วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 23:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2009, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ชีวิตเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ที่พัฒนาแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสุขทั้งในปัจจุบันและภายหน้า
พัฒนาด้วยการฝึก กาย วาจา ใจให้สุจริต คือ ประพฤติดี ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น
การไม่เบียด เบียน คือ ความสำรวมในสัตว์ทั้งหลายเป็นสุขในโลก
(อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โล เก ปาณภูเตสุ สญฺโม)

พุทธอุทาน 25/86

มนุษย์เราไร้ความสุข เพราะเบียดเบียนกันบ้าง เบียดเบียนตนเองบ้าง
เพราะไม่ได้ฝึก ไม่ได้พัฒนาตน กล่าวกันว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ
ควรจะเติมให้ถูกต้องสมบูรณ์ว่า “มนุษย์ที่ฝึกตนแล้วเป็นผู้ประเสริฐ”
(ทนฺโต เสฏฺโ มนุสฺเส สุ) ที่ไม่ฝึกตนหาประเสริฐไม่
ซ้ำยังร้ายยิ่งกว่าสัตว์ประเภทอื่นเสียอีก
เพราะมีเครื่องมือที่มีสมรรถภาพสูงในการทำร้ายผู้อื่น
เสือว่าร้าย ยังฆ่าคนได้ไม่มากเท่าคนฆ่ากันเอง
คนที่ยังไม่ได้ฝึกจึงร้ายกว่าเสือ
แต่ที่ฝึก ให้มีคุณธรรมดีแล้วประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ด้วยกัน
ดังพระพุทธพจน์ ว่า “วิชฺชาจรณสมฺปนฺโนโส เสฏฺโฐ เทวมานุเส
ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้ดี และความประพฤติดี ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์”
การฝึกตนให้เป็นคนดี มีความสัมพันธ์กันมากกับความสุขในปัจจุบัน
สังคมที่มีคนชั่วมากก็ย่อมจะมีทุกข์มาก เพราะคนทำชั่วหาความสุขได้ยาก
(น หิ ตํ สุลภํ โหติ สุขํ ทุกฺกฏการิ นา)
ตรงกันข้าม คนทำดีย่อมหาความสุขได้ง่าย
เมื่อคนดีรวมกันอยู่มากๆ ความสุขก็เพิ่มพูนขึ้น
ดังพระพุทธพจน์ว่า “ธีโร จ สุขสํวาโส ญาตีนํว สมาคโม
การอยู่ร่วมกับคนดี ทำให้เกิดสุข เหมือนอยู่ในหมู่ญาติที่ดี”
“อทสฺสเนน พา ลานํ นิจฺจเมว สุขี สิยา
บุคคลจะพึงอยู่เป็นสุขได้เป็นนิตย์
เพราะไม่พบเห็นคนพาลหรือไม่คบหาสมาคมกับคนพาล”
คนพาลในตัวเราก็มี คือ คราวใดใจเป็นพาล คราวนั้นเราก็เป็นคนพาล
บางทีเรามัวระวังคนพาลข้างนอก
จนลืมนึกถึง คนพาลข้างใน คือ ความชั่วต่างๆ ในตัวเรา
กล่าวคือ ความโลภ โกรธ หลง
ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า คนพาลภายใน ศัตรูภายใน
ข้าศึกภายในซึ่งนำทุกข์มาให้เรา ครั้งแล้วครั้งเล่า
เบียดเบียนสุขของเราครั้งแล้วครั้งเล่า
การพัฒนาชีวิต เพื่อความสุขในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้อง
ขจัดขัดเกลาศัตรูภายในของเราด้วยความตั้งใจและสม่ำเสมอ
แม้ทีละน้อยก็ตาม จึงจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน

คัดลอกจาก...การพัฒนาชีวิตเพื่อความสุขในปัจจุบัน (อาจารย์วศิน อินทสระ)
http://www.ruendham.com/book_detail.php ... %B9%202542

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2009, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สวัสดี ท่านผู้ฟังที่เคารพทุกท่าน นี่คือรายการ “ธรรมและ ทรรศนะชีวิต”
ตั้งแต่วัน จันทร์ - วันศุกร์ เวลาเดียวกันนี้ สองทุ่มสามสิบห้านาทีโดยประมาณ
ผม วศิน อินทสระ จะได้มาพบกับท่านผู้ฟังในรายการนี้
วันนี้เป็นวัน ศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2542 นะครับ

การพัฒนาชีวิต เพื่อความสุขในปัจจุบัน หรือเพื่อการอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
ขอพูดโดยวิธี การตั้งคำถามขึ้นมาก่อน คือ “การพัฒนาคืออะไร”
เราจะตอบง่ายๆ ก็คือ “การกระทำที่เป็นเหตุ
ให้บางสิ่งบางอย่างเจริญเติบโตขึ้นหรือขยายตัวออก
เช่น ต้นพืช พัฒนาขึ้นมาจากเมล็ดพืช ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ลูกไก่ เติบโต ขึ้นมาจากฟองไข่
และก็จะออกมาเป็นตัวเมื่อแม่ไก่ฟักดีแล้ว
หรือได้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้เหมือนหรือคล้ายกับที่แม่ไก่ทำ

เรื่องราวต่างๆ เจริญเติบโตอยู่ในใจของผู้ประพันธ์ก่อน แล้วออกมาเป็นบทประพันธ์
ใครๆ ที่มาเห็นกรุงเทพฯ ต่างก็เห็นว่ากรุงเทพฯ พัฒนาไปมากจนเกือบจำไม่ได้
ไปไหนไม่ถูกถ้า 3 - 4 ปี หรือ 5 - 6 ปี มาเห็นสักครั้งหนึ่ง
ไปไหน ไม่ถูก คนมากขึ้น บางทีก็เพียงเทอมเดียว 4 เดือน 5 เดือนไปไม่ถูกแล้ว
เคยไปทางเก่าแล้วทางมันเปลี่ยนไปยังไงไม่ทราบ
คนมากขึ้นตัวเมืองขยายออกจนเป็น เรื่องรกรุงรัง ไม่สงบเรียบร้อย
การจราจรติดขัดอย่างใหญ่หลวง เพราะความมาก
หรือความเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ด้อยคุณภาพ
การพัฒนาต้องคำนึงถึง คุณภาพด้วย
ไม่ใช่ว่าให้เจริญเติบโตขึ้นให้ขยายออกโดยไร้คุณภาพ
ต้องมี คุณภาพด้วยถึงจะดี
สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ “ผลของการพัฒนานั้นเป็นอย่าง ไร”
คือว่า รก รุงรัง ยุ่งเหยิง หรือว่าสงบ เป็นระเบียบเรียบร้อยน่าชื่นชม
หรือเป็นอย่างไรมันก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพ
ถ้าด้อยคุณภาพก็ยุ่งเหยิง สับสน
ถ้ามีคุณภาพดีก็จะสงบเรียบร้อย
ถ้าในที่ประชุมแห่งหนึ่งมีคนมาประชุมกันเป็นจำนวนมาก
แต่สงบเรียบร้อยดี เพราะว่าคนมีคุณภาพ ก็สงบเรียบร้อย
แต่ว่า ถ้าเอาพวกนักเลงสุรามากินเหล้าคุยกันแค่สัก 4 - 5 คน
มันก็ จะหนวกหูไปทั้งห้อง ถ้าเป็นห้องประชุมก็จะหนวกหูไปทั้งห้องประชุม

การพัฒนาชีวิตเพื่อความสุขในปัจจุบันหรือในอนาคต
ก็ตามเราก็จะต้องพัฒนาคน หรือพัฒนาตนให้มีคุณภาพ
อันที่จริง “เราพัฒนาใครไม่ได้ ถ้าเขาไม่พัฒนาตนเอง”
ชีวิตที่ดี คือ ชีวิตที่มีคุณภาพ
ชีวิตจะมีคุณภาพได้ต้องมี คุณธรรม
คุณธรรมจะมีได้ก็ด้วยการฝึกฝนอบรม


วันนี้ก็จวนจะเข้าพรรษา เดือนหน้าก็จะเป็นเดือนเข้าพรรษา
มีผู้ปรารภเรื่องการบวชกันมากขึ้นนะครับ
บวชในพรรษา พ่อแม่อยากจะให้ลูกบวชเพื่อสนองคุณมารดาบิดา
แม่ก็เป็นห่วง บางทีถ้าลูกชายแต่งงานไปแล้ว แม่เป็นห่วงว่าจะได้บุญน้อยไป
ข้างฝ่ายภรรยาอยากจะได้บุญมากจากการที่สามีบวช
ก็เลยค่อนข้างจะ กุลีกุจอกันในการที่จะช่วยเหลือในการบวชของลูกชายหรือสามี

แล้วบางคน ก็อยากถาม จะโทรฯ ไปถามท่านผู้รู้ว่า
เมื่อลูกชายแต่งงานแล้วค่อยบวช
โบราณ เขาบอกว่า บุญจะได้กับภรรยาเสียหมดแล้วแม่จะไม่ได้บุญ
เป็นความจริงแค่ไหน เพียงไร
เพราะฉะนั้น แม่หลายคนอยากจะให้ลูกบวชเสียก่อนแต่งงาน
เพื่อว่าแม่ จะได้บุญเต็มที่ ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ภรรยาบางคนอยากจะได้บุญเหมือนกัน ก็เลยบวชให้แม่
แล้วบอกว่า อ้าว! บวชให้เมียบ้างสิ เลยบวชอีกที บวชให้เมีย

ความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่โบราณแล้ว
เพราะว่าบวช โปรดพ่อโปรดแม่
ผมคิดว่าน่าจะเปลี่ยนความคิดเสียใหม่
พ่อแม่หรือภรรยาก็ตามน่าจะเปลี่ยนความคิดเสียใหม่
คือ อย่าไปคิดจะเอาบุญจากที่พระบวชเลย
ขอให้คิดเสียใหม่ว่า “พระที่บวช เข้าไปนั้นจะได้อะไร”
แต่อย่าไปคิดว่าแม่จะได้อะไร ภรรยาจะได้อะไร
ขอให้คิด ว่าพระที่เข้าไปบวชท่านจะได้อะไร
ได้ธรรมะสักเท่าไร ได้ปัญญาสักเท่าไร
ควรจะตั้งเข็มเอาไว้ว่า ไปบวชเพื่อจะได้ธรรมะ
เพื่อจะได้ปัญญาเอามาใช้
ถ้าจะสึก เราก็จะได้เอามาใช้ในชีวิตฆราวาสเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน
ถ้าลูกบวชแล้วเป็นคนดี ตอนที่อยู่เป็นพระก็เป็นพระที่ดี
สึกมาแล้วก็เป็นฆราวาสที่ดี นั่นแหละ คือพ่อแม่ได้บุญ บุญมันอยู่ตรงนั้น
เมียก็ยิ่งได้บุญใหญ่เลยถ้าเผื่อได้สามีดี ก็ยิ่งเป็นบุญใหญ่เลย
ใครๆ ก็อิจฉา ใครๆ ก็อยากได้ ใครๆ ก็บอกว่ามี บุญ
ผู้หญิงคนนั้นมีบุญที่ได้สามีดี มันมีบุญตรงที่ได้ดี
แม่ก็ได้ลูกดี ภรรยาก็ได้สามีดี
บุญมันอยู่ตรงนั้น มันไม่ได้อยู่ที่ว่าลูกห่มผ้าเหลือง แล้วก็แม่ได้บุญ
ไม่รู้ว่าบวชแล้วห่มผ้าเหลืองแล้ว ไปทำอะไรอยู่ในวัด
ถ้าบวชแล้วไปนั่งแก้นาฬิกาอยู่ในวัด จะได้บุญอะไร สักแต่ว่าห่มผ้าเหลือง

เพราะ ฉะนั้น พ่อแม่ ญาติพี่น้องหรือภรรยา
ที่ต้องการให้ลูกบวชในหน้าเข้าพรรษานี้
ควรจะคิดเสียใหม่ แทนที่จะคิดว่าเราจะได้บุญสักเท่าไหร่
จะได้บุญสักกี่เปอร์เซ็นต์ ภรรยาจะได้สักกี่เปอร์เซ็นต์เป็นห่วงกันเหลือเกิน
แม่จะได้สักกี่เปอร์เซ็นต์อย่าไปห่วงเรื่องนั้นเลยครับ
ห่วงเรื่องพระบวชไปแล้วไปทำอะไร
ถ้าเผื่อว่าไปศึกษาพระธรรมวินัยอบรมตนให้เป็นคนดี เป็นพระที่ดี
สึกออกมาแล้วเป็นคนดี
เอาธรรมะเอาปัญญาที่ไปร่ำเรียนนั่นแหละมาใช้ในชีวิตประจำวัน
นั่นคือ ยอดของบุญ
อย่าไปเป็นห่วงเลยว่าพระห่มผ้าเหลือง
จะเกาะชายผ้าเหลืองลูกไปสวรรค์วิมานอะไร
อย่าไปคิดเลยครับ มันเก่าเหลือเกินแล้ว
ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเกาะชายผ้าเหลืองลูก เพื่อไปสวรรค์ไปวิมานอะไร
ให้ลูกเขาบวช เพื่อตัวเองเถอะ
ไม่ต้องบวชโปรดพ่อโปรดแม่หรอก ให้เขาโปรดตัวเองให้ได้เถอะ
ให้เขาเป็นคนดี ให้เขาพ้นจากอบายเถอะ ยังไงก็ให้พ้นจากอบายมุข
บางคนบวชแล้วตั้งหลายปีสึกออกมา
ก็ฝักใฝ่อบายมุขทุกอย่าง แล้วจะได้บุญอะไร
บางท่านบวชอยู่ก็ไปเป็นพระเสเพลก็มี แล้วจะไปได้บุญอะไร

เพราะ ฉะนั้น ก็ขอให้คิดกันใหม่สำหรับบุญที่จะทำ
แม่ต้องทำเอาเอง ภรรยาก็ต้องทำเอาเอง
อยากได้บุญต้องทำเอาเอง อย่าไปหวังพึ่งบุญจากที่พระบวชเลย
พระบวชก็ ให้ไปบวชเพื่อจะฝึกอบรมตนให้เป็นคนดี แล้วก็จะเป็นคนมีบุญ
ไม่ใช่เพื่อจะ โปรดพ่อโปรดแม่อะไร มันไม่สมเหตุสมผลพูดกันไปอย่างนั้น

เวลานั้นเราไม่ได้เรียนหนังสือ คนโบราณไม่ได้เรียนหนังสือ
คนที่จะเรียนหนังสือ ต้องไปเรียนในวัด
บวชแล้วได้เรียนหนังสือ ได้รู้หนังสือ ได้รู้ผิดรู้ ถูก ได้รู้ดีรู้ชั่ว
แล้วก็ทำให้พ่อแม่สบายใจนอนตาหลับ นั่นคือ โปรดพ่อแม่
มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า สำเร็จผลประโยชน์ตามนั้นหรือเปล่า
ถ้าได้ สำเร็จตามนั้นก็ถือว่าโปรดแล้วต้องโปรดตัวเองก่อน

บางคน ก็มาลา มาลาผู้พูดนี่แหละ มาลาผมไปบวชในฐานะที่เคารพนับถือ
บอกว่าบวช แล้วเพื่อจะได้เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย
ผมบอกว่า ทำไมเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยเร็วนัก
สักแต่ว่าไปบวชห่มผ้าเหลือง แล้วก็เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยอย่างนั้นหรือ
ลองท่องสังฆคุณให้ดูสิ ตามสังฆคุณผู้ที่จะเป็นพระรัตนตรัย
อยู่ในรัตนตรัยต้องเป็นพระอริยะ
ต้องเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปนั่นแหละ เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย
เป็นสงฆ์ เป็นสังฆะ แต่ถ้าบวชเป็น สมมุติสงฆ์นี่ยัง
เพราะยังไม่เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย
เป็นแต่เพียงผู้พยายามปฏิบัติเพื่อจะเป็นคนดี
หรืออย่างน้อยก็เพื่อที่จะเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยในโอกาสข้างหน้า
เหมือนกับว่า เราต้องทำความเข้าใจกันให้ถูกต้อง
ไม่ใช่สักแต่ว่าทำกันพอเป็นพิธีหรือว่าถือกันมาอย่างไร
เป็นเถรส่องบาตรไปได้

สมัยนี้มันเป็นสมัยที่เราควรจะรู้อะไรโดยเหตุผล
มันมีหนังสือเยอะแยะที่จะอ่านทำความเข้าใจได้
อย่าไปถืออะไรที่มันไม่มีเหตุผล ไม่สมเหตุสมผลอยู่เลย มันจะ ไม่ได้ประโยชน์
อันนี้ผมขอปรารภเรื่องการบวชในพรรษา
วันต่อไปอาจจะพูดบ้าง อีกนะครับ
ก็แล้วแต่เรื่องราวที่ได้ไปประสบพบเห็นหรือได้ยินได้ฟังเข้า

ทีนี้ก็ขอบอกไปสำหรับเรื่องที่ผมค้างเอาไว้ครับ

ถ้าคนเราจะพัฒนาชีวิตให้ดี ก็คือ ชีวิตที่มีคุณภาพ
ชีวิตที่ดี ก็คือ ชีวิตที่มีคุณภาพ
ชีวิตที่จะมีคุณภาพได้ก็ต้องมีคุณธรรม
คุณธรรมจะมีได้ก็ด้วยการฝึกฝนอบรมถึงจะมีคุณธรรมได้
ฝึกฝนอบรมให้เป็นคนที่มีความรู้ดี
มีความสามารถดี มีความประพฤติดี
ที่พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน
เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ คือ มีความรู้ดี มีความประพฤติดี
แล้วถ้ามีความรู้ดีถึงที่สุด มีความประพฤติดีถึงที่สุด
ก็จะ โส เสฏฺโฐ เทวมานุเส
คือว่า เป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุดทั้งในหมู่เทวาและมนุษย์
หมายความว่า มีความรู้ดี ที่สุดและมีความประพฤติดีที่สุด


มันมีหลายขั้นหลายตอน แต่อย่างไรก็ตาม
มันก็ต้องเริ่มไปจากเล็กๆ น้อยๆ ธรรมดาสามัญก่อน
เริ่มเรียนวิชาต่างๆ ที่จะดำรงชีวิต หรือที่จะนำมาใช้กับชีวิต
ว่าวิชาแต่ละวิชามันก็มีคุณอยู่แล้วในตัว
ถ้าเรารับรู้หลายวิชา ก็จะเป็นการเก็บเอาคุณนั้นๆ มารวมไว้ในตัว
เช่นว่า ประวัติศาสตร์ ทำให้เรารอบรู้เพิ่มพูนไหวพริบ
วรรณกรรมทำให้รื่นรมย์ คณิตศาสตร์ฝึกเราให้เป็นคนละเอียดถี่ถ้วน
ปรัชญาทำให้เราเข้าใจความจริงต่างๆ อย่างลึกซึ้งกว้างขวาง
ทำให้ผู้ เรียนเป็นผู้มีใจกว้างไปด้วย
ตรรกศาสตร์ปรัชญา ทำให้โลกทัศน์ที่กว้างออกไป
ไม่มองอะไรแง่เดียว many views คือ มองอะไรหลายด้าน
ตรรกศาสตร์ทำให้คิด อย่างมีเหตุผล
แล้วก็จริยธรรมหรือศีลธรรมอบรมเราให้รักความสงบ อย่างนี้เป็นต้น

ตามที่ยกตัวอย่างมานี้จะเห็นว่า วิชาต่างๆ มีคุณ อยู่ในตัว
ถ้าเราเรียนทั้งประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย
จึงได้วางหลักสูตรไว้ หลายสาขาวิชา
ผู้เรียนต้องนึกถึงว่าวิชาที่เรียนในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย เป็นพื้นฐาน
เป็นเพียงพื้นฐานหรือแนวทางเท่านั้น
ก็เหมือนกับรากฐานของตึก หรือโครงสร้างของบ้าน
เพราะวิชาการนั้นๆ จะเต็มบริบูรณ์หรือสูงส่งเพียงไร
ก็ขึ้นอยู่กับการค้นคว้าเติมเต็มของผู้เรียน
เมื่อเรียนจบแล้ว มนุษย์เรา นี่จะดีได้หรือว่าจะได้ดี
จะต้องมีการศึกษาและได้รับการอบรมที่ดี
ดูเหมือนว่า ประการหลังนี้มีความสำคัญกว่าประการแรก
คือ การฝึกฝนอบรม จะมีความสำคัญ มากกว่าการศึกษาเล่าเรียน

พูดถึงจุดเริ่มต้นของการอบรม ที่สำคัญที่สุดก็คือ บ้าน คือ ครอบครัว
ในครอบครัวที่อยู่ในสภาพเรียบร้อย น้อยนักที่เด็กจะเกเร
เด็กนี่เลียนแบบแล้วก็ติดนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่งได้ง่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสัยใจคอของพ่อแม่หรือคนใกล้ชิด
มีสุภาษิตกรีกโบราณอยู่บทหนึ่งว่า
“ถ้ามีทาสอยู่คนเดียว แล้วก็ให้ลูกของท่านหมกมุ่นอยู่กับทาสตลอดเวลาแล้ว
ในไม่ช้าท่านจะมีทาสสองคน”
หมายความว่าในไม่ช้า ลูกของท่านก็จะมีกิริยา วาจา เหมือนทาสไปด้วย
ทำนองเดียวกัน มีสุภาษิต สเปนบทหนึ่งว่า
“ถ้าเผื่อท่านอยู่ในหมู่สุนัขบ้าไปนานๆ ลงท้ายท่านก็จะ หอน”
เราเคยให้เด็กไปอยู่กับสุนัขบ้าแล้วเด็กมันก็เป็นเหมือนกับสุนัขบ้า


แต่ทีนี้ลองดูกลับกัน เวลาสุนัขบ้ามาอยู่กับคน
ทำไมสุนัขมันไม่เหมือนคนนะ ทำไม มันไม่เปลี่ยนเป็นคนบ้าง
ทำไมมันก็ยังเป็นสุนัขอยู่ ตั้งแต่เล็กๆ นะ
มันมาอยู่กับคนตั้งแต่มันยังเล็กๆ มันไม่เป็นคน
แล้วพอคนไปอยู่กับสุนัขมันก็ เดิน 4 ขา เหมือนสุนัข
ทำไมสุนัขมันไม่เดิน 2 ขาเหมือนคนบ้าง ก็ลองคิดดู

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ยํ เว เสวติ ตาทิโส คบคนเช่นไร ก็จะเป็นคนเช่นนั้น
เมื่อเราเติบโตขึ้นต้องพยายามคบหาสมาคมกับคนที่ดี
เพื่อได้ถ่ายทอดลักษณะที่ดีของเขา
การคบคนดีจะเป็นคุณประโยชน์กับเราไปตลอดชีวิต
ขอยกตัวอย่างนิด หนึ่ง ชาโต บริยัง
นักการเมืองคนสำคัญคนหนึ่งของฝรั่งเศส
นับถือ ประธานาธิบดี จอร์ช วอชิงตัน ของสหรัฐอเมริกามาก
อุตส่าห์เดินทางด้วยความยากลำบากไปเพื่อเห็น จอร์ช วอชิงตัน
ด้วยการเห็นเพียงครั้งเดียว ชาโต บริ ยัง
ถ่ายทอดเอาคุณลักษณะของจอร์ช วอชิงตัน ได้มาก
ท่านได้เขียนเอาไว้ใน หนังสือเล่มหนึ่งของท่านว่า
นัยน์ตาของจอร์ช วอชิงตัน ที่ทอดมายังข้าพเจ้า นั้น
ทำให้ข้าพเจ้ามีความอบอุ่นไปตลอดชีวิต
การทอดสายตาของคนดีและคนมีประโยชน์นั้น
ให้ความอบอุ่นและความชื่นสุขแก่ผู้เข้าใกล้ได้อย่างแน่นอน
เพียงแต่ได้เห็น เซอร์ วอลเตอร์ สก็อต เท่านั้น
เฮเลน คันนิ่ง แฮมส์ ได้รับประโยชน์อย่างเหลือหลาย
ทำให้ท่านเป็นนักประพันธ์ที่ดีขึ้นมาได้
คนดีเมื่อเราเข้าใกล้ ทำให้เรารู้สึกอยากเป็นคนดี อยากเป็นคนสงบ
แต่คนสงบเมื่อเราเข้าใกล้ เราได้ยินเขาพูดทำให้เรารู้สึกรักสงบนี่เป็น ตัวอย่าง นะครับ
* การพัฒนาชีวิตเพื่อความสุขในปัจจุบัน
เรียบเรียงจากการบรรยายธรรม ของอาจารย์วศิน อินทสระ
ในรายการ “ธรรมและทรรศนะชีวิต” ระหว่างวัน ที่ 25 มิถุนายน - 20 กรกฎาคม 2542

:b51: :b52: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2009, 17:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ถ้าเราเป็นคนเช่นไร ก็ทำให้คนอื่นเขามีความรู้สึกอย่างนั้นในเบื้องแรก
แล้วคบไปก็จะได้ถ่ายทอดคุณสมบัติที่ดี
ถ้าเผื่อเราเป็นคนร้าย เราก็ถ่ายทอดเอาคุณสมบัติร้ายๆ เหมือนกัน
ถ้าเขาพร้อมที่จะร้าย

ในการฝึกฝนพัฒนาตนเอง นอกจากเราอาศัยคนอื่นช่วยอบรมฝึกฝนแล้ว
การฝึกฝนตนเองมีความสำคัญอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะการ ฝึกฝนตนเองให้เอาชนะอำนาจฝ่ายต่ำ
เราไม่ยอมทำสิ่งที่ฝืนมโนธรรมของตน
คนที่ชนะตนเองได้นับเป็นคนประเสริฐแท้จริง
มโนธรรม ก็คือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี


คนเรามีความรู้สึกไม่เหมือนกัน
มโนธรรมของคนป่ากับ มโนธรรมของคนดี
ได้รับการศึกษาดีแล้วก็ไม่เหมือนกัน
มโนธรรมของปุถุชนกับมโนธรรมของพระอริยะก็ไม่เท่ากัน
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนจึงไม่เหมือนกัน

เคยคุยกับคนบางคน เมื่อเช้านี้มีแขกมาพบเกี่ยวกับเรื่องการพิมพ์หนังสือ
ก็พูด เรื่องการประทุษร้ายกัน ผมบอกว่า ในเรื่องการประทุษร้ายกันนี่
ถ้าเผื่อคนเรา มาคิดเสียว่า แทนการฆ่าคนอื่น เรามาฆ่าความโกรธเสีย
ฆ่าความโกรธในใจของเราเสีย มันก็หมดปัญหา
แต่ที่ไปฆ่าเขา ก็เพราะโกรธ เคียดแค้น ชิงชัง
แทนที่จะไปฆ่าคนอื่นซึ่งมันลำบากกว่าตั้งเยอะ เราก็ฆ่าความโกรธเสีย
มีคนมาถามพระ พุทธเจ้าว่า ฆ่าอะไรเสียได้จึงอยู่เป็นสุข
พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ฆ่าความ โกรธเสียได้จะอยู่เป็นสุข
ฆ่าความโกรธเสียได้แล้วไม่เศร้าโศก”
เขาก็บอก ว่า แหม ถ้าคนคิดได้อย่างนี้กันทั้งหมด สังคมก็สงบเรียบร้อย


มันจะต้องค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ มันจะต้องสดับธรรม
ต้องได้ฟังธรรม ได้สดับธรรม ได้ฝึกฝนตนในทางธรรมบ้าง
จึงจะทำได้ ไม่งั้นทำไม่ได้
มันคอยแต่จะทำตาม ความเคียดแค้นชิงชังอยู่เรื่อย
สังคมมันเลยไม่เรียบร้อยสักทีหนึ่ง
แต่ถ้าหันมาเล่นงานกับต้นเหตุของมัน มันก็ง่ายขึ้นเยอะ

อย่างที่ผมเคยเปรียบเทียบขอนำมาพูดอีก
เพื่อให้เข้ากับเหตุการณ์อันนี้ว่า ถ้าเราเอาไม้ไปแหย่สุนัข สุนัขมันก็จะกัดปลายไม้
กัดปลายไม้คนแหย่ก็สนุก มันสบาย เพราะตัวไม่เดือดร้อน
เห็นสุนัขกัดปลายไม้ ก็แหย่ก็เล่นสบาย
แต่ถ้าเอา ไม้ไปแหย่เสือ เสือมันไม่กัดปลายไม้ที่แหย่หรอก
มันจะกระโจนกัดคนแหย่ นั่น แหละ เพราะว่าเสือมันฉลาด
มันกำจัดที่ต้นเหตุ ต้นตอของความรำคาญของมันทีเดียว
ถ้าเผื่อกัดปลายไม้ ไม้นั้นมันพังไปผุไป หักไป คนมันหาไม้ใหม่ได้
แต่ ถ้าไปกระโจนกัดไอ้คนแหย่นั่นนะ มันจะหนี ไม่งั้นมันก็ตาย
มันตายแล้วก็ เปลี่ยนไม้ไม่ได้เรียกว่า ต้นตอของมัน มันกำจัดที่ต้นตอของมัน

เพราะฉะนั้นคนที่ไปฆ่าคนอื่นเพราะความโกรธ
เราโกรธคนนั้น อีกหน่อยก็ต้องมีคนทำให้โกรธอีก
มีคนอื่นที่จะทำให้โกรธอีกก็ต้องไปฆ่าเขาอีก
ไอ้ต้นตอมันอยู่ที่ จิตใจของเราใจโกรธของเรา
ถ้าไปฆ่าต้นตอของมันฆ่าที่ใจโกรธนั้นเสีย
ตอนหลังจะไม่มีใครมาทำให้ใจโกรธได้ก็ไม่ต้องไปฆ่าใคร

ก็คุยกันเรื่องทำนองนี้นะครับ รู้สึกว่าเขาก็สบายใจที่ได้ ฟังสิ่งดีๆ
แล้วก็ฝึก ให้ชนะตนเอง หรือเอาชนะความโกรธ ได้ประโยชน์แท้บุญเหลือ

ฝึกฝนตนให้เป็นคนขยันหมั่นเพียร ถือหลักของพระพุทธเจ้าที่ว่า
“คนขยันมีชีวิตอยู่ วันเดียวหรือปีเดียว ประเสริฐกว่าคนเกียจคร้านมีชีวิตอยู่ถึงร้อยปี”
มีชีวิตอยู่อย่างเกียจคร้าน ร้อยปีก็ไม่มีประโยชน์
สู้คนขยันมีชีวิตอยู่ปีเดียวไม่ได้
มีชีวิตอยู่ ต่อไปอีก 1 ปี แต่ว่าเป็น 1 ปีที่เต็มไปด้วยประโยชน์
กับคนที่อยู่ไปตั้งร้อยปี แต่มันเป็นร้อยปีที่ไม่มีประโยชน์
อยู่ปีเดียวดีกว่า ก็ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
เพราะว่าเวลาที่ล่วงไปแล้วไม่หวนกลับมาอีก
เสียไปแล้วก็เป็นอันว่าเสียไปเลย
ค่าของเวลา อยู่ที่เราใช้มันให้เป็นประโยชน์
คนไม่ทำอะไรชีวิตก็สึกหรอไปเปล่าๆ


ดังนั้น คนขยันเมื่อชีวิตล่วงไป ก็นำเอาประโยชน์ติดไป
ด้วยเจ้านายบางท่านของเราคนสำคัญในอดีต
เช่น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ซึ่งได้รับเกียรติ ว่าเป็นพระบิดาของประวัติศาสตร์ไทย
ดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่มีเวลาว่าง
ชนิดที่เรียกว่าอยู่เฉยๆ หรือว่าทำอะไรที่ไร้สาระ
เวลานอกราชการ หรือ เวลาที่ทรงว่างจากการทำงานส่วนใหญ่
จะทรงใช้ไปในทางทรงอ่านหนังสือแล้ว ก็ทรงเขียนหนังสือ
ทรงทำพระองค์เป็นนักศึกษาอยู่ตลอดเวลา
โดยที่ทรงถือคติ ประจำพระองค์ว่า
“เช้าเรียนเป็นวิทยาทาน ค่ำต้องหาความรู้ต่อ มิฉะนั้นมันจะ หมด”

คนที่นึกว่าตัวรู้พอแล้วเป็นคนตายแล้วเป็นๆ คือตายทั้งเป็น
เพราะว่าโลกหมุนอยู่ทุกนาที เราต้องเรียนตามมันไป จึงจะอยู่กับโลกโดยไม่โง่ได้
เนื่องจากทรงทำพระองค์เป็นนักศึกษาอยู่ ตลอดเวลานั่นเอง
จึงทำให้ทรงเป็นผู้รอบรู้เรื่องราวต่างๆ อย่างน่าอัศจรรย์ น่า พิศวง
ก็ความรู้ทรงได้จากการทรงศึกษาอย่างมิรู้หยุดหย่อนนี่
ก็ได้เป็นประโยชน์ทั้งแก่งานในหน้าที่ราชการและประโยชน์ทั่วไป
ดังที่ปรากฏอยู่ใน งานพระนิพนธ์ต่างๆ จำนวนมากมายที่แพร่หลายอยู่แล้ว
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งของเมืองไทย
ประวัติของท่านน่าสนใจมาก ได้เคยเขียนประวัติของท่านไว้หลายปีแล้ว
ตั้งแต่ ปี 2533 เกือบ 10 ปี แล้วก็ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
อย่าเอาเวลา ไปทิ้งเสียเปล่าๆ อย่าฆ่าเวลาเสีย
หลายคนบอกว่าทำเพื่อฆ่าเวลา น่าเสียดาย
ถ้าเราฆ่าเวลาบ่อยๆ อีกหน่อยเวลาจะฆ่าเรา
เราต้องให้เกียรติแก่เวลา นับถือเวลาบูชาเวลา
ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ แล้วเวลาจะให้รางวัลแก่เรา อย่างมาก

คนที่ทำงานมากอาจไม่ได้เป็นคนสำคัญทุกคนนะครับ
แต่คนสำคัญทุกคนต้องทำงานมากและขยันเสมอ

ค่าของคนวัดกันที่ผลของงาน และความดีประจำตน

เวลลิงตันเป็นคนสำคัญคน หนึ่ง เวลลิงตันเป็นคนอังกฤษที่รบชนะนโปเลียน
ปรากฏว่าเป็นคนขยันมาก คนที่สามารถรบชนะ นโปเลียนได้เป็นคนที่ขยันมาก
แล้วเวลลิงตันก็เป็นคนขยัน รบชนะนโปเลียนที่วอเตอร์ลู
ปรากฏว่าเป็นคนขยันมาก อ่าน และ คัดลอกเรื่องราวไว้ตั้งแต่อายุ 10 ปี
ทราบว่า ยังเก็บเอาไว้จน กระทั่ง บัดนี้

เคยอ่านประวัติคนสำคัญหลายคน
จะเริ่มต้นชีวิตเมื่ออายุ 13 มันก็เป็นเรื่องประหลาด
เนห์รูเขียนจดหมายถึงลูกสาวอินทิรา
เล่าถึงประวัติศาสตร์โลกตั้งแต่อินทิราอายุ 10 ขวบ
จดหมายนั้น ก็มีอิทธิพลให้ท่านอินทิรา คานธี
สนใจต่อการเมือง ประวัติ ศาสตร์ แห่งมนุษยชาติตั้งแต่ยังเยาว์
และก็เป็นผลให้อินทิราเป็นผู้นำของ อินเดียเป็นเวลาช้านาน

โบราณท่านว่า “พ่อบ้านได้ รับความนับถือในบ้านของตน
พระราชาได้รับความนับถือในแว่นแคว้นหรือประเทศของตน
แต่ นักปราชญ์ได้รับความนับถือทั่วโลก”
เพราะฉะนั้น คนที่ยิ่งใหญ่ ทางวิชาการหรือเป็นนักปราชญ์
มีความยิ่งใหญ่ทางวิชาการจนได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์จะยิ่งใหญ่ไปทั่วโลก
ไม่ใช่ยิ่งใหญ่เฉพาะ ในประเทศ ของตนหรือเฉพาะในบ้านของตนเท่านั้น
อันนี้เกี่ยวกับเรื่องการฝึกฝนตนเอง พระยาอนุมานราชธน หรือเสฐียรโกเศศ
ถ้าอ่านประวัติท่านจะรู้เลยว่าท่าน ฝึกฝนตนเองอย่างไร ฝึกฝนตนเองมาก

อันนี้ผมก็เล่าอะไร ต่ออะไรให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนา
การพัฒนาเพื่อความสุขในชีวิตปัจจุบัน
ทีนี้ก็ลงลึกอีกสักหน่อย มาตามแนวทางพุทธโดยตรง
ที่ว่าเราจะต้อง ฝึกฝนพัฒนาอะไรบ้าง
ในการฝึกฝนอบรม พัฒนาเพื่อความสุขในชีวิตปัจจุบัน
ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเรียกว่า “ภาวนา” ที่เราเรียกกันอยู่ ว่า “พัฒนา”

ทุกวันนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า “ภาวนา” ทรงสอนให้มี ภาวนา 4 อย่าง

ประการแรก คือ “กายภาวนา” ฝึกฝนอบรมกาย

การฝึกฝนอบรมกายนี้มันเกี่ยวกับปัจจัยสี่
คือ ให้มีความรู้ในเรื่องโภชนาการพอ พึ่งตัวได้
เลือกกินอาหารมีคุณภาพ ราคาพอประมาณ
หรือหลัก “กินเพื่อ อยู่” ไม่ใช่ “อยู่เพื่อกิน”
แล้วก็กินเพราะหิว ไม่ใช่กินเพราะอยาก คือว่า ไม่ตามใจลิ้น
ถ้าตามใจลิ้นก็จะสิ้นเปลืองเงินมากเกินไป
แล้วก็ยังเปลืองตัวด้วย
บางทีก็ทำให้อ้วนเกินไปหรือเป็นโรคบางอย่างสืบเนื่องมาจากกินไม่เป็น

แนวทางกินอยู่อย่างพอดี ให้มีความทุกข์น้อย แก่ ช้า และอายุยืน
พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า
มนุชสฺส สทา สติ มโต มตฺตํ ชานโต ลทฺธโภชเน ตนุกสฺส
ภวนฺติ เวทนา สณิกํ ชีรติ อายุ ปาล ยํ
“คนที่มีสติทุกเมื่อ รู้จักประมาณในการบริโภคหรือในโภชนะที่ได้ แล้ว
เวทนาของท่านก็เบาบาง หรือว่ามีทุกขเวทนาเบาบาง ทุกขเวทนาน้อย”
สณิ กํ ชีรติ อายุ ปาลยํ แปลว่า แก่ช้า คือไม่แก่ แก่ช้าอายุยืน

เรื่องทางกินนี่ ทางโภชนาการเขาก็พูดกันมาก ที่หนึ่งเรื่องอาหาร
คนส่วนมากไม่ได้ รับการศึกษาเรื่องนี้เท่าไรนัก ไม่ค่อยมีกินบ้าง
พอมีกินก็เลยกินใหญ่ คนที่ มีอันจะกินก็เพลิดเพลินในการกิน มันสนุก
สนุกในการกิน ก็ไม่ได้ตระหนักรู้ ว่ามันเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง
นี่ถ้าเผื่อตามใจตัวเองมากเกินไป

เรื่องเสื้อผ้า เรื่องที่อยู่อาศัยก็ทำนองเดียวกัน
เรามุ่งเอา ความสำเร็จประโยชน์
สวมใส่สบาย ดูสบายสำหรับเราเป็นสำคัญ เราไม่ใช่เพื่อจะอวดใคร
หากเราทำใจ ได้อย่างนี้ เราก็จะทำแต่พอดีได้ทุกอย่าง
ทุกอย่างต้องไปตั้งต้นที่ใจ

ยารักษาโรคนั้นก็มีจำนวนมาก โรคก็มีมากถ้าเรายอมสละเวลาเพียงวันละเล็กน้อย
ศึกษาความรู้เรื่องโรคเรื่องยา พอพึ่งตัวเองได้บ้างจะลดปัญหาลงไปได้มากมาย
ทั้งปัญหาของเราเองและปัญหาสังคม โรงพยาบาลล้นเพราะคนส่วนใหญ่
ไม่มีความรู้ ไม่หา ความรู้เพื่อช่วยตนเอง
โรงพยาบาลเอกชนตั้งขึ้นมากมายเพื่อ สนองความต้องการของประชาชน
แต่ก็แพงเหลือหลาย ชาวบ้านซื้อยากิน ปีละ ประมาณ 80,000 ล้านบาท
80% เป็นยาจากต่างประเทศ 30,000 กว่า
ตำรับ 20% เป็นยาไทยหรือยาสมุนไพร 3,000 กว่าตำรับ
นี่ข้อมูลจากการให้ สัมภาษณ์ของแพทย์และเภสัชกร
ในรายการเวทีชาวบ้าน วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2536

:b51: :b52: :b53:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร