วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 05:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 78, 79, 80, 81, 82, 83, 84 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2019, 08:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยหมู่พระประยูรญาติ
เสด็จเที่ยวไปยังปราสาทใด นี้คือปราสาทของพระองค์
แพรวพราวไปด้วยสุวรรณบุปผามาลัย.
พระราชาทรงห้อมล้อมไปด้วยพระสนมนางใน
เสด็จเที่ยวไปยังกูฏาคารใด นี้คือกูฏาคารของพระองค์
เกลื่อนกล่นไปด้วยสุวรรณบุปผามาลัย.
พระราชาทรงห้อมล้อมไปด้วยหมู่พระประยูรญาติ
เสด็จเที่ยวไปยังกูฏาคารใด นี้คือกูฏาคารของพระองค์
เกลื่อนกล่นไปด้วยสุวรรณบุปผามาลัย.

พระราชาทรงห้อมล้อมไปด้วยพระสนมนางใน
เสด็จเที่ยวไปยังสวนอโศกวันใด นี้คือสวนอโศกวัน
ของพระองค์ มีดอกไม้บานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์ตลอด-
กาลทั้งปวง.

พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยพระประยูรญาติ
เสด็จเที่ยวไปยังสวนอโศกวันใด นี้คือสวนอโศกวัน
ของพระองค์ มีดอกไม้บานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์
ตลอดกาลทั้งปวง.
พระราชาทรงห้อมล้อมไปด้วยพระสนมนางใน
เสด็จเที่ยวไปยังพระราชอุทยานใด นี้คือพระราช-
อุทยานของพระองค์ มีดอกไม้บานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์
ตลอดกาลทั้งปวง.

พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยหมู่พระประยูรญาติ
เสด็จเที่ยวไปยังพระราชอุทยานใด นี้คือพระราช
อุทยานของพระองค์ มีดอกไม้บานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์
ตลอดกาลทั้งปวง.
พระราชาทรงห้อมล้อมไปด้วยพระสนมกำนัลใน
เสด็จเที่ยวไปยังสวนกรรณิการ์ใด นี้คือสวนกรรณิการ์
ของพระองค์ มีดอกไม้บานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์
ตลอดกาลทั้งปวง.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2019, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระราชาทรงห้อมล้อมไปด้วยหมู่พระประยูรญาติ
เสด็จเที่ยวไปยังสวนกรรณิการ์ใด นี้คือสวนกรรณิการ์
ของพระองค์ มีดอกไม้บานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์
ตลอดกาลทั้งปวง.
พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยพระสนมนางใน
เสด็จเที่ยวไปยังสวนปาฏลิวันใด นี้คือสวนปาฏลิวัน
นั้นของพระองค์ มีดอกบานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์
ตลอดกาลทั้งปวง.

พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยหมู่พระประยูรญาติ
เสด็จเที่ยวไปยังสวนปาฏลิวันใด นี้คือสวนปาฏลิวัน
ของพระองค์ มีดอกบานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์ตลอดกาล
ทั้งปวง.
พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยพระสนมนางใน
เสด็จเที่ยวไปยังสวนอัมพวันใด นี้คือสวนอัมพวันของ
พระองค์ มีดอกบานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์ตลอดกาล
ทั้งปวง.

พระราชาทรงห้อมล้อมไปด้วยหมู่พระประยูรญาติ
เสด็จเที่ยวไปยังสวนอัมพวันใด นี้คือสวนอัมพวันของ
พระองค์ มีดอกบานสะพรั่ง น่ารื่นรมย์ตลอดกาล
ทั้งปวง.
พระราชาทรงห้อมล้อมไปด้วยพระสนมนางใน
เสด็จเที่ยวไปยังสระโบกขรณีใด นี้คือสระโบกขรณี
ของพระองค์ ดาดาษไปด้วยบุปผชาตินานาชนิด
เกลื่อนกล่นไปด้วยฝูงวิหค.

พระราชาทรงห้อมล้อมด้วยหมู่พระประยูรญาติ
เสด็จเที่ยวไปยังสระโบกขรณีใด นี่คือสระโบกขรณี
ของพระองค์ ดาดาษไปด้วยบุปผชาตินานาชนิด
เกลื่อนกล่นไปด้วยฝูงวิหค.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2019, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วีติกิณฺโณ ความว่า เกลื่อนกล่นไป
ด้วยสุวรรณบุปผา และนานามาลัย. บทว่า ปริกิณฺโณ แปลว่า แวดล้อม
เป็นแวดวง. บทว่า อิตฺถาคาเรหิ ความว่า หญิงทั้งหลายนับแต่ทาสีไป
ชื่อว่าอิตถาคาร คือสนมนางใน. แม้อำมาตย์ทั้งหลาย ก็ชื่อว่า ญาติทั้งนั้น
ในบทว่า าติสงฺเฆน นี้. บทว่า กูฏาคารํ ได้แก่ พระที่บรรทม และ

ห้องกูฏาคารอันวิจิตรไปด้วยรัตนะทั้งเจ็ด. บทว่า อโสกวนิกา ได้แก่ ภูมิภาค
ในอโศกวัน. บทว่า สพฺพกาลิกา ความว่า ทนต่อการใช้สอยทุกเมื่อ ทั้งบาน
เป็นนิตย์.

บทว่า อุยฺยานํ ได้แก่ พระราชอุทยาน เช่นเดียวกับสวนจิตรลดา
ในนันทนวัน. บทว่า สพฺพกาลิกํ ความว่า ดาดาษไปด้วยไม้ดอก ไม้ผล
อันบังเกิดขึ้นในฤดูกาลแม้ทั้งหก คือ ในกรรณิการ์วันเป็นต้น ก็มีดอกไม้
ผลิตดอกบานดีตลอดกาลทั้งปวงเหมือนกัน. บทว่า สฺฉนฺนา ความว่า
ดาดาษด้วยดีด้วยดอกโกสุม อันเกิดทั้งทางน้ำทางบก มีอย่างต่าง ๆ . บทว่า
อณฺฑเชหิ วีติกิณฺณา ความว่า เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่นก.

มหาชนปริเทวนาการในที่นั้น ๆ อย่างนี้แล้ว กลับมายังพระลานหลวง
อีก กล่าวคาถา ความว่า

พระเจ้าสุตโสม ทรงสละราชสมบัตินี้แล้ว
เสด็จออกทรงผนวช ทรงผ้ากาสาวพัสตร์ เที่ยวไป
พระองค์เดียว เหมือนช้างตัวประเสริฐ ฉะนั้น

ดังนี้แล้ว ต่างพากันสละสมบัติ ในเรือนของตน ๆ จูงมือบุตรธิดา
ออกไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์นั่นเอง. พระราชมารดา ราชบิดา พระชายา
พระโอรส ธิดา กับหญิงฟ้อนหมื่นหกพัน ก็ทรงปฏิบัติเช่นนั้นเหมือนกัน.
พระนครทั้งสิ้น ดูเหมือนว่างเปล่า ฝ่ายชาวชนบท ก็ได้ตามไปเบื้องหลังแห่ง
ชนเหล่านั้น. พระโพธิสัตว์ทรงพาบริษัทประมาณ ๑๒ โยชน์ เสด็จมุ่งตรงไป
ยังป่าหิมพานต์.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2019, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราช ทรงทราบว่า พระโพธิสัตว์เสด็จออก
อภิเนษกรมณ์ จึงตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมารับสั่งว่า พ่อวิสสุกรรมเทพบุตร
พระเจ้าสุตโสมมหาราช เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ ควรจะได้ที่ประทับทั้งสมาคม
ก็จักใหญ่หลวง เธอจงไปเนรมิตอาศรมบท ยาว ๓ โยชน์ กว้าง ๕ โยชน์
ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาในหิมวันตประเทศ. วิสสุกรรมเทพบุตร ก็บันดาลตาม

เทวบัญชาทุกประการ จัดบรรพชิตบริขารไว้ในอาศรมบทนั้น แล้วบันดาล
หนทางเดินได้คนเดียวไว้ เสร็จแล้วก็กลับไปยังเทวโลกทันที. พระมหาสัตว์
เสด็จไปตามทางนั้น เสด็จเข้าสู่อาศรมบทนั้น พระองค์ทรงผนวชเองก่อนแล้ว
ให้ประชาชนที่เหลือบวชภายหลัง. ในเวลาต่อมา ชนทั้งหลายบวชมากขึ้น.
สถานที่กว้างถึง ๓๐ โยชน์ ก็เต็มบริบูรณ์. ก็กำหนดที่ท้าวสักกะทรงใช้

วิสสุกรรมเทพบุตรให้เนรมิตอาศรมบทก็ดี กำหนดที่ประชาชนบวชเป็นอันมาก
ก็ดี กำหนดที่พระโพธิสัตว์จัดอาศรมบทก็ดี พึงทราบโดยนัยที่มาแล้ว ใน
หัตถิปาลชาดกนั่นเอง. มิจฉาวิตกมีกามวิตกเป็นต้น เกิดขึ้นแก่คนใด ๆ
พระมหาสัตว์เจ้าก็เสด็จเข้าไปหาคน ๆ นั้น ณ ที่นั้น โดยทางอากาศ ประทับ
นั่งคู้บัลลังก์ในอากาศ เมื่อจะทรงโอวาท จึงตรัสพระคาถา ๒ คาถา ความว่า

ท่านทั้งหลายอย่าระลึกถึงความยินดี การเล่น
และการร่าเริงในกาลก่อนเลย กามทั้งหลายอย่าทำลาย
ท่านทั้งหลายได้เลย จริงอยู่ สุทัสนนคร น่ารื่นรมย์
ยิ่งนัก ท่านทั้งหลายจงเจริญเมตตาจิตอันหาประมาณ

มิได้ ทั้งกลางวันและกลางคืนเถิด เมื่อเป็นเช่นนี้
ท่านทั้งหลายจะได้ไปสู่เทพบุรี อันเป็นที่อยู่ของท่าน
ผู้มีบุญกรรม.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2019, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รติกีฬิตานิ ความว่า (ท่านทั้งหลาย
อย่าระลึกถึง) ความยินดีในกาม และการเล่นอันเป็นไปด้วยอำนาจแห่งการ
เล่นทางกาย วาจา และใจ. บทว่า มา โว กามา หนึสุ ความว่า วัตถุกาม
และกิเลสกามอย่าเบียดเบียนพวกท่าน. บทว่า รมฺมฺหิ ความว่า สุทัสนนคร

น่ารื่นรมย์ยินดี ท่านทั้งหลายอย่าระลึกถึงสุทัสนนครนั้น. บทว่า เมตฺตํ นี้
เป็นเพียงหัวข้อเทศนาเท่านั้น. ก็พระโพธิสัตว์นั้น ตรัสบอกพรหมวิหาร ๔.
บทว่า อปฺปมาณํ ได้แก่ เมตตาพรหมวิหารมีสัตว์หาประมาณมิได้ เป็น
อารมณ์. บทว่า คฺฉิตฺถ แปลว่า จักได้ไป. บทว่า เทวปุรํ ได้แก่
พรหมโลก.

แม้หมู่ฤาษีนั้น ตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์แล้ว ได้เป็นผู้มี
พรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ด้วยประการฉะนี้ เรื่องราวทั้งหมดควรกล่าว
โดยนัยที่มาแล้ว ในหัตถิปาลชาดกนั่นแล.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงจบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในชาตินี้เท่านั้น แม้ในชาติปางก่อน ตถาคตก็เสด็จออก
มหาภิเนษกรมณ์เหมือนกัน แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระมารดาบิดาในครั้ง
นั้นได้มาเป็นศากยมหาราชสกุล พระนางจันทาเทวี ได้มาเป็นราหุลมาร-

ดา เชษฐโอรส ได้มาเป็นพระสารีบุตร กนิษฐโอรส ได้มาเป็นพระราหุล
พระพี่เลี้ยง ได้มาเป็นนางขุชชุตตรา กุลพันธนเศรษฐีได้มาเป็นพระกัส-
สป มหาเสนาคุตต์ ได้มาเป็นพระโมคคัลลานะ โสมทัตกุมาร ได้มาเป็น
พระอานนท์ บริษัทที่เหลือได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนพระเจ้าสุตโสม
ได้มาเป็นเราผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาจุลลสุตโสมชาดกที่ ๕
จบอรรถกถาจัตตาลีสนิบาต เพียงเท่านี้

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2019, 09:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อรรถกถานฬินิกาชาดก

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ-
ปรารภถึงการประเล้าประโลมของปุราณทุติยิกา จึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า
อุทฺทยฺหเต ชนปโท ดังนี้เป็นต้น.

ก็พระศาสดา เมื่อจะตรัสจึงถามภิกษุนั้นว่า เธอถูกใครทำให้เบื่อ-
หน่าย ? เมื่อภิกษุกราบทูลว่า ถูกภริยาเก่าเป็นผู้ทำให้เบื่อหน่าย ดังนี้ จึง
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ หญิงคนนี้แลเป็นผู้ทำความพินาศให้แก่เธอ (ในบัดนี้
เท่านั้น หามิได้) แม้ในกาลก่อน เธออาศัยผู้หญิงคนนี้แล้ว เสื่อมจากฌาน
เป็นผู้ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวง ดังนี้ จึงทรงนำอดีตนิทานมาว่า

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติ ในกรุง-
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ชื่อว่า อุทิจจะ
พอเจริญวัยแล้วได้ศึกษาเล่าเรียนศิลปะจนจบแล้ว บวชเป็นฤาษีทำฌานและ
อภิญญาให้บังเกิดขึ้นแล้ว ก็สำเร็จการอยู่อาศัยในหิมวันตประเทศ. เพราะ
อาศัยเหตุนั้น โดยนัยดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ในอลัมพุสาชาดกนั้นนั่นแล นาง

เนื้อตัวหนึ่ง จึงตั้งท้องแล้วคลอดลูก. เขาได้มีชื่อว่า อิสิสิงโค เทียว.
ต่อมาบิดาได้ให้เขาผู้เจริญวัยแล้วบวช ศึกษาเล่าเรียนการบริกรรมกสิณ. มิช้า
มินานนัก เขาก็ทำฌานและอภิญญาให้บังเกิดขึ้นได้ จึงได้เล่นอยู่ด้วยความสุข
อันเกิดแต่ฌาน ได้เป็นผู้มีตบะกล้าแข็ง มีตบะอย่างยอดเยี่ยม มีอินทรีย์อัน

ชนะอย่างดียิ่ง. เพราะเดชแห่งศีลของดาบสนั้น ภพท้าวสักกเทวราชจึงหวั่นไหว
ท้าวสักกเทวราช ทรงใคร่ครวญดูก็ทราบถึงเหตุ คิดว่า เราจักใช้อุบาย
ทำลายศีลของดาบสนี้ให้ได้ จึงห้ามฝนไม่ให้ตก ในกาสิกรัฐทั้งหมดตลอด


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2019, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
๓ ปี. แว่นแคว้น ได้เป็นราวกะว่าถูกไฟแผดเผาแล้ว. เมื่อข้าวกล้าไม่สมบูรณ์
พวกมนุษย์ถูกทุพภิกขภัยเบียดเบียน จึงเรียกกันมาประชุมที่พระลานหลวง.
ลำดับนั้น พระราชาประทับยืนอยู่ที่ช่องพระแกล ตรัสถามคนเหล่านั้นว่า นั่น
อะไรกัน ? พวกมนุษย์ผู้ได้รับความทุกข์ พากันกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช-
เจ้า เมื่อฝนไม่ตกตลอด ๓ ปี แว่นแคว้นทั้งสิ้นก็เร่าร้อน แล้วกราบทูลอีกว่า

ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงให้ฝนตกเถิด. พระราชา แม้จะสมาทานศีล
เข้าจำอุโบสถ ก็ไม่ทรงสามารถจะให้ฝนตกลงมาได้ ในกาลนั้น ท้าวสักกะ
เสด็จเข้าไปยังห้องอันประกอบด้วยพระสิริของพระราชาพระองค์นั้น ในเวลา
เที่ยงคืน ทรงทำแสงสว่างครั้งหนึ่งแล้ว ได้ประทับยืนที่กลางเวหาส. พระราชา
ทอดพระเนตรเห็นแสงสว่างนั้นแล้ว ตรัสถามว่า ท่านเป็นใครกัน ? ท้าวสักกะ

ตรัสตอบว่า เราเป็นท้าวสักกะ พระราชาตรัสถามว่า พระองค์เสด็จมาประสงค์
อะไรหรือ ? ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า มหาราชเจ้าเอย ! ฝนในแว่นแคว้นของ
พระองค์ตกบ้างไหม ? พระราชาตรัสว่า ไม่ตกเลย. ท้าวสักกะตรัสถามว่า
ก็พระองค์ทรงทราบเหตุที่ฝนไม่ตกหรือเปล่า ? พระราชาตรัสว่า ไม่ทราบเลย.
ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสชี้แจงว่า มหาราช ! ในหิมวันตประเทศ มีดาบสชื่อ

ว่าอิสิสิงคะอาศัยอยู่ พระดาบสนั้น มีตบะกล้าแข็ง มีอินทรีย์อันชนะอย่างดี
ยิ่ง เมื่อฝนตกลงมาเป็นนิตย์ ท่านโกรธแล้วเพ่งดูอากาศ เพราะฉะนั้น ฝน
จึงไม่ตก. พระราชาตรัสถามว่า บัดนี้ จะพึงทำอย่างไรดีในเรื่องนี้ ? ท้าวสักกะ
ตรัสว่า เมื่อทำลายตบะของพระดาบสนั้นได้ ฝนก็จักตก. พระราชาตรัสถาม
ว่า ก็ใครเล่าจะสามารถทำลายตบะของพระดาบสนั้นได้. ท้าวสักกะตรัสชี้แจงว่า
มหาราช ก็พระราชธิดาพระนามว่านฬินิกาของพระองค์นี้แหละจะเป็นผู้สามารถ


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2019, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระองค์จงให้คนเรียกเธอมาแล้วสั่งว่า ลูกจงไปยังสถานที่ชื่อโน้นแล้ว จง
ทำลายตบะของพระดาบสให้จงได้. ท้าวสักกเทวราช สั่งสอนพระราชาอย่าง
นั้นแล้ว ก็ได้เสด็จไปยังที่อยู่ของพระองค์ตามเดิม ในวันรุ่งขึ้น พระราชา
ทรงปรึกษากับพวกอำมาตย์แล้วตรัสสั่งให้เรียกพระราชธิดามาแล้ว ตรัสพระ
คาถาแรกว่า

ชนบทเร่าร้อนอยู่ แม้รัฐก็จะพินาศ ดูก่อนลูก
นฬินิกา มานี่เถิด เจ้าจงไปนำพราหมณ์ผู้นั้นมาให้เรา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ เม ความว่า เจ้าจงนำพราหมณ์ผู้
ทำความพินาศให้แก่เราคนนั้นมาไว้ในอำนาจของตน คือ จงทำลายศีลของ
ดาบสนั้น ด้วยวิธีให้ยินดีในกิเลสเถิด.

พระราชธิดานั้นสดับคาถานั้นแล้ว จึงตรัสคาถาที่ ๒ ตอบว่า
ข้าแต่พระราชบิดา หม่อมฉันทนความลำบาก
ไม่ได้ ทั้งไม่รู้จักหนทาง จะไปยังป่าที่ช้างอยู่อาศัย
ได้อย่างไรเล่า เพคะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺขกฺขมา ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
หม่อมฉันเป็นผู้อดทนต่อความทุกข์ไม่ได้ ทั้งหม่อมฉันก็ไม่รู้จักหนทาง
หม่อมฉันนั้นจักไปได้อย่างไรเล่า เพคะ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2019, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น พระราชาจึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถาว่า
ดูก่อนลูกนฬินิกา เจ้าจงไปอยู่ชนบทที่เจริญด้วย
ช้าง ด้วยรถ ด้วยยานที่ต่อด้วยไม้ เจ้าจงไปด้วยอาการ
อย่างนี้เถิดลูก เจ้าจงพากองช้าง กองม้า กองรถ
กองพลราบไปแล้ว จักนำพราหมณ์ผู้นั้นมาสู่อำนาจ
ได้ด้วยผิวพรรณ และรูปสมบัติของเจ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทารุสงฺฆาฏยาเนน ความว่า แม่
นฬินิกา เจ้าจักไม่ต้องเดินไป แต่ว่า เจ้าไปสู่ชนบทที่เจริญ มีภิกษาหาได้
ง่าย อันเกษมของตนด้วยพาหนะช้าง ด้วยพาหนะรถทั้งหลายแล้ว ต่อจาก
สถานที่นั้นไปในที่โล่งแจ้ง จงไปด้วยยวดยานที่ปกปิดแล้วเป็นต้น ในทางน้ำ

จงไปด้วยเรือและแพ ด้วยยานที่ต่อทำด้วยไม้เถิด. บทว่า วณฺณรูเปน
ความว่า เจ้าไม่ต้องลำบากอย่างนั้น พอไปแล้ว ก็จักนำพราหมณ์นั้นมาสู่
อำนาจของตนได้ ด้วยผิวพรรณและด้วยรูปสมบัติของเจ้า.

พระราชาพระองค์นั้น ตรัสพระดำรัสที่ไม่ควรจะตรัสกับพระราชธิดา
อย่างนั้น ก็เพราะมุ่งอาศัยการที่จะรักษาแว่นแคว้น. แม้พระราชธิดานั้น ก็ทูล
รับสนองว่า ดีละ ลำดับนั้น พระราชาได้ทรงพระราชทานสิ่งของที่ควร
พระราชทานทั้งหมดแก่อำมาตย์แล้ว ทรงส่งพระราชธิดาไปกับพวกอำมาตย์.

อำมาตย์ทั้งหลาย พาพระราชธิดาไปถึงปัจจันตชนบทแล้ว ให้ตั้งค่ายพักแรมใน
ชนบทนั้น ให้ยกพระราชธิดาขึ้นแล้ว เข้าไปยังหิมวันตประเทศ โดยหนทาง
ที่พรานป่าชี้บอก ในเวลาเช้า ก็ถึงที่ใกล้อาศรมบทของดาบสนั้น.

ในขณะนั้น พระโพธิสัตว์ให้บุตรเฝ้าอยู่ที่อาศรมบท ตนเองเข้าไปสู่
ป่าเพื่อผลไม้น้อยใหญ่. พวกพรานป่า ไม่ไปยังอาศรมบทเอง แต่ยืนอยู่ที่ที่
อยู่ของดาบสนั้น เมื่อจะแสดงที่อยู่นั้นแก่พระนางนฬินิกา จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2019, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อาศรมของอิสิสิงคดาบสนั้น ปรากฏด้วยธง คือ
ต้นกล้วย แวดล้อมด้วยต้นสมอ เป็นที่น่ารื่นรมย์ นั่น
คือแสงไฟ นั่นคือควันเห็นปรากฏอยู่ อิสิสิงคดาบส
ผู้มีฤทธิ์มาก เห็นจะไม่ทำให้ไฟเสื่อม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กทลิธชปญฺาโณ มีวิเคราะห์ว่า
ชื่อว่า กทลิธชปัญญาณะ เพราะอรรถว่า มีธงคือต้นกล้วยปรากฏอยู่. บทว่า
อาภุชิปริวาริโต ได้แก่ แวดล้อมด้วยป่าไม้สมอ. บทว่า สงฺขาโต ความว่า
นั่นคือแสงไฟลุกโพลงประจักษ์อยู่ ด้วยฌานของอิสิสิงคดาบสนั้น. บทว่า
มญฺเ โน อคฺคึ ความว่า เราย่อมสำคัญว่า อิสิสิงคดาบสจะไม่ทำไฟของ
พวกเราให้เสื่อม คือ ให้ลุกโพลง บำเรออยู่.

ฝ่ายพวกอำมาตย์ พากันแวดล้อมอาศรมในเวลาที่พระโพธิสัตว์เข้าไป
สู่ป่าทันที ก็พากันตั้งกองอารักขา ให้พระราชธิดาถือเพศเป็นฤาษี เอาผ้าใย
ไม้สีทองชนิดบางทำเป็นผ้านุ่งผ้าห่ม ประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ
แล้ว ให้พระราชธิดาถือเอาลูกข่างอันวิจิตรผูกด้วยเส้นด้าย ส่งเข้าไปยังอาศรม-

บท พวกตนเองพากันยืนอารักขาอยู่ภายนอก. พระราชธิดานั้นเล่นลูกข่างนั้น
พลาง ก็ล่วงล้ำถึงที่สุดจงกรม. ในขณะนั้น อิสิสิงคดาบส กำลังนั่งอยู่แล้ว
บนแผ่นหินที่ใกล้ซุ้มประตูบรรณศาลา พระดาบสนั้นมองเห็นหญิงนั้นกำลัง

เดินมา ตกใจกลัว ลุกขึ้นแล้วเข้าไปยังบรรณศาลา หยุดยืนอยู่. แม้พระราช
ธิดานั้น ก็ไปยังประตูบรรณศาลาของพระดาบสนั้นแล้ว ก็เล่น (ลูกข่าง)
ต่อไปอีก.

ก็พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้นให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก จึง
ได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถาว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2019, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อิสิสิงคดาบสเห็นพระราชธิดา ผู้สวมใส่กุณฑล
แก้วมณี เสด็จมาอยู่ กลัวแล้ว เข้าไปสู่อาศรมที่มุง
ด้วยใบไม้ ส่วนพระราชธิดาแสดงอวัยวะที่ซ่อนเร้น
และอวัยวะที่ปรากฏ เล่นลูกข่างอยู่ที่ประตูอาศรมของ
ดาบสนั้น ฝ่ายดาบสผู้อยู่ในบรรณศาลา เห็นพระนาง
กำลังเล่นลูกข่างอยู่ จึงออกจากอาศรมแล้วได้กล่าว
คำนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เคณฺฑุเกนสฺส ความว่า เล่นลูกข่าง
อยู่ที่ประตูอาศรม ของอิสิสิงคดาบสนั้น. บทว่า วิทํสยนฺตี แปลว่า แสดง
อยู่. บทว่า คุยฺหํ ปกาสิตานิ จ ได้แก่ ประกาศแสดงอวัยวะที่ลับ และ
องคชาตของลับ และประกาศแสดงอวัยวะที่ปรากฏมีใบหน้าและมือเป็นต้น.

บทว่า อพรวิ ความว่า เล่ากันว่า พระดาบสนั้น ยืนอยู่ในบรรณศาลาแล้ว
คิดว่า ถ้าว่าคนคนนี้ จะพึงเป็นยักษ์ไซร้ ก็จะพึงเข้ามายังบรรณศาลาแล้ว
ฉีกเนื้อเราเคี้ยวกิน ผู้นี้เห็นจักไม่ใช่ยักษ์ คงเป็นดาบสแน่.

เพราะฉะนั้น จึงเล่าว่า อิสิสิงคดาบส ออก (จากอาศรม) แล้วกล่าว
คำนี้ว่า
ดูก่อนท่านผู้เจริญ ต้นไม้ของท่านที่มีผลเป็นไป
อย่างนี้ มีชื่อว่าอะไร แม้ท่านขว้างไปไกลก็กลับมา
มิได้ละท่านไปเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส เตวํ คตํ ความว่า ต้นไม้ชนิด
ใดของท่านช่างมีผลอันน่าพึงใจเป็นไปอย่างนี้ ต้นไม้ชนิดนั้นชื่อว่าอะไรหนอ
คือ พระดาบสสำคัญลูกข่างอันวิจิตรที่ตนเองไม่ได้เคยเห็นมาแล้วในกาลก่อน
ว่า ลูกข่างนั้น พึงเป็นผลแห่งต้นไม้ จึงได้ถามอย่างนั้น.

ลำดับนั้น พระราชธิดานั้น เมื่อจะบอกจึงได้ตรัสคาถานี้แก่พระดาบส
นั้นว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ต้นไม้ที่มีผลเป็นไปอย่างนี้
นั้น มีอยู่มากที่ภูเขาคันธมาทน์ ณ ที่ใกล้อาศรมของ
ข้าพเจ้า ผลไม้นั้น แม้ข้าพเจ้าขว้างไปไกลก็กลับมา
ไม่ละข้าพเจ้าไปเลย.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2019, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมีเป คนฺธมาทเน ได้แก่ ที่ภูเขา
คันธมาทน์ ณ ที่ใกล้อาศรมของข้าพเจ้า. บทว่า ยสฺส เตวํ คตํ ได้แก่
ต้นไม้ที่มีผลเป็นอย่างนี้. ต อักษร กระทำการเชื่อมบทพยัญชนะ. พระ-
ราชธิดานั้น ได้กล่าวมุสาวาท ดังนี้แล.

ฝ่ายพระดาบสเชื่อแล้ว เมื่อจะทำการต้อนรับด้วยสำคัญว่า ท่านผู้นั้น
เป็นพระดาบส จึงกล่าวคาถานี้ว่า
เชิญท่านผู้เจริญ จงเข้ามาสู่อาศรมนี้ จงบริโภค
จงรับน้ำมันและภักษา เราจักให้ นี้อาสนะ เชิญท่าน
นั่งบนอาสนะนี้ เชิญบริโภคเหง้ามันและผลไม้แต่ที่นี้
เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺสมิมํ ความว่า เชิญท่านผู้เจริญ
จงเข้ามาสู่อาศรมนี้เถิด. บทว่า อเทตุ ความว่า เชิญท่านบริโภคอาหารตาม
ที่เราได้ตระเตรียมไว้แล้วเถิด. บทว่า ปชชํ ได้แก่ น้ำมันสำหรับทาเท้า
บทว่า ภกฺขํ ได้แก่ ผลไม้น้อยใหญ่อันมีรสอร่อย. บทว่า ปฏิจฺฉ แปลว่า
จงรับ. บทว่า อิทมาสนํ ความว่า พระดาบสกล่าวแล้วอย่างนั้น ในเวลา
ที่พระราชธิดาเข้าไปแล้ว.

บทว่า กินฺเต อิทํ ความว่า เมื่อพระราชธิดาพระองค์นั้น เข้าไป
ยังบรรณศาลา นั่งบนระหว่างไม้ เมื่อผ้าใยไม้ชนิดบางสีทอง แตกกลางเป็น
๒ แฉก สรีระที่ปกปิดก็เปิดเผย. พระดาบส พอเห็นอวัยวะส่วนที่ปกปิด
แห่งสรีระของมาตุคาม เพราะค่าที่ตนไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน จึงสำคัญว่า นั่น
เป็นแผล แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า

ในระหว่างขาอ่อนทั้งสองของท่าน นี้เป็นอะไร
มีสัณฐานเรียบร้อย ปรากฏดุจสีดำ เราถามท่านแล้ว
ขอท่านจงบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพเจ้า อวัยวะส่วนยาว
ของท่าน เข้าไปอยู่ในฝักหรือหนอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุปิจฺฉิตํ ความว่า สัณฐานปากแผล
อันมีศิลปะ ถูกสัมผัสด้วยดี ในเวลาประชิดขาอ่อน ๒ ข้างเข้ากัน. จริงอยู่
ที่ตรงนั้นได้กลายเป็นหลุมบ่อ เพราะไม่ประกอบด้วยลักษณะที่งดงาม และมี
สัณฐานปากแผลอันมีศิลปะนูนขึ้นชัด เพราะประกอบด้วยลักษณะที่งดงาม

บทว่า กณฺหรีวปฺปกาสติ ความว่า ปรากฏดุจสีดำที่ข้างทั้ง ๒. บทว่า
โกเส นุ เต อุตฺตมงฺคํ ปวิฏฺ€ํ ความว่า อวัยวะส่วนยาว คือ สัณฐานแห่ง
เพศของท่าน ย่อมไม่ปรากฏ คือ พระดาบสถามว่า อวัยวะส่วนยาว เข้า
ไปอยู่ในฝักคือสรีระของท่านหรือหนอ ?


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2019, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น พระราชธิดานั้น เมื่อจะหลอกลวงพระดาบสนั้น จึงตรัส
คาถา ๒ คาถาว่า
ข้าพเจ้านี้ เที่ยวแสวงหามูลผลาหารในป่า ได้
พบหมีมีรูปร่างน่ากลัวยิ่งนัก มันวิ่งไล่ข้าพเจ้ามาโดย
เร็ว มาทันเข้าแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าล้มลงแล้ว มันกัด
อวัยวะส่วนยาวของข้าพเจ้าเสีย แผลนั้นก็เหวอะหวะ
และเกิดคันขึ้น ข้าพเจ้าไม่ได้ความสบายตลอดกาลทั้ง
ปวง ท่านคงสามารถกำจัดความคันนี้ได้ ข้าพเจ้า
วิงวอนแล้ว ขอท่านได้โปรดกระทำประโยชน์ให้แก่
ข้าพเจ้า ผู้เป็นพราหมณ์เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสาทยึ ความว่า พบหมีกำลังวิ่งมา
จึงพยายามเอาก้อนดินขว้างปามัน. บทว่า ปติตฺวา แปลว่า วิ่งไล่มา. บทว่า
สหสชฺฌปฺปตฺโต ได้แก่ ถึงคือทันตัวข้าพเจ้าโดยเร็ว. บทว่า ปนุชฺช
ได้แก่ ทำให้ข้าพเจ้าล้มลงแล้ว. บทว่า อพฺพหิ ความว่า มันใช้ปากกัด
อวัยวะส่วนยาวของข้าพเจ้าแล้ว ก็หลีกหนีไป จำเดิมแต่นั้นมา ในที่ตรงนี้

แหละ จึงกลายเป็นแผล. บทว่า สฺวายํ ความว่า จำเดิมแต่กาลนั้นมา
แผลของข้าพเจ้านี้นั้น จึงเหวอะหวะ และต้องทำการเกาเสมอ เพราะข้อนั้น
เป็นปัจจัยแล ข้าพเจ้าจึงไม่ได้รับความสุขทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ ตลอด
กาลทั้งปวง. บทว่า ปโห แปลว่า สามารถ. บทว่า พฺราหฺมณตฺถํ
ความว่า พระราชธิดากล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าวิงวอนแล้ว กรุณาช่วยทำ
ประโยชน์นี้แก่ข้าพเจ้าผู้เป็นพราหมณ์เถิด คือความทุกข์นี้ จักได้ไม่มีแก่
ข้าพเจ้า ได้แก่ จงช่วยนำไปเสีย.

พระดาบสนั้น เชื่อคำมุสาวาทของพระราชธิดานั้นว่า เป็นจริง จึง
คิดว่า ถ้าความสุขอย่างนั้นจะมีแก่ท่านไซร้ ข้าพเจ้าก็จักทำให้ดังนี้แล้ว ก็
มองดูส่วนตรงนั้นแล้ว กล่าวคาถาถัดไปว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2019, 07:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
แผลของท่านลึก มีสีแดง ไม่เน่าเปื่อย มีกลิ่น
เหม็น และเป็นแผลใหญ่ เราจะประกอบกระสายยา
หน่อยหนึ่งให้ท่านตามที่ท่านจะพึงมีความสุขอย่างยิ่ง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สโลหิโต ได้แก่ มีสีแดง. บทว่า
อปูติโก ได้แก่ เว้นจากเนื้อเน่า. บทว่า ปกฺกคนฺโธ ได้แก่ มีกลิ่น
เหม็นนิดหน่อย. บทว่า กสายโยคํ ความว่า ข้าพเจ้าจักถือเอาน้ำฝาดจาก
ต้นไม้บางชนิดแล้ว ทำน้ำฝาดนั้นประกอบเป็นยาสมานแผลแก่ท่าน.
ลำดับนั้น พระนางนฬินิกา จึงตรัสคาถาว่า

ดูก่อนท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ การประกอบ
มนต์ก็ดี การประกอบกระสายยาก็ดี โอสถก็ดี ย่อม
แก้ไม่ได้ ขอท่านจงเอาองคชาตอันอ่อนนุ่มของท่าน
เสียดสีกำจัดความคัน ตามที่ข้าพเจ้าจะพึงมีความสุข
อย่างยิ่งเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กมนฺติ ความว่า ดูก่อนท่านผู้ประพฤติ
พรหมจรรย์ผู้เจริญ การประกอบมนต์ก็ดี การประกอบกระสายยาก็ดี โอสถมี
ดอกและผลเป็นต้นก็ดี ที่แผลของข้าพเจ้านี้ ย่อมแก้ไม่ได้เลย คือการประกอบ
มนต์เป็นต้นเหล่านั้น ถึงจะทำแล้วหลาย ๆ ครั้ง ก็ไม่เป็นความผาสุกสบายแก่
แผลนั้นเลย แต่เมื่อท่านใช้องคชาตอันอ่อนนุ่มของท่านนั้น เสียดสีไปมาเท่า
นั้น ความคันก็จะไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ขอท่านช่วยเอาองคชาตนั้น กำจัด
ความคันให้ทีเถอะ.

พระดาบสนั้น กำหนดว่า คนคนนั้นพูดจริง ไม่รู้เลยว่า ศีลจะขาด
ฌานจะเสื่อม ด้วยเมถุนสังสัคคะ เมื่อพระราชธิดานั้นกล่าวว่า เภสัช ดังนี้
เพราะความไม่รู้จักเมถุนธรรม เหตุที่ตนไม่เคยเห็นมาตุคามมาก่อน จึงเสพ
เมถุนธรรม ในทันทีนั้น ศีลของดาบสนั้นก็ขาด ฌานก็เสื่อม. ดาบสนั้น

กระทำการร่วมสังวาส ๒, ๓ ครั้ง ก็เหนื่อยอ่อน จึงออกไปลงสู่สระอาบน้ำ
ระงับดับความกระวนกระวายแล้ว กลับมานั่ง ณ บรรณศาลา ถึงขนาดนั้น
ก็ยังสำคัญคนคนนั้นว่า เป็นดาบสอยู่อีก เมื่อจะถามถึงที่อยู่ จึงกล่าวคาถาว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2019, 07:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อาศรมของท่านอยู่ทางทิศไหน แต่ที่นี้หนอ
ท่านย่อมรื่นรมย์อยู่ในป่าแลหรือ มูลผลาหารของท่าน
มีเพียงพอแลหรือ สัตว์ร้ายไม่เบียดเบียนท่านแลหรือ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กตเมน ได้แก่ อาศรมของท่านผู้เจริญ
อยู่ทางทิศไหนแต่ที่นี้. บทว่า ภวํ นี้ เป็นอาลปนะ.

ลำดับนั้น พระนางนฬินิกา ได้ตรัสคาถา ๔ คาถาว่า
แม่น้ำชื่อเขมาย่อมปรากฏแต่ป่าหิมพานต์ ในทิศ
เหนือตรงไปแต่ที่นี้ อาศรมอันน่ารื่นรมย์ของข้าพเจ้า
อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำนั้น ท่านควรไปดูอาศรมของข้าพเจ้าบ้าง
ต้นมะม่วง ต้นรัง ต้นหมากเม่า ต้นหว้า ต้นราชพฤกษ์
ต้นแคฝอย มีดอกบานสะพรั่ง ท่านควรไปดูอาศรม

ของข้าพเจ้า ซึ่งมีกินนรขับร้องอยู่โดยรอบ ต้นตาล
มูลมัน ผลไม้ที่อาศรมของเรานั้น มีผลประกอบด้วย
สีและกลิ่น ท่านควรไปดูอาศรมของข้าพเจ้า อัน
ประกอบด้วยภูมิภาคสวยงามนั้นบ้าง ผลไม้ เหง้าไม้
ที่อาศรมของข้าพเจ้ามีมาก ประกอบด้วยสี กลิ่น และ

รส พวกพรานย่อมมาสู่ประเทศนั้น อย่าได้มาลักมูล
ผลาหารไปจากอาศรมของข้าพเจ้านั้นเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุตฺตรายํ ได้แก่ ทิศเหนือ บทว่า
เขมา ได้แก่ แม่น้ำที่มีชื่ออย่างนั้น. บทว่า หิมวนฺตา ปภาติ ความว่า
ย่อมไหลมาแต่ป่าหิมพานต์. บทว่า อโห เป็นนิบาต ใช้ในอรรถแห่งความ
อ้อนวอน. บทว่า อุทฺทาลกา ได้แก่ ต้นไม้ที่ป้องกันลม. บทว่า กึปูริสาภิคีตํ
ได้แก่ ซึ่งมีพวกกินนรพากันแวดล้อมโดยรอบแล้ว ขับร้องอยู่ด้วยเสียงอัน

ไพเราะ. บทว่า ตาลา จ มูลา จ ผลา จ เมตฺถ ความว่า ต้นตาลอัน
น่ารัก โคนของต้นไม้เหล่านั้นนั่นแหละ มีลำต้นสมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นเป็นต้น
และผลของต้นไม้เหล่านั้นที่อาศรมของเรานั่น. บทว่า ปหูตเมตฺถ ได้แก่


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 78, 79, 80, 81, 82, 83, 84 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร