วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2013, 12:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2013, 19:15
โพสต์: 109

แนวปฏิบัติ: มีสติทุกอริยาบท
งานอดิเรก: ปฎิบัติธรรม ฟังธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ความไม่ประมาท
ชื่อเล่น: ธรรม
อายุ: 0
ที่อยู่: วัฎฎะสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ในสมัยแห่งพระพุทธเจ้าพระนามกัสสป กุฏุมพีคนหนึ่งสร้างที่อยู่ถวายพระเถระรูปหนึ่ง แล้วบำรุงด้วยปัจจัย ๔ พระเถระรูปนั้น ฉันอาหารในเรือนกุฏุมพี (ผู้มีอันจะกิน) เป็นเนืองนิตย์เช้า วันหนึ่ง ภิกษุขีณาสพ (ผู้สิ้นกิเลสแล้ว) รูปหนึ่งเที่ยวบิณฑบาตมาถึงเรือนกุฏุมพีนั้น เขาเห็นพระขีณาสพ มีอิริยาบถน่าเลื่อมใส จึงนิมนต์เข้าไปในเรือน เลี้ยงดูด้วยอาการอันประณีตด้วยความเคารพ ถวายผ้าสาฏกผืนใหญ่ พลางกล่าวว่า

“ท่านผู้เจริญ ท่านพึงย้อมผ้าสาฎกผืนนี้นุ่งเถิด” และกล่าวต่อไปว่า “ผมของท่านยาวแล้ว ข้าพเจ้าจะนำช่างมาปลงผมของท่าน ข้าพเจ้าจักจัดเตียงและตั่งเพื่อท่าน”

พระเถระผู้ฉันเป็นประจำ เห็นอาการแล้วก็เกิดจิตริษยาขึ้น คิดว่า กุฏุมพีทำสักการะแก่ภิกษุที่เพิ่งพบเพียงครู่เดียวถึงเพียงนี้ ไม่เคยทำกับตนผู้สนิทสนมเลย

ภิกษุขีณาสพไปสู่วิหารพร้อมกับพระเถระ เจ้าของถิ่น ย้อมผ้าสาฎกแล้วนุ่ง กุฏุมพีพาช่างมาปลงผม ให้คนจัดเตียงตั่งถวาย แล้วนิมนต์พระเถระทั้งสองรูปเพื่อฉันในเรือนของตนในวันรุ่งขึ้น ภิกษุเจ้าของถิ่นเดือดร้อนด้วยแรงริษยา เวลาเย็นเข้าไปหา พระขีณาสพด่าว่าด้วยอาการ ๔ อย่างว่า


“ดู ก่อนอาคันตุกะ การที่ท่านจะพึงเคี้ยวกินอุจจาระ ยังประเสริฐกว่าการบริโภคอาหารในเรือนของกุฏุมพี ท่านให้ถอนผมด้วยแปรงตาลดีกว่าปลงผมด้วยช่างกลบกที่กุฏุมพีนำมา การเปลือยกายของท่านประเสริฐกว่าการนุ่งห่มผ้าสาฎกที่กุฏุมพีถวาย การนอนเหนือแผ่นดินของท่านประเสริฐกว่าการนอนบนเตียงที่กุฏุมพีนำมา”

พระ ขีณาสพฟังแล้วก็เข้าใจความรู้สึกของเจ้าถิ่นคิดว่า “คนพาลนี่อย่าต้องวอดวายเพราะเราเลย” ดังนี้แล้ว ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ มิได้คำนึงถึงการนิมนต์ของกุฏุมพี ฝ่ายภิกษุเจ้าของถิ่นตื่นแต่เช้าทำสิ่งที่ควรทำ เช่น กวาดลานวัด เป็นต้น แล้วเคาะระฆังด้วยหลังเล็บด้วยเกรงพระขีณาสพ จะตื่นด้วยเสียงระฆัง แล้วเข้าสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต

กุฏุมพีเมื่อไม่เห็นพระขีณาสพจึงถามพระเถระว่า ทำไมไม่มาด้วย ภิกษุของถิ่นกล่าวว่า

“อย่าได้พูดถึงเขาเลย เมื่อวานนี้พอท่านกลับเท่านั้น เขาก็เข้านอน จนป่านนี้ยังไม่ตื่นตอนเช้าเมื่ออาตมา กวาดวิหาร กรอกน้ำฉันใส่หม้อ ตีระฆังด้วยเสียงอันดัง เขายังไม่รู้สึก ยังนอนหลับอยู่”

กุฏุมพี พิจารณาคำของพระเถระและท่าทางที่พูดแล้วไม่เชื่อว่าเป็นจริงดังนั้น เพราะผู้มีอิริยาบถเช่นนั้น ย่อมไม่นอนมากอย่างพระภิกษุนั้นกล่าวอย่างแน่นอน ภิกษุนี้คงจะไม่ยินดีในสักการะที่เราทำแล้วแก่พระขีณาสพ เขาล้างบาตรของพระเถระ บรรจุอาหารประณีตเต็ม ฝากไปถวายพระขีณาสพ และเลี้ยงภิกษุนั้นให้อิ่มหนำในเรือนตนด้วยความเคารพ

ภิกษุ เจ้าถิ่นคิดว่า “ถ้าพระอาคันตุกะได้ฉันอาหารอันประณีตปานนี้ เธอจะติดรสอาหารแล้วไม่ยอมไปที่อื่น” ดังนี้แล้วทิ้งบิณฑบาตนั้นเสียระหว่างทาง ไปสู่ที่อยู่ของพระขีณาสพ แต่ไม่เห็นท่าน (เพราะท่านไปเสียแล้วแต่เช้ามืด) สมณธรรมอันภิกษุ นั้นทำมาเป็นเวลานานถึง ๒ หมื่นปี ก็ไม่อาจช่วยได้ เพราะการเบียดเบียนพระอรหันต์นั้น เมื่อสิ้นชีพแล้วไปเกิดในนรกอเวจี เสวยทุกข์เป็นอันมากสิ้นพุทธันดรหนึ่ง (คือ ช่วงระหว่างพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งถึงอีกองค์หนึ่ง) มาถึงพุทธกาลนี้ เขาเกิดในตระกูลมั่งคั่งในเมืองราชคฤห์

เด็กนั้น ตั้งแต่พอเดินได้ ไม่ต้องการนอนบนที่นอน ไม่ต้องการบริโภคอาหาร กินแต่อุจจาระตนเอง มารดาบิดาเข้าใจว่า ลูกประพฤติเช่นนั้น เพราะยังเด็กอยู่ แม้เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาก็ไม่ละความประพฤตินั้น คือไม่นุ่งผ้า ชอบเปลือยกาย ชอบนอนบนพื้นดิน กินอุจจาระของตนเอง มารดา บิดาคิดว่าลูกคนนี้จะทำให้ตระกูลเสื่อม เขาไม่ควรครองเรือน ควรบวชในสำนักของอาชีวกทั้งหลาย แล้วนำไปฝากให้บวชในสำนักของอาชีวก (นักบวชลัทธิหนึ่ง)

เมื่อบวชแล้ว เขาถอนผมด้วยแปลงตาล เมื่อมารดา เชิญอาชีวกทั้งหลายไปบริโภคอาหารที่เรือนตน เขาก็ไม่ไป พออาชีวกทั้งหลายไปแล้ว เขารีบไปเปิดประตูส้วมปั้นอุจจาระบริโภค มีคนนำอาหารมาจากบ้านของเขา เขาก็ไม่กิน เมื่อพวกเขาอาชีวกทั้งหลายกลับมา ถามเขาว่าได้อาหารที่ใด เขาบอกว่าได้ที่นี่เอง

วันต่อมา ๆ ก็เหมือนกัน จนคนสงสัยว่าได้อาหารจากที่ไหนอย่างไร วันหนึ่งจึงแอบตามดู เมื่อทราบเรื่องแล้วก็พากันคิดว่า “กรรมนี้หนักหนอ หาสาวกของพระสมณโคดมรู้ ความเสื่อมจะบังเกิดแก่พวกเรา” จึงขับไล่ชัมพุกะออกจากสำนัก ชัมพุกาไปอาศัยอยู่ที่หินดาดแห่งหนึ่ง สำหรับประชาชนมาถ่ายอุจจาระ กินอุจจาระที่ประชาชนถ่ายไว้ เวลาปกติเอามือข้างหนึ่งเหนี่ยวก้อนหิน ยกเท้าหนึ่งพาดบนเข่า ยืนเงยหน้าอ้าปากอยู่

มหาชนคนโง่เข้าไปไหว้แล้วถามถึงอาการที่เห็นนั้น เขาตอบว่า

“เรา มีตบะสูง ตบะกล้า หากเราเหยียบแผ่นดินด้วยเท้าทั้งสองข้าง แผ่นดินจะไหว จะยกข้างหนึ่งเสีย ส่วนที่อ้าปากนั้น เพราะเรามีลมเป็นอาหาร เราอยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน ไม่นั่งไม่นอน”

คนโง่ได้ฟังก็ เลื่อมใส เล่าลือกันไปทั่วแคว้นอังคะและมคธ มหาชนเอาสักการะมาเป็นอันมาก อาชีวกจึงเอาปลายหญ้าคาวางบนอาหารแล้วแตะปลายลิ้น ส่งคืนเจ้าของ กล่าวว่า “เอาคืนไปเถิด เท่านี้พอแล้วสำหรับความสุข ความเจริญของท่านทั้งหลาย”

เขาประพฤติเช่นนี้ ล่วงไป ๕๕ ปี

เช้าวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นอุปนิสัยของชัมพุกาชีวก เวลาบ่ายจึงเสด็จไปยังที่อยู่ของเขา ขออาศัยอยู่ด้วย แต่เขาบอกว่าไม่มีที่ พระศาสดาตรัสว่า

“ชัมพุกะ ธรรมดาบรรพชิตย่อมมาสู่สำนักของบรรพชิตด้วยกัน พวกสัตว์ย่อมไปสู่สำนักของสัตว์ ท่านจงให้ที่อยู่แก่เราเถิด”

“ก็ท่านเป็นบรรพชิตหรือ” ชัมพุกะทูลถาม

“ใช่แล้ว ชัมพุกะ เราเป็นบรรพชิต”

“ถ้าท่านเป็นบรรพชิต เต้าน้ำของท่านอยูที่ไหน ทัพพีสำหรับโบกควันของท่านอยู่ที่ไหน ด้ายสำหรับบูชายัญอยู่ที่ไหน”

พระศาสดาตอบว่า “น้ำเต้าเป็นต้น ของเรามีอยู่ แต่เราเก็บไว้ภายในด้วยเห็นว่าถือไปไหนแต่ละอย่างรุงรังลำบาก”

ชัมพุกะโกรธ ถามพระศาสดาว่า

“ท่านเป็นบรรพชิตอย่างไร น้ำเต้าก็ไม่ถือ อะไร ๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ก็ไม่มี จะเชื่อได้อย่างไร ว่าเป็นบรรพชิตจริง”

พระศาสดาตรัสว่า “ชัมพุกะ ช่างเถิด อย่าโกรธเราเลย ขอจงบอกที่อยู่แก่เราเถิด”

“สมณะ ที่อยู่ในที่นี้ไม่มี”

“ที่เงื้อมนั้น ใครอยู่ชัมพุกะ”

“ไม่มีใครอยู่”

“ถ้าอย่างนั้น เราขอเงื้อมนั้น”

“ตามใจท่าน” ชัมพุกะพูดปัดความรำคาญ

พระศาสดาไปประทับที่เงื้อมนั้น ตกกลางคืนมีเทวดามาเฝ้าพระพุทธเจ้ากันมากมีแสงสว่างอยู่ตลอดคืน ด้วยอานุภาพของเทวดาเหล่านั้น ชัมพุกาชีวกก็ได้เห็นแสงสว่างนั้น รุ่งขึ้นชัมพุกะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลถามว่าเหตุใดเมื่อคืนจึงมีแสงสว่างในที่ประทับตลอดราตรี

“พวกเทพพากันมา ชัมพุกะ” พระศาสดาตรัสตอบ

“เทพเหล่านั้นเป็นเทพเหล่าไหนบ้าง” ชัมพุกะทูลถาม

“มีท้าวมหาราชทั้ง ๔, ท้าวสักกะ และท้าวมหาพรหม เป็นต้น”

“เทพเหล่านั้นมาทำอะไร”

“มาเพื่อบำรุงเรา”

“ท่านเป็นผู้ยอดเยี่ยมกว่า ท้าวสักกะ เป็นต้นหรือ”

“แน่นอน ชัมพุกะ เรายอดเยี่ยมกว่าเทพทั้งปวง ท้าวสักกะนั้นเมื่อเราป่วยก็มาปฏิบัติบำรุงเราเหมือนสามเณรน้อย แม้ท้าวมหาพรหมก็มาสู่ที่บำรุงเรา เราเป็นพรหมยิ่งกว่าพรหม”

ชัมพุกะกล่าวว่า

“มหาสมณะ ท่านเป็นผู้อัศจรรย์แท้ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มา ๕๕ ปีแล้ว ไม่เคยมีเทพใด ๆ มาปฏิบัติบำรุงเราแม้แต่องค์เดียว ข้าพเจ้ามีลมเป็นภักษาอยู่ด้วยอิริยาบถยืนอย่างเดียวไม่นั่งไม่นอน สิ้นเวลานานปานนี้ เทวดามิได้เลื่อมใสเลย ไม่เคยบำรุง”

“ชัมพุกะ ท่านนั้นหลอกลวงมหาชนผู้โง่เขลามานานแล้ว ยังลอกลวงเราอีกหรือ แม้ในกาลก่อนท่านเคยมีทิฐิชั่ว จึงต้องมาอยู่ในสภาพอย่างนี้ คือต้องกินอุจจาระ นอนบนแผ่นดิน เปลือยกาย ถอนผมด้วยแปรงตาล เพราะทิฐิชั่วในปางก่อน มาบัดนี้ท่านถือทิฐิอันชั่วอยู่อีก”

“มหาสมณะ ข้าพเจ้าได้ทำกรรมอะไรไว้”

พระศาสดาตรัสเล่ากรรมที่เขาทำไว้ในอดีต สมัยเป็นภิกษุเจ้าถิ่น เบียดเบียนพระขีณาสพ ความสังเวชเกิดขึ้นกับชัมพุกะเป็นอันมาก หิริโอตตัปปะปะก็เกิดขึ้น ลุกขึ้นนั่งโย่งประนมมือ พระศาสดายื่นผ้าสาฎกสำหรับอาบน้ำใช้อาบน้ำให้ไป เขานุ่งผ้านั้น ถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่งอยู่

พระผู้มีพระภาคตรัสอนุปุพพิกถา และธรรมเทศนาอื่น ๆ โดยอเนกปริยาย เมื่อจบเทศนา เขาได้บรรลุอรหัตผลนั้นด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ทูลขอบรรพชากรรมในปางก่อนสิ้นแล้วเพราะอนุภาพแห่งอรหัตผลนั้น สมณธรรมอันเธอได้ทำมา ๒ หมื่นปียังมีผลอยู่ ไม่มีสิ่งใดทำลายได้ สิ่งนั้นเป็นอุปนิสัยปัจจัยให้เธอสำเร็จอรหันต์โดยพลัน พระศาสดาทรงประทานเอหิภิกขุอุปสมบทแก่เธอ

วันนั้น ชาวอังคะและมคธมาถวายสักการะอย่างเคย ได้เห็นพระตถาคตและชัมพุกะซึ่งเปลี่ยนแปลงไปแล้ว สงสัยว่า “ใครหนอเป็นใหญ่ หากพระสมณโคดมเป็นใหญ่ ชัมพุกะก็น่าจะไปสู่สำนักพระสมณโคดม นี่สมณโคดมมาสู่สำนักของชัมพุกะ ชัมพุกะต้องเป็นใหญ่กว่าสมณโคดมเป็นแน่แท้”

พระศาสดาทราบความคิด ของมหาชนแล้ว รับสั่งให้ชัมพุกะแก้ข้อสงสัย ชัมพุกะจึงประกาศให้คนทั้งหลายทราบว่าพระศาสดาเป็นครูของตน ตนเป็นสาวก มหาชนทราบความแล้วเปล่งอุทานออกมาว่า

“โอ้ พระพุทธเจ้ามีพระคุณเป็นอัศจรรย์จริง ๆ”

พระพุทธเจ้าประสงค์จะประกาศธรรมอันถูกต้องแก่มหาชนจึงตรัสว่า

“ท่านทั้งหลาย ชัมพุกะวางสักการะที่ท่านนำมาแล้วไว้ที่ปลายลิ้นด้วยปลายหญ้าคา เพราะเข้าใจว่าตนประพฤติบำเพ็ญตบะ การกระทำเช่นนั้นของเธอแม้ ๑๐๐ ปี ก็สู้กุศลเจตนาอย่างที่เธอมีอยู่ในบัดนี้ไม่ได้ เธอไม่มีเจตนาบริโภคด้วยความหลอกลวงอีกต่อไป”

.....................................................
ขอน้อม กาย วาจา จิต บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในกาลทุกเมื่อ
ในทุกทุกขณะจิต ไม่ว่าจะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ

https://www.facebook.com/Dhammalungta


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2013, 13:58 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: สาธุค่ะ คุณปราชญ์บ้านนอก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2013, 15:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: rolleyes ขออนุโมทนาค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2015, 09:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2008, 09:20
โพสต์: 349


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาค่ะ :b8: ได้รับประโยชน์มากค่ะ :b45:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร