วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 02:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 80, 81, 82, 83, 84, 85, 86 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี นางได้บังเกิดในตระกูลที่ขัดสน
ในวันมหรสพ เธอมองเห็นผู้หญิงทั้งหลายผู้สมบูรณ์ด้วยบุญ นุ่งผ้าที่ย้อมแล้ว
ด้วยดอกคำ ประดับประดาตกแต่งกำลังเล่นกันอยู่ เป็นเหตุให้เธอต้องการจะ
นุ่งผ้าเช่นนั้นเล่นกับเขาบ้าง จึงบอกให้มารดาบิดาได้ทราบ เมื่อท่านทั้ง ๒
นั้นกล่าวว่า ลูกเอ๋ย ! พวกเราเป็นคนจนขัดสน พวกเราจะได้ผ้าอย่างนั้น

แต่ที่ไหนเล่า ดังนี้ จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นท่านจงอนุญาตให้เรา ทำการรับ
จ้างในตระกูลมั่งคั่งแห่งหนึ่งเถิด พวกนายจ้างเหล่านั้น รู้คุณของเราแล้วก็คง
จักให้เอง ดังนี้ พอได้รับอนุญาตจากมารดาบิดาแล้ว จึงเข้าไปยังตระกูลหนึ่ง
กล่าวว่า ดิฉันมาสมัครทำงานรับจ้าง เพื่อต้องการผ้าที่ย้อมด้วยดอกคำ

ลำดับนั้น พวกนายจ้างกล่าวกะเธอว่า เมื่อเจ้าทำงานครบ ๓ ปีแล้ว พวกเรา
รู้คุณความดีของเจ้าแล้วจักให้แน่. นางรับคำแล้วเริ่มทำงาน พวกนายจ้าง
เหล่านั้น รู้คุณความดีของนางแล้ว ในเมื่อยังไม่ครบ ๓ ปีบริบูรณ์ดีนั่นเอง
จึงได้มอบผ้าชนิดอื่นพร้อมกับผ้าที่ย้อมแล้วด้วยดอกคำชนิดเนื้อแน่น ให้แก่

นางแล้วสั่งนางว่า เธอจงไปอาบน้ำพร้อมกับพวกสหายของเธอเสร็จแล้ว จง
ลองนุ่งผ้า (นี้ดู) นางไปกับพวกหญิงสหายแล้ว วางผ้าที่ย้อมแล้วไว้บนฝั่ง
อาบน้ำแล้ว. ในขณะนั้น พระสาวกของพระทศพลทรงพระนามว่ากัสสปะ
รูปหนึ่ง มีจีวรถูกโจรชิงเอาไป นุ่งและห่มกิ่งไม้ที่หักได้ มาถึงยังที่นั้นแล้ว

นางเห็นท่านแล้วคิดว่า ท่านผู้เจริญรูปนี้ เห็นที่จักถูกโจรชิงจีวรไปแล้ว ผ้า
นุ่งของเราเป็นของหาได้ยาก เพราะไม่ได้ให้ทานไว้แม้ในกาลก่อน จึงฉีกผ้า
นั้นออกเป็น ๒ ส่วน คิดว่า จักถวายส่วนหนึ่งแด่พระผู้เป็นเจ้า ดังนี้ ขึ้น
จากน้ำแล้ว นุ่งผ้านุ่งสำหรับส่วนตัวแล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าขา นิมนต์หยุดก่อน
เจ้าข้า จึงไปไหว้พระเถระแล้ว ฉีกผ้านั้นในท่ามกลาง ได้ถวายส่วนหนึ่งแก่

พระเถระนั้น. พระเถระนั้น ยืนอยู่ในที่กำบังส่วนหนึ่ง ทิ้งกิ่งไม้ที่หักได้เสีย
นุ่งผ้าผืนนั้นชายหนึ่ง ห่มชายหนึ่ง แล้วจึงออกไป. ลำดับนั้น เพราะรัศมี
แห่งผ้าอาบทั่วร่างพระเถระ ได้มีแสงรัศมีเป็นอันเดียวกัน ดุจดังพระอาทิตย์
ทอแสงอ่อน ๆ ฉะนั้น. นางมองดูพระเถระนั้นแล้ว คิดว่า ทีแรกพระผู้เป็น


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เจ้าของเราไม่งามเลย บัดนี้งามรุ่งโรจน์ดุจพระอาทิตย์ทอแสงอ่อน ๆ ฉะนั้น
เราจักถวายแม้ผ้าท่อนนี้แก่พระผู้เป็นเจ้านี้แหละ แล้วถวายผ้าส่วนที่สอง ได้
ตั้งความปรารถนาว่า ท่านผู้เจริญ ดิฉันเที่ยวไปในภพ พึงเป็นผู้ทรงไว้ซึ่ง
รูปอันงดงาม คนใดคนหนึ่ง พบเห็นดิฉันแล้ว อย่าได้อาจดำรงอยู่โดยภาวะ

ของตนเลย ผู้หญิงอื่น ที่ชื่อว่ามีรูปสวยงามเกินกว่าดิฉัน อย่าได้มีเลย แม้
พระเถระ กระทำอนุโมทนาแล้ว ก็หลีกไป. นางท่องเที่ยวไปในเทวโลก
บังเกิดในอริฏฐบุรีในกาลนั้นแล้ว ได้มีรูปร่างงดงาม เหมือนอย่างที่ได้ปรารถนา
ไว้แล้วนั้น.

ลำดับนั้น ในพระนครนั้น ประชาชนทั้งหลายได้โฆษณางานมหรสพ
ประจำเดือนกัตติกมาส (เดือน) ประชาชนทั้งหลายได้ตระเตรียมพระนครไว้
ในวันมหรสพ เพ็ญเดือนกัตติกมาสแล้ว. ท่านอภิปารกเสนาบดีเมื่อจะไปยัง
ที่รักษา (ที่ทำงาน) ของตน จึงเรียกภริยาสุดที่รักนั้นมาแล้วพูดว่า อุมมา-

ทันตี น้องรัก ! วันนี้ เวลาค่ำคืนแห่งกัตติกมาส จะมีมหรสพ พระราชา
จักทรงทำประทักษิณพระนคร เสด็จผ่านประตูเรือนของเรานี้เป็นเรือนแรก น้อง
อย่าปรากฏตัวให้พระราชาทรงเห็นนะ เพราะถ้าพระองค์เห็นน้องแล้ว จักไม่
อาจดำรงสติไว้ได้ นางอุมมาทันตีนั้นรับคำสามีว่า ไปเถอะ คุณพี่ (ถึงเวลา

นั้นแล้ว) ดิฉันจักรู้ ดังนี้ เมื่อสามีไปแล้ว จึงสั่งบังคับนางทาสีว่า ในเวลา
ที่พระราชาเสด็จมายังประตูเรือนของเรานี้ เจ้าจงบอกแก่เราให้ทราบด้วยนะ
ลำดับนั้น เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว พระจันทร์เพ็ญลอยเด่นขึ้นแทนที่
พระนครที่ประดับประดาตกแต่งแล้ว ดูงดงามปานเทวนคร ประทีปลุกโพลง

สว่างไสวทั่วทุกทิศ พระราชาทรงประดับตกแต่งด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ
ทรงประทับบนรถม้าคันประเสริฐ แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ ทรงกระทำ
ประทักษิณพระนครด้วยยศใหญ่ เสด็จถึงประตูเรือนของท่านอภิปารกเสนาบดี
เป็นเรือนแรกทีเดียว. ก็เรือนหลังนั้น แวดล้อมด้วยกำแพงสีดังมโนศิลา มี
หอคอยอยู่ที่ซุ้มประตูอันประดับตกแต่งจนงามเลิศ น่าดูชม ขณะนั้น นางทาสี


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ได้เรียนแจ้งให้นางอุมมาทันตีทราบแล้ว. นางอุมมาทันตีให้นางทาสีถือพาน
ดอกไม้แล้ว ยืนพิงบานหน้าต่างด้วยลีลาอันงดงามดุจนางกินรี โปรยดอกไม้
ใส่พระราชา. พระราชาเหลือบแลดูนาง ทันทีก็เกิดความเมาด้วยความเมาคือ
กิเลส ไม่อาจจะดำรงสติไว้ได้ จนไม่สามารถจะจำได้ว่า เรือนหลังนี้ เป็น
ของท่านอภิปารกเสนาบดี.

ลำดับนั้น พระราชาตรัสเรียกนายสารถีมาแล้ว เมื่อจะตรัสถาม จึง
ได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถาว่า

ดูก่อนนายสุนันทสารถี นี่เรือนของใครหนอล้อม
ด้วยกำแพงสีเหลือง ใครหนอปรากฏอยู่ในที่ไกล
เหมือนเปลวไฟอันลุกโพลงอยู่บนเวหาส และเหมือน
เปลวไฟบนยอดภูเขา ฉะนั้น ดูก่อนนายสุนันทสารถี
หญิงคนนี้เป็นธิดาของใครหนอ เป็นลูกสะใภ้หรือเป็น
ภรรยาของใคร ไม่มีผู้หวงแหนหรือ สามีของนางมี
หรือไม่ เราถามแล้วขอท่านจงบอกแก่เราโดยเร็ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กสฺส นุทํ ตัดบทเป็น กสฺส นุ อิทํ
แปลว่า นี้ (เรือน) ของใครหนอ. บทว่า ปณฺฑุมเยน ได้แก่ อันสำเร็จ
ด้วยกำแพงอิฐสีแดง. บทว่า ทิสฺสติ ความว่า ปรากฏยืนอยู่ที่บานหน้าต่าง
บทว่า อจฺจิ ได้แก่ กองไฟที่มีลมโหมลุกโพลง. บทว่า ธีตา นายํ ตัด

บทเป็น ธีตา นุ อยํ เป็นธิดา (ของใคร) หนอ. บทว่า อวาวตา ได้แก่
ไม่มีผู้กีดกั้น คือ ไม่มีผู้หวงแหนหรือ. บทว่า ภตฺตา ความว่า สามีของ
นางมีหรือไม่ เจ้าจงบอกความนี้แก่เรา.

ลำดับนั้น นายสารถี เมื่อจะกราบทูลแจ้งเนื้อความแด่พระราชา จึง
ได้กราบทูลคาถา ๒ คาถาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชานิกร ก็ข้าพระ-
องค์ย่อมรู้จักหญิงนั้นพร้อมทั้งมารดา บิดา และสามี
ของนาง ข้าแต่พระจอมภูมิบาล บุรุษนั้นเป็นผู้ไม่

ประมาทในประโยชน์ของพระองค์ทั้งกลางคืนกลางวัน
สามีของนางเป็นผู้มีอิทธิพลกว้างขวางและมั่งคั่ง ทั้ง
เป็นอำมาตย์คนหนึ่งของพระองค์ ข้าแต่พระราชา
หญิงนั้น คือ ภรรยาของอภิปารกเสนาบดี เธอมีชื่อ
ว่า อุมมาทันตี พระเจ้าข้า.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มตฺยา จ ความว่า ข้าพระองค์ย่อมรู้
จักหญิงคนนั้นพร้อมทั้งมารดาและบิดา. ศัพท์ว่า อโถปิ นายสารถีกราบทูล
ว่า แม้สามีของนางข้าพระองค์ก็รู้จัก. บทว่า อิทฺโธ แปลว่า เป็นผู้ได้รับ
ความสำเร็จแล้ว. บทว่า ผีโต ได้แก่ พรั่งพร้อมด้วยผ้าและเครื่องอลังการ
ทั้งหลาย. บทว่า สุวฑฺฒิโต ได้แก่ เป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์ดี. บทว่า นามเธยฺเยน
แปลว่า มีชื่อ. จริงอยู่ หญิงคนนี้ ย่อมทำบุรุษผู้ที่มองดูนางให้หลงใหลคล้าย
คนบ้า คือ ไม่ให้บุรุษนั้นดำรงสติอยู่ได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า
อุมมาทันตี ดังนี้.

พระราชาได้ทรงสดับคำทูลนั้นแล้ว เมื่อจะทรงชมเชยชื่อของนางนั้น
จึงตรัสคาถาติดต่อกันว่า

ดูก่อนท่านผู้เจริญ ๆ ชื่อที่มารดาและบิดาตั้งให้
หญิงคนนี้ เป็นชื่อเหมาะสมดีจริงอย่างนั้น เมื่อนาง
มองดูเรา ย่อมทำให้เราหลงใหลคล้ายคนบ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มตฺยา จ เปตฺยา จ แปลว่า ที่มารดา
และบิดา. บทว่า มยฺหํ เป็นสัมปทานะใช้ในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ. บทว่า
อวโลกยนฺตี ความว่า เธอถูกเรามองดูแล้ว หันกลับมามองดูเราบ้าง ได้
ทำเราให้หลงใหลคล้ายคนบ้า.

แม้นางอุมมาทันตีนั้น ทราบว่า พระราชาพระองค์นั้นทรงหวั่นไหว
พระหทัยแล้ว จึงปิดหน้าต่างแล้ว ได้เข้าสู่ห้องอันประกอบด้วยสิริตามเดิม.
จำเดิมแต่กาลที่พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นนางแล้ว พระองค์ไม่ได้มี
พระหทัยที่จะทรงกระทำประทักษิณพระนครเลย. พระราชาตรัสเรียกนายสารถี
มาแล้ว ตรัสว่า สุนันทะสหายเอ๋ย ! เจ้าจงกลับรถเถิด งานมหรสพนี้ไม่

สมควรแก่พวกเรา แต่สมควรแก่อภิปารกเสนาบดี ถึงพระราชสมบัติ ก็
สมควรแก่อภิปารกเสนาบดีนั้นเหมือนกัน ดังนี้ จึงให้นายสารถีกลับรถแล่น
ถึงสถานที่ เสด็จขึ้นพระปราสาทแล้ว ทรงบรรทมบ่นเพ้อบนที่บรรทมอัน
ประกอบด้วยสิริ ตรัสว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ในคืนเดือนเพ็ญ นางผู้มีนัยน์ตาชม้ายคล้ายเนื้อ
ทราย ร่างกายมีสีเหมือนดอกบุณฑริก นั่งอยู่ใกล้
หน้าต่าง ในคืนนั้น เราได้เห็นนางนุ่งห่มผ้าสีแดง
เหมือนเท้านกพิราบ สำคัญว่าพระจันทร์ขึ้นสองดวง
คราวใด นางมีหน้ากว้าง ขาวสะอาด ประเล้าประโลม

อยู่ด้วยอาการอันงดงาม ชม้อยชม้ายชำเลืองดูเราดัง
จะปล้นเอาดวงใจของเราไปเสียเลย เหมือนนางกินนร
เกิดบนภูเขาในป่า ฉะนั้น ก็คราวนั้น นางผู้พริ้งเพรา
มีตัวเป็นสีทอง สวมกุณฑลแก้วมณี ผ้านุ่งผ้าห่มท่อน
เดียว ชำเลืองดูเราประดุจนางเนื้อทราย มองดูนาย

พราน ฉะนั้น เมื่อไรหนอ นางผู้มีเล็บแดง มีขนงาม
มีแขนนุ่มนิ่ม ลูบไล้ด้วยแก่นจันทน์ มีนิ้วมือกลมเกลี้ยง
มีกระบวนชดช้อย งามตั้งแต่ศีรษะจักได้ยั่วยวนเรา
เมื่อไรหนอ ธิดาของท่านเศรษฐีติริฏิวัจฉะ ผู้มีทับ-
ทรวงอันกระทำด้วยข่ายทอง เอวกลม จักกอดรัดเรา

ด้วยแขนทั้งสองอันนุ่มนิ่ม ประดุจเถาย่านทราย รวบ
รัดต้นไม้ที่เกิดในป่าใหญ่ ฉะนั้น เมื่อไรหนอ นางผู้
มีผิวงามแดงดังน้ำครั่ง มีถันเป็นปริมณฑลดังฟองน้ำ
มีอวัยวะฉาบด้วยผิวหนังเปล่งปลั่งดังดอกบุณฑริก จัก
จรดปากด้วยปากกะเรา เหมือนดังนักเลงสุราจรดจอก

สุราให้แก่นักเลงสุรา ฉะนั้น ในกาลใด เราได้เห็น
นางผู้มีร่างกายทุกส่วนอันน่ารื่นรมย์ใจยืนอยู่ ในกาล
นั้น เราไม่รู้สึกอะไร ๆ แก่จิตของตนเลย เราได้เห็น
นางอุมมาทันตีผู้สวมสอดกุณฑลมณีแล้วนอนไม่หลับ
ทั้งกลางวันและกลางคืน เหมือนแพ้ข้าศึกมาตั้งพันครั้ง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ถ้าท้าวสักกะพึงประทานพรให้แก่เรา ขอให้เราพึงได้
พรนั้นเถิด อภิปารกเสนาบดีพึงรื่นรมย์อยู่กับนาง
อุมมาทันตีคืนหนึ่งหรือสองคืน ต่อจากนั้น พระเจ้า-
สีวิราช พึงได้รื่นรมย์บ้าง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุณฺณมาเส ได้แก่ ในคือพระจันทร์-
เพ็ญ. บทว่า มิคมนฺทโลจนา ความว่า ชื่อว่า มิคมันทโลจนา เพราะอรรถว่า
มีนัยน์ตาชม้ายคล้ายนัยน์เนื้อทรายที่กำลังตกใจกลัวลูกศร วิ่งหนีไปยืนแอบอยู่
ในระหว่างป่าแล้วเหลือบแลดูนายพราน ฉะนั้น. บทว่า อุปาวิสี ความว่า
เธอนั่งใกล้หน้าต่าง เอาฝ่ามือสวยงามสีเหมือนดอกปทุม หยิบดอกไม้โปรยใส่

แล้วแลดูเรา. บทว่า ปุณฺฑรีกตฺตจงฺคี ได้แก่ ร่างกายมีสีเหมือนดอกปทุม
แดง. บทว่า เทฺว ปุณฺณมาโย ความว่า ในวันนั้น คือในวันงานมหรสพ
นั้น เราได้เห็นนางนุ่งห่มผ้าสีแดงเสมอสีเท้านกพิราบนั้นแล้ว แลดูความงาม
แห่งใบหน้าของนางอยู่ ได้สำคัญว่า พระจันทร์ขึ้นสองดวง เพราะความที่
พระจันทร์เพ็ญลอยเด่นขึ้นสองดวงคือ ดวงหนึ่งซึ่งมีประจำโลกขึ้นทางทิศ-

ตะวันออก ดวงหนึ่งขึ้นในนิเวศน์ของอภิปารกเสนาบดี. บทว่า อฬารปมฺเหหิ
แปลว่า มีหน้ากว้าง. บทว่า สุเภหิ แปลว่า ขาวสะอาด. บทว่า วคฺคูภิ
แปลว่า ด้วยอาการสวยงาม. บทว่า อุทิกฺขติ ได้แก่ ในขณะที่นางแลดูเรา
ด้วยนัยน์ตาทั้งสองเห็นปานนั้น. บทว่า ปพฺพเต ความว่า คล้ายจะปล้นเอา

ดวงใจของเราไปเสียเลย เหมือนนางกินรีเกิดบนภูเขาหิมวันต์ ในป่าที่มีดอก
ไม้บานสะพรั่ง อาศัยพิณซึ่งเทียบเสียงของตนกับเสียงสายพิณ ย่อมชักนำใจ
บุรุษมาได้ ฉะนั้น. บทว่า พฺรหตี คือนางผู้ประเสริฐ. บทว่า สามา คือ
ผู้มีตัวเป็นสีทองคำ. บทว่า เอกจฺจวสนา ได้แก่ อยู่ด้วยผ้าชิ้นเดียว อธิบาย
ว่า ผ้านุ่งห่มท่อนเดียว. บทว่า ภนฺตาวุทิกฺขติ พระราชาตรัสว่า หญิงผู้


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
สูงสุดคนนั้น มีเส้นผมละเอียด มีหน้าผากกว้าง มีคิ้วยาวเรียว มีนัยน์ตาโต
งาม มีจมูกโด่ง มีริมฝีปากแดง มีซี่ฟันทั้งหลายขาวสะอาด มีเขี้ยวคม มี
คอกลมเกลี้ยงดี มีแขนอ่อนนิ่ม มีนมตั้งเต่งสวยงาม มีเอวงามเหมือนนางเนื้อ
ทราย มีตะโพกใหญ่ มีรูปร่างเสมอเหมือนต้นกล้วยทองคำ ในขณะที่นางแล
ดูเราพลางหนีเข้าป่าด้วยความกลัวแล้วหันมามองดูเราเหมือนนางเนื้อทรายหัน

กลับมามองดูนายพราน ฉะนั้น. บทว่า พาหามุทุ แปลว่า มีแขนนุ่มนิ่ม.
บทว่า สนฺนตธีรกุตฺติยา ได้แก่ มีกระบวนอันฉลาดชดช้อย บทว่า อุปญฺ-
ิสฺสติ มํ ความว่า พระราชาทรงบ่นเพ้อปรารถนาว่า นารีผู้งดงามนั้น
มีเล็บทุกเล็บสีแดง มีกระบวนการอันฉลาดชดช้อยงามตั้งแต่ศรีษะ เมื่อไรหนอ
จึงจักยั่วยวนเรา. บทว่า กาญฺจนชาลุรจฺฉทา ได้แก่ ผู้มีทับทรวงทำด้วย

ทองคำประดับตกแต่ง. บทว่า วิลากมชฺฌา ได้แก่ ร่างกายส่วนที่เป็นเอว
บทว่า พฺรหาวเน แปลว่า ในป่าใหญ่. บทว่า รตฺตสุจฺฉวี ได้แก่ มีผิว
ดุจแก้วประพาฬงามแดงดังน้ำครั่ง ในที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ปลายเล็บ และเนื้อ
ริมฝีปาก. บทว่า พินฺทุตฺถนี ได้แก่ มีนมเป็นปริมณฑลดุจฟองน้ำ. บท
ว่า ตโต ความว่า จำเดิมแต่กาลที่เราได้เห็นนางยืนอยู่. บทว่า สกสฺส

จิตฺตสฺส อธิบายว่า เราไม่ได้มีความเป็นใหญ่ เกิดแก่จิตของตนเลย. บทว่า
กญฺจิ นํ อธิบายว่า พระราชาตรัสว่า เราไม่รู้จักนางนั้นว่าเป็นใคร คือไม่
รู้ว่า ผู้หญิงคนนี้ มีชื่อดังนั้น เราเกิดเป็นบ้าขึ้นเสียแล้ว. บทว่า ทิฏฺ€า
แปลว่า พอเห็นนางแล้ว. บทว่า น สุปฺปามิ ความว่า เราย่อมไม่ได้

ความหลับทั้งกลางคืนและกลางวัน. บทว่า โส จ ลเภถ ความว่า ขอให้
พรที่ท้าวสักกะประทานแก่เรา จงเป็นของเราเถิด คือเราพึงได้พรนั้นเถิด.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พวกราชบุรุษจึงพากันไปบอกแก่ท่านอภิปารกเสนาบดีว่า ข้าแต่นาย
ท่าน พระเจ้าแผ่นดินทรงกระทำประทักษิณพระนคร พอมาถึงประตูบ้านของ
ท่านแล้ว ก็เสด็จกลับวังขึ้นสู่ปราสาท. อภิปารกเสนาบดีนั้น จึงไปยังเรือน
ของตนแล้ว เรียกนางอุมมาทันตีออกมาถามว่า น้องรักของพี่ น้องแสดงตัว
ปรากฏแก่พระราชาหรือจ๊ะ. นางตอบว่า พี่จ๋า มีชายคนหนึ่ง ท้องใหญ่
เขี้ยวโต ยืนมาบนรถ ดิฉันไม่รู้จักชายคนนั้นว่า เป็นพระราชา หรือมิใช่

พระราชา แต่เมื่อผู้คนเล่ากันว่า เป็นเอกบุรุษเป็นใหญ่ ดังนี้ ดิฉันยืนอยู่
ริมหน้าต่าง จึงได้โปรยดอกไม้ลงไป ชายผู้นั้น ยืนอยู่สักครู่หนึ่งแล้ว ก็กลับ
ไป. อภิปารกเสนาบดีได้สดับคำนั้นแล้วจึงกล่าวว่า น้องทำให้พี่ต้องฉิบหาย
เสียแล้วเป็นแน่ ดังนี้ ครั้นวันรุ่งขึ้น จึงรีบไปยังพระราชนิเวศน์แต่เช้าตรู่

ยืนอยู่ที่ประตูห้องอันเป็นสิริ ได้ยินเสียงพระราชาบ่นเพ้อถึงนางอุมมาทันตี จึง
คิดว่า พระราชาพระองค์นี้ มีจิตรักใคร่ผูกพันในน้องอุมมาทันตี ถ้าไม่ได้
นางคงจักสวรรคตเป็นแน่ เราควรจะช่วยปลดเปลื้องโทษอันมิใช่คุณทั้งของ
พระราชาและของเราเสีย แล้วถวายชีวิตแด่พระราชาพระองค์นี้เถิด จึงกลับไป

สู่เรือนของตนแล้ว สั่งให้เรียกคนใช้คนสนิทผู้หนึ่งมาสั่งว่า นี่แน่ะพ่อคุณเอ๋ย
ตรงที่โน้น มีต้นไม้ใหญ่ มีโพรงอยู่ต้นหนึ่ง ท่านอย่าให้ใคร ๆ รู้นะ พอพระ
อาทิตย์อัสดงคตแล้ว ท่านจงไปในที่นั้นแล้ว เข้าไปนั่งอยู่ภายในต้นไม้ เรา
จะทำพลีกรรมที่ต้นไม้นั้น พอไปถึงต้นไม้นั้นนมัสการเทวดาแล้ว จักวิงวอน
ว่า ข้าแต่เทวราชาผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อมหรสพมีในพระนคร พระราชาของพวก

ข้าพเจ้า ไม่ยอมทรงเล่น กลับเสด็จไปยังห้องอันเป็นสิริ ทรงบรรทมบ่นเพ้อ
พวกข้าพเจ้าไม่ทราบถึงเหตุในข้อนั้นเลย พระราชาทรงมีอุปการะมากมายแก่
พวกเทวดาฟ้าดิน ทรงสละทรัพย์พันหนึ่งให้กระทำพลีกรรมทุกกึ่งปี ขอพวก
ท่านจงบอกว่า พระราชาทรงเพ้อรำพันเพราะอาศัยเหตุชื่อนี้ ดังนี้ เราจัก

อ้อนวอนว่า จงให้ชีวิตทานแก่ราชาของพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด ในขณะนั้น
ตัวท่านพึงเปลี่ยนเสียงแล้วกล่าวว่า ดูก่อนท่านเสนาบดี ขึ้นชื่อว่าความเจ็บไข้


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
มิได้มีแก่พระราชาของพวกท่านเลย แต่พระองค์มีจิตผูกพันรักใคร่ในนาง
อุมมาทันตีผู้เป็นภรรยาของท่าน หากพระองค์ได้นางก็จักดำรงชีวิตอยู่ได้ ถ้า
ไม่ได้ก็จักสวรรคตเป็นแน่ ถ้าท่านปรารถนาจะให้พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่
ก็จงถวายนางอุมมาทันตีแด่พระองค์เถิด ดังนี้ เมื่อเสนาบดีให้คนใช้จำเอาถ้อย
คำอย่างนี้แล้วก็สั่งไป. คนใช้นั้นไปนั่งอยู่ในต้นไม้นั้น. ครั้นวันรุ่งขึ้น ท่าน

เสนาบดีไปยังสถานที่นั้นแล้ว จึงกล่าวคำอ้อนวอน. คนใช้ได้ทำตามคำสั่งทุก
ประการ. ท่านเสนาบดีกล่าวว่า ดี (ใช้ได้) แล้วไหว้เทวดาฟ้าดิน บอกให้
พวกอำมาตย์ทราบเรื่องแล้ว เข้าไปยังพระนคร ขึ้นไปบนราชนิเวศน์แล้ว
เคาะประตูห้องบรรทมอันประกอบด้วยสิริ. พอพระเจ้าแผ่นดินกลับได้สติ จึง

ตรัสถามว่า นั่นใคร. เขากราบทูลว่า ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ข้าพระองค์คืออภิปารกเสนาบดี พระเจ้าข้า. ลำดับนั้น พระราชาทรงเปิดพระ-
ทวาร (ประตู) ให้เขา. เขาจึงเข้าไปถวายบังคมแด่พระราชาแล้ว กล่าวคาถา
ว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นภูตบดี (ผู้เป็นจอมแห่งหมู่
มนุษย์) เมื่อข้าพระองค์นมัสการเทวดาทั้งหลายอยู่
เทวดามาบอกเนื้อความนี้แก่ข้าพระองค์ว่า พระทัย
ของพระราชาคลุ้มคลั่งในนางอุมมาทันตี ข้าพระองค์
ขอถวายนางแด่พระองค์ ขอพระองค์ให้นางบำเรอเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นมสฺสโต ได้แก่ เมื่อข้าพระองค์กระทำ
พลีกรรมบวงสรวงอยู่ เพื่อจะรู้ถึงเหตุแห่งการบ่นเพ้อรำพันของพระองค์
บทว่า ตํ ความว่า ข้าพระองค์ขอถวายนางอุมมาทันตีนั้นให้เป็นบาทบริจาริกา
ประจำพระองค์.

ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามท่านเสนาบดีว่า ดูก่อนอภิปารกะผู้สหาย
แม้พวกเทวดาก็รู้เรื่องที่เราบ่นเพ้อเพราะมีจิตรักใคร่ในนางอุมมาทันตีด้วยหรือ
เสนาบดีทูลตอบว่า เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า. พระราชาทรงดำริว่า ข่าวว่า
ความชั่วของเรา ชาวโลกทั้งหมดรู้กันแล้ว ดังนี้ จึงทรงดำริอยู่ในธรรมคือ
ความตายแล้ว ตรัสคาถา ติดต่อกันไปว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ก็เราพึงพรากเสียจากบุญและไม่เป็นเทวดา อนึ่ง
คนพึงรู้ความชั่วของเรานี้ และเมื่อท่านให้นางอุมมา-
ทันตีภรรยาสุดที่รักแล้วไม่เห็นนาง ความแค้นใจอย่าง
อย่างร้ายแรง จะพึงมีแก่ท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิธํเส ความว่า ดูก่อนอภิปารกเสนาบดี
ผู้สหายเอ่ย ! เมื่อเราบำเรออยู่กับนางด้วยอำนาจกิเลส พึงเสื่อมจากบุญ และ
จะไม่ได้เป็นเทวดาผู้สมมติเทพ เพราะเหตุเพียงการอยู่บำเรอกับนางนั้น อนึ่ง
มหาชนพึงทราบความชั่วช้าลามกนี้ ต่อแต่นั้นก็จะพึงติเตียนว่า พระราชาทรง
กระทำสิ่งที่ไม่สมควรเลย อนึ่ง ท่านให้นางผู้เป็นภรรยาสุดที่รักแก่เราแล้ว ภาย
หลังท่านไม่ได้เห็นภรรยา ความคับแค้นในใจ ก็จะพึงมีแก่ท่าน.

คาถาที่เหลือ ที่เป็นคำถามและคำตอบของคนแม้ทั้งสอง (คือของ
พระราชาและอภิปารกเสนาบดี) มีดังต่อไปนี้.
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชานิกร ประชาชน
แม้ทั้งสิ้นนอกจากข้าพระบาทและพระองค์ ไม่พึงรู้
กรรมที่ทำกัน ข้าพระบาท ยอมถวายนางอุมมาทันตี
แก่พระองค์ พระองค์จงทรงอภิรมย์อยู่กับนางเต็มพระ
หทัยปรารถนาแล้ว จงทรงสลัดเสีย.

มนุษย์ใดกระทำกรรมอันลามก มนุษย์นั้นย่อม
สำคัญว่า คนอื่นไม่รู้การกระทำนี้เพราะว่านรชนเหล่า
ใดประกอบแล้ว บนพื้นปฐพี นรชนเหล่านั้น ย่อม
เห็นการกระทำนี้ คนอื่นใครเล่าในแผ่นดินนี้ทั้งโลก
พึงเชื่อท่าน หรือว่า นางอุมมาทันตีไม่เป็นที่รักแห่ง

เรา เมื่อท่านให้นางอุมมาทันตีภรรยายอดรักแล้ว ไม่
เห็นนางภายหลัง ความคับแค้นใจอย่างร้ายแรง จะพึง
มีแก่ท่าน.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ข้าแต่พระจอมประชาชน นางอุมมาทันตีนั้นเป็น
ที่รักของข้าพระบาทโดยแท้ ข้าแต่พระภูมิบาล นางไม่
เป็นที่รักของข้าพระบาทก็หาไม่ ขอความเจริญจงมีแด่
พระองค์ เชิญพระองค์เสด็จไปหานางอุมมาทันตีเถิด
เหมือนดังราชสีห์ เข้าสู่ถ้ำศิลา ฉะนั้น.

นักปราชญ์ทั้งหลาย ถูกความทุกข์ของตนบีบคั้น
แล้วย่อมไม่ละกรรมที่มีผลเป็นสุข แม้จะเป็นผู้หลงมัว
เมาด้วยความสุข ก็ย่อมไม่ประพฤติบาปกรรม.
ก็พระองค์เป็นทั้งพระมารดาและบิดาเป็นผู้เลี้ยงดู
เป็นเจ้านายเป็นผู้พอกเลี้ยง และเป็นเทวดาของข้าพระ-
องค์ ข้าพระองค์พร้อมด้วยบุตรและภรรยาเป็นทาสของ
พระองค์ ขอพระองค์ทรงบริโภคกามตามความสุขเถิด.

ผู้ใดย่อมทำบาปด้วยคามสำคัญว่า เราเป็นผู้ยิ่ง
ใหญ่ และครั้นกระทำแล้ว ก็ไม่สะดุ้งกลัวต่อชนเหล่า
อื่น ผู้นั้นย่อมไม่เป็นอยู่ตลอดอายุยืนยาวเพราะกรรม
นั้น แม้เทวดาก็มองดูผู้นั้น ด้วยนัยน์ตาอันเหยียดหยาม.

ชนเหล่าใดตั้งอยู่ในธรรม ย่อมรับทานที่เป็นของ
ผู้อื่นอันเจ้าของมอบให้แล้ว ชนเหล่านั้นเป็นผู้รับด้วย
เป็นผู้ให้ในทานนั้นด้วย ได้ชื่อว่าทำกรรมอันมีผลเป็น
สุขในเพราะทานนั้นแท้จริง.

คนอื่นใครเล่า ในแผ่นดินทั้งโลก จะพึงเชื่อ
ท่านหรือว่า นางอุมมาทันตีไม่เป็นที่รักของเรา เมื่อ
ท่านให้นางอุมมาทันตีภรรยายอดรักแล้ว ไม่เห็นนาง
ภายหลัง ความคับแค้นใจอย่างร้ายแรง จะพึงมีแก่
ท่าน.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 20:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ข้าแต่พระจอมประชาชน นางอุมมาทันตีนั้น
เป็นที่รักของข้าพระบาทโดยแท้ ข้าแต่พระภูมิบาล
นางไม่เป็นที่รักของข้าพระบาทก็หาไม่ ข้าพระบาท
ยอมถวายนางอุมมาทันตีแก่พระองค์ พระองค์จงทรง
อภิรมย์อยู่กับนาง เต็มพระหทัยปรารถนาแล้ว จงทรง
สลัดเสีย.

ผู้ใดก่อทุกข์ให้แก่ผู้อื่นด้วยทุกข์ของตน หรือก่อ
ความสุขของตนด้วยความสุขของผู้อื่น ผู้ใดรู้อย่าง
นี้ว่า ความสุขและความทุกข์ของเรานี้ก็เหมือนของ
ผู้อื่น ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรม.

คนอื่นใครเล่า ในแผ่นดินทั้งโลก จะพึงเชื่อ
ท่านหรือว่า นางอุมมาทันตีไม่เป็นที่รักของเรา เมื่อ
ท่านให้นางอุมมาทันตีภรรยายอดรักแล้ว ไม่เห็นนาง
ภายหลัง ความคับแค้นใจอย่างร้ายแรง จะพึงมีแก่
ท่าน.

ข้าแต่พระองค์ผู้จอมประชาชน พระองค์ย่อม
ทรงทราบว่า นางอุมมาทันตีนี้เป็นที่รักของข้าพระบาท
ข้าแต่พระจอมภูมิบาล นางนั้นไม่เป็นที่รักของข้าพระ-
บาทก็หาไม่ ข้าพระบาทขอถวายสิ่งอันเป็นที่รักแก่
พระองค์ด้วยสิ่งอันเป็นที่รัก ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
ผู้ให้สิ่งอันเป็นที่รักย่อมได้สิ่งอันเป็นที่รัก.

เรานั้นจักฆ่าตนอันมีกามเป็นเหตุโดยแท้ เราไม่
อาจฆ่าธรรมด้วยอธรรมได้เลย.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ข้าแต่พระจอมประชาชน ผู้แกล้วกล้าแก่นรชน
ผู้ประเสริฐ ถ้าพระองค์ไม่ต้องพระประสงค์นางอุมมา-
ทันตี ผู้เป็นของข้าพระบาทไซร้ ข้าพระบาทจะสละ
นางในท่ามกลางชนทั้งปวง พระองค์พึงตรัสสั่งให้นำ
นางผู้พ้นจากข้าพระบาทแล้วมาจากที่นั้นเถิด พระเจ้า
ข้า.

ดูก่อนอภิปารกเสนาบดีผู้กระทำประโยชน์ ถ้า
ท่านจะสละนางอุมมาทันตีผู้หาประโยชน์มิได้ เพื่อสิ่ง
อันไม่เป็นประโยชน์แก่ท่าน ความค่อนว่าอย่างใหญ่
หลวง จะพึงมีแก่ท่าน อนึ่ง แม้การใส่ร้ายในพระนคร
ก็จะพึงมีแก่ท่าน.

ข้าแต่พระจอมภูมิบาล ข้าพระบาทจักอดกลั้น
คำค่อนว่า คำนินทา คำสรรเสริญ และคำติเตียน
นี้ทั้งหมด คำค่อนว่าเป็นต้นนั้นจงตกอยู่แก่ข้าพระบาท
ข้าแต่พระจอมแห่งชนชาวสีพี ขอพระองค์ทรงบริโภค
กามตามความสำราญเถิด. ผู้ใดไม่ถือเอาความนินทา

ความสรรเสริญ ความติเตียน และแม้การบูชา สิริ
และปัญญาย่อมปราศไปจากผู้นั้น เหมือนดังน้ำฝน
ปราศไปจากที่ดอน ฉะนั้น ข้าพระบาทจักยอมรับ
ความทุกข์และความสุข สิ่งที่ล่วงธรรมดาและความ
คับแค้นใจทั้งหมด เพราะเหตุแห่งการสละนี้ ด้วยอก
เหมือนดังแผ่นดินรองรับสิ่งของทั้งของคนมั่นคง และ
คนสะดุ้ง ฉะนั้น.

เราไม่ปรารถนาสิ่งที่ล่วงธรรมดา ความคับแค้น
ใจและความทุกข์ของชนเหล่าอื่น เราผู้เดียวเท่านั้น
จักเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม ไม่ยังประโยชน์หน่อยหนึ่ง
ให้เสื่อม ข้ามภาระนี้ไป.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ
+ ความเพียร พยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น
+ ล้มแล้วลุก มิควรครุกอยุ่กับความเสียใจ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ข้าแต่จอมประชาชน บุญกรรมย่อมให้เข้าถึง
สวรรค์ พระองค์อย่าได้ทรงทำอันตรายแก่ข้าพระบาท
เสียเลย ข้าพระบาทมีใจเลื่อมใสขอถวายนางอุมมาทันตี
แด่พระองค์ ดังพระราชาทรงประทานทรัพย์สำหรับ
บูชายัญแก่พราหมณ์ทั้งหลาย ฉะนั้น.

ท่านเป็นผู้เกื้อกูลแก่เราในการกระทำประโยชน์
แน่แท้ นางอุมมาทันตีและท่านเป็นสหายของเรา
เทวดาและพรหมทั้งหมด เห็นความชั่วอันเป็นไปใน
ภายหน้า พึงติเตียนได้.
ข้าแต่พระเจ้าสีวิราช ชาวนิคมและชาวชนบท
ทั้งหมด ไม่พึงคัดค้านกรรมอันเป็นธรรมนั้นเลย ข้า-
พระบาทขอถวายนางอุมมาทันตีแด่พระองค์ พระองค์
จงทรงอภิรมย์อยู่กับนางเต็มพระหทัยปรารถนาแล้ว
จงทรงสลัดเสีย.

ท่านเป็นผู้เกื้อกูลแก่เราในการกระทำประโยชน์
แน่แท้ นางอุมมาทันตีและท่านเป็นสหายของเรา ธรรม
ของสัตบุรุษที่ประกาศดีแล้ว ยากที่จะล่วงละเมิดได้
เหมือนเขตแดนของมหาสมุทร ฉะนั้น.
ข้าแต่พระราชา พระองค์เป็นผู้ควรของคำนับ
ของข้าพระองค์ เป็นผู้หวังประโยชน์เกื้อกูล เป็นผู้
ทรงไว้ เป็นผู้ประทานความสุข และทรงรักษาความ
ปรารถนาไว้ ด้วยว่า ยัญที่บูชาในพระองค์ ย่อมมี
ผลมาก ขอพระองค์ทรงรับนางอุมมาทันตีตามความ
ปรารถนาของข้าพระบาทเถิด.

ดูก่อนอภิปารกเสนาบดีผู้เป็นบุตรแห่งท่านผู้กระ
ทำประโยชน์ ท่านได้ประพฤติแล้วซึ่งธรรมทั้งปวงแก่
เราโดยแท้ นอกจากท่าน มนุษย์อื่น ใครเล่าหนอ
จักเป็นผู้กระทำความสวัสดี ในเวลาอรุณขึ้น ในชีว
โลกนี้.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ
+ ความเพียร พยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น
+ ล้มแล้วลุก มิควรครุกอยุ่กับความเสียใจ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2019, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระองค์เป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้ยอดเยี่ยม พระองค์
ทรงดำเนินโดยธรรม ทรงรู้แจ้งธรรม มีพระปัญญาดี
ขอพระองค์ผู้อันธรรมคุ้มครองแล้ว จงทรงพระชนม์
ยั่งยืนนาน ข้าแต่พระองค์ผู้รักษาธรรม ขอพระองค์
โปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด.

ดูก่อนอภิปารกเสนาบดี เชิญท่านฟังคำของเรา
เถิด เราจักแสดงธรรมที่สัตบุรุษส้องเสพแก่ท่าน พระ
ราชาชอบใจธรรมจึงจะดีงาม นรชนผู้มีความรู้รอบจึง
จะดีงาม ความไม่ประทุษร้ายต่อมิตรเป็นความดี การ
ไม่กระทำบาปเป็นสุข มนุษย์ทั้งหลายพึงเป็นสุข

ในแว่นแคว้นของพระราชาผู้ไม่ทรงกริ้วโกรธ ทรงตั้ง
อยู่ในธรรม เหมือนเรือนของตนอันมีร่มเงาเย็น ฉะนั้น
เราย่อมไม่ชอบใจกรรมที่ทำด้วยความไม่พิจารณา อัน
เป็นกรรมไม่ดีนั้นเลย แม้พระราชาเหล่าใด ทรงทราบ
แล้วไม่ทรงทำเอง เราชอบใจกรรมของพระราชาเหล่า
นั้น ขอท่านจงฟังอุปมาของเราต่อไปนี้.

เมื่อฝูงโคข้ามฟากไปอยู่ ถ้าโคผู้นำฝูงว่าย
ไปคด โคทั้งหมดนั้นก็ว่ายไปนคด ในเมื่อโคตัวผู้
นำฝูงว่ายไปคด ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น ผู้
ใดได้รับยกย่องว่า เป็นผู้ประเสริฐ ถ้าผู้นั้นประพฤติ
อธรรม จะป่วยกล่าวไปไย ถึงประชาชนนอกนี้เล่า

รัฐทั้งหมดย่อมอยู่เป็นทุกข์ ถ้าพระราชาไม่ทรงตั้งอยู่
ในธรรม เมื่อฝูงโค ข้ามฟากไปอยู่ ถ้าโคผู้นำฝูง
ว่ายไปตรง โคทั้งหมดนั้นก็ว่ายไปตรง ในเมื่อโคตัวผู้


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ จิตยิ่งบริสุทธิจากกิเลส ปัญญาก็ยิ่งเจริญยิ่ง
+ ปัญญาส่องเห็นความจริง ผู้ที่เสพคบแต่ความจริงนั้นปัญญาย่อมเจริญ
+ ความเพียร พยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น
+ ล้มแล้วลุก มิควรครุกอยุ่กับความเสียใจ

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 80, 81, 82, 83, 84, 85, 86 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron