วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 15:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2013, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2013, 19:15
โพสต์: 109

แนวปฏิบัติ: มีสติทุกอริยาบท
งานอดิเรก: ปฎิบัติธรรม ฟังธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ความไม่ประมาท
ชื่อเล่น: ธรรม
อายุ: 0
ที่อยู่: วัฎฎะสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

อดีตกาลนานมาแล้ว ยังมีเด็กเลี้ยงโค ๗ คนเป็นเพื่อนกันเด็กเหล่านั้นต้อนโคไปให้กินหญ้าแห่งละ ๗ วันได้ไปซ้ำกันในที่เดียวนั้นหามิได้ คราวหนึ่ง พวกเขาพากันต้อนโคทั้งหลายไปให้กินหญ้าในที่หลายไปให้กินหญ้าในที่แห่งหนึ่ง บังเอิญได้พบเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่งจึงพากันไล่จับดักหน้าดักหลัง เหี้ยใหญ่เห็นภัยบังเกิดขึ้นแก่ตนเช่นนั้น ก็พลันตกใจสุดขีด วิ่งหนีเอาตัวรอดอุตลุด ในที่สุดก็วิ่งหนีเข้าไปในจอมปลวกแห่งหนึ่ง เด็กเลี้ยงโคทั้งหลายจึงปรึกษากันว่า

"วันนี้เย็นแล้ว พวกเราจะจับเหี้ยใหญ่ให้ได้ดังใจปรารถนาก็เห็นจะค่ำมืด ทางที่ดีพวกเราควรจักหาใบไม้มาอุดรู ขังเจ้าเหี้ยใหญ่ไว้ในจอมปลวกนี้ก่อนดีกว่า พรุ่งนี้จึงค่อยมาจับมันใหม่"

ปรึกษากันดังนี้แล้ว ก็หักกิ่งไม้มาคนละกิ่งสองกิ่งอุดรูจอมปลวกขังเหี้ยใหญ่ไว้ในนั้นแล้วก็พากันกลับไปบ้าน วันรุ่งขึ้นพอได้เวลาโคบาลทั้ง ๗ นั้น ก็พากันต้อนฝูงโคไปเลี้ยงในประเทศถิ่นอื่น โดยลืมนึงถึงเหี้ยที่ตนกักขังไว้ในจอมปลวกเสียสนิท ๗ วันผ่านไป ครั้นถึงวันที่ ๘ จึงได้พากันต้อนโคให้มากินหญ้าในประเทศถิ่นนั้นใหม่ เห็นจอมปลวกนั้นก็พลันระลึกขึ้นได้ว่า

"พวกเราปิดรูจอมปลวกกักขังเหี้ยไว้ บัดนี้เหี้ยจักเป็นประการใดหนอ"

ระลึกขึ้นได้ด้วยความตกใจเช่นนี้ ต่างคนก็วิ่งมาแล้วพากันไปดึงกิ่งไม้ที่ตนอุดไว้ ฝ่ายเหี้ยนั้น ครั้นเห็นช่องแห่งจอมปลวกเปิดแล้ว ก็มิได้มีความอาลัยแก่ชีวิตรีบคลานออกมาโดยช่องแห่งจอมปลวกนั้น ด้วยอาการอันน่าสงสาร ทั้งนี้ก็เพราะเหตุอดอาหารมานานเป็นเวลาหลายวัน เด็กเลี้ยงโคครั้นเห็นเหี้ยใหญ่ซึ่งมีกายอันสั่นและผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเพราะขาดอาหาร ค่อยคลานออกมาเช่นนั้นก็พลันบังเกิดความสงสาร ยิ่งเห็นมันมองตนด้วยสายตาละห้อยคล้ายกับจะร้องขอชีวิตอยู่อีกเล่า ก็ยิ่งให้บังเกิดความกรุณาสงสารขึ้นอีกเป็นทวีคูณ จึงกล่าวแก่กันและกันว่า

"เราทั้งหลายอย่าได้ทำร้ายมันเลย มันได้รับทุกขเวทนาอดอาหารเป็นเวลานาน มีอาการจะตายเช่นนี้ก็เพราะเราทั้งหลายเป็นเหตุฉะนั้นพวกเราจงช่วยกันพยาบาลมันเถิด"

ว่าแล้วก็ช่วยกันบีบนวดกายแห่งเหี้ยนั้น ทำการพยาบาลไปตามประสาทารก เมื่อสังเกตุเห็นว่าเหี้ยเคราะห์ร้ายนั้น มันมีอาการค่อยแข็งแรงขึ้นแล้ว ก็ลูบหลังแล้วกล่าวว่า

" ดูกรเจ้าเหี้ยเอ๋ย! ขอเจ้าจงมีอายุยืนและเที่ยวหากินไปตามยถากรรมของเจ้าเถิด"

กล่าวดังนี้แล้ว ก็ปล่อยเหี้ยใหญ่นั้นให้เข้าป่าไปเด็กเลี้ยงโคทั้ง ๗ ซึ่งเป็นเพื่อนรักกัน ได้ประกอบกรรมอันสำเร็จเป็นกุศลกรรมเช่นนี้ เมื่อถึงแก่ความตายในชาตินั้นแล้วจะได้บังเกิดในอบายภูมิ คือไปบังเกิดเป็นสัตว์นรกเป็นต้นก็หามิได้ทั้งนี้ก็เพราะกรรมที่ตนทำไว้มิได้เป็นบาปหนัก แต่กรรมอันเล็กน้อยที่พวกเขาไว้ก็ย่อมมีอยู่ และคอยติดตามพวกเขาเรื่อยไป แต่กรรมไม่ได้โอกาส จวบจนกระทั่ง.......

กาลเมื่อองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก เด็กเลี้ยงโคทั้ง ๗ ผู้มีอกุศลทั้ง ๗ นั้นได้พากันกลับมาเกิดเป็นคนในมนุษย์โลกนี้อีก ครั้นเติบใหญ่เจริญวัยแล้วก็เป็นเพื่อนรักกันอีกเหมือนชาติก่อน วันหนึ่งมีโอกาสได้สดับคำสอนแห่งพระพุทธศาสนาเกิดมีศรัทธาเลื่อมใส เบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย แลเห็นภัยในวัฏสงสาร

จึงพร้อมใจกันเข้ามาบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา เข้าจำพรรษาบำเพ็ญศาสนากิจอยู่ในประเทศแห่งหนึ่ง ครั้นถึงวันปวรณาออกพรรษาแล้ว ภิกษุหนุ่มทั้ง ๗ นั้นมีใจปรารถนาพบพระพุทธเจ้า จึงพากันเดินทางไปกรุงสาวัตถี พอถึงวัดแห่งหนึ่งใกล้ค่ำ พบเจ้าอาวาส จึงขอเข้าไปพัก แต่เสนาสนะในอาวาสนี้ไม่มีพอ เพราะเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในกลางป่า แต่ว่าที่ใกล้ ๆ วัดนี้มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งเป็นที่สงบสงัดดีนัก เหมาะสำหรับจะเป็นที่พักของอาคันตุกะภิกษุทั้งหลายเพราะฉะนั้น

เจ้าอาวาสจึงนิมนต์ภิกษุทั้ง ๗ ไปพักในถ้ำ กรรมที่เคยทำที่ท่านเหล่านั้นได้กระทำไว้ในชาติที่เกิดเป็นเด็กโคบาลขังเหี้ยใหญ่ ก็พลันบังเกิดขึ้นในยามดึกราตรีนั้นทันที นั้นคือ ภูเขาหินถล่มลงมาปิดช่องทางออกพอดี เจ้าอาวาสไม่เห็นภิกษุทั้ง ๗ มาฉันอาหารก็แวะไปหาก็ต้องตกใจ จึงเกณฑ์ให้ชาวบ้านเพื่องัดหิน แต่หินไม่สามารถเคลื่อนได้ จนครบ ๗ วัน หินนั้นกลับกลิ้งออกจากปากถ้ำเองเป็นที่น่าอัศจรรย์ ชาวบ้านเห็นเช่นนั้นต่างก็รีบวิ่งเข้าในถ้ำ ก็ได้ประสบกับภาพที่น่าสังเวชสลดใจเพราะพระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ต่างนอนหายใจระรวยรอความตายอยู่บนเตียง ด้วยอำนาจกรรมที่เคยปิดปากรูเหี๊ยพอดี

ภิกษุเหล่านี้จึงเดินทางไปกราบพระพุทธเจ้า แล้วก็ได้ทูลถามถึงประสบการณ์ที่พวกตนได้รับในระหว่างที่เดินทางมาว่า เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "เหตุที่เกิดขึ้นแก่เธอทั้งหลายในครั้งนี้ เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งกรรมที่พวกเธอได้กระทำไว้ในอดีต" แล้วก็ทรงมีพระมหากรุณาตรัสเล่าประวัติความเป็นมาในชาติหนหลัง ตั้งแต่ครั้งพระภิกษุเหล่านั้นเป็นเด็กเลี้ยงโคบาลกักขังเหี้ยไว้ในจอมปลวก ผลกรรมในครั้งนี้ตามมาทัน จึงบันดาลให้ต้องถูกกักขังได้รับความทุกข์ทรมานภายในถ้ำใหญ่ในชาตินี้


"บุคคลที่ทำบาปกรรมไว้ การที่ว่าจะพ้นจากบาปกรรมนั้นเป็นอันไม่มี! ถ้าหากจะมีบุคคลผู้ใดใครผู้หนึ่ง ซึ่งได้ทำบาปกรรมไว้แล้วและคิดว่า เราจักพ้นจากบาปกรรมที่เราทำไว้ด้วยอุบายวิธีนี้ แล้วจึงขึ้นไปสถิตอยู่บนอากาศก็ดี หรือจะหนีลงไปหลบซ่อนอยู่ในมหาสมุทร ซึ่งมีความลึกประมาณ ๘๔. ๐๐๐ โยชน์ก็ดี หรือจะหนีเข้าไปแอบซ่อนอยู่ในซอกเขาอันมิดชิดก็ดี การที่ว่าจักพ้นจากบาปกรรมที่ตนทำไว้นั้น ย่อมจักเป็นไปไม่ได้เลย ทั้งนี้ก็เพราะว่าทั่วทั้งพื้นปฐพีนี้ จะหาสถานที่สักแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ที่หลบบาปกรรมที่ทำไว้ แม้จะเป็นสถานที่ประมาณเท่าขนทรายเท่านั้น ก็หามิได้เลย"

.....................................................
ขอน้อม กาย วาจา จิต บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในกาลทุกเมื่อ
ในทุกทุกขณะจิต ไม่ว่าจะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ

https://www.facebook.com/Dhammalungta


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2013, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: rolleyes ขออนุโมทนาค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร