วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 13:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 23, 24, 25, 26, 27, 28, 29 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ฝูงชนฟังธรรมเทศนาอันประกาศความไม่เที่ยง ของพระรามบัณฑิตนี้
แล้ว พากันสร่างโศก. ต่อจากนั้น พระภรตกุมารบังคมพระรามบัณฑิตทูล
ว่า เชิญพระองค์ทรงรับราชสมบัติ ในพระนครพาราณสีเถิด. ดูก่อนพ่อ
ท่านจงพาพระลักขณ์และสีดาเทวีไปครองราชสมบัติกันเถิด. ทูลถามว่า ก็
พระองค์เล่า พระเจ้าข้า. ตรัสว่า พ่อเอ๋ย พระบิดาของฉันได้ตรัสไว้

กะฉันว่า ต่อล่วง ๑๒ ปี เจ้าค่อยมาครองราชสมบัติ เมื่อฉันจะไป ณ
บัดนี้เล่า ก็เป็นอันไม่ชื่อว่าไม่กระทำตามพระดำรัสของพระองค์ แต่ครั้น
พ้นจาก ๓ ปี อื่นไปแล้ว ฉันจักยอมไป. ทูลถามว่า ตลอดกาลเพียงนี้
ใครจักครองราชสมบัติเล่า. พวกเธอครองชี. ทูลว่า หากหม่อมฉันไม่ครอง.
ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นรองเท้าคู่นี้จักครองจนกว่าฉันไป แล้วทรงถอดฉลองพระ-

บาททำด้วยหญ้าของพระองค์ประทานให้. กษัตริย์ทั้ง ๓ พระองค์รับฉลอง
พระบาทบังคมพระรามบัณฑิต แวดล้อมด้วยมหาชน เสด็จไปสู่พระนคร
พาราณสี. ฉลองพระบาทครองราชสมบัติตลอด ๓ ปี. พวกอำมาตย์พากันวาง
ฉลองพระบาทหญ้าเหนือราชบังลังก์ แล้วพากันตัดสินคดี. ถ้าตัดสินไม่ดี

ฉลองพระบาทก็กระทบกัน ด้วยสัญญานั้น ต้องพากันตัดสินใหม่ เวลาที่ตัด
สินชอบแล้ว ฉลองพระบาทปราศจากเสียงและคงเงียบอยู่. ต่อนั้นสามปี พระ-
รามบัณฑิตจึงเสด็จออกจากป่าบรรลุถึงพระนครพาราณสี เสด็จเข้าสู่พระราช
อุทยาน. พระกุมารทั้งหลาย ทรงทราบความที่พระองค์เสด็จมา มีหมู่อำมาตย์

แวดล้อมเสด็จไปพระอุทยาน ทรงกระทำนางสีดาเป็นอัครมเหสีแล้วอภิเษกทั้ง
คู่. พระมหาสัตว์ทรงปราบดาภิเษกแล้ว ประทับเหนือราชรถอันอลงกต เสด็จ
เข้าสู่พระนครด้วยบริวารขบวนใหญ่ ทรงเลียบพระนครแล้วเสด็จขึ้นสู่ท้อง
พระโรง แห่งพระสุนันทนปราสาท. ตั้งแต่นั้น ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม
ตลอดหมื่นหกพันปี ในเวลาสิ้นพระชนมายุ ทรงยังเมืองสวรรค์ให้เนืองแน่น
แล้ว. อภิสัมพุทธคาถานี้ว่า


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 08:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระเจ้ารามผู้มีพระศอดุจกลองทอง มีพระพาหา
ใหญ่ ทรงครอบครองราชสมบัติอยู่ตลอด ๑๖,๐๐๐ ปี
ดังนี้ ย่อมประกาศเนื้อความนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กมฺพุคิโว ความว่า มีพระศอ เช่นกับ
แผ่นทองคำ. จริงอยู่ ทองคำเรียกว่า กัมพุ.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ใน
เวลาจบสัจจะ กุฎุมพีดำรงในโสดาปัตติผล ทรงประชุมชาดกว่า พระทส-
รถมหาราชครั้งนั้น ได้มาเป็นสุทโธทนมหาราช พระมารดาได้มาเป็น
พระมหามายา สีดาได้มาเป็นมารดาของราหุล เจ้าภรตะได้มาเป็น
อานนท์ เจ้าลักขณ์ ได้มาเป็นสารีบุตร บริษัทได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วน
รามบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาทสรถชาดก

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาสังวรมหาราชชาดก

พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
พระปรารภภิกษุทอดทิ้งความเพียรเสียแล้วรูปหนึ่ง ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้น
ว่า ชานนฺโต โน มหาราชา ดังนี้.

เรื่องมีว่า ภิกษุนั้นเป็นกุลบุตรชาวพระนครสาวัตถี ฟังพระธรรม
เทศนาของพระศาสดา บรรพชาได้อุปสมบทแล้ว บำเพ็ญอาจาริยวัตร และ
อุปัชฌายวัตร ท่องพระปาฏิโมกข์ทั้งสองจนคล่อง มีพรรษาครบ ๕ เรียน
กรรมฐาน ลาอาจารย์และอุปัชฌาย์ว่า ผมจักอยู่ในป่า ไปถึงบ้านชายแดน
ตำบลหนึ่ง พวกคนต่างเลื่อมใสในอิริยาบถ พากันสร้างบรรณศาลาบำรุงอยู่

ในบ้านนั้น ครั้นเข้าพรรษา ก็บำเพ็ญสืบสร้างพยายามจำเริญกรรมฐานตลอด
ไตรมาส ด้วยความเพียรอันปรารภแล้ว ไม่สามารถให้คุณแม้เพียงโอภาส
บังเกิดได้ ดำริว่า ในบุคคลสี่เหล่า ที่พระศาสดาทรงแสดงแล้ว เราคงเป็น
ประเภทปทปรมะเสียแน่แล้ว เราจะอยู่ป่าทำไม ไปพระเชตวัน คอยดูพระรูป

พระโฉมของพระตถาคตเจ้า สดับธรรมเทศนาอันไพเราะ ยับยั้งอยู่เถอะ.
เธอทอดทิ้งความเพียรออกจากบ้านนั้น ไปถึงพระเชตวันโดยลำดับ ถูกอาจารย์
และอุปัชฌาย์ทั้งภิกษุที่เคยรู้จักมักคุ้น รุมถามถึงเหตุที่บังคับให้มา ก็บอก
เรื่องนั้น ถูกภิกษุเหล่านั้นติเตียนว่า เหตุไรคุณจึงทำอย่างนี้ นำตัวไปสู่สำนัก

พระศาสดา เมื่อตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอพาภิกษุผู้ไม่ปรารถนามากัน
หรือ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้ทอดทิ้งความเพียรมาแล้ว
พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสถามว่า ที่เขาว่าน่ะจริงหรือ เมื่อกราบทูลว่าจริง
พระเจ้าข้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เหตุไรจึงทอดทิ้งความเพียรเสียล่ะ ที่จริง
ผลอันเลิศในพระศาสนานี้ ที่มีนามว่าอรหัตผล ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้เกียจคร้าน

ผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว จึงจะชื่นชมอธิคมธรรมได้ ก็แลในปางก่อน
เธอก็เป็นคนมีความเพียรทนต่อโอวาท ด้วยเหตุนั้นแล แม้เป็นน้องสุดท้อง
แห่งโอรส ๑๐๐ ของพระเจ้าพาราณสี ตั้งอยู่ในโอวาทของบัณฑิตทั้งหลาย ก็
ถึงเศวตฉัตรได้ ทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล พระโอรสสุดท้องนี้ ได้ทรงยึดเหนี่ยวผูกน้ำใจฝูงชนผู้ถึง
พระนครพาราณสีทั่วหน้า ด้วยสังคหวัตถุนั้น ๆ ได้เป็นที่รักที่เจริญใจของคน
ทั้งปวง. กาลต่อมา พวกอำมาตย์พากันกราบทูลถามพระราชาผู้ประทับนั่ง
เหนือพระแท่นที่สวรรคตว่า ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้า ฯ เมื่อ
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทสวรรคตไป พวกข้าพระพุทธเจ้าจักถวายเศวตฉัตรให้

แก่ใคร พระเจ้าข้า พระองค์ตรัสสั่งว่า พ่อเอ๋ย ลูกของฉันแม้ทั้งหมด เป็น
เจ้าของเศวตฉัตรทั้งนั้น แต่ผู้ใดจับใจพวกเธอ พวกเธอก็ให้เศวตฉัตรแก่ผู้นั้นก็
แล้วกัน ครั้นพระองค์สวรรคต พวกอำมาตย์นั้น จัดการถวายพระเพลิงพระศพ
ของพระองค์เสร็จ ประชุมกันในวันที่ ๗ ตกลงกันว่า พระราชารับสั่งไว้ว่า ผู้ใด

จับใจเธอได้ พวกเธอพึงยกเศวตฉัตรให้แก่ผู้นั้น ก็แลพระสังวรกุมารพระองค์นี้
จับใจพวกเราไว้ได้ แล้วพากันยกเศวตฉัตรกาญจนมาลา แด่พระกุมารสังวร
พระองค์นั้น พระเจ้าสังวรมหาราช ดำรงในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ทรง
ครองราชสมบัติโดยธรรม พระกุมาร ๙๙ พระองค์นอกนั้นเล่า ต่างตรัสว่า
ข่าวว่า พระราชบิดาของพวกเราสวรรคตแล้ว ได้ยินว่า พวกอำมาตย์ยกเศวตฉัตร

ถวายแก่เจ้าสังวรกุมาร เธอเป็นน้องสุดท้อง ยังไม่ถึงเศวตฉัตรของพระบิดานั้น
พวกเราต้องยกเศวตฉัตรถวายพระพี่ใหญ่ทุกองค์มาร่วมกัน ส่งหนังสือถึง
พระเจ้าสังวรมหาราชว่า จงให้ฉัตรแก่พวกเรา หรือไม่ก็รบกัน แล้วพากัน
ล้อมพระนครไว้. พระราชาตรัสบอกเรื่องนั้นแก่พระโพธิสัตว์ แล้วตรัสถามว่า
คราวนี้พวกเราจะทำอย่างไร. กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์ไม่

ต้องทำการรบกับพระเจ้าพี่เหล่านั้นดอก พระเจ้าข้า พระองค์ทรงแบ่งพระราช
ทรัพย์ของพระบิดาออกเป็น ๙๙ ส่วน ส่งถวายแด่พระพี่เจ้า ๙๙ พระองค์ ทรง
ส่งสาสน์ไปด้วยว่า เชิญเจ้าพี่ทั้งหลายรับส่วนพระราชทรัพย์ของพระราชบิดา
ของเจ้าพี่นี้เถิด หม่อมฉันไม่ขอรบกับเจ้าพี่ดอก. พระองค์ทรงกระทำอย่างนั้น.


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ครั้งนั้นเจ้าพี่องค์ใหญ่ของพระองค์ พระนามว่าอุโบสถกุมาร ตรัส
เรียกพระเจ้าน้องที่เหลือมาตรัสว่า พ่อทั้งหลาย ผู้เป็นพระราชาก็ไม่มีผู้สามารถ
จะย่ำยีได้ อนึ่งเล่า เจ้าน้องของพวกเราองค์นี้ มิได้ตั้งตน แม้แต่จะเป็นศัตรูตอบ
ส่งพระราชสมบัติของบิดาให้พวกเรา ส่งสาส์นมาด้วยว่า ฉันไม่ขอต่อรบกับ

เจ้าพี่ ก็แลพวกเราเล่าจักยกเศวตฉัตรขึ้นในขณะเดียวกันทุกคนไม่ได้ พวกเรา
ให้เศวตฉัตรแก่เธอองค์เดียวก็แล้วกัน เจ้าน้องนี้เท่านั้นจงเป็นพระราชา
มาเถิด เธอทั้งหลาย พวกเราพากันไปพบเธอมอบราชทรัพย์ แล้วพากันไป
สู่ชนบทของพวกเราดังเดิม. ครั้งนั้นพระกุมารแม้ทั้งหมดนั้น ก็ให้เปิดประตู-

เมือง มิได้เป็นศัตรูเลย พากันเข้าสู่พระนคร ฝ่ายพระราชาตรัสสั่งให้พวก
อำมาตย์คุมสักการะ เพื่อพระกุมารเหล่านั้น ทรงส่งสวนทางไป พระกุมาร
ทรงพระดำเนินมาด้วยบริวารเป็นอันมาก ขึ้นสู่พระราชวังแสดงอาการนอบน้อม
แด่พระเจ้าสังวรมหาราช พากันประทับนั่งเหนืออาสนะต่ำ พระเจ้าสังวร
มหาราช ทรงประทับนั่งเหนือสีหาสนะภายใต้เศวตฉัตร พระยศใหญ่ พระสิริ

โสภาคอันใหญ่ได้ปรากฏแล้ว สถานที่ที่ทอดพระเนตรแล้ว ๆ ระยิบระยับไป.
พระอุโบสถกุมารทอดพระเนตรเห็นสิริสมบัติของพระเจ้าสังวรมหาราชแล้ว
ทรงพระดำริว่า พระราชบิดาของพวกเรา ทรงทราบความที่สังวรกุมารได้
เป็นพระราชา เมื่อพระองค์ล่วงลับไป จึงประทานชนบทอื่น ๆ แก่พวกเรา
มิได้ประทานแก่สังวรกุมารนี้ เมื่อจะทรงปราศรัยกับพระเจ้าสังวรมหาราชนั้น
ได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถาว่า


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 08:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
มหาราชาผู้เป็นจอมแห่งชน ทรงทราบถึงพระ-
ศีลาจารวัตรของพระองค์ ทรงยกย่องพระกุมารเหล่านี้
มิได้สำคัญพระองค์ด้วยชนบทอะไรเลย.

เมื่อพระมหาราชาผู้สมมติเทพ ยังทรงพระชนม์
อยู่ หรือทิวงคตแล้วก็ตาม พระประยูรญาติผู้เห็น
ประโยชน์ตนเป็นสำคัญ พากันยอมรับนับถือพระองค์.

ข้าแต่พระเจ้าสังวรราช ด้วยพระศีลาจารวัตร
ข้อไหน พระองค์จึงสถิตอยู่เหนือพระเชษฐภาดาผู้ทรง
ร่วมกำเนิดได้ ด้วยพระศีลาจารวัตรข้อไหน หมู่
พระญาติที่ประชุมกันแล้ว จึงไม่ย่ำยีพระองค์ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชานนฺโต โน แปลว่า ทรงทราบ
แน่นอนอยู่. บทว่า ชนาธิโป ความว่า พระจอมนรชนผู้พระราชบิดาของ
พวกหม่อมฉัน. บทว่า อิเม ได้แก่ ซึ่งพระกุมาร ๙๙ พระองค์เหล่านี้.
แต่ในคัมภีร์พระบาลีทั้งหลาย ท่านเขียนไว้ว่า กุมารเหล่าอื่น. บทว่า ปูเชนฺโต

ความว่า ทรงยกย่องด้วยชนบทนั้น ๆ. บทว่า น ตํ เกนจิ ความว่า แต่
มิได้ทรงสำคัญพระองค์ว่า ควรจะทรงเชิดชู แม้ด้วยชนบทน้อย ๆ เลย ชะรอย
จะทรงทราบถึงพระองค์ว่า ผู้นี้เมื่อเราล่วงลับไป จักได้เป็นพระราชา จึงให้
ประทับอยู่แทบบาทมูลของตน. บทว่า ติฏฺ€นฺเต โน ความว่า ไม่ว่าจะเป็น

เมื่อพระมหาราชผู้สมมติเทพยังทรงพระชนม์อยู่. พระองค์ตรัสถามด้วย บทว่า
นุ แปลว่า มิใช่หรือ. บทว่า อาทู เทเว ความว่า หรือว่า เมื่อพระบิดา
ของพวกเราเสด็จทิวงคต หมู่พระญาติกับชาวนิคมชาวชนบทที่เป็นข้าราชการ
เห็นประโยชน์คือความเจริญของตน ต่างยอมรับนับถือพระองค์ว่า เป็นพระราชา
เถิด ด้วยพระศีลาจารวัตรไรเล่า. บทว่า สฺชาเต อภิติฏฺ€สิ ความว่า


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระองค์ทรงครอบงำพระญาติผู้มีกำเนิดเสมอกัน คือพระภาดา ๙๙ พระองค์
เสีย ประทับอยู่ได้. บทว่า นาติวตฺตนฺติ ความว่า พระญาติเหล่านั้นพา
กันครอบงำพระองค์มิได้.
พระเจ้าสังวรมหาราช ทรงสดับพระดำรัสนั้น เมื่อทรงแถลงพระคุณ
ของพระองค์ ได้ตรัสคาถา ๖ คาถาว่า

ข้าแต่พระราชบุตร หม่อมฉันมิได้ริษยาสมณะ
ทั้งหลายผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวง หม่อมฉันนอบ
น้อมท่านเหล่านั้นโดยเคารพไหว้เท้าของท่านผู้คงที่.
สมณะเหล่านั้น ยินดีแล้วในธรรมของผู้แสวงหา
คุณ ย่อมพร่ำสอนหม่อมฉันผู้ประกอบในคุณธรรม
ผู้พอใจฟัง ไม่มีความริษยา.

หม่อมฉันได้ฟังคำของสมณะ ผู้แสวงหาคุณอัน
ใหญ่หลวงเหล่านั้นแล้ว มิได้ดูหมิ่นสักน้อยหนึ่งเลย
ใจของหม่อมฉันยินดีแล้วในธรรม.
กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และกอง
พลเดินเท้า หม่อมฉันไม่ตัดเบี้ยเลี้ยงและบำเหน็จบำ-
นาญของจตุรงคเสนาเหล่านั้นให้ลดน้อยลง.

อำมาตย์ผู้ใหญ่ และข้าราชการผู้มีปรีชาของฉัน
มีอยู่ ช่วยกันบำรุงพระนครพาราณสีให้มีเนื้อมาก มี
น้ำดี.
อนึ่ง พวกพ่อค้าผู้มั่งคั่งมาแล้วจากรัฐต่าง ๆ
หม่อมฉันช่วยจัดอารักขาให้พ่อค้าเหล่านั้น ขอได้โปรด
ทราบอย่างนี้เถิด เจ้าพี่อุโบสถ.


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ราชปุตฺต ความว่า ข้าแต่พระราชบุตร
หม่อมฉันมิได้กีดกันใคร ๆ เลยว่า สมบัติอย่างนี้ จงอย่ามีแก่ผู้นี้. บทว่า
ตาทินํ ความว่า หม่อมฉันกราบไหว้บาทยุคลแห่งหมู่สมณะผู้ทรงธรรม ผู้
ประกอบด้วยลักษณะอันคงที่ ได้นามว่าสมณะ เพราะท่านสงบบาปได้แล้ว

ได้นามว่า ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวง เพราะท่านแสดงคุณมีศีลขันธ์เป็นต้น
อันใหญ่ ด้วยเบญจางประดิษฐ์ เมื่อจะให้ทาน และเมื่อจะจัดการคุ้มครองป้อง
กันอันชอบธรรมแด่ท่านเหล่านั้น ก็นอบน้อมท่านเหล่านั้นโดยเคารพคือบูชา
อย่างใจรักใคร่ทีเดียว. บทว่า เต มํ ความว่าสมณะเหล่านั้น รู้จักหม่อมฉัน

โดยถ่องแท้ว่า กุมารนี้ขวนขวายในส่วนแห่งธรรม รับฟังด้วยดี มิได้มีความ
ริษยาก็พากันพร่ำสอนหม่อมฉัน ผู้ประกอบด้วยธรรมคุณรับฟังด้วยดี ไม่ริษยา
คือพากันให้โอวาทว่า กระทำข้อนี้ อย่ากระทำข้อนี้. บทว่า เตสาหํ ตัดบทเป็น
เตสํ อหํ. บทว่า หตฺถาโรหา ความว่า พวกพลช้าง คือนักรบที่ขึ้นช้าง

รบ. บทว่า อนีกฏฺ€า ความว่า ตั้งอยู่ในกองทัพช้างเป็นต้น. บทว่า รถิกา
ได้พลรถ (นักรบขี่รถ). บทว่า ปตฺติการกา ได้แก่ พวกพลรบเดินเท้า.
บทว่า นิพฺพิตฺถํ ความว่า สินจ้างรางวัลอันใดที่พวกเหล่านั้นจัดเตรียมไว้
หม่อมฉันมิได้ลดหย่อนสิ้นจ้างรางวัลนั้น คือให้อย่างไม่ต้องลดเลย. บทว่า

มหามตฺตา ความว่า ข้าแต่พี่ชาย หมู่มหาอำมาตย์ ผู้มีปัญญามาก คือ ผู้
ฉลาดในมนต์ทั้งหลาย และผู้บำรุงอันมีความคิดอ่านที่เหลือ ของหม่อมฉันมี
อยู่ หม่อมพี่ไม่ได้อาจารย์ผู้สมบูรณ์ด้วยความคิดเป็นบัณฑิต แต่อาจารย์
ของหม่อมฉันเป็นบัณฑิต ฉลาดในอุบาย ท่านเหล่านั้นเกี่ยวโยงหม่อมฉัน
ไว้ด้วยเศวตฉัตร. บทว่า พาราณสี ความว่า ข้าแต่พี่ จำเดิมแต่กาลที่


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ยกฉัตรถวายแก่หม่อมฉันแล้ว ท่านพวกนั้น ต่างรู้ถึงมัจฉมังสาหารที่ควร
เคี้ยวกิน และน้ำดี ๆ ก็ควรดื่ม อันจะมีในพระนครพาราณสีว่า พระราชา
ของพวกเราทรงธรรม ฝนย่อมตกทุก ๆ กึ่งเดือน ข้าวกล้าต่าง ๆ ย่อมสมบูรณ์.
ด้วยอาการอย่างนี้ ชาวพระนครก็พากันอยู่กระทำพระนครพาราณสีให้มีมัจฉมัง-
สาหารและน้ำท่ามากมาย. บทว่า ผีตา ความว่า พวกพ่อค้าผู้ไม่ถูกประทุษ

ร้าย นำช้างแก้ว ม้าแก้ว และแก้วมุกดาเป็นต้นมาทำการค้า พากันมั่งคั่งร่ำ
รวยไปตามกัน. บทว่า เอวํ ชานาหิ ความว่า ข้าแต่พี่อุโปสถ ด้วยเหตุ
เหล่านี้ เพียงเท่านี้ หม่อมฉันถึงจะเป็นน้องสุดท้อง ก็ครอบงำพี่ทั้งหลายของ
หม่อมฉัน ถึงเศวตฉัตรได้ โปรดทรงทราบด้วยประการฉะนี้.

ครั้นพระอุโบสถกุมารทรงสดับพระคุณของพระองค์แล้ว ได้ตรัสพระ
คาถา ๒ คาถาว่า
ข้าแต่พระเจ้าสังวรราช ได้ยินว่า พระองค์ทรง
ครอบครองราชสมบัติแห่งหมู่พระญาติโดยธรรม พระ-
องค์เป็นผู้มีพระปรีชาด้วย เป็นบัณฑิตด้วย ทั้งทรงเกื้อ
กูลพระประยูรญาติด้วย.

ศัตรูทั้งหลายย่อมไม่เบียดเบียนพระองค์ ผู้แวด
ล้อมไปด้วยพระประยูรญาติ ทรงพร้อมมูลด้วยรัตนะ
ต่าง ๆ เหมือนจอมอสูรไม่เบียดเบียนพระอินทร์ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน กิร ความว่า ข้าแต่พระสังวร-
มหาราช ได้ยินว่า พระองค์ทรงครอบงำอานุภาพแห่งญาติคือพระเชษฐภาดาทั้ง
หลายของพระองค์ ทั้ง ๙๙ คนเสีย จำเดิมแต่นี้ เชิญพระองค์นั้นแลทรงครอง
ราชสมบัติโดยธรรมเถิด พระองค์เล่า ก็ทรงหลักแหลมทั้งเป็นบัณฑิตและยัง

เกื้อกูลแก่หมู่ญาติ. บทว่า ตํ ตํ ได้แก่ ซึ่งพระองค์ผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยคุณ
ต่าง ๆ อย่างนี้. บทว่า ญาติปริพฺยุฬฺหํ ความว่า ผู้อันหม่อมฉันผู้เป็นญาติ
๙๙ คน แวดล้อม. บทว่า นานารตนโมจิตํ ความว่า ทรงพร้อมมูลมั่งคั่ง


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ด้วยนานารัตนะ คือทรงสั่งสมรัตนะไว้มากมาย. บทว่า อสุราธิโป ความว่า
เปรียบเหมือนอสุรราชไม่ย่ำยีพระอินทร์ ผู้อันเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์แวดล้อมแล้ว
ฉันใด หมู่มิตรจะไม่ย่ำยีพระองค์ ผู้อันพวกหม่อมฉันคอยป้องกันแวดล้อม
แล้ว ทรงครองราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี มีบริเวณ ๑๒ โยชน์ในแคว้น
กาสีอันมีอาณาเขต ๓๐๐ โยชน์ ฉันนั้น.

พระเจ้าสังวรมหาราช ทรงประทานยศใหญ่ แด่พระเจ้าพี่ทุกพระองค์.
พระเจ้าพี่เหล่านั้น ประทับอยู่ในสำนักของพระองค์ตลอดกึ่งเดือน กราบทูลว่า
ข้าแต่พระมหาราช พวกหม่อมฉัน จักคอยระวังพวกโจรที่กำเริบขึ้นในชนบท
ทั้งหลาย เชิญพระองค์ทรงเสวยสุขในราชสมบัติเถิด แล้วเสด็จไปสู่ชนบทของ
ตน ๆ. พระราชาทรงดำรงในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ในที่สุดแห่งพระชนมายุ
ได้ไปเพิ่มเทพนครให้เต็ม.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสย้ำว่า ดูก่อนภิกษุ
ครั้งก่อน เธอทนต่อโอวาทเช่นนี้ บัดนี้ เหตุไรไม่กระทำความเพียร ทรง
ประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุนั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ทรงประชุม
ชาดกว่า สังวรกุมารผู้เป็นพระราชาในครั้งนั้นได้มาเป็นภิกษุนี้ อุโบสถ
กุมาร ได้มาเป็นสารีบุตร เจ้าพี่ที่เหลือได้เป็นเถรานุเถระ และบริษัท ได้
มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนอำมาตย์ผู้ถวายโอวาทได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาสังวรมหาราชชาดก

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภ
พระปัญญาบารมี ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อุมฺมุชฺชนฺติ นิมุชฺชนฺติ ดังนี้.

เรื่องพิสดารมีว่า วันหนึ่งเพลาเย็น พวกภิกษุพากันรอพระตถาคต
เสด็จออกแสดงธรรม นั่งในธรรมสภา ต่างพรรณนาพระมหาปัญญาบารมี
ของพระทศพลว่า ผู้มีอายุทั้งหลายอัศจรรย์ยิ่งนัก พระศาสดาทรงมีพระปรีชา
มาก มีพระปรีชาหนักหนา มีพระปรีชาแจ่มใส มีพระปรีชาว่องไว มีพระ
ปรีชาคมคาย มีพระปรีชาหลักแหลม ทรงประกอบด้วยพระปรีชาอันเป็น

อุบายในกรณียะนั้น ๆ หนักหนาเสมอด้วยแผ่นดิน ลึกซึ้งประหนึ่งมหาสมุทร
กว้างขวางไม่สิ้นสุดดุจดังอากาศ ปัญหาที่ตั้งขึ้นกันในชมพูทวีป ที่จะได้นามว่า
ผ่านพ้นพระทศพลไปได้ไม่มีเลยทีเดียว เหมือนคลื่นที่ตั้งขึ้นในมหาสมุทร
พอถึงฝั่งเท่านั้นก็แตกกระจายไป ฉันใด ปัญหาอันใดอันหนึ่งที่ตั้งขึ้น ก็มิได้

ผ่านพ้นพระทศพลไปได้ ถึงบาทมูลพระศาสดาแล้ว ย่อมแตกฉานไปทีเดียว
ฉันนั้น พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้
เท่านั้น ที่ตถาคตมีปัญญา แม้ในครั้งก่อน ตถาคตก็เป็นผู้มีปัญญาด้วยญาณ
อันไม่แก่กล้า ถึงจะเป็นคนตาบอดก็ยังรู้ได้ว่า ในสมุทรตอนนี้มีรัตนะนามนี้
ด้วยการกำหนดน้ำในมหาสมุทร ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาลพระเจ้ากุรุราช เสวยราชสมบัติ ณ แคว้นกุรุ ได้มี
บ้านอันเป็นท่าเรือนามว่า ภรุกัจฉะ เสวยราชสมบัติ ณ แคว้นกุรุ ครั้งนั้น
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นบุตรของหัวหน้าต้นหนในบ้านกุรุกัจฉะ เป็นคน
น่าเลื่อมใส ผิวพรรณเพียงดังทอง หมู่ญาติได้ขนานนามให้ท่านว่า สุปารก
กุมาร ทำจำเริญด้วยบริวารมาก ในกาลที่มีอายุ ๑๖ นั่นแล สำเร็จศิลปะของ
ต้นหนแล้ว ต่อมาพอบิดาล่วงลับไป ก็ได้เป็นหัวหน้าต้นหน ทำหน้าที่ต้นหน

ได้เป็นบัณฑิตสมบูรณ์ด้วยญาณ บรรดาเรือที่ท่านขึ้นไปแล้ว เป็นไม่มีเรื่อง
ที่เรียกว่าอับปางเลย ต่อมานัยน์ตาทั้งคู่ของท่านกระทบน้ำเค็มนัก เลยเสียไป
ตั้งแต่บัดนั้น ถึงท่านจะเป็นหัวหน้าต้นหนอยู่ ก็ทำหน้าที่ต้นหนไม่ได้ คิดว่า
เราพึ่งพระราชาเลี้ยงชีวิตเถอะ แล้วเข้าไปเฝ้าพระราชา ครั้งนั้นพระราชาทรง
แต่งตั้งท่านไว้ในหน้าที่พนักงานตีราคา ตั้งแต่บัดนั้น ท่านก็คอยประเมินราคา
ช้างแก้ว ม้าแก้ว และก้อนแก้วมุกดาแก้วมณีเป็นต้น.

ครั้งนั้น วันหนึ่ง คนทั้งหลายนำช้างตัวหนึ่ง มีสีดำเหมือนสีหน่อหิน
ทูลถวายแด่พระราชา ด้วยคิดว่าจักเป็นมงคลหัตถี พระราชาทอดพระเนตร
ช้างนั้นแล้ว ตรัสว่า เจ้าทั้งหลายจงให้ท่านบัณฑิตมาดู ครั้นพวกนั้นนำช้าง
นั้นไปสู่สำนักของท่านแล้ว ท่านใช้มือลูบสรีระของมันทั่ว ๆ ไป กล่าวว่า
ช้างตัวนี้ไม่สมควรจะเป็นมงคลหัตถี มันค่อมอยู่หน่อยที่เท้าหลังทั้งสองข้าง

เพราะแม่ช้างตกลูกช้างตัวนี้ ไม่อาจรับไว้ทันด้วยบั้นขาได้ เหตุนั้นมันเลย
ตกลงถึงแผ่นดิน ขาหลังทั้งคู่จึงค่อมไปเสีย คนเหล่านั้นพากันถามพวกที่
นำช้างนั้นมา พวกนั้นกล่าวว่าท่านบัณฑิตพูดจริง พระราชาทรงสดับเหตุนั้น
ทรงร่าเริงดีพระทัย โปรดให้พระราชทานทรัพย์แก่ท่าน ๘ กระษาปณ์.

อยู่มาอีกวันหนึ่ง มีคนนำม้าตัวหนึ่งมาทูลถวายแด่พระราชาว่า จักเป็น
ม้ามงคลได้ พระราชาทรงส่งม้านั้นไปสู่สำนักของท่าน ท่านใช้มือลูบคลำ
มันเหมือนกัน แล้วบอกว่าม้าตัวนี้ไม่สมควร จะเป็นม้ามิ่งมงคลได้ เพราะ
ในวันที่มันเกิดนั้นแล แม่มันตายเสียแล้ว เพราะเหตุนั้น มันไม่ได้นมแม่

จึงไม่เจริญเท่าที่ควร พวกมนุษย์ที่จูงม้ามา พากันกล่าวว่า ถ้อยคำของท่าน
ทั้งนั้นเป็นความจริง พระราชาทรงสดับแม้เรื่องนั้นก็ทรงดีพระทัย โปรด-
พระราชทาน ๘ กระษาปณ์เหมือนกัน.


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ครั้นวันหนึ่ง มีคนนำรถมาถวายแด่พระราชาว่า จักเป็นรถมงคล
พระราชาทรงส่งรถแม้นั้นไปสู่สำนักของท่าน ท่านคงใช้มือลูบคลำรถคันนั้น
ทั่วแล้ว กล่าวว่า รถคันนี้สร้างด้วยต้นไม้เป็นโพรง เหตุนั้นไม่ควรแด่
พระราชา ถ้อยคำของท่านแม้นั้นก็ได้เป็นความจริง พระราชาทรงสดับเรื่อง
แม้นั้น ก็ทรงยินดีโปรดพระราชทาน ๘ กระษาปณ์.

ครั้งนั้นมีคนนำผ้ากัมพลราคามากมาถวายพระราชาพระองค์นั้น พระ-
องค์ทรงส่งผ้านั้นไปให้แก่ท่านเหมือนกัน ท่านใช้มือลูบผ้านั้นไปทั่วผืน
กล่าวว่า ผ้าผืนนี้มีรอยหนูกัดอยู่แห่งหนึ่ง คนเหล่านั้นซักฟอกดูเห็นรอยนั้น
พากันกราบทูลแด่พระราชา พระราชาทรงสดับเรื่องนั้นคงพระราชทาน ๘

กระษาปณ์เท่านั้น ท่านดำริว่า พระราชาองค์นี้ เห็นข้ออัศจรรย์ถึงเพียงนี้
คงประทาน ๘ กระษาปณ์ รางวัลเท่านี้ เป็นรางวัลสำหรับช่างกัลบก
พระองค์คงมีเผ่าช่างกัลบกเป็นแน่ เราจะมัวมาบำรุงพระราชาเช่นนี้ทำไมกัน
ไปสู่ที่อยู่ของตนตามเดิมดีกว่า ท่านเลยกลับท่าเรือภรุกัจฉะดังเดิม เมื่อ
ท่านพำนักอยู่ในบ้านนั้น พวกพ่อค้าจัดแจงเรือ ปรึกษากันว่า จักกระทำ

ใครให้เป็นต้นหน เห็นพ้องกันว่า เรือที่ท่านสุปารกบัณฑิตขึ้นไปแล้ว
ไม่อัปปางเลย ท่านผู้นี้เป็นบัณฑิตฉลาดในอุบายถึงจะเป็นคนตาบอด ท่าน
สุปารกบัณฑิตก็ยังเป็นผู้สูงสุด พากันเข้าไปหาท่านบอกว่า ขอเชิญท่าน
เป็นต้นหนของพวกข้าพเจ้า เมื่อท่านกล่าวว่า พ่อคุณทั้งหลาย ฉันเป็น
คนตาบอด จักกระทำหน้าที่ต้นหนได้อย่างไร พากันอ้อนวอนบ่อย ๆ ว่า


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
นายขอรับ ทั้งที่ท่านตาบอดนั้นแหละ ก็ยังสูงสุดกว่าพวกข้าพเจ้า ท่าน
รับคำว่า ตกลงพ่อคุณทั้งหลาย ฉันจักเป็นต้นหนได้ด้วยข้อกำหนดที่พวก
เธอเคยบอก แล้วขึ้นเรือของพวกนั้น พวกนั้นพากันแล่นเรือไปสู่มหาสมุทร

เรือปลอดภัยไปได้ ๗ วัน ลำดับนั้น ลมมิใช่กาลบังเกิดพัดผันขึ้นแล้ว เรือ
ลอยไปเหนือสมุทรตลอด ๔ เดือนทีเดียว จึงถึงสมุทรตอนที่มีชื่อว่า ขรุมาลี
ในสมุทรตอนชื่อว่าขรุมาลีนั้น ฝูงปลามีสรีระคล้ายคน มีจมูกแหลม พากัน
ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ พวกพ่อค้าเห็นฝูงปลานั้นแล้ว เมื่อจะถามชื่อสมุทร
ตอนนั้นกะพระมหาสัตว์ กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า

พวกมนุษย์จมูกแหลมดำผุดดำว่ายอยู่ พวก
ข้าพเจ้าขอถามท่าน สุปปารกะ ทะเลนี้ชื่ออะไร.
พระมหาสัตว์ถูกพวกนั้นพากันถามอย่างนี้แล้ว เทียบทานดูตาม
ตำรับต้นหน จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า

เมื่อท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพ่อค้าแสวงหาทรัพย์
ออกจากท่าชื่อ ภรุกัจฉะ ครั้นเรือแล่นไปผิดทางมาถึง
ทะเลตอนนี้เขาเรียกกันว่า ขุรมาลี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปยาตานํ ความว่า เมื่อพวกเธอซึ่งเป็น
พ่อค้าพากันออกเรือจากท่าภรุกัจฉะ. บทว่า ธเนสินํ ความว่า พวกเธอ
ผู้เป็นพ่อค้าไปแสวงหาทรัพย์. บทว่า นาวาย วิปฺปนฏฺ€าย ความว่า พ่อคุณ
ทั้งหลาย ครั้นเรือของพวกเธอลำนี้ถูกกรรมบังคับแล่นไปผิดประเทศ สมุทรตอน
ที่ผ่านพ้นสมุทรปกติซึ่งถึงเข้านี้ ท่านเรียกว่า ขุรมาลี บัณฑิตทั้งหลาย ท่าน
แสดงสมุทรตอนนี้ไว้อย่างนี้.


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2019, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ก็แลในสมุทรตอนนั้นมีเพชรพร้อมมูล พระมหาสัตว์คิดว่า ถ้าเราบอก
แก่พวกเหล่านี้อย่างนี้ ตอนนี้เป็นสมุทรมีเพชร พวกนี้จักพากันเอาแต่เพชรให้
มากด้วยความโลภ ถึงให้เรือจมเสียก็ได้ จะไม่ยอมบอกเลย ให้ชะลอเรือไว้
ใช้อุบายให้จับเชือกทิ้งข่ายลงไป โดยทำนองที่จะจับปลา ขนก้อนเพชรขึ้นใส่

ในเรือ ให้ทิ้งข้าวของที่มีค่าน้อยเสีย เรือผ่านสมุทรตอนนั้นไปถึงตอนที่อัคคิมาลี
ถัดไป สมุทรตอนนั้นเปล่งแสงแจ่มจ้า ปรากฏเหมือนกองเพลิงที่ลุกโพลง และ
เหมือนพระอาทิตย์เมื่อยามเที่ยง พวกพ่อค้าพากันถามท่านด้วยคาถาว่า

ทะเลนี้ ปรากฏเหมือนกองไฟและพระอาทิตย์
ข้าพเจ้าถามท่านสุปปารกะ ทะเลนี้ชื่ออะไร.
ฝ่ายพระมหาสัตว์ก็บอกเรื่องนั้นแก่พวกนั้น ด้วยคาถาต่อไปว่า

เมื่อท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพ่อค้าแสวงหาทรัพย์
ออกจากท่าชื่อ ภรุกัจฉะ ครั้นเรือแล่นไปผิดทางมา
ถึงทะเลตอนนี้เขาเรียกว่า อัคคิมาลี.

ก็แลในท้องทะเลตอนนั้น มีทองมากมาย. ฝ่ายพระมหาสัตว์ ก็ให้
พวกนั้นถือเอาทองแม้จากท้องทะเลนั้นบรรทุกเรือ โดยนัยก่อนเหมือนกัน
ฝ่ายเรือแล่นพ้นท้องทะเลตอนนั้นไป ถึงท้องทะเลตอนที่เปล่งสีเหมือนนมสด
และนมส้ม อันมีชื่อ ทธิมาลี. พวกพ่อค้าพากันถามชื่อของท้องทะเลตอนนั้น
ด้วยคาถานี้ว่า

ทะเลนี้ ปรากฏเหมือนนมส้มและนมสด พวก
ข้าพเจ้าขอถามท่านสุปปารกะ ทะเลนี้ชื่ออะไร.
พระมหาสัตว์บอกแก่พวกเหล่านั้น ด้วยคาถาต่อไปว่า


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 23, 24, 25, 26, 27, 28, 29 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร