วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 16:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 57 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




cat7.jpg
cat7.jpg [ 18.62 KiB | เปิดดู 3547 ครั้ง ]
-dd- เขียน:
ตาขออภัยนะยายมัทฯที่ขาดความระวัง หาว่ายายมัทฯเป็นเท้าหลัง.. :b21: Onion_L ลืมไปว่าเป็นยุค Women Libแล้ว ขอโทษจริงๆนะยายอย่าโกรธกันนะ .. smiley :b27: ..และขออนุโมทนาที่ยายแจงความเหมือนกับต่างของ"ช่างมัน กับ อุเบกขา" เข้าใจได้ง่ายดีจ้า.... :b4: :b4: :b4:

ทีนี้ ที่ยายถามต่อไปว่า....
อ้างคำพูด:
อุเบกขาเนี่ยะ เกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นได้เอง หรือต้องฝึกเท่านั้น? :b10:

นั้นน่าสนใจมากๆ..เพื่อให้ได้ประโยชน์ตาขอ"ตัดแปะ"เพิ่มเติมจากท่านผู้รู้ดังนี้นะจ๊ะ..

....
ขอความเจริญในธรรมจงมีแก่ชราสหายทั้งมวลจ้า ยายมัทฯจะเพิ่มอะไร เชิญนะจ๊ะ ขอโทษอีกทีนะ.. smiley


:b8: :b20: :b8: :b20:

ต่อจ๊ะ...ตา จี้โกงกำลัง...เพลิน... :b4: :b20: :b4:
เกาอีก...เกาอีก... :b20: :b4: :b20: :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 28 ม.ค. 2010, 08:11, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


เอราโ้ก้น..:

อ้างคำพูด:
ต่อจ๊ะ...ตา จี้โกงกำลัง...เพลิน... :b4: :b20: :b4:
เกาอีก...เกาอีก... :b20: :b4: :b20: :b4:


ได้เลย... นั่งให้เรียบโร้ยก่อน ฟังนะ..

..........เหตุเกิดของ อุเบกขา

1. ความเป็นผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์ทั้งหลาย วางเฉย ถือว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน ผู้ทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว วางตนเป็นกลางได้
2. วางเฉยในสังขารทั้งปวง คือว่า สังขารทั้งที่เป็นอุปาทินนกสังขาร คือ สังขารที่มีใจครอง และ อนุปาทินนกสังขาร คือ สังขารที่ไม่มีใจครอง วางเฉย ได้โดยพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง เป็นไปชั่วคราว การวางเฉยในสังขารเหล่านั้นเสียได้ก็จะเป็นการดี
3. หลีกเว้นบุคคลผู้มากไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น พยายามไม่ใกล้คนที่มีความยึดมั่นถือมั่น
4. คบหาสมาคมกับบุคคลผู้คลายความยึดมั่น ถือมั่น คนที่ปล่อยวาง พยายามเข้าใกล้ พยายามคบหา
5. ความเป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในอุเบกขานั้น อุเบกขาด้วยญาณนะครับ ไม่ใช่อุเบกขาอัญญาณ เพราะว่าข้าศึกใกล้ของอุเบกขา ก็คือ อัญญาณ คือ ความไม่รู้ ความโง่ ความไม่เข้าใจ นั่นเป็นอุเบกขาที่ใช้ไม่ได้ เป็นข้าศึกใกล้ ฉะนั้นต้องระวังอันนี้ อุเบกขาต้องประกอบด้วยญาณ คือ ความรู้ ความเข้าใจ และวางเฉยได้ เมื่อทำได้อย่างนี้ก็จะเป็นประโยชน์มาก ในการที่จะเจริญอุเบกขา ทำให้มันมีเหตุเกิด แล้วเราประคับประคอง อุเบกขาเอาไว้[/color][/b]..

มาจาก : หนังสือ [b]วิธีทำจิตให้บริสุทธ์ (อ.วศิน อินทสระ)[/b]

:b42: :b44: :b42:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


-dd- เขียน:
ตาขออภัยนะยายมัทฯที่ขาดความระวัง หาว่ายายมัทฯเป็นเท้าหลัง.. ลืมไปว่าเป็นยุค Women Libแล้ว ขอโทษจริงๆนะยายอย่าโกรธกันนะ .. ..และขออนุโมทนาที่ยายแจงความเหมือนกับต่างของ"ช่างมัน กับ อุเบกขา" เข้าใจได้ง่ายดีจ้า....


:b43: :b43: :b43:

tongue ตา-dd- คิดมากจริงๆ....

ไม่เป็นไรจ้า ยายมัทไม่ได้ถือโกรธอะไรเลย :b4:
รู้น่ะว่า "กระเซ้าเย้าแหย่" กันไปงั้นแหละ!!! :b12:

แต่เห็นว่าเป็นช่องที่จะอธิบาย
เลยให้ข้อมูลไปว่า "ข้าพเจ้า" แท้จริงน่ะเป็นอย่างนี้

(บอกแล้ว...จริงๆ น่ะ มานะมมังการมันยังเยอะ...
คือว่ามันเป็นอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน....ขุดออกยากน่ะ!!!)


:b43: :b43: :b43:

-dd- เขียน:
การวางเฉยต่อสัตว์ทั้งหลายนั้น มีอยู่ด้วยกัน ๒ อย่าง คือ
เป็นไปด้วยอำนาจแห่งตัตตรมัชฌัตตตา (ความเป็นกลางในอารมณ์
นั้นๆ / ภาวะที่จิตและเจตสิกตั้งอยู่ในความเป็นกลาง) …
นี้เป็นอุเบกขาแท้

ส่วนที่เป็นไปด้วยอำนาจโมหะนั้น เมื่อได้ประสบกับสิ่งที่น่ารัก
ก็ไม่รู้จักรัก น่าขวนขวายอยากได้ก็ไม่มีการขวนขวายอยากได้
เฉยๆ ไป น่าเคารพเลื่อมใสก็ไม่รู้จักทำการเคารพเลื่อมใส
น่ากลัวน่าเกลียดก็ไม่รู้จักกลัวจักเกลียด ควรสนับสนุนส่งเสริม
ก็ไม่รู้จักสนับสนุนส่งเสริม ควรแก้ไขปรับปรุงให้ดีให้สมบูรณ์
ในการงานทั้งปวงก็นิ่งเฉยเสีย นี้เป็นอุเบกขาเทียม (=ช่างมัน- -dd-)

อุเบกขาพรหมวิหาร - อุเบกขาบารมี

ในสองอย่างนี้ แม้ว่าจะมีการวางเฉยต่อสัตว์ด้วยกันก็จริง
แต่อารมณ์ที่จะให้เกิดความวางเฉยนี้ต่างกันคือ
อุเบกขาพรหมวิหาร มีการวางเฉยต่อสัตว์ คือ
ละความวุ่นวายที่เนื่องด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา มีสภาพ
เข้าถึงความเป็นกลางในสัตว์ทั้งหลาย
อุเบกขาบารมี นั้น เป็นการวางเฉยในบุคคล
ที่กระทำดีและไม่ดีต่อตน โดยไม่มีการยินดียินร้าย
แต่ประการใด คือ ผู้ที่กระทำความดี มีความเคารพนับถือ
บูชาสักการะ เกื้อกูล อนุเคราะห์ สงเคราะห์ เป็นประโยชน์
แก่ตนสักเท่าใดๆ ก็คงมีจิตใจวางเฉยอยู่ และผู้ที่กระทำ
ความไม่ดี มีการประทุษร้ายต่อตนสักเพียงใดก็ตาม
ก็คงวางเฉยอยู่ได้เช่นกัน ในการวางเฉยทั้ง ๒ อย่างนี้
ฝ่ายบารมีประเสริฐยิ่ง การบำเพ็ญก็สำเร็จได้ยาก

๑.
เมตฺตาทโย โอฬาริกา สตฺตเกลายเนน จ
ยุตฺตา สมีปจาริกา ปฏิฆานุนยานํ จ ฯ
๒.
อุเปกฺขา ตุ สนฺตภาวา สุขุมปณีตา ปิ จ
กิเลเสหิ จ วิทูรา สเวปุลฺลผลา ตถา ฯ
แปลความว่า
(๑)
เมตตา กรุณา มุทิตา ทั้ง ๓ นี้มีสภาพหยาบ เพราะยังประกอบ
ด้วยโสมนัสเวทนา และยังมีความยินดีรักใคร่ในสัตว์ ทั้งยัง
ประพฤติเป็นไปใกล้ต่อความเกลียดและความรัก
(๒)
สำหรับอุเบกขานั้น มีสภาพสงบ สุขุม ประณีต ห่างไกล
จากกิเลสด้วย มีผลไพบูลย์ดีงามมากด้วย



อุเบกขา มีลักษณะ คือ มีอาการเป็นไปอย่างกลาง
ในสัตว์ทั้งหลาย - มีการมองดูในสัตว์ทั้งหลายด้วยความเสมอกัน
เป็นกิจ - มีการสงบความเกลียดและไม่มีความรักในสัตว์ทั้งหลาย
เป็นอาการปรากฏแก่ผู้ทำการพิจารณาอุเบกขา - เหตุใกล้ของ
อุเบกขา คือ ปัญญาที่พิจารณาเห็นการกระทำของตนเป็นของ
ตนเอง เป็นไปอย่างนี้ว่า "สัตว์ทั้งหลายมีการกระทำของตนเป็นของ
ตนเอง สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้จะมีความสุข หรือ พ้นจากทุกข์
หรือ จักไม่เสื่อมจากทรัพย์สมบัติของตนที่มีอยู่เหล่านี้
ด้วยความประสงค์ของผู้ใดผู้หนึ่งนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย" -
มีความสงบความเกลียดและไม่มีความรัก เป็นความสมบูรณ์
แห่งอุเบกขา - มีการเกิดขึ้นแห่ง อญาณุเปกขาโดยอาศัย
กามคุณอารมณ์ เป็นความเสียหายแห่งอุเบกขา - การวางเฉย
ด้วยอำนาจโมหะ (อวิชชา - ความไม่รู้ตามความเป็นจริง)
เป็นศัตรูใกล้ของอุเบกขา - ราคะและโทสะ เป็นศัตรูไกล
ของอุเบกขา

คัดลอก-ตัดตอน-เรียบเรียงมาบางส่วน
จาก
ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เล่ม ๑ สมถกรรมฐานทีปนี
รจนาโดย
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ
หน้า ๑๗๘ - ๒๐๖

source :
http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/002987.htm

ขอความเจริญในธรรมจงมีแก่ชราสหายทั้งมวลจ้า ยายมัทฯจะเพิ่มอะไร เชิญนะจ๊ะ ขอโทษอีกทีนะ.


:b43: :b43: :b43:

โอ...ข้อมูลแน่นเปรี๊ยะ..สุดยอด!!!
(ถอยดีกว่า!!!!) :b9:
โมทนาสาธุกับตาด้วย :b8:
ขอบคุณมากจ้าที่แจงความแตกต่าง
ระหว่างอุเบกขาที่เป็นพรหมวิหาร และอุเบกขาบารมีมาได้ชัดเจนมั้กๆ :b4:

เห็นทียายมัทคงไม่ยังไม่เติมอะไรตอนนี้สำหรับประเด็นนี้

นอกจากมีความเห็นว่า อาจต่างกันบ้างก็จริง....
แต่ เหตุ นั้น มีความเห็นว่าไม่ต่างกัน


-dd- เขียน:
ส่วนที่เป็นไปด้วยอำนาจโมหะนั้น เมื่อได้ประสบกับสิ่งที่น่ารัก
ก็ไม่รู้จักรัก น่าขวนขวายอยากได้ก็ไม่มีการขวนขวายอยากได้
เฉยๆ ไป น่าเคารพเลื่อมใสก็ไม่รู้จักทำการเคารพเลื่อมใส
น่ากลัวน่าเกลียดก็ไม่รู้จักกลัวจักเกลียด ควรสนับสนุนส่งเสริม
ก็ไม่รู้จักสนับสนุนส่งเสริม ควรแก้ไขปรับปรุงให้ดีให้สมบูรณ์
ในการงานทั้งปวงก็นิ่งเฉยเสีย นี้เป็นอุเบกขาเทียม
(=ช่างมัน- -dd-)


:b43: :b43: :b43:

อันนี้เห็นด้วยโดยสิ้นเชิง....โดยเฉพาะสีแดง
บางทีอาจเรียกได้ว่า "ละเลยในหน้าที่" รึเปล่า
ไม่ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ตน :b13:

เอาไว้เดี๋ยวคืนนี้มาต่อในประเด็นเรื่องการฝึกอุเบกขาที่ยายมัทเกริ่นไว้นะ....

ตอนนี้ขอตัวไป :b31: ก่อน smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 15:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


cool ตา -dd- และสหายของยายมัททุกท่าน

ขออภัยที่เพิ่งมาตอบ... :b8:

คือยายมัทกะลังฝึกอุเบกขาอยู่น่ะ
เอ้ย..รวบรวมเรียบเรียงเกี่ยวกับเรื่องนี้
เพื่อนำมาขยายให้เพื่อนๆฟังอยู่น่ะ


:b9: :b32: :b13:

มาต่อกันดีกว่า...เคยเกริ่นไว้ว่าจะพูดเรื่อง

อุเบกขาเกิดขึ้นได้ยังไง...นะ :b10:

พอดีไปเจอหนังสือเล่มนี้เข้า...เห็นว่าน่าสนใจ
เลยขอสรุปความแล้วนำมาบอกกันดังนี้..จ้า

:b43: :b43: :b43:

• อุเบกขาที่เกิดขึ้นเอง

มักเกิดจากภาวะของจิตที่มีอารมณ์คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งในระยะแรกต้องอาศัยความอดทนเป็นบรรทัดฐาน
พอเกิดความเคยชิน ภาวะจิตก็จะเกิดความวางเฉย

จิตที่ได้รับการพัฒนาให้เกิดอุเบกขาในลักษณะนี้
ผลลัพธ์ที่ได้คือความอดทนเป็นหลัก


แต่ความเป็นอุเบกขาจะไม่ค่อยมีคุณภาพ
สติในการควบคุมค่อนข้างอ่อน
พอถูกแรงกดดันหรือแรงบีบคั้น
ก็จะแสดงอารมณ์โกรธตอบโต้ทันควัน
เหมือนคนอื่นโดยทั่วไป
:b33:

อุเบกขาที่เกิดขึ้นเองนี้สืบเนื่องมาจากการมีสมาธิชั่วขณะ

• อุเบกขาที่เกิดจากการฝึกกรรมฐาน

o การฝึกกรรมฐานจนถึงขั้นจตุตถฌาณ

จิตจะเข้าถึงและสัมผัสรู้สึกถึงอารมณ์แห่งอุเบกขา
แต่ก็ยังติดอยู่รูปฌาณ จิตยังไม่บรรลุธรรมเรืองปัญญา
แต่อาศัยที่จิตมีกำลังสูงจึงสามารถกำหนดสติ
ข่มอารมณ์โลภ โกรธ ให้เบาบาง
หรือมีความรุนแรงลดถอยลงได้
แต่อารมณ์หลงยังคงยังมีอยู่เต็มอัตรา :b19:

o การฝึกกรรมฐานจนถึงขั้นอรูปฌาณ

คือมีอรูปธรรม หรือสิ่งที่ไม่มีรูปร่างเป็นอารมณ์
ฌาณที่ได้เกิดจากการกำหนดหรือเพ่งอรูปเป็นอารมณ์
เช่น เพ่งอากาศเป็นอารมณ์ เพ่งวิญญาณเป็นอารมณ์
เอกัคตากับอุเบกขาก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน แต่เป็นกำลังจิตที่สูงมาก :b1:

o การฝึกวิปัสสนากรรมฐาน

ซึ่งโดยรวมส่วนใหญ่จะต้องผ่านการฝึกสมถกรรมฐานมาก่อน
แต่จะสำร็จได้ฌาณหรือไม่นั้น
ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
วิปัสสนากรรมฐานจะเกิดความรู้แจ้งในโลกธรรม ในไตรลักษณ์
ยามใดที่จิตบรรลุรรมเป็นอริยะบุคลระดับพระอนาคามี
ภาวะของจิตที่รียกว่า วิราคะ จะบังเกิด
เป็นจิตที่ปราศจากราคะ มีความเบื่อหน่าย
ไม่มีแรงอาฆาตพยาบาท

คือเป็นภาวะของจิตที่เห็นจริงแล้ว
การหลงยึดตึดในกามฉันทะ โลภ โกรธ หลงและความอาฆาตพยาบาท
ยังจะมัวยึดหลงติดในกามฉันทะต่อไปอีกทำไม
“การปล่อยวาง” จึงเกิดไม่ยึดติดกับความสุขทางโลกอีกต่อไป


ภาวะจิตที่เกิดจากการปล่อยวางอารมณ์แห่งการยึดติดกับความสุขทางโลก
ถือเป็นอารมณ์สงบแห่งอุเบกขาเช่นกัน
แต่เป็นอุเบกขาที่เรืองปัญญากว่า ๒ ลักษณะข้างต้น (ของจริง) :b4:

ดังนั้น ในแง่ของ การสร้างบารมี ๑๐
ความแข็งแกร่งของจิตจึงขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของอุเบกขาบารมี
จิตใจที่แข็งแกร่งไม่หวั่นไหวจึงมีส่วนสำคัญมาก
ในการช่วยส่งเสริมให้กับการสร้างบารมีทุกบารมีแห่งทศบารมี
ให้มีความคืบหน้าไม่สะดุด หรือหยุดลง และ เพิ่มพูนจนเต็ม


:b43: :b43: :b43:

(สรุปความมาจาก : อุเบกขาบารมี ใน “บารมี ๑๐ ทัศ”. โดย กิตติ จงพิพัฒนมงคล ธรรมอุทยานกิติลักษณ์ จ.เชียงราย)

(มีต่อ)


แก้ไขล่าสุดโดย มัทนา ณ หิมะวัน เมื่อ 30 ม.ค. 2010, 15:26, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 15:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


หรือลองมาดูที่ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ :b8:
ท่านจำแนกกล่าวไว้อย่างชัดเจนดังนี้
:

อ้างคำพูด:
อุเบกขาบารมีนี้ หมายความเป็นกลาง คือหัดทำใจให้เป็นกลาง
คือเป็นยอดเป็นจอมแห่งบารมีทั้ง ๙ มี ทานบารมี เป็นต้น ดังที่แสดงมาแล้ว

ถ้าขาดอุเบกขาจิต จิตที่เป็นกลางเสียแล้ว บารมีเหล่านั้นเกิดขึ้นไม่ได้

ความจริงบารมีทั้ง ๑๐ ประการนั้น ในบารมีอันหนึ่งก็ต้องมีพร้อมทั้ง ๑๐ ประการ
เป็นแต่ว่า จะยกบารมีอันใดขึ้นเป็นประธาน ก็เรียกบารมีอันนั้นเท่านั้น

เพราะคุณธรรมเหล่านี้เป็น อัญญมัญญปัจจัย อุดหนุนซึ่งกันและกัน
ท่านจึงร้อยเข้าไว้เป็นพวงเดียวกัน
ในพระบารมีทั้ง ๙ นั้น
จะสำเร็จได้ก็ต้องมีอุเบกขาจิตเข้าเป็นปัจจัยอุดหนุน

ในเวลาที่จักเจริญอุเบกขาบารมี
พระบารมีธรรมทั้ง ๙ นั้นก็มาเป็นปัจจัยอุดหนุนให้อุเบกขาบารมีเต็มรอบ

ท่านเรียกว่าสามัคคีธรรม คือ คุณธรรมทั้ง ๑๐ ประการนั้นมีขึ้นพร้อมกันในสกลกายนี้

นัยหนึ่งท่านเรียกว่า มัคคสามัคคี
ท่านแสดงไว้ในปฐมสมโพธิพุทธประวัติของเก่า
แสดงลักษณะมรรคสามัคคีว่า

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราใกล้จะตรัสรู้
สู้กับด้วยพระยามาราธิราชด้วยพระบารมี ๑๐ ประการ
ด้วยอาวัชชนาการถึงพระบารมีทั้ง ๑๐ มีพร้อมเป็นมัคคสามัคคีแล้ว
ร่างกายจิตใจของพระองค์ในเวลานั้น
เป็นอุเบกขาญาณสัมปยุต เฉย เป็นกลาง
เปรียบด้วยพระธรณี คือแผ่นดิน

โบราณาจารย์จึงสมมติอาการนั้นว่า

นางพระธรณีขึ้นมาช่วยดังนี้
และเล็งเอาน้ำพระทัยของพระองค์เวลานั้น
เต็มไปด้วยพระมหากรุณาแผ่ไปทั่วโลกธาตุ

โบราณาจารย์จึงสมมติอาการแห่งพระกรุณานั้นว่า

นางพระธรณีรีดน้ำออกจากมวยผม
ไหลท่วมถมพัดพาเอาพระยามาร
กับทั้งพลมารให้ล่มจมงมงาย
คลื่นกระฉอกพัดซัดออกไปตกนอกขอบจักรวาล
ดังนี้พึงเข้าใจอุเบกขาจิต คือจิตเป็นกลาง

....ถ้าจักชี้เจตสิก อัญญสมานาเจตสิกนั้นแหละ ซื่อว่าเจตสิกกลาง
... ถ้าเจตสิกกลางนั้นมาประกอบกับจิต ก็เรียกว่าอุเบกขาจิต
.... ที่ท่านแสดงประเภทแห่งอุเบกขาไว้มีมาก

ดังในพรหมวิหารจิตเป็นกลาง
สัมปยุตด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
ชื่อว่า อุเบกขาพรหมวิหาร

จิตเป็นกลาง สัมปยุตเป็น สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา
ชื่อว่า อุเบกขาเวทนา

....จิตเป็นกลางสัมปยุตด้วยสติ ธรรมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
ชื่อว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์

.... จิตเป็นกลางใน รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส
ไม่ตกไปในฝ่ายยินดียินร้าย
ชื่อว่า ฉฬังคุเบกขา

.... จิตเป็นกลางสัมปยุตด้วยเอกัคคตากับอุเบกขาเท่านั้น
ชื่อว่า จตุตถฌานุเปกขา

.... ลักษณะที่มาแห่งอุเบกขามีมากประเภท
ชักมาแสดงพอเข้าให้เข้าใจความเท่านั้น

อุเบกขาจิตนี้ถ้าสัมปยุตด้วยบุญด้วยกุศล ก็เป็นกุศลเจตนาไป
ถ้าสัมปยุตด้วยบาปด้วยอกุศล ก็เป็นอกุศลเจตนาไป
ถ้าไม่สัมปยุตด้วยกุศลากุศล ก็เป็นอัพยากฤตไปเท่านั้น

อุเบกขาบารมีที่พระพุทธเจ้าทรงแจกแก่พุทธบริษัทให้ดำเนินตาม
ผู้รับแจกได้ดำเนินตามและได้สำเร็จมรรคผลนิพพานนับด้วยโกฏิด้วยล้านไม่ถ้วน

อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ๑
สังขารุเบกขาญาณ ๑
ฌานุเบกขา ๑

จะอธิบายแต่เพียงอุเบกขา ๓ ประเภทเท่านี้ พอเป็นทางปฏิบัติของพุทธบริษัท


:b43: :b43: :b43:

จริงยังมีอีกยาว
หากเพื่อนๆอยากอ่านฉบับเต็ม...ก็ลองเข้าไปหาอ่านในนี้กัน...นะจ๊ะ

:b43: :b43: :b43:

อุ เ บ ก ข า บ า ร มี : พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) :b8:
viewtopic.php?f=7&t=25909&p=143748#p143748


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
..........เหตุเกิดของ อุเบกขา
1. ความเป็นผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์ทั้งหลาย วางเฉย ถือว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน ผู้ทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว วางตนเป็นกลางได้
2. วางเฉยในสังขารทั้งปวง คือว่า สังขารทั้งที่เป็นอุปาทินนกสังขาร คือ สังขารที่มีใจครอง และ อนุปาทินนกสังขาร คือ สังขารที่ไม่มีใจครอง วางเฉย ได้โดยพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง เป็นไปชั่วคราว การวางเฉยในสังขารเหล่านั้นเสียได้ก็จะเป็นการดี
3. หลีกเว้นบุคคลผู้มากไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น พยายามไม่ใกล้คนที่มีความยึดมั่นถือมั่น
4. คบหาสมาคมกับบุคคลผู้คลายความยึดมั่น ถือมั่น คนที่ปล่อยวาง พยายามเข้าใกล้ พยายามคบหา
5. ความเป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปในอุเบกขานั้น อุเบกขาด้วยญาณนะครับ ไม่ใช่อุเบกขาอัญญาณ เพราะว่าข้าศึกใกล้ของอุเบกขา ก็คือ อัญญาณ คือ ความไม่รู้ ความโง่ ความไม่เข้าใจ นั่นเป็นอุเบกขาที่ใช้ไม่ได้ เป็นข้าศึกใกล้ ฉะนั้นต้องระวังอันนี้ อุเบกขาต้องประกอบด้วยญาณ คือ ความรู้ ความเข้าใจ และวางเฉยได้ เมื่อทำได้อย่างนี้ก็จะเป็นประโยชน์มาก ในการที่จะเจริญอุเบกขา ทำให้มันมีเหตุเกิด แล้วเราประคับประคอง อุเบกขาเอาไว้


:b43: :b43: :b43:

สาธุ..กับตา-dd- :b8: :b4:

ฉะนั้นก็ต้องพยายามสร้างเหตุให้เกิด...ของจริง
และประคับประคองเอาไว้ให้ทรงอยู่ได้ตลอดไป

เมื่อไหร่....กันนะเรา !!!

:b6: :b10: :b7:


แก้ไขล่าสุดโดย มัทนา ณ หิมะวัน เมื่อ 30 ม.ค. 2010, 15:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2010, 16:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณตา...หายไปไหน...

:b2: :b2: :b2: :b2:

ไม่เห็นคุณตาออกมาวาดลวดลายเร้ยยยยย...

:b2: :b2: :b2:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 02 ก.พ. 2010, 16:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 02:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
คุณตา...หายไปไหน...



ไม่เห็นคุณตาออกมาวาดลวดลายเร้ยยยยย...


:b43: :b43: :b43:

น่านสิ....ซำบายดีรึเปล่า...ตา!!! :b6: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 03:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2009, 09:27
โพสต์: 44


 ข้อมูลส่วนตัว www


ฮาแบบมีสาระ สุดยอด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


...


รูปภาพ


...

คุณตา...ไปไหน๋

...


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 06 ก.พ. 2010, 13:42, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 17:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

:b43: :b43: :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 21:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว




42.gif
42.gif [ 85.8 KiB | เปิดดู 3351 ครั้ง ]
:b8: :b8: :b8:

แวะมาทักทายครับ :b13:

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2010, 16:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พอจะมีใครรู้มั๊ยคะ....ว่าคุณตาไปไหน...

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2010, 18:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เด๋ว...ถามคุงยายก่องน๊าาาา...

แงๆๆๆๆๆๆๆ คุงตาหายปายหนายน๊อ...รูปภาพ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 00:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


:b7: :b6: ข้าพเจ้าเองก็กระหายใคร่รู้เช่นกัน...นะพี่น้อง!!! :b6: :b7:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 57 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร