วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 01:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ในขณะนั้น พระเจ้าพาราณสี ทรงปราบปรามปัจจันตชนบท
ราบคาบแล้ว เสด็จกลับ ทรงสนานพระเศียรในแม่น้ำนั้น ประดับ
พระองค์ด้วยเครื่องอลังการครบเครื่อง เสด็จพระดำเนินโดย
พระคชาธาร ทรงสดับเสียงของพระโพธิสัตว์นั้น ทรงระแวง
พระทัยว่า บุรุษผู้นี้กล่าวว่า เราชนะแล้ว ใครเล่าที่เขาชนะ

จงเรียกเขามา แล้วมีพระดำรัสสั่งให้เรียกมาเฝ้า แล้วมีพระดำรัส
ถามว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เรากำลังชนะสงคราม กำความมีชัย
มาเดี๋ยวนี้ ส่วนท่านเล่าชนะอะไร ? พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราช ถึงพระองค์จะทรงชนะสงครามตั้งร้อย

ครั้งตั้งพันครั้ง แม้ตั้งแสนครั้ง ก็ยังชื่อว่าชนะไม่เด็ดขาดอยู่
่นั่นเอง เพราะยังเอาชนะกิเลสทั้งหลายไม่ได้ แต่ข้าพระองค
์ข่มกิเลสในภายในไว้ได้ เอาชนะกิเลสทั้งหลายได้ กราบทูลไป
มองดูแม่น้ำไป ยังฌานมีอาโปกสิณเป็นอารมณ์ ให้เกิดขึ้นแล้ว
นั่งในอากาศด้วยอำนาจของฌานและสมาบัติ เมื่อจะแสดงธรรม
ถวายพระราชา จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า :-

"ความชนะที่บุคคลชนะแล้ว กลับแพ้
ได้นั้น มิใช่ความชนะเด็ดขาด (ส่วน) ความชนะ
ที่บุคคลชนะแล้ว ไม่กลับแพ้นั้นต่างหาก จึงชื่อว่า
เป็นความชนะเด็ดขาด" ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํํ
อวชิยฺยติ ความว่า การปราบปรามปัจจามิตร ราบคาบชนะ
แว่นแคว้น ตีเอาได้แล้วปัจจามิตรเหล่านั้น ยังจะตีกลับคืนได้
ความชนะนั้นจะชื่อว่าเป็นความชนะเด็ดขาดหาได้ไม่

เพราะเหตุไร ?
เพราะยังจะต้องชิงชัยกันบ่อย ๆ.
อีกนัยหนึ่ง ชัยเรียกได้ว่า ความชนะ ชัยที่ได้เพราะรบ
กับปัจจามิตร ต่อมาเมื่อปัจจามิตรเอาชนะคืนได้ ก็กลับเป็น
ปราชัย ชัย นั้นไม่ดีไม่งาม เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุที่ยัง
กลับเป็นปราชัยได้อีก.

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
บทว่า ตํ โข ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ นาวชิยฺยติ ความว่า
ส่วนการครอบงำมวลปัจจามิตรไว้ได้แล้วชนะ ปัจจามิตรเหล่านั้น
จะกลับชิงชัยไม่ได้อีก ใด ๆ ก็ดี การได้ชัยชนะครั้งเดียวแล้ว
ไม่กลับเป็นปราชัยไปได้ ใด ๆ ก็ดี ความชนะนั้น ๆ เป็นความ
ชนะเด็ดขาด คือชัยชนะนั้นชื่อว่าดี ชื่อว่างาม. เพราะเหตุไร ?
เพราะเหตุที่ไม่ต้องชิงชัยกันอีก. ดูก่อนมหาบพิตร เพราะเหตุนั้น
แม้พระองค์จะทรงชนะ ขุนสงคราม ตั้งพันครั้ง ตั้งแสนครั้ง
ก็ยังจะเฉลิมพระนามว่า จอมทัพหาได้ไม่.
เพราะเหตุใด ?

เพราะเหตุที่พระองค์ยังทรงชนะกิเลสของพระองค์เอง
ไม่ได้ ส่วนบุคคลใด ชนะกิเลสภายใน ของตนได้ แม้เพียงครั้งเดียว
บุคคลนี้ จัดเป็นจอมทัพผู้เกรียงไกรได้. พระโพธิสัตว์นั่งใน
อากาศ นั่นแล แสดงธรรมถวายพระราชาด้วยพระพุทธลีลา
ก็ในความเป็นจอมทัพผู้สูงสุดนั้น มีพระสูตร์ เป็นเครื่องสาธก
ดังนี้ :-

"ผู้ที่ชนะหมู่มนุษย์ในสงคราม ถึงหนึ่ง
ล้านคน ยังสู้ผู้ที่ชนะตนเพียงผู้เดียวไม่ได้ ผู้นั้น
เป็นจอมทัพสูงสุด โดยแท้" ดังนี้.

ก็เมื่อพระราชาทรงสดับธรรมอยู่นั่นเอง ทรงละกิเลส
ได้ด้วยอำนาจ ตทังคปหาน พระทัย น้อมไปในบรรพชา. ถึงพวก
หมู่โยธาของพระองค์ ก็พากันละได้เช่นนั้นเหมือนกัน. พระ-
ราชา ตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า บัดนี้พระคุณเจ้าจักไปไหน

เล่า ? พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่ มหาราช ข้าพระองค์
จักเข้าป่าหิมพานต์บวชเป็นฤๅษี. พระราชารับสั่งว่า ถ้า
เช่นนั้น แม้ข้าพเจ้าก็จะบรรพชา แล้วเสด็จพระราชดำเนิน
ไปพร้อมกับพระโพธิสัตว์. พลนิกายทั้งหมด คือ พราหมณ์

คฤหบดี และทวยหาญ ทุกคนประชุมกันในขณะนั้น เป็นมหาสมาคม
ออกบรรพชา พร้อมกับพระราชาเหมือนกัน. ชาวเมือง
พาราณสี สดับข่าวว่า พระราชาของเราทั้งหลาย ทรงสดับ
พระธรรมเทศนาของกุททาลบัณฑิตแล้ว ทรงบ่ายพระพักตร์
มุ่งบรรพชา เสด็จออกทรงผนวชพร้อมด้วยพลนิกาย พวกเรา

จักทำอะไรกันในเมืองนี้ ดังนี้แล้ว บรรดาผู้อยู่ในพระนครทั้งนั้น
ต่างพากันเดินทางออกจากกรุงพาราณสี อันมีปริมณฑลได้

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกตุ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
๑๒ โยชน์. บริษัทก็ได้มีปริมณฑล ๑๒ โยชน์. พระโพธิสัตว์
พาบริษัทนั้นเข้าป่าหิมพานต์. ในขณะนั้นอาสนะที่ประทับนั่ง
ของท้าวสักกเทวราช สำแดงอาการร้อน. ท้าวเธอทรงตรวจดู
ทอดพระเนตรเห็นว่า กุททาลบัณฑิต ออกสู่มหาภิเนกษกรม
แล้วทรงพระดำริว่า จักเป็นมหาสมาคม ควรที่ท่านจะได้สถาน

ที่อยู่ แล้วตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมา ตรัสสั่งว่า พ่อ-
วิสสุกรรม กุททาลบัณฑิตกำลังออกสู่มหาภิเนกษกรม ท่าน
ควรจะได้ที่อยู่ ท่านจงไปหิมวันตประเทศ เนรมิต อาศรมบท
ยาว ๓๐ โยชน์ กว้าง ๑๕ โยชน์ ณ ภูมิภาคอันราบรื่น. วิสสุ-

กรรมเทพบุตร รับ เทวบัญชาว่า ข้าแต่เทพยเจ้า ข้าพระพุทธเจ้า
จะกระทำให้สำเร็จดังเทวบัญชา แล้วไปทำตามนั้น นี้เป็นความ
สังเขปในอธิการนี้. ส่วนความพิสดาร จักปรากฏในหัตถิปาลชาดก
แท้จริงเรื่องนี้ และเรื่องนั้น เป็นปริเฉทเดียวกันนั่นเอง.

ฝ่ายวิสสุกรรมเทพบุตร เนรมิตบรรณศาลาในอาศรมบท
แล้ว ก็ขับไล่ เนื้อ นก และ อมนุษย์ที่มีเสียงชั่วร้ายไปเสีย แล้ว
เนรมิต หนทางเดินแคบ ๆ ตามทิสาภาคนั้น ๆ เสร็จแล้ว เสด็จ
กลับไปยังวิมานอันเป็นสถานที่อยู่ของตนทันที.

ฝ่ายกุททาลบัณฑิต พาบริษัทเข้าสู่ป่าหิมพานต์ ลุถึง
อาศรมบทที่ท้าวสักกะทรงประทาน ถือเอาเครื่องบริขาร
แห่งบรรพชิต ที่วิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตไว้ให้ บวชตนเองก่อน
ให้บริษัทบวชทีหลัง จัดแจงแบ่งอาศรมบทให้อยู่กันตามสมควร
มีพระราชาอีก ๗ พระองค์ สละราชสม บัติ ๗ พระนคร (ติดตาม

มาทรงผนวชด้วย) อาศรมบท ๓๐ โยชน์ เต็มบริบูรณ์. กุททาล-
บัณฑิต ทำบริกรรมในกสิณที่เหลือ เจริญพรหมวิหารธรรม
บอกกรรมฐานแก่บริษัท. บริษัททั้งปวง ล้วนได้สมาบัติ เจริญ
พรหมวิหารแล้ว พากันไปสู่พรหมโลกทั่วกัน. ส่วนประชาชน
ที่บำรุงพระดาบสเหล่านั้น ก็ล้วนได้ไปสู่เทวโลก.

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกตุ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระบรมศาสดา ก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า
จิตนี้ ติดด้วยอำนาจของกิเลสแล้ว เป็นธรรมชาติปลดเปลื้อง
ได้ยาก โลภธรรมทั้งหลายที่เกิดแล้ว เป็นสภาวะละได้ยาก
ย่อมกระทำท่านผู้เป็นบัณฑิตเห็นปานฉะนี้ ให้กลายเป็นคน
ไม่มีความรู้ไปได้ ด้วยประการฉะนี้ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนา

นี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย เมื่อจบสัจจะ ภิกษุทั้งหลาย
บางพวก ได้เป็นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคาม
ีบางพวกได้เป็นพระอนาคามี บางพวกบรรลุพระอรหัต แม้
พระบรมศาสดา ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า พระราชา
ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระอานนท์ บริษัทในครั้งนั้น ได้มาเป็น
พุทธบริษัท ส่วนกุททาลกบัณฑิต ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากุททาลชาดก ที่ ๑๐

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
อรรถกถาวรุณชาดกที่ ๑

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพระติสสเถระ บุตรกุฎุมพี ตรัสพระธรรมเทศนาน
ี้มีคำเริ่มต้นว่า โย ปุพฺเพ กรณียานิ ดังนี้.

ได้ยินว่า ในวันหนึ่ง กุลบุตรชาวเมืองสาวัตถี เป็นสหาย
กันประมาณ ๓๐ คน ถือของหอม ดอกไม้และผ้าเป็นต้น คิดกัน
ว่า พวกเราจักฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา อันมหาชน
ห้อมล้อม พากันไปสู่วิหารเชตวัน นั่งพักในโรงชื่อ นาคมาฬกะ
๑. ในอรรถกถาเป็น วรณ...

และวิสาลมาฬกะเป็นต้น พอเวลาเย็นเมื่อพระศาสดาเสด็จออก
จากพระคันธกุฎี อันอบแล้วด้วยกลิ่นหอม เสด็จดำเนินไปสู่
ธรรมสภา ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ อันตกแต่งแล้ว จึงพากัน
ไปสู่ธรรมสภา พร้อมด้วยบริวาร บูชาพระศาสดาด้วยของหอม
และดอกไม้ ถวายบังคมแทบบาทยุคล อันประดับด้วยจักร์ ทรง

พระสิริเสมอด้วยดอกบัวบาน แล้วนั่งฟังพระธรรมอยู่ ณ ส่วน
ข้างหนึ่ง. พวกเขาพากันปริวิตกว่า เราทั้งหลายต้องบวช ถึงจะ
รู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วได้กว้างขวาง
ในเวลาที่พระตถาคตเสด็จออกจากธรรมสภา พวกกุลบุตร

เหล่านั้น ก็พากันเข้าไปเฝ้าถวายบังคมทูลขอบรรพชา. พระ-
ศาสดาทรงประทานบรรพชาแก่พวกเขา. พวกเขากระทำให้
อาจารย์และอุปัชฌาย์โปรดปรานแล้ว ได้อุปสมบท อยู่ในสำนัก
ของอาจารย์และอุปัชฌาย์ ๕ พรรษา ท่องมาติกา ทั้ง ๒ คล่องแคล่ว

รู้สิ่งที่เป็นกัปปิยะ และอกัปปิยะ เรียนอนุโมทนา ๓ เย็นย้อม
จีวรแล้วกราบลาอาจารย์และอุปัชฌาย์ว่า พวกกระผมจักบำเพ็ญ
สมณธรรม แล้วพากันเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว นั่ง
ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลวิงวอนว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์เอือมระอาในภพทั้งหลาย กลัวแต่ความ
เกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ขอพระองค์จงตรัสบอก
พระกรรมฐาน เพื่อปลดเปลื้องตนจากสังสารทุกข์ แก่ข้าพระองค
์ทั้งหลายเหล่านั้นเถิด พระเจ้าข้า.พระศาสดาทรงทราบสัปปายะ
จึงตรัสบอกพระกรรมฐานข้อหนึ่ง ในกรรมฐาน ๓๘ ประการ

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกตุ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
แก่ภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุเหล่านั้น เรียนพระกรรมฐานในสำนัก
ของพระศาสดาแล้ว ถวายบังคมพระศาสดา กระทำปทักษิณ
ไปสู่บริเวณ อำลาอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ ถือเอาบาตรและ
จีวรออกจากวิหารไปด้วยตั้งใจว่า พวกเราจักบำเพ็ญสมณธรรม.

ครั้งนั้นในระหว่างภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุรูปหนึ่ง โดยชื่อ
เรียกกันว่า กุฏุมพิกปุตตติสสเถระ เป็นผู้เกียจคร้าน มีความเพียร
ทราม ติดรสอาหาร เธอคิดอย่างนี้ว่า เราจักไม่สามารถเพื่ออยู่
ในป่า ไม่อาจจะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการเที่ยวภิกษาจาร
การไปป่าไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่เราเลย เราจักกลับ เธอ
ทอดทิ้งความเพียรเสียแล้ว เดินตามภิกษุเหล่านั้นไปได้หน่อยหนึ่ง

แล้วกลับเสีย ฝ่ายภิกษุเหล่านั้น พากันจาริกไปในแคว้นโกศล
ถึงหมู่บ้านชายแดนตำบลหนึ่ง ก็เข้าอาศัยหมู่บ้านนั้นจำพรรษา
อยู่ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง เป็นผู้ไม่ประมาทเพียรพยายามอยู่ตลอด
ระยะกาลภายในไตรมาสถือเอาห้องวิปัสสนา ยังปฐพีให้บรรลือ
ลั่น บรรลุพระอรหัตต์แล้ว พอออกพรรษา ปวารณาแล้วปรึกษา
กันว่า จักกราบทูลคุณที่ตนได้บรรลุแล้ว แด่พระศาสดา จึงพากัน

ออกจากปัจจันตคาม ถึงพระเชตวันมหาวิหารโดยลำดับ เก็บ
บาตรและจีวรเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าพบอาจารย์และพระอุปัชฌาย์
ปรารถนาจะเฝ้าพระตถาคตเจ้า พากันไปยังสำนักของพระศาสดา
ถวายบังคมแล้วนั่งเฝ้าอยู่ พระศาสดาได้ทรงกระทำปฏิสันถาร

ด้วยพระดำรัสอันไพเราะ กับภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุเหล่านั้น
ได้รับปฏิสันถารแล้ว จึงกราบทูลคุณที่ตนได้แล้วแด่พระตถาคต.
พระศาสดาทรงสรรเสริญภิกษุเหล่านั้น พระกุฏุมพิกปุตตติสส-
เถระเห็นพระศาสดาตรัสสรรเสริญคุณของภิกษุเหล่านั้น แม้
ตนเองก็ประสงค์จะบำเพ็ญสมณธรรมบ้าง ฝ่ายภิกษุทั้งหลาย
แม้เหล่านั้น กราบทูลลาพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกตุ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พวกข้าพระองค์จักไปอยู่ที่ชายป่านั้น พระศาสดาทรงอนุญาต
แล้ว. พวกภิกษุเหล่านั้น ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ได้พากัน
ไปสู่บริเวณ. ครั้งนั้นพระกุฏุมพิกปุตตติสสเถระนั้น บำเพ็ญ
เพียรจัด ในระหว่างเวลารัตติกาล บำเพ็ญสมณธรรมโดยรีบเร่ง
เกินไป พอถึงเวลาระยะมัชฌิมยาม ทั้ง ๆ ที่ยืนพิงแผ่นกระดาน
สำหรับพัก หลับไป กลิ้งตกลงมา กระดูกขาของท่านแตก. เกิด

เวทนามากมาย. เมื่อภิกษุเหล่านั้นต้องช่วยปฏิบัติเธอ การเดินทาง
ก็ชะงัก ครั้งนั้นพระศาสดาตรัสถามภิกษุเหล่านั้น ผู้พากันมาใน
เวลาเป็นที่บำรุงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอบอกลาเมื่อวาน
ว่า จักพากันไปในวันพรุ่งนี้ มิใช่หรือ ? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูล
ว่า เช่นนั้น ก็แต่ว่าท่านติสสเถระบุตรกุฏุมพี สหายของข้า-

พระองค์ทั้งหลาย กระทำสมณธรรมอย่างรีบเร่ง ในเวลามิใช่กาล
ถูกความง่วงครอบงำ กลิ้งตกลงไป กระดูกขาแตก เพราะเธอ
เป็นเหตุ พวกข้าพระองค์จึงจำต้องงดการเดินทาง พระศาสดา
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุนี้
รีบเร่งกระทำความเพียรในเวลามิใช่กาล เพราะความที่ตนเป็นผู้

มีความเพียรย่อหย่อน จึงกระทำ อันตรายการเดินทางของพวก
เธอ แม้ในครั้งก่อน ภิกษุนี้ก็ได้ทำอันตรายการเดินทางของ
พวกเธอ มาแล้วเหมือนกัน ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลอารธนา จึง
ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอาจารย์ทิศา-
ปาโมกข์ ให้มาณพ ๕๐๐ คน เล่าเรียนศิลปะอยู่ในเมืองตักกสิลา
แคว้นคันธาระ ครั้นวันหนึ่งมาณพเหล่านั้น พากันไปป่าเพื่อ
หาฟืน รวบรวมฟืนไว้ ในระหว่างมาณพเหล่านั้น มีมาณพ
ผู้เกียจคร้านอยู่คนหนึ่ง เห็นต้นกุ่ม ใหญ่สำคัญว่าต้นไม้นี้เป็น

ต้นไม้แห้ง คิดว่า นอนเสียชั่วครูหนึ่งก่อนก็ได้ ทีหลังค่อยขึ้นต้น
หัก ฟืนทิ้งลงหอบเอาไป จึงปูลาดผ้าห่มลงนอนกรนหลับสนิท
ส่วนมาณพนอกนี้ พากันผูกฟืนเป็น มัด ๆ แล้วแบกไป เอาเท้า
กระทืบมาณพนั้นที่หลังปลุกให้ตื่น แล้วพากันไป มาณพผู้เกียจ-

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกตุ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
คร้าน ลุกขึ้นขยี้ตา จนหายง่วงแล้ว ก็ปีนขึ้นต้นกุ่ม จับกิ่งเหนี่ยว
มาตรงหน้าตน พอหักแล้ว ปลายไม้ ที่ลัดขึ้นก็ดีดเอานัยน์ตา
ของตนแตกไป เอามือข้างหนึ่งปิดตาไว้ ข้างหนึ่งหักฟืนสด ๆ
ลงจากต้น มัดเป็นมัดแบกไปโดยเร็ว เอาไปทิ้งทับบนฟืนที่พวก
มาณพเหล่านั้นกองกันไว้อีกด้วย. ก็ในวันนั้น ตระกูลหนึ่ง จาก

บ้านในชนบท นิมนต์อาจารย์ไว้ว่า พรุ่งนี้ พวกกระผมจักกระทำ
การสวดมนต์ พราหมณ์. อาจารย์จึงกล่าวกะพวกมาณพว่า
พ่อทั้งหลาย พรุ่งนี้ต้องไปถึงหมู่บ้านตำบลหนึ่ง แต่พวกเธอไม่ได้
กินอาหารก่อน จักไม่อาจไปได้ ต้องให้เขาต้มข้าวแต่เช้าตร
ู่
ไปที่นั่น ถือเอาส่วนที่ตนจะต้องได้รับ และส่วนที่ถึงแก่เรา แล้ว
รีบพากันมาเถิด. พวกมาณพเหล่านั้น ปลุกทาสีให้ลุกขึ้นต้มข้าวต้ม
แต่เช้าตรู่ สั่งว่าเจ้าจงรีบต้มข้าวต้ม ให้แก่พวกเราโดยเร็ว.
ทาสีนั้นไปหอบฟืนก็หอบเอาฟืนไม้กุ่มสดไป แม้จะใช้ปากเป่า
ลมบ่อย ๆก็ไม่อาจให้ไฟลุกได้ จนดวงอาทิตย์ขึ้น. พวกมาณพ

เห็นว่า สายนักแล้ว บัดนี้ พวกเราไม่อาจจะไปได้ จึงพากันไป
สำนักท่านอาจารย์. ท่านอาจารย์ถามว่า พ่อเอ๋ย พวกเจ้าไม่ได้
ไปกันดอกหรือ ? พวกมาณพตอบว่า ครับ ท่านอาจารย์ พวก
กระผมไม่ได้ไป อาจารย์ถามว่า เพราะเหตุไร ? จึงตอบว่า
มาณพเกียจคร้านโน่น ไปป่าเพื่อหาฟืนกับพวกผม ไปนอนหลับ

เสียที่โคนกุ่ม ทีหลังจึงรีบขึ้นไป ไม้ลัดเอาตาแตก หอบเอา
ไม้สด ๆ มาโยนไว้ข้างบนฟืนที่พวกผมหามา คนต้มข้าว ขนเอา
ฟืนสด ๆ นั้นไปด้วยสำคัญว่าเป็นฟืนแห้ง จนดวงอาทิตย์ขึ้นสูง
ก็ไม่อาจก่อไฟให้ลุกได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง

ท่านอาจารย์ฟังสิ่งที่มาณพกระทำผิดพลาดแล้ว กล่าวว่า ความ
เสื่อมเสียเห็นปานนี้ย่อมมีได้ เพราะอาศัยกรรมของพวกอันธพาล
แล้วกล่าวคาถานี้ความว่า :-

กิจที่จะต้องรีบกระทำก่อน ผู้ใดใคร่จะ
กระทำภายหลัง ผู้นั้นย่อมเดือดร้อนในภายหลัง
เหมือนมาณพหักไม้กุ่ม เดือดร้อนอยู่ฉะนี้ ดังนี้

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกตุ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ส ปจฺฉา อนุตปฺปติ ความว่า
บุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่พิจารณาให้ ถ่องแท้ว่า กิจนี้ต้องทำก่อน
กิจนี้ต้องทำภายหลัง เอากิจที่ต้องทำก่อน คือกรรมที่ต้องกระทำ
ทีแรกนั่นแหละ มากระทำในภายหลัง บุคคลนั้น เป็นพาลบุคคล
ย่อมเดือดร้อน คือโศกเศร้า ร่ำไห้ในภายหลัง เหมือนมาณพ
ของพวกเราผู้หักไม้กุ่มผู้นี้.

พระโพธิสัตว์ กล่าวเหตุนี้แก่เหล่าอันเตวาสิก ด้วยประการ
ฉะนี้ แล้วกระทำบุญมีทาน เป็นต้น ในสุดท้ายแห่งชีวิต ก็ไป
ตามคัลลองของกรรม.

พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่
ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุนี้กระทำอันตรายต่อการเดินทางของ
พวกเธอ แม้ในครั้งก่อนก็ได้กระทำแล้วเหมือนกันดังนี้ ทรงนำ
พระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า
มาณพผู้ถึงแก่นัยน์ตาแตกในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุผู้กระดูก
ขาแตกในบัดนี้ มาณพที่เหลือมาเป็นพุทธบริษัท ส่วนพราหมณ
์ผู้อาจารย์ ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาวรณชาดกที่ ๑

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน
มหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี
คำเริ่มต้นว่า อกตญฺญุสฺส โปสสฺส ดังนี้.

ความย่อว่า ภิกษุทั้งหลาย นั่งสนทนากันในโรงธรรมว่า
อาวุโสทั้งหลาย "พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณของพระ-
ตถาคต" พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลาย

กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่
แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู แม้ในครั้งก่อน
ก็เคยเป็นผู้อกตัญญูมาแล้ว ไม่เคยรู้คุณของเรา ไม่ว่าในกาล
ไหน ๆ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุง-
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดช้าง ในหิมวันตประเทศ
พอคลอดจากครรภ์มารดา ก็มีอวัยวะขาวปลอด มีสีเปล่งปลั่ง
ดังเงินยวง นัยน์ตาทั้งคู่ของพระยาช้างนั้น ปรากฏเหมือนกับ
แก้วมณี มีประสาทครบ ๕ ส่วนปากเช่นกับผ้ากัมพลแดง งวง

เช่นกับพวงเงินที่ประดับระยับด้วยทอง เท้าทั้ง ๔ เป็นเหมือน
ย้อมด้วยน้ำครั่ง อัตภาพอันบารมีทั้ง ๑๐ ตกแต่งของพระโพธิสัตว์
นั้น ถึงความงามเลิศด้วยรูปอย่างนี้. ครั้งนั้น ฝูงช้างในป่า-
หิมพานต์ทั้งสิ้น มาประชุมกันแล้ว พากันบำรุงพระโพธิสัตว์ผู้ถึง
ความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว พระโพธิสัตว์จึงมีช้างแปดหมื่นเป็นบริวาร

อยู่อาศัยในหิมวันตประเทศ ด้วยประการฉะนี้ ภายหลังเห็นโทษ
ในหมู่คณะ จึงหลีกออกจากหมู่ สู่ที่สงบสงัดกาย พำนักอาศัย
อยู่ในป่าแต่ลำพังผู้เดียวเท่านั้น. และเพราะเหตุที่ช้างผู้พระโพธิสัตว์
นั้นเป็นสัตว์มีศีล จึงได้นามว่า"สีลวนาคราช" พญาช้างผู้มีศีล.

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกตุ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ครั้งนั้นพรานป่าชาวเมืองพาราณสีผู้หนึ่ง เข้าสู่ป่าหิมพานต์
เสาะแสวงหาสิ่งของอันเป็นเครื่องยังชีพของตน ไม่อาจกำหนด
ทิศทางได้ หลงทาง เป็นผู้กลัวแต่มรณภัย ยกแขนทั้งคู่ร่ำร้อง
คร่ำครวญไป. พระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพราน

ผู้นั้นแล้ว อันความกรุณาเข้ามาตักเตือนว่า เราจักช่วยบุรุษผู้นี้
ให้พ้นจากทุกข์ ก็เดินไปหาเขาใกล้ ๆ เขาเห็นพระโพธิสัตว์แล้ว
วิ่งหนีไป. พระโพธิสัตว์เห็นเขาวิ่งหนี ก็หยุดยืนอยู่ตรงนั้น บุรุษ
นั้นเห็นพระโพธิสัตว์หยุด จึงหยุดยืน พระโพธิสัตว์ก็เดินใกล
้เข้าไปอีก เขาก็วิ่งหนีอีก เวลาพระโพธิสัตว์หยุด เขาก็หยุด

แล้วดำริว่า ช้างนี้ เวลาเราหนีก็หยุดยืน เดินมาหาเวลาที่เราหยุด
เห็นทีจะไม่มุ่งร้ายเรา แต่คงปรารถนาจะช่วยเราให้พ้นจากทุกข์
นี้เป็นแน่ เขาจึงกล้ายืนอยู่. พระโพธิสัตว์เข้าไปใกล้เขา ถามว่า
ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เหตุไรท่านจึงเที่ยวร่ำร้องคร่ำครวญไป
เขาตอบว่า ท่านช้างผู้จ่าโขลง ข้าพเจ้ากำหนดทิศทางไม่ถูก

หลงทาง จึงเที่ยวร่ำร้องไปเพราะกลัวตาย. ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์
จึงพาเขาไปยังที่อยู่ของตน เลี้ยงดูจนอิ่มหนำด้วยผลาผล ๒-๓ วัน
แล้วกล่าวว่า อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้าจักพาท่านไปสู่ถิ่นมนุษย์
แล้วให้นั่งหลังตน พาไปส่งถึงถิ่นมนุษย์. ครั้งนั้นแล พรานป่า
เป็นคนมีสันดานทำลายมิตร จึงคิดมาตลอดทางว่า ถ้ามีใครถาม

ต้องบอกได้ ดังนี้ นั่งมาบนหลังพระโพธิสัตว์วางแผน กำหนด
ที่หมายต้นไม้ ที่หมายภูเขาไว้ถ้วนถี่ทีเดียว. ครั้นพระโพธิสัตว์
พาเขาออกไปจนพ้นป่าแล้ว หยุดที่ทางใหญ่ อันเป็นทางเดินไป
สู่พระนครพาราณสี สั่งว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ ท่านจงไปทางนี้
เถิด แต่ถ้ามีใครถามถึงที่อยู่ของเรา ท่านอย่าบอกนะ ดังนี้
ส่งเขาไปแล้ว ก็กลับไปสู่ที่อยู่ของตน.

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกตุ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ครั้งนั้นบุรุษนั้น ไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว ก็ไปถึง
ถนนช่างสลักงา เห็นพวกช่างสลักงากำลังทำเครื่องงาหลายชนิด
จึงถามว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ถ้าได้งาช้างที่ยังเป็น ๆ ท่าน
ทั้งหลายจะซื้อหรือไม่ ? พวกช่างสลักงาตอบว่า ท่านผู้เจริญ
ท่านพูดอะไร ธรรมดางาช้างเป็นมีค่ามากกว่างาช้างที่ตายแล้ว

หลายเท่า. เขากล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าจักนำงาช้างเป็นมา
ให้พวกท่าน แล้วจัดสะเบียงคือเลื่อยไปสู่ที่อยู่ของพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์เห็นเขามาจึงถามว่า ท่านมาเพื่อประสงค์อะไร ?
เขาตอบว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นจ่าโขลง ข้าพเจ้าเป็นคนยากจน
กำพร้า ไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้ มาขอตัดงาท่าน ถ้าท่านจักให

ก็จะถืองานั้นไปขาย เลี้ยงชีวิตด้วยทุนทรัพย์นั้น. พระโพธิสัตว์
กล่าวว่า เอาเถิด พ่อคุณ เราจักให้งาท่าน ถ้ามีเลื่อยสำหรับ
ตัดงา เขากล่าวว่า ท่านผู้เป็นจ่าโขลง ข้าพเจ้าถือเอาเลื่อยเตรียม
มาแล้ว. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเอาเลื่อยตัดงา
เถิด แล้วคุกเท้าหมอบลงเหมือนโคหมอบ เขาก็ตัดปลายงาทั้งคู่

ของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จับงาเหล่านั้นด้วยงวง พลางตั้ง
ปณิธาน เพื่อพระสัพพัญญุตญาณว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ใช่ว่า
เราจะให้งาคู่นี้ด้วยคิดว่า งาเหล่านี้ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจ
ของเราดังนี้ ก็หามิได้ แต่ว่า พระสัพพัญญุตญาณ อันสามารถ
จะตรัสรู้ธรรมทั้งปวง เป็นที่รักของเรายิ่งกว่างาเหล่านี้ตั้งร้อยเท่า

พันเท่า แสนเท่า การให้งานี้เป็นทานของเรานั้น จงเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์แก่การตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณเถิด แล้วสละงาทั้งคู่
ให้ไป.

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกตุ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
เขาถืองานั้นไปขาย ครั้นสิ้นทุนทรัพย์นั้น ก็ไปสู่สำนัก
พระโพธิสัตว์อีก กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นจ่าโขลง ทุนทรัพย์
ที่ได้เพราะขายงาของท่าน เพียงพอแค่ชำระหนี้ของข้าพเจ้า
เท่านั้น โปรดให้งาส่วนที่เหลือแก่ข้าพเจ้าเถิด. พระโพธิสัตว
์ก็รับคำ แล้วยอมให้เขาตัด ยกงาส่วนที่เหลือให้ โดยนัยเดียวกับ

ครั้งก่อน. ถึงเขาจะขายงาเหล่านั้นแล้ว ก็ยังย้อนมาอีก กล่าวขอ
ว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นจ่าโขลง ข้าพเจ้าไม่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้
โปรดให้โคนงาแก่ข้าพเจ้าเถิด. พระโพธิสัตว์รับคำแล้วก็หมอบลง
โดยนัยก่อน. คนใจบาปนั้น ก็เหยียบงวงอันเปรียบเหมือนพวงเงิน
ของมหาสัตว์ ก้าวขึ้นสู่กระพองอันเปรียบได้กับยอดเขาไกรลาส

เอาส้นกระทืบพลายงาทั้งสอง ฉีกเนื้อตรงสนับงา ลงมาจาก
กระพอง เอาเลื่อยตัดโคนงาแล้ว ก็หลีกไป. ก็ในเมื่อคนใจบาป
นั้น เดินพ้นไปจากคลองจักษุของพระโพธิสัตว์เท่านั้น แผ่นดิน
อันทึบหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ ถึงจะสามารถทรงไว้ซึ่ง
ของหนักแสนหนัก มีขุนเขาสิเนรุ และยุคนธรเป็นต้น และถึง

จะทรงไว้ซึ่งสิ่งที่น่าเกลียดมีกลิ่นเหม็น มีคูถและมูตรเป็นต้น
ก็เป็นเสมือนไม่สามารถจะทานไว้ได้ ซึ่งกองแห่งโทษมิใช่คุณ
ของบุรุษนั้น จึงแยกให้ช่อง ทันใดนั้นเอง เปลวไฟแลบออกจาก
มหานรกอเวจี ห่อหุ้มคลุมบุรุษผู้ทำลายมิตรนั้น เป็นเหมือนคลุม
ด้วยผ้ากำพลสีแดง อันเป็นของที่ตระกูลให้ก็ปานกัน เวลาที่คน

ใจบาปเข้าไปสู่แผ่นดินอย่างนี้แล้ว รุกขเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่
ราวป่านั้น กำหนดเหตุว่า ถึงจะให้จักรพรรดิราชสมบัติ ก็ไม่อาจ
ให้บุรุษผู้อกตัญญูนี้ ซึ่งเป็นผู้ทำลายมิตร พอใจได้ เมื่อจะแสดง
ธรรมให้กึกก้องไปทั่วป่า จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า :-

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกตุ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
"ถึงหากจะให้แผ่นดินทั้งหมด แก่คน
อกตัญญู ผู้คอยมองหาช่องอยู่เป็นนิตย์ ก็ไม่ทำ
ทำให้เขาพอใจได้"
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกตญฺญุสฺส ความว่า แก่คน
ผู้ไม่รู้คุณที่คนอื่นทำแก่ตน.

บทว่า โปสสฺส แปลว่า แก่บุรุษ.
บทว่า วิวรทสฺสิโน ความว่า ผู้มองหาช่อง คือโอกาส
อยู่ร่ำไป.
บทว่า สพฺพญฺเจ ปฐวึ ทชฺชา ความว่า แม้ถ้าจักให้
จักรพรรดิราชสมบัติทั้งหมด หรืออีกนัยหนึ่ง ถึงหากจะพลิก
แผ่นดินใหญ่นี้ เอาง้วนดินมาให้แก่บุคคลเช่นนั้น.

บทว่า เนว นํ อภิราธเย ความว่า ใคร ๆ แม้ถึงจะกระทำ
อย่างนี้ได้ ก็ยังไม่อาจยังคนอกตัญญู ดังตัวอย่างที่ปรากฏ ผู้
้ทำลายคุณที่ท่านกระทำแล้ว ให้อิ่มใจ หรือให้เลื่อมใสได้เลย.
เทวดานั้นแสดงธรรมสนั่นไปทั่วป่า ด้วยประการฉะนี้.
พระโพธิสัตว์ดำรงอยู่ตราบสิ้นอายุขัย ได้ไปตามยถากรรม.

พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่
ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตเป็นคนอกตัญญู ถึงในกาลก่อน
ก็เป็นคนอกตัญญูเหมือนกัน ดังนี้ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนา
นี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า บุรุษผู้ทำลายมิตร
ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระเทวทัต รุกขเทวดาได้มาเป็นพระสารีบุตร
ส่วนพญาช้างผู้มีศีล ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสีลวนาคชาดกที่ ๒

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร
ทรงปรารภความตะเกียกตะกายเพื่อปลงพระชนม์ของพระองค์
ตรัสพระธรรมเทศนามีคำเริ่มต้นว่า "สจฺจํ กิเรวมาหํสุ" ดังนี้.

ความย่อว่า เมื่อภิกษุสงฆ์ประชุมกันในธรรมสภา สนทนา
กันถึงโทษมิใช่คุณของพระเทวทัตว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
พระเทวทัตมิได้รู้คุณของพระศาสดา ยังจะพยายามเพื่อจะปลง
พระชนม์เสียอีก. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุ
ทั้งหลายพากันกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตพยายามเพื่อจะ
ฆ่าเรา แม้ในครั้งก่อน ก็พยายามแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้ว ทรง
นำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติใน
กรุงพาราณสี พระโอรสของพระองค์ทรงพระนามว่า "ทุฏฐกุมาร"
มีสันดานกักขฬะ หยาบคาย เปรียบได้กับอสรพิษที่ถูกประหารยัง
ไม่ได้ด่า ไม่ได้ตีใครแล้ว จะไม่ยอมตรัสกับใคร ท้าวเธอไม่

เป็นที่ชอบใจ เป็นที่น่าสยดสยองของคนภายใน และคนภายนอก
เหมือนผงกระเด็นเข้านัยน์ตา และเหมือนปีศาจร้ายที่มาคอย
เคี้ยวกิน วันหนึ่งท้าวเธอปรารถนาจะเล่นน้ำในแม่น้ำ ได้เสด็จ
ดำเนินไปสู่ฝั่งน้ำกับบริวารเป็นอันมาก ขณะนั้นมหาเมฆก็ตั้ง

ขึ้นทิศทั้งหลายมืดมิด. ท้าวเธอรับสั่งกะผู้รับใช้อย่างทาษว่า เฮ้ย!
มาเถิดจงมาพาข้าพาไปกลางแม่น้ำ ให้ข้าอาบน้ำแล้วพามา.
พวกคนรับใช้ก็พาท้าวเธอไปกลางแม่น้ำ ปรึกษากันว่า พระราชา
จักทรงทำอะไรพวกเราได้ พวกเราจงปล่อยให้คนใจร้ายตายเสีย

ในแม่น้ำนี้แหละ ดังนี้แล้วกล่าวว่า คนกาลกรรณี จงไปที่ชอบเถิด
แล้วช่วยกันกดลงไปในน้ำ แล้วพากันว่ายกลับขึ้นไปยืนอยู่บนฝั่ง
เมื่อมีผู้ถามว่า พระราชกุมารไปไหน ? ก็พากันตอบว่า พวกเรา
ไม่เห็นพระกุมาร ท้าวเธอคงเห็นเมฆตั้งเค้า จึงดำลงในน้ำ ชะรอย
จักล่วงหน้าไปแล้ว พวกอำมาตย์ก็พากันไปยังพระราชสำนัก

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกต

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร