วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 23:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2010, 07:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๑๕. ขัดขวาง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พระเจ้าจิตราชทรงเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เสด็จประทับนาวา มีสมเด็จพระสังฆราชาและพระครูทั้ง ๔ ร่วมด้วย กุศลเสนาทั้งหลาย เสด็จเดินทาง พอได้เวลานาวาธรรมก็แล่นออกจากท่ามุ่งตรงไปสู่ อมตมหานคร

ฝ่ายนางอวิชชา และนางตัณหา มเหสีทั้งสอง เมื่อทราบว่าพระเจ้าจิตราชพระสวามีเสด็จไปสู่อมตมหานคร นางโศกเศร้าเสียใจอย่างสุดแสนประหนึ่งว่าถูกศรมาเสียบอก จึงเรียกพวกสาวสวรรค์กำนัลใน พร้อมด้วยเหล่าเสนามาตย์ราชบริพารฝ่ายอกุศลจิต ให้รีบตามพระสวามี

ครั้นมาถึงท่าน้ำก็เห็นพระสามีนั่งอยู่บนเรืออันงามสง่า พร้อมด้วยพระสังฆราชาธรรมมุนี พระสงฆ์ฐานา ๔ รูปและเสนาฝ่ายกุศล นางอวิชชาและนางตัณหาจึงกู่ก้องร้องไห้คร่ำครวญ ร้องเรียกพระสามีให้เสด็จกลับ “หม่อมพี่เพค่ะ กลับมาหาน้องทั้งสองเถิด อย่าได้เสด็จห่างน้องเลย น้องทำอะไรผิดจะกลับตัวเสียใหม่เพื่อให้พอพระทัย อีกทั้งหม่อมฉันทั้งสองหมั่นปรนนิบัติหม่อมแก้วมาแต่ช้านาน จำไม่ไม่ได้หรือเพค่ะ เสด็จกลับมาหาน้องทั้งสองเถิดเพค่ะเสด็จพี่”

พระเจ้าจิตราชราชาได้สดับเสียงนางทั้งสองร้องเรียก ทรงรู้สึกขยะแขยงในเสียงของนางเป็นอย่างยิ่ง จึงตรัสตอบไปด้วยพระสุระเสียงอันเยาะเย้ยว่า “นี่แนะ แม่นางทั้งสอง เจ้าอย่ามาหน่วงเหนี่ยวเราให้เสียเวลาเลย เราไม่กลับไปลุ่มหลงในความยั่วยวนของเจ้าอีกแล้ว เจ้าทำให้เราวนเวียนอยู่ในความทุกข์ทรมานตลอดมา เราไม่ไปหาเจ้าอีกแล้ว เจ้าทั้งสองยังสาวยังสวยอยู่พอที่จะหาคู่ครองใหม่ได้ ขอให้เจ้าทั้งสองจงไปหาคู่ใหม่ได้ครองตามชอบใจเถิด”

นางอวิชชาและนางตัณหา ครั้นได้ยินคำเหน็บแนม เย้ยหยันจากพระสามีก็เศร้าโศรกเสียใจ ร้องไห้เป็นวักเป็นเวร คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะพระสังฆราชายุแหย่ชักชวนพระสามีให้หลีกลี้หนีไปจากนาง จึงตัดพ้อต่อว่าพระสังฆราชาว่า “ท่านเป็นชีบานาสงฆ์ ไม่ควรจะมาก่อกรรมทำเข็ญให้ชาวบ้านเดือดร้อน ทำให้ผัวเมียเขาพลัดพรากจากกัน ชาติหน้าขออย่าให้ท่านอย่าได้พบผู้หญิงเลย ขอให้ท่านส่งพระสามีของเรากลับมาเสียโดยดีเถิด มิฉะนั้นเราจักประจานท่านอยู่ตลอดไป”

พระสังฆราชาจึงตอบไปว่า “โธ่เอ้ย แม่สีกาตัณหามาก กับมาตุคามอวิชชาหน้าโง่ ดูเจ้าช่างไม่มียางอายเสียเลย ในเมื่อสามีเจ้าหมดอาลัยเสียแล้ว ยังมาขืนมาทำเป็นสำออยหวังจะให้กลับไปเชยชิด นางทั้งสองจงกลับไปเสียเถิด อย่ามาเซ้าซี้ให้เสียเวลาเลย ไม่มีหวังที่จะให้พระสามีของนางกลับไปได้แล้ว ที่ท่านสาปแช่งเรา ขออย่าให้พบผู้หญิงนั้น อันที่จริงถูกใจเรายิ่งนัก เราเห็นเป็นพรอันประเสริฐที่ท่านให้แก่เรามากกว่าจะเป็นคำสาปแช่ง เพราะที่เราบวชอยู่ได้จนบัดนี้ ก็เพราะเราไม่ปรารถนาผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ครอง แล้วเราก็พยายามจะอยู่ให้ห่างไกลจากผู้หญิง ไปให้ไกลแสนไกล ถึงหากจะบังเอิญพบเราก็ไม่ยินดีด้วยอำนาจราคะตัณหาเป็นอันขาด สีกาทั้งสองอย่ามาพูดจาข่มขู่เราเลย บาปกรรมจะกลับไปถึงตัว ตัดใจเสียเถิด”

สองมเหสีได้ฟังคำปรามาสของพระสังฆราชายิ่งเดือดดาลเป็นที่สุด ตะโกนแหว สั่งให้เหล่าเสนาอกุศล โจมตีทันที หลวงโลโภ หลวงโทโส หลวงโมโห ได้ฟังคำสั่งสองนาง ต่างก็ระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ บ้างก็พุ่งหอก หมายจะสังหารพระสังฆราชาและท้าวจิตราช พร้อมด้วยเสนาเหล่ากุศลให้พินาศไป ทั้งตั้งใจจะทำลายนาวาให้ล่มจมลงไปกลางวารี

แต่เดชะปาฏิหาริย์ ลูกเกาทัณฑ์ หอก ที่พุ่งไปนั้น กลับย้อนมายังนางทั้งสองและบริวาร ทำให้เหล่าเสนาอกุศลต้องเสียชีวิตทันที เหลือเพียงนางอวิชชาและนางตัณหามเหสียังมิเป็นไร

ท้าวจิตราชเห็นมเหสียังคงดิ้นรนร้องเรียกอยู่ริมฝั่ง จึงคิดกำจัดเสียเพราะขืนพูดดีอยู่ไม่ได้ อนุสัยเก่าจะกำเริบ จึงจับพระขรรค์ปัญญาวุธกวาดแกว่ง รวบรวมกำลังใจในจิตให้เต็มที่ นัยน์ตาจ้องมองนางทั้งสองอย่างเวทนา ข่มพระหทัย หลับพระเนตร ขว้างพระขรรค์ปัญญาวุธไปถูกอกนางทั้งสอง อวิชชามเหสีและตัณหาชายาต่างดิ้นด้วยความเจ็บปวด แล้วก็พลัดตกลงไปในแม่น้ำตายไปด้วยกันทั้งคู่ เมื่อปราบเหล่าอกุศลราบคาบแล้ว ท้าวจิตราชก็ทรงแล่นเรือต่อไปสู่อมตะมหานคร


(มีต่อ >>>>> ๑๖. สู่อมตมหานคร)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2010, 07:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

๑๖. สู่อมตมหานคร

จะกล่าวถึงหลวงพยาธิและขุนโรคา ครั้นเห็นท้าวจิตราชล่องนาวาธรรม ทิ้งพระนคร มิมีท่าทีต่อกร จึงชวนหลวงชราไปเข้าเฝ้าพระยามัจจุราชราชา กราบทูลความ “ขอเดชะ เหล่าข้าพระพุทธเจ้า ได้ช่วยกันโจมตีกายนครได้แล้ว จิตราชราชาเสด็จล่องนาวาธรรมหลีกลี้หนีพระองค์ไปสู่ อมตมหานคร พระองค์รีบเสด็จตามไปเถิด พระเจ้าข้า”

พระยามัจจุราชกษัตริย์ได้สดับคำกราบทูลของเหล่าทแกล้วมรณานครดังนั้น จึงระสั่งระดมพลครั้งสุดท้าย ยกออกติดตามท้าวจิตราชทันที ครั้งถึงฝั่งมหานที ทัพของมัจจุราชบรมกษัตริย์ก็มิอาจยกไปให้ทันได้เสียแล้ว พระยามัจจุราชแค้นพระทัยมาก จึงรับสั่งให้ หลวงมรณัง ทหารเอกตามไปสังหารให้จงได้

หลวงมรณังทหารเอกเมื่อได้รับพระบัญชาดังนั้น จึงรีบเหิรเวหานภาอากาศติดตามจิตตราชราชา กับเหล่ายมบาลทหารกล้าของหลวงมรณัง ครั้นทัพของหลวงมรณัง ถึงนาวาธรรมของพระยาจิตราช ก็ต่างเร่งโจมตีหวังจะจู่โจมล่มเรือของท้าวจิตราชให้ได้ แต่ก็มิสามารถ แม้แต่จะเอื้อมไปจับเสากระโดงเรือได้ จะทำอย่างไรๆ ก็ไม่อาจล่มเรือได้ บรรดาเหล่ากุศลเสนาของจิตราชราชาที่อยู่ในเรือต่างก็หัวเราะอยู่อึงมี่ ที่กองทัพของพระยามัจจุราชมิอาจสามารถทำอะไรได้

ท้าวจิตราชทรงมีพระทัยผ่องแผ้ว ทรงสำรวลร่าเริง ที่ทัพของพระยามัจจุราชไม่สามารถทำอะไรได้ จึงมีพระวาจากู่ก้องนภากาศ กังวาลไปกระทบโสตของพระยามัจจุราช ที่ฝั่งมหานที ว่า “ดูกร ท้าวมัจจุราช ท่านอย่ามาราวีเสียให้ยากเลย พระองค์ท่านแลบริวารทำอะไรเราไม่ได้ดอก เรายกเมืองให้ท่านแล้ว เชิญเอาไปตามสบายเถิด ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในนั้นเรายกให้ เชิญกลับไปเถิดเราจะไม่เจอะเจอกับท่านอีกต่อไปแล้ว เชิญกลับไปเถิด”

พระยามัจจุราชเห็นว่าสุดกำลังที่จะติดตามไปได้แล้ว จึงรับสั่งเรียกหลวงมรณังพร้อมกองทัพยมบาล แลกำลังพลทั้งหลายกลับตีเมืองอื่นต่อไป

ท้าวจิตราชเมื่อเห็นข้าศึกกลับไปหมดแล้ว ก็แล่นนาวาต่อไป ท้องนทีธารเรียบเงียบสงัด ไม่มีคลื่น ไม่มีลม นภากาศแม้ค่ำมืดแต่ยังสว่างไปด้วยแสงธรรม ในไม่ช้านาวาธรรมก็ถึงอมตมหานคร

อมตมหานคร นี้ มีศีลเป็นกำแพงเมือง มีปัญญาเป็นหอรบ อินทรีย์สังวรเป็นทวารบาล อัษฎางคิกมรรคเป็นวิถีทางในนคร โพธิปักขิยธรรม ๓๗ เป็นพระคลังหลวง ภาวนาเป็นยอดปราสาท พระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ เป็นพระราชอาสน์ พระไตรลักษณ์เป็นห้องบรรทม พระวิมุตติญาณทัศนะเป็นดวงประทีป เมตตาเป็นสระโบกขรณี กรุณาเป็นสายธารา มุทิตาเป็นต้นกัลปพฤกษ์ อุเบกขาเป็นเนินทราย เมืองนี้เป็นเมืองที่อยู่ของพระอริยะ เป็นเมืองบรมสุข ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย คติธรรมประจำเมือง คือ

นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ – พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
นตฺถิ สนฺติ ปรมํ สุขํ – สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ฯ


ท้ายสุด พระเจ้าจิตราชราชาบรมกษัตริย์แห่งมหาอมตมหานคร ทรงมีพระราชสารมายังทุกท่านว่า “ณ ที่นี้ เราคอยต้องรับพวกท่านอยู่ เพียงแต่ท่านพร้อมหรือยังที่จะมาสู่อมตมหานคร”



----- อวสาน กายนครา นิฏฐิตา -----

:b8: :b8: :b8:

ที่มาของหนังสือ.....กายนคร
โดย นายแปลก สนธิรักษ์
เรียบเรียงใหม่โดย คนธรรมดา อธิมุตโต

http://www.thummada.com/

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร