วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 12:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


กรรมลิขิต

รวบรวมเรียบเรียง โดย ธมฺมวฑฺโฒ ภิกฺขุ
น.ธ.เอก, วศ.บ. (จุฬาฯ), M.S. (Computer)
วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร
จัดทาเป็น E-Book โดย พระมหาสุธรรม ธมฺมทินฺโน
วัดชัยมงคล ถนนเจริญประเทศ ตาบลช้างคลาน อาเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ 50100

นรกสวรรค์ ๓ ประเภท

พุทธศาสนาสอนว่า นรกสวรรค์นั้นมีอยู่จริง และได้แบ่งแยกนรกสวรรค์ไว้เป็น ๓ ประเภทคือ

๑. สวรรค์ในอกนรกในใจ ได้แก่อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ถ้าได้เสพอารมณ์ที่เป็นที่ตั้งแห่งความสุข เป็นที่พออกพอใจแล้วก็เรียกว่าสวรรค์
ตรงกันข้าม ถ้าอารมณ์ที่เสพไม่เป็นที่พอใจ ก็ถือว่าเป็น นรก
เป็นนรกสวรรค์ที่เห็นกันได้ ในปัจจุบันนี้ ชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า

๒. นรกสวรรค์ในโลกนี้ที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ได้แก่ความเป็นอยู่ภายนอกของมนุษย์ในโลกนี้
ที่มีความมั่งมีศรีสุข มีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์
มีเครื่องใช้สอยประณีต เหนือมนุษย์สามัญ มีความเป็นอยู่สะดวกสบาย
ราวกับอยู่ในสวรรค์

ตรงกันข้าม ถ้าเกิดมายากจน ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร บ้านก็ไม่มีต้องเที่ยวเร่ร่อนไป
มีชีวิตอยู่อย่างลำบากยากแค้น หรือมีโรคเรื้อรังรักษาไม่หาย เป็นคนพิการ
ตาบอด หูหนวก บ้าใบ้ ง่อยเปลี้ยเสียขา อยู่อย่างทรมานไปวันๆ อย่างนี้ก็เรียกว่านรก

นายแพทย์ไมคลอส นีซลิ เป็นเชลยชาวยิวซึ่งโชคดี มีชีวิตรอดจากค่ายกักกันของพวกนาซี
เขาได้บรรยายถึง ค่ายกักกันเชลย
ซึ่งมีสภาพอันทารุณโหดร้าย ราวกับนรกบนดิน ความบางตอนว่า

พวกเยอรมัน บังคับให้พวกเชลยขึ้นรถไฟหลายขบวน แต่ละขบวนมีตู้รถประมาณ ๔๐-๕๐ ตู้
และแต่ละตู้ ต้องเบียดเสียดกันแน่นประมาณ ๘๐-๙๐ คน

แทบไม่มีที่นอนหรือเหยียดแขนขา ซํ้าร้ายภายในตู้ ก็มืดทึบและอากาศก็อุดอู้
แถมไม่มีส้วมให้ใช้ คิดดูเอาเถอะว่านี่มันนรกหรืออะไรกันแน่ พวกเชลยต้องทรมาน
อยู่ในตู้รถไฟ ซึ่งมีคนป่วยและคนตาย นอนกองทับกันรอบตัวถึงห้าวัน
กว่าจะเดินทางมาถึงค่ายกักกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ภายในค่ายหลายแห่ง ในแต่ละวันจะมีนักโทษประมาณ ๘๐๐-๑,๐๐๐ คน
ถูกอัดเพิ่มเข้าไปในกรงขัง จนแทบไม่มีที่อาศัยหลับนอน บางแห่งนักโทษยัดทะนาน
จนไม่สามารถ เหยียดแขนขาออกไปรอบข้างได้สะดวก

ในเวลากลางคืน พวกเขาจะพากันนอนหลับ ทั้งนอนตามยาวหรือไขว้กัน
โดยเอาหัวหนุนเท้า คอ หน้าอก สลับกันไป

พวกนักโทษไม่มีเวลานอนหลับสบาย โดยตลอด เวลาตี ๓ มีสัญญาณแตรปลุกให้ตื่น
ใครนอนขี้เซา หรือกำลังสะลึมสะลือ จะถูกปลุกด้วยกระบอง

หรือทั้งเตะทั้งถีบ บางครั้งถูกราดด้วยนํ้าทั้งถังจนเปียกโชก
ทุกคนต้องรีบวิ่งออกไปเข้าแถวนอกคุกเพื่อขานชื่อ กว่าจะเสร็จก็เวลา ๗.๐๐ น.
ในขณะขานชื่อ หากแถวใดไม่ตรง นักโทษในแถวนั้นต้องเพิ่มเวลายืนนานกว่าแถวอื่น
อีกหนึ่งชั่วโมง พร้อมกับชูมือเหนือศีรษะตลอดเวลา
ทำให้ขาสั่นด้วยความเมื่อยล้า และหนาวเหน็บ ในกรณีที่มีคนตายในคุก
ซึ่งมีวันละ ๕-๖ คนเป็นประจำ บางวันมีคนตายถึง ๑๐ คน
ศพคนตายทั้งหมด จะต้องนำมาเข้าแถวขานชื่อด้วย
โดยให้นักโทษสองคน ช่วยพยุงศพคนตายหนึ่งศพยืนเข้าแถว
ทั้งๆ ที่บางศพดูน่าเกลียดน่ากลัว หรือน่าสมเพชมากทีเดียว สภาพของศพ
อยู่ในลักษณะเปลือยกาย แข็งทื่อ คอพับ ส่งกลิ่นเน่าเหม็น
ศพจะถูกพยุงยืน อยู่ในแถว จนกว่าการขานชื่อนักโทษทั้งหมดจะเสร็จสิ้น

ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ยังไม่ลำเลียงศพไปยังเตาเผา โดยปล่อยทิ้งไว้ในคุกเป็นเวลานานหลายวัน
ศพที่ปล่อยทิ้งไว้ จะถูกนำมาเข้าแถว ขานชื่อทุกครั้งจนกว่าเจ้าหน้าที่
จะมาขนศพไปเผา


พวกนักโทษหญิงส่วนใหญ่ คิดจะหนีให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน แต่กลัวถูกตามล่า
จึงจำต้องทนอาศัยอยู่ในคุกต่อไป พวกเธอต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่า
เน่าเหม็นยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้ว ต้องทนสู้กับความหนาวเหน็บ และความหิวกระหายที่เกาะกุมจิตใจ
อยู่ตลอดเวลา

ในวันฝนตก หลังคาคุกรั่ว นํ้าฝนไหลลงมา ทำให้นักโทษเปียกปอนไปตามๆ กัน
และต้องทนใส่ชุดเปียกชื้น ไปตลอดวันตลอดคืน อาหารที่ได้รับแจกสกปรก
พอๆ กับนํ้าล้างจาน รสชาติเฝื่อน มีกลิ่นเน่าเหม็น
แต่ทุกคนต้องกลํ้ากลืน เพื่อความอยู่รอด เนื่องจากอาหารไม่มีคุณภาพ
สารไข่ขาวที่มีอยู่ในร่างกายขาดแคลน
เป็นเหตุให้ขาของพวกเธอหนักขึ้นๆ การขาดแคลนไขมันทำให้ร่างกายบวมฉุ
ระดูที่เคยมีก็ขาดหายไป ทำให้มีอารมณ์หงุดหงิด อาการโรคจิตโรคประสาทเกิดขึ้น
และมีอาการปวดหัวข้างเดียว มีเลือดไหลออกทางจมูก

ผลจากการขาด ไวตามินบีทำให้เซื่องซึม ขี้หลงขี้ลืม ไม่สามารถจดจำอะไรได้ง่าย
พวกเธอลืม แม้กระทั่งเลขบ้านที่เคยอาศัย เหลือเพียงดวงตาเท่านั้น
ที่บอกให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่

ชีวิตมนุษย์ คือความพยายามต่อสู้ กับสิ่งที่เรียกว่า สัญชาตญาณแห่งความตาย
เพราะความจริงมีอยู่ว่า คนเรากลัวตาย แต่สำหรับเชลยในค่ายกักกันแห่งนี้
นักโทษส่วนใหญ่ พอใจกับการที่จะถูกประหารชีวิต
นี่คือเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ทำไม ? เพราะเหตุใด ?

มีอยู่หลายครั้ง ที่ทำให้ชาวยิวหลายหมื่นคน ต้องนั่งรอคอยเพชฌฆาตประหารชีวิตตน
เป็นเวลาหลายวัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจากคิวเรียงแถว เดินเข้าไปยังโรงงานฆ่ามนุษย์ไม่ว่าง ทั้งๆ ที่เปลวไฟและควันกลิ่นไหม้
ผมและเศษเนื้อมนุษย์ พวยพุ่งออกจากปล่องของเตาเผาทั้งวันทั้งคืน

ริชาร์ด ชีเวอร์ แห่งนครนิวยอร์ก กล่าวไว้ว่า
สภาพความโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัว ในค่ายกักกันเชลยของเยอรมัน
ทำให้นักโทษส่วนใหญ่ ที่รอดชีวิตไปได้ ต้องเสียสุขภาพจิตอย่างหนัก
บางคนพยายามสร้างชีวิตใหม่ หลังจากได้รับอิสรภาพแล้วหลายปี
แต่ก็ไม่อาจลืมเหตุการณ์อันเลวร้าย

ในค่ายกักกันเชลยได้ มันบั่นทอนสุขภาพทางจิตและทางกาย
จนทำให้พวกเขาต้องประสบกับโรคภัยไข้เจ็บ
นับตั้งแต่โรคประสาท โรคจิต และโรคร้ายต่างๆ
ถึงกับเสียชีวิตไปในที่สุดหลายรายด้วยกัน

หญิงสาวคนหนึ่ง ได้รับอิสรภาพเมื่อเธอมีอายุ ๑๖ ปีพอดี แต่นับว่าน่าเศร้ามาก
ในที่สุดเธอฆ่าตัวตาย ที่กรุง ปารีส เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๕๔
นับเป็นเวลาเกือบสิบปี หลังจากเธอได้รับอิสรภาพรอดพ้นจากค่ายนรก
เธอกลับไปสู่อ้อมอก แห่งวัฒนธรรมอันดีงาม ได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่เธอรัก
ฐานะการเงินของครอบครัวเธอดีมาก เธอให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง
ก่อนที่เธอจะพบจุดจบของชีวิต

นับเป็นเวลานานถึงหกเดือน ที่เธอต้องต่อสู้กับภัย ที่เกิดจากจิตใต้สำนึก ซึ่งบันทึก
เอาภาพอันเลวร้าย ที่เกิดจากความทรงจำในอดีต
ในค่ายกักกันเชลยของเยอรมัน

(ยมทูตแห่งค่ายนรกนาซี บรรยง บุญฤทธิ์ แปล-เรียบเรียง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ ๖ ส.ค. ๒๔๘๘ เวลา ๘.๑๕ น. เครื่องบิน B-29 ได้บรรทุกลูกระเบิดปรมาณู
มาทิ้งที่เมืองฮิโรชิมา (เกิดระเบิดในท้องฟ้าที่ระดับความสูง ๕๘๐ เมตร)
ผลปรากฏว่า ผู้คนที่อยู่ในบริเวณใจกลางระเบิดนั้นตายในทันที

ตัวดำเป็นผงถ่านไปหมด เพราะความร้อนบริเวณใจกลางระเบิดสูงถึงสิบล้านดีกรี
(คงเป็นอุณหภูมิที่จุดศูนย์กลางซึ่งร้อนที่สุด อุณหภูมิที่พื้นดินราวสามถึงสี่พันดีกรี)
คิดดูว่ามันร้อนสักเพียงไหน (นํ้าเดือดที่ร้อยดีกรีเท่านั้น)

บ้านเมืองราบเตียนเป็นเศษอิฐไปทั้งเมือง ผู้ที่ไม่ตายทันที เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่
จะลุกเป็นไฟในพริบตา แขน ขา และใบหน้าก็ลุกไหม้ไปหมด

ต่างพากันวิ่งไปตามถนนราวกับหุ่นที่ไร้วิญญาณ โดยไม่รู้ว่าจะวิ่งไปไหน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว อยู่ในสภาพลุกโพลงโชติช่วงด้วยแสงไฟ

ครั้นแล้ว ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นเหมือนกับคนบ้าว่า ไปลงแม่นํ้ากันเถิด
ทุกคนเห็นดีด้วย ปรากฏว่าในวันโลกาวินาศนั้น มีคนตัวแดงๆ เพราะไฟลวก
ลงไปแช่ในแม่นํ้าสลอนไปหมดเหมือนฝูงสัตว์

แล้วก็ค่อยๆ ตายกันไปทีละ ๑๐-๒๐ คน เพราะทนพิษความร้อนไม่ไหว
จนพวกที่ยังไม่ตาย รู้สึกว่าตัวมาลอยคออยู่ท่ามกลางซากศพแท้ๆ

เมื่อแช่ไปได้สัก ๕-๖ ชั่วโมง นํ้าเกิดแห้ง เลยต้องแช่จมอยู่ในโคลน
เนื่องจากนํ้าที่แช่เป็นนํ้าเค็ม เมื่อมาถูกแผลไฟลวกเข้า
ก็รู้สึกปวดแสบเหมือนเอามีดมาแทง
แต่ก็เป็นมีดที่อบอุ่น ทุกคนยินดีให้มันแทง

เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าไปยืนตัวแดง ๆ ด้วยแผลไฟลวกอยู่กลางถนน
ไม่เพียงแต่ร่างกายมนุษย์ ที่ลุกแดงช่วงโชติเหมือนถ่านในเตาไฟ
แม้กระทั่งเมืองทั้งเมืองก็แดงโร่ไปหมด

ท้องฟ้าก็แดงเสียจนมองแทบไม่เห็นท้องฟ้า เลยไม่รู้กันว่าจวนสว่างแล้ว
พอรุ่งเช้าทุกคนก็วิ่งฝ่ากลุ่ม ควันดำๆ

ที่ฟุ้งตลบอยู่เพื่อไปโรงพยาบาล แต่ทางที่จะไปนั้นระเกะระกะไปด้วยเศษเหล็ก
และซากบ้านเรือนที่พังทลาย มีเสียงคนนอนร้องครวญครางไปตลอด
ทุกระยะน่าสยดสยอง นั่นไม่ใช่เปรตหรืออสุรกายที่ไหน คนเหมือนกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2011, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้คนที่เสียชีวิตอย่างน้อยมีสามแสนคน ที่เหลือก็พิการ นอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลหรือตามบ้านโดยไม่มีใครเหลียวแล ผู้รอดชีวิตโดยบาดเจ็บเล็กน้อยมีไม่มาก

นายคิกกาวา เป็นหนึ่งในบุคคลที่รอดชีวิต และต้องทนอยู่อย่างทรมาน
เขาเล่าถึงความหลังว่า ขณะที่กำลังจะผลักประตูเข้าบ้าน
ทันทีที่รู้สึกว่ามีแสงประหลาด เขาก็ยกมือขึ้นปิดศีรษะ มือและหลังจึงโดนแสงนั้นเต็มที่
ต่อจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็พบว่ากำลังนอนอยู่ในบ้าน
ซึ่งเต็มไปด้วยเศษไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อย

เมื่อออกมานอกบ้าน ก็เห็นเพื่อนบ้านคนอื่นๆ วิ่งออกจากบ้าน ทุกคนเหลือแต่ร่างเปลือย
และตกใจเหมือนจะเป็นบ้า ตอนนั้นเขาไม่รู้สึกเจ็บ ต่อมาอีก ๒ วันจึงเจ็บมาก
เป็นไข้สูง ๔๐ กว่าองศา กินอะไรไม่ได้เลยอยู่ ๑ เดือน ผมร่วงหมด
เลือดออกจากจมูกและปากเสมอ เป็นเลือดดำ ไม่ใช่เลือดแดงอย่างที่เห็นกัน
และมีหนอนตัวเล็กๆ ออกมา จากผิวหนัง เขานอนเจ็บอยู่ในบ้านเล็กๆ
ที่ต่างจังหวัด ๖ เดือน ตลอดเวลานั้นกินได้แต่นํ้าอย่างเดียว

พ่อแม่ของเขาตาย หลังจากถูกระเบิด ๒ วัน เพราะทนพิษบาดแผลไม่ได้
คนที่เจ็บเพราะระเบิดปรมาณูโดยมากตายหมด เหลือไม่ตายราวสี่พันคน
พวกที่ตายถือว่าโชคดี คนโชคร้ายเท่านั้นที่รอดเหลือมา
เพราะต้องผจญกับความทรมาน อีกมากมาย ไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีใครอุปการะ
ตายเสียก็ไม่ตาย อยู่ไปก็มืดมนไร้อนาคต

เวลานี้ (๕ ปีหลังจากถูกระเบิด) ตัวนายคิกกาวามีแผลเป็นเต็มหลัง หมอได้พยายาม
ลอกเอาหนังที่เสียออก ๑๖ ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ลอกแล้วมันขึ้นมาใหม่ไม่เป็นหนังธรรมดาเลย
แต่เป็นหนังเสียทุกครั้งไป นอกจากนี้นิ้วมือเขาก็หงิกงอน่าทุเรศ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2011, 10:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


๓. นรกสวรรค์ที่เป็นปรโลก

(โลกอื่น) มองไม่เห็นด้วยตา ได้แก่สวรรค์ที่เป็นโลกจริงๆ มีเทวดาอยู่เป็นตัวเป็นตน
เสวยสุขอยู่จริงๆ และนรกที่เป็นโลกจริงๆ มีสัตว์นรกที่กำลังเสวยทุกข์อยู่จริงๆ
นรกสวรรค์ประเภทนี้ สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่รับรองว่า
โลกเรานี้เป็นสะเก็ดที่แตกออกมา จากดาวดวงมหึมา นอกจากโลกเราแล้ว
ยังมีดาวดวงอื่นๆ อีก ที่คล้ายคลึงกับโลกเรา ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน


เชื่อกันว่า ดาวที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้ามีประมาณ ๑,๐๐๐ ล้านดวง แต่ที่มองเห็นด้วยตาเปล่า
มีไม่เกิน ๖,๐๐๐ ดวง การนับดาวนับจากภาพที่ถ่ายโดยกล้องโทรทรรศน์
แล้วใช้เครื่องนับ ที่ทำงานด้วยแสงเลเซอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์
ดวงดาวจำนวนมากมายเหล่านั้น อาจจะมีสิ่งมีชีวิตที่เป็นอยู่ด้วย
ความประณีตสุขุม ดีกว่า


โลกของเราทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร อุณหภูมิ หรือดินฟ้าอากาศ
นี้แหละเรียกว่าโลกสวรรค์

ในทางตรงกันข้าม ก็อาจมีดาวบางดวง ซึ่งมีสิ่งมีชีวิต ที่เป็นอยู่ด้วยความลำบากยากแค้น
ยิ่งกว่าคนลำบากที่สุดในโลกของเรา อาหารก็ไม่ดี อุณหภูมิก็ไม่ดี ดินฟ้าอากาศก็ไม่ดี
นี้แหละนรกที่เป็นโลกอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2011, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


หลาวนั้นคืนสนอง

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ชายคนหนึ่งชื่อดำ เป็นชาวนาเกลือ แขวงบางละมุง จังหวัดชลบุรี
คราวหนึ่งได้รับจ้างเฝ้าไข่จะละเม็ด ที่เกาะคราม มีจีนผู้ร้ายมาขโมยไข่เนืองๆ
นายดำโกรธมาก พยายามคอยจับอยู่เสมอ

คืนหนึ่งนายดำ จับจีนผู้ร้ายที่มาลักไข่ได้ พร้อมทั้งของกลาง จึงเอาเชือกมัดขโมยไว้
เอาไม้ตีบ้าง เอามีดฟันบ้าง แต่ขโมยก็ยังไม่เป็นอันตรายสมใจ
จึงไปหาหลาวมาสวนทวารหนัก จนจีนนั้นขาดใจตาย
แล้วนำศพไปฝังไว้อย่างมิดชิด

ภายหลังนายดำได้บวชเป็นภิกษุ อยู่ที่วัดหนองเกตใหญ่หลายพรรษา และได้เป็นสมภารวัดนั้น เมื่อจวนมรณภาพ อาพาธเป็นโรคบิด ยังมีกำลังพอเดินไหว
ได้ไปถ่ายอุจจาระที่ถาน (ส้วม) ถานนั้นอยู่ในหมู่ต้นกล้วย ซึ่งมีหน่อมากมาย
พยายามถ่ายเท่าไรก็ถ่ายไม่ออก จึงลุกขึ้นยืนหมายจะกลับกุฏิ
เวลานั้นท่านรู้สึกว่า

มีอะไรเป็นก้อนดำมืด เคลื่อนเข้ามาตรงหน้าท่าน ท่านก็ซวนล้มลงนั่งทับหน่อกล้วยเต็มแรง
หน่อกล้วยสวนเข้าไปในทวารพอดี เมื่อกลับมากุฏิ
ก็ให้เด็กไปตัดหน่อกล้วยนั้น มาไว้ชี้ให้ผู้มาเยี่ยมดู แล้วเล่าเรื่องที่ท่าน
เคยใช้หลาวสวนทวารจีนขโมย ให้ฟังว่าผลกรรมมาถึงแล้ว
ท่านได้รับ ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่หลายวัน
ก่อนถึงมรณภาพ

(หลักกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด โดย วศิน อินทสระ)

ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
๑. ทำไว้อย่างไรย่อมได้อย่างนั้น ผู้เบียดเบียนย่อมได้รับการเบียดเบียนตอบ
ผู้ฆ่าย่อมได้รับการฆ่าตอบ

๒. ความทุกข์ที่สมภารดำได้รับ เพราะถูกหน่อกล้วยแทง เปรียบ เหมือนตกนรกในโลกนี้
ส่วนชาติหน้า ถ้ากรรมดีที่บวชพระให้ผล ก็จะไปเกิดในที่ดี
ถ้ากรรมชั่วที่ใช้หลาวสวนทวารจีนให้ผล ก็จะไปเกิดในที่ชั่ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2011, 10:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


กรรมที่ตามราวีท่านนายพล

เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์จริงของ พล.อ.ท. บุญทรง สุภานันท์
ซึ่งเดิมเป็นลูกชาวนายากจน แต่ด้วยปัญญาและความเพียร จึงเรียนจบปริญญาโทถึงสองสาขาจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ และมียศศักดิ์เป็นถึงพลอากาศโท
ผ่านการศึกษา อบรม ดูงาน สัมมนา ประชุม ในต่างประเทศ (เช่น สหรัฐฯ เยอรมัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น) มาแล้วหลายสิบครั้ง


พล.อ.ท. บุญทรง สุภานันท์ เล่าถึงความเจ็บป่วยครั้งสำคัญ ในชีวิตซึ่งเป็นเหตุให้ตัดสินใจบวชเอาเมื่อแก่ชรา ความว่า

ดูเอาเถอะ ทำไมถึงต้องมีเวรกรรมตามราวีเอาตอนแก่ ต้องเจ็บป่วยตรงอวัยวะที่สำคัญที่สุด
คือ หัวใจ กล่าวคือ เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๑ (อายุ ๗๑ ปี)

ผมต้องเข้ารับการผ่าตัดหัวใจ ที่โรงพยาบาลภูมิพล การผ่าตัดกินเวลา ๗ ชั่วโมงครึ่ง
ผมถูกแหวะหน้าอกเพื่อควักเอาหัวใจออกมา แล้วถูกผ่าที่หัวใจ
เพื่อตัดเนื้องอก ๔ ชิ้นในห้องซ้ายบนออก

ในเนื้อที่แคบๆ เช่นนั้น เหตุไฉนจึงมีเนื้องอกเบียดเสียดแออัดอยู่ถึง ๔ ชิ้น โอกาสที่จะมีเนื้องอกเช่นนี้ ในล้านคนจะมีเพียง ๒ คนเท่านั้น
หลังการผ่าตัด ขณะนอนอยู่บนเตียงคนไข้ ภาพในอดีตสมัยที่ผมอายุ ๑๓-๑๔ ปี
ได้ปรากฏขึ้น

นกปรอดตัวงาม มีลูกกระสุนฝังอยู่ในหน้าอก ผมผ่าอกนกเอาลูกกระสุนออกมา
อวดเพื่อนด้วยความคึกคะนอง แถมยังย่างนก แบ่งชิ้นส่วนที่กรอบอร่อยให้เพื่อนลองลิ้ม
ภูมิอกภูมิใจ ในฝีมืออันแม่นยำของตน

หารู้ไม่ว่า กรรมที่ทำกับนกมันจะติดจรวดตามทันได้ในชาตินี้ จึงถูกแหกอกและควักหัวใจออกมาตัดเนื้อส่วนเกินออกไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2011, 10:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนหน้านี้ คือเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๔๑ ที่โรงพยาบาลเดียวกันนี้
ผมก็ถูกผ่าเอาลำไส้ออกไปครึ่งหนึ่ง รวมทั้งเนื้อร้ายในช่องท้องออกไปเกือบ ๑ กก.
เป็นการผ่าตัดใหญ่ กินเวลา ๘ ชั่วโมงครึ่ง

เมื่อถูกผ่าเอาเนื้อร้ายออกนั้น ผมยังไม่เฉลียวใจ แต่ในการผ่าตัดครั้งหลังนี้ ผมแน่ใจแล้ว
ว่าเป็นเรื่องของเวรกรรมที่ตามมาสนอง เพราะภาพนกปรอดตัวนั้นปรากฏขึ้นชัดเจนมาก
นี้แหละหนา ผลแห่งกรรมที่ทาไว้เอง ไม่ต้องไปโทษผู้อื่นเลย

เพียงแค่ ๔ เดือน ถูกผ่าตัดใหญ่ถึง ๒ ครั้ง เห็นทีผมจะต้องบวช เพื่อชดใช้เวรกรรมสักพักหนึ่งดีกว่า เพราะถ้าถูกผ่าตัดอีกครั้งผมคงไม่ไหวแน่

ขณะที่อยู่ในสมณเพศ (๑-๑๗ เม.ย. ๒๕๔๒ ณ วัดโสมนัสวิหาร) ที่ขมับซ้ายของศีรษะอันโล้นเลี่ยนของพระพล.อ.ท.บุญทรง มีรอยแผลผ่าตัดขนาดใหญ่
ลักษณะคล้ายตัว "ก" เห็นได้ชัด เมื่อเพื่อนพระภิกษุถามถึงรอยแผลนั้น
พระพล.อ.ท. บุญทรงก็เล่าว่า

สมัยที่ผมเป็นนาวาอากาศเอก (ประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๘-๑๙) บ่ายวันหนึ่ง จำได้ว่าเป็นวันศุกร์ ขณะที่กำลังเล่นกอล์ฟ อยู่ที่สนามกอล์ฟของกองทัพอากาศ
อยู่ๆ ผมก็ต้องล้มลงทั้งยืน เพราะถูกลูกกอล์ฟที่เหาะมาอย่างรวดเร็ว
(ด้วยแรงคน ส่วนทิศทางคงจะถูกควบคุมด้วยแรงกรรม)
กระแทกเข้าที่เหนือขมับซ้ายอย่างจัง จนศีรษะและเส้นเลือดในสมองแตก
เลือดไหลออกมา ราวกับท่อนํ้าประปาแตก

ผมถูกนำตัวส่ง รพ. ภูมิพลอย่างรีบด่วน และได้รับการผ่าตัดสมองทันที
เริ่มตั้งแต่ ๕ โมงเย็น จนถึง ๕ ทุ่ม ๖ ชั่วโมงเต็มที่

น.พ.คำพร ชาญวิเศษ (พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นนาวาอากาศเอกพิเศษ) ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ
จึงยื้อยุดชีวิตผม จากพญามัจจุราชได้ นับเป็นเคราะห์ดีในเคราะห์ร้าย
เพราะถ้าไปถึงโรงพยาบาล ช้าอีกเพียงชั่วโมงเดียว
หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง อย่างน.พ. คำพรไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล ผมคงตายแน่

ผมเชื่อมั่นว่า เคราะห์ร้ายครั้งนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นผลของบาปกรรมที่ผมทำไว้
กล่าวคือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2011, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ในวัยเดียวกับที่ผมยิงเจ้านกปรอดตัวนั้น วันหนึ่ง ไก่ตัวหนึ่งที่ผมเลี้ยงไว้ในบ้าน
กำลังเดินอยู่ดีๆ ก็ถูกผมตีที่หัว ด้วยตะลุมพุกจนตายคาที่ เพราะผมเกิดหมั่นไส้มันขึ้นมาอย่างฉับพลันโดยไร้สาเหตุ

ไก่ตายไปโดยไม่ทันรู้ตัว (และลงหม้อแกงไป) ส่วนผมก็ถูก น็อกโดยไม่ทันรู้ตัว
แต่ยังโชคดีที่ไม่ต้องลงโลง


บัดนี้ผมได้บวชเรียน รู้จักบาปบุญคุณโทษ และรู้สึกเข็ดหลาบแล้ว เพราะถูกผ่าตัด
จนแทบจะทั่วทั้งตัว ต่อไปผมจะไม่ขอทำบาปอีก ที่เล่ามานี้ก็เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่า
บาปกรรมนั้นมีจริง

(จากคาบอกเล่าของพล.อ.ท. บุญทรง สุภานันท์ โทร.๕๑๓-๑๐๗๑)


ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้

๑. การที่ท่านนายพลถูกผ่าตัดใหญ่ถึง ๓ ครั้ง น่าจะเป็นผลจากการรังแกสัตว์ในวัยเด็ก
ถ้าไม่ใช่ ก็เป็นผลแห่งบาปกรรมทำนองนี้ในชาติก่อนๆ

๒. ในวัยเด็ก ผู้เรียบเรียงเองก็เคยรังแก หรือฆ่าสัตว์เล็กไว้มาก เ ช่น กระทืบหรือจุดไฟเผามด ยิงจิ้งจก ด้วยหนังยาง (ที่ใช้รัดของ) จนตายหรือพิการ
จับจิ้งหรีดมาขังแล้วบังคับให้กัดกัน ตัวไหนแพ้ ก็จับปั่นจนมึนแล้วให้กัดกันอีก
จนถูก (โยม) แม่ดุว่า "บ้าจิ้งหรีด" ส่วนการยิงนกตกปลามีน้อย


บัดนี้ บาปกรรมที่รังแกสัตว์ (ในชาตินี้หรือชาติก่อนๆ) คงตามทัน ผู้เรียบเรียงจึงป่วย
ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๓๒ ด้วยโรคประหลาด มีอาการอักเสบตามข้อ เส้นเอ็น และเนื้อเยื่อ
ตามตัวเป็นประจำ มากบ้าง น้อยบ้าง

วันนี้เดินได้เป็นปกติ พรุ่งนี้อาจปวดขาจนเดินแทบไม่ไหว โรคนี้ (A.S.) หมอยังไม่ทราบสาเหตุ จึงรักษาไม่หาย แต่ไม่ถึงตาย แค่ทำให้ทรมาน ผู้เรียบเรียงจึงเชื่อว่า
นี้คือโรคเวรโรคกรรมที่ตามมาราวี

๓. เมื่อทำบาปแล้ว ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เชื่อในบุญบาปหรือไม่เชื่อ ย่อมได้รับผล
ของบาปเสมอกันหมด ไม่มีการลดหย่อนให้เหมือนทางโลก
ซึ่งศาลอาจลดโทษให้แก่จำเลย ที่เป็นเด็กหรือเยาวชน
เรื่องดังกล่าว จึงเป็นบทเรียนอย่างดีแก่เด็ก หรือผู้ใหญ่) ที่ซุกซนและใจร้าย
:b8: :b8: :b8: :b41: :b45: :b55:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร