล้วท่านได้มอบปัจจัยทั้งหมดให้เจ้าอาวาส เพื่อไว้ใช้จ่ายในงานนี้ต่อไป หลังจากเจ้าประคุณสมเด็จฯ กลับแล้ว ญาติโยมพุทธบริษัทและลูกหลาน ของหลวงพ่อ ต่างก็ทยอยขึ้นไปทำบุญและถวายเครื่องประดับ เช่น สร้อย แหวน ของมีค่าต่าง ๆ มากมาย โดยบรรจุไว้ในแท่นที่ประทับสมเด็จองค์ปฐม เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาไว้เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนาต่อไป

ทั้งนี้ เพราะทุกคนมุ่งหวังอานิสงส์ใหญ่ คือ การไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป ตามสิทธิ์ที่จะได้ใน "บัญชีทอง" และได้ทราบว่า พระศรีอาริย์ เคยมาบอกกับหลวงพ่อว่า

"คนของท่านเหลือไปถึงสมัยผม.. ไม่ถึง ๑๐ คนหรอก..! ส่วนที่ยังไปไม่ได้นั้น เพราะยังชอบเมาอยู่"
ฉะนั้น พวกที่ไม่ชอบเมาคงจะสบายใจได้ จึงขอให้สมความปรารถนาทุก ๆ ท่านเทอญ..ขอเจริญพร! ก่อนที่จะจบขอย้ำเตือนความทรงจำของท่านทั้งหลายที่ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม พร้อมด้วยวิหารแก้วแห่งนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวาระมีพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๕


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร