วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 21:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ในอดีตกาลพระราชทรงพระนามว่า สุรุจิ เสวยราชสมบัติในพระนครมิถิลา ทรงได้พระราชโอรสจึงขนานพระนามว่า สุรุจิกุมาร พระกุมารทรงเจริญวัยแล้วทรงดำริว่า เราจักเรียนศีลปะในเมืองตักศิลา จึงเสด็จไปประทับนั่งพักที่ศาลาใกล้ประตูพระนคร

ฝ่ายพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสีทรงพระนามว่า พรหมทัตกุมาร ก้เสด็จไปในที่นั้น เมื่อทรงไตรถามกันแล้วจึงไปสู่สำนักอาจารย์ไม่ช้านานต่างก็สำเร็จศีลปะ พากันอำราอาจารย์

ก่อนที่จะเสด็จจากกัน ต่างทรงกระทำกติกากันว่า ถ้าข้าพเจ้าพระมีโอรส ท่านมีพระธิดา หรือท่านมีพระโอรส ข้าพเจ้ามีพระธิดา เราจักให้แต่งงานกัน

ครั้นกุมารทั้งสองเสวยราชสมบัติ พระเจ้าสุรุจิมหาราชมีพระโอรส ทรงพระนามว่า สุรุจิกุมาร พระเจ้าพรหมทัตมีพระธิดา ทรงพระนามว่า สุเมธา พระกุมารสุรุจิทรงจำเร็ญวัย เสด็จไปเมืองตักศิลา ทรงเรียนศีลปะเสร็จแล้วเสด็จกลับมา

พระราชบิดามีพระประสงค์จะอภิเษกพระกุมารในราชสมบัติ ทรงสดับว่า พระเจ้าพราหมทัตพระสหายของเรามีพระธิดา เราจักสถาปนานางให้เป็นอัครมเหสีของลูกเรา ทรงประทานบรรณาการให้พวกอำมาตย์นำไปเพื่อต้องการพระนางนั้น

ภายหลังอำมาตย์เหล่านั้นกลับมากราบทูลว่า พระเจ้าพาราณสีไม่มีพระประสงค์ที่จะส่งนางเข้าไปภายในกลุ่มสตรี ประสงค์ที่จะส่งนางแก่ผู้ที่จะครองนางผู้เดียวเท่านั้น

พระกุมารสุรุจิทรงสดับรูปสมบัติของพระนางสุเมธาแล้ว ก็ติดพระหฤทัยจึงกราบทูลว่า หม่อมฉันจักครองนางแต่ผู้เดียวไม่ต้องการกลุ่มสตรีโปรดเชิญนางมาเถิด

ครั้นเชิญพระนางมาแล้วทรงอภิเษกให้เป็นอัครมเหสีของพระกุมาร พระกุมารนั้นทรงพระนามว่า สุรุจิมหาราช ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม ทรงอยู่ร่วมกับพระมเหสีตลอด ๑๐,๐๐๐ ปี ไม่ทรงมีพระโอรสหรือธิดาเลย

พระเทวี ๑๖,๐๐๐ นาง
ครั้งนั้น ชาวเมืองต่างพากันกราบทูลให้พระราชาทรงรับกลุ่มสตรีไว้ เผื่อจักได้มีพระโอรสไว้สืบสันติวงศ์ แต่พระองค์ทรงตรัสห้าม เนื่องจากทรงปฏิญาณไว้แล้วว่า จักไม่ครองหญิงอื่นเลย

พระนางสุเมธาทราบเช่นนั้น จึงทรงดำริว่า พระราชามิได้ทรงนำสตรีอื่นมาเลย แต่เรานี่แหละจักหามาถวายแก่พระองค์ ดังนี้แล้วจึงทรงนำสตรี ๔,๐๐๐ นาง แต่ก็หามีพระโอรสหรือธิดาไม่ จึงคดมาถวายอีกคราวล่ะ ๔,๐๐๐ ถึง ๓ คราว ก็ไม่ได้พระโอรสพระธิดา

รวมเป็นหญิงที่พระนางนำมาถวายทั้งสิ้น ๑๖,๐๐๐ นาง เวลาล่วงไป ๔๐,๐๐๐ ปีรวมกับเวลาที่ทรงอยู่กับพระนางองค์เดียว ๑๐,๐๐๐ ปี เป็น ๕๐,๐๐๐ ปี
ครั้นนั้น ชาวเมืองก็พากันกราบทูลพระราชาอีก ขอให้ทรงบังคับพระเทวีทั้งหลาย พระเทวีเหล่านั้นเมื่อปรารถนาพระโอรส พากับนอบน้อมเทวดาต่าง ๆ พากันบำเพ็ญวัตร ต่าง ๆ แต่พระโอรสก็ไม่อุบัติอยู่นั้นเอง

ครั้นถึงดิถีที่ ๑๕ พระนางสุเมธาจึงทรงสมาทานอุโบสถ ทรงระลึกถึงศีลทั้งหลายอยู่ในพระตำหนัก พระเทวีที่เหลือพากันประพฤติวัตรอย่างแพะอย่างโค ต่างไปสู่พระอุทยาน

ด้วยเดชแห่งศีลของพระนางเจ้า พิภพของท้าวสักกะหวั่นไหว เมื่อพระองค์ทรงทราบความนั้นไซร์ จึงทรงเลือก นฬการเทพบุตร ผู้เป็นบุตรแห่งช่างเสื่อลำแพนนั้น

ท้าวสักกะจึงเสด็จไปถึงประตูวิมารแล้วตรัสว่า
“ท่านควรจำไปสู่มนุษย์โลก”
เทพบุตรทูลว่า
“ข้าแต่มหาราช โลกมนุษย์น่ารังเกียจสกปรก มนุษย์ต่างทำบุญมีให้ทานเป็นต้นปรารถนาเทวโลก ข้าพระองค์จักไปในโลกมนุษย์นั้นทำอะไร?”
“ท่านจักได้บริโภคทิพยสมบัติที่เคยบริโภคทิพยสมบัติ ที่เคยบริโภคในเทวโลก จักได้อยู่ในปราสาทแก้วสูง ๒๕ โยชน์ ยาว ๙ โยชน์ กว้าง ๘ โยชน์ อยู่ในโลกมนุษย์ เชิญท่านรับคำเถิด”
เทพบุตรรับคำแล้ว ท้าวสักกะจึงเสด็จไปสู่อุทยาน ด้วยการแปลงเพศเป็นฤาษี จงกรมในอากาศเบื้องบนสตรีเหล่านั้นแล้วตรัสว่า
“เราจักให้โอรสแก่สตรีผู้ทรงศีล”
สตรีเหล่านั้นจึงพากันกล่าวว่า
“เชิญไปสู่สำนักของพระนางสุเมธาเถิด”

เมื่อพระนางสุเมธาได้ทราบความนั้นแล้วจึงประกาศศีลคุณของตนว่า
“ดิฉันถูกเชิญมาเป็นอัครมเหสีตลอดหมื่นปีแต่ผู้เดียว ดิฉันมิได้รู้สึกเลยว่า ได้ล่วงเกินพระเจ้าสุรุจิด้วย กาย วาจา ใจ ทั้งในที่แจ้งหรือในที่ลับเลย ฯลฯ

ดิฉันเป็นที่พอใจของพระภัสดา พระชนนีและพระชนกของพระภ้สดา ก็เป็นที่รักของดิฉัน พระองค์ท่านเหล่านั้นทรงแนะนำดิฉันตลอดเวลา ดิฉันยินดีในความไม่เบียดเบียน มีปกติประพฤติธรรมโดยส่วนเดียวมุ่งบำเรอพระองค์ ท่านเหล่านั้น โดยเคารพไม่รักเกียจคร้านทั้งกลางคืนกลางวัน ฯลฯ

ความริษยาหรือความโกรธในสตรีผู้ร่วมเทวี ๑๖,๐๐๐ คน มิได้มีแก่ดิฉันในกาลไหน ๆ เลย คนไหนที่ไม่เป็นที่รักของดิฉันไม่มีเลย ดิฉันอนุเคราะห์หญิงผู้ร่วมสามีทั่วกับทุกคน เหมือนจะอนุเราะห์ตนฉะนั้น ฯลฯ

ดิฉันเลี้ยงดูทาสกรรมกร ซึ่งจะต้องเลี้ยงดูและชนเหล่าอื่นผู้อาศัยเลี้ยงชีวิตโดยเหมาะสมกับหน้าที่ ดิฉันเบิกบานในกาลทุกเมื่อ ฯลฯ

ดิฉันเลี้ยงดูสมณพราหมณ์และวณิพกเหล่าอื่น ให้อิ่มหน่ำสำราญด้วยข้าวและน้ำทุกเมื่อ ฯลฯ
ดิฉันเข้าอยู่ประจำอุโบสถ อันประกอบด้วยองค์ ๘ ทุกวันอุโบสถ ดิฉันสำรวมแล้วในศีลทุกเมื่อ ฯลฯ
ข้าแต่พระฤาษี ด้วยการกล่าวคำสัตย์จริงนี้ ขอบุตรจงเกิดเถิด เมื่อดิฉันกล่าวเท็จ ขอศรีษะของดิฉันจงแตก ๗ เสี่ยง...”
พระฤาษีจำเเลงจึงกล่าวสรรเสริญคุณของพระนางว่าเป็นความจริง พระนางทรงโสมนัส จึงตรัสถามท่านว่าท่านเป็นใคร
(ในตอนนี้มีคำอธิบายว่า พระนางตรัสอย่างนี้ ก็เพราะท้าวสักกะทรงมีพระเนตรไม่กระพริบเลย)
แล้วพระองค์จึงทรงตรัสบอกความจริงว่าเป็นท้าวสักกเทวราชนั่นเอง

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ต่อครับ

มหาปนาทราชกุมาร
ครั้นถึงเวลาใกล้รุ่ง นฬการเทพบุตร ก็จุติถือกำเนิดในพระครรภ์ของพระนางต่อมาได้ประสูติพระโอรถทรงพระนามว่า มหาปนาทราชกุมาร

ชาวเมืองทั้งสองจึงพากันถวายทรัพย์เป็นค่าน้ำนม เมื่อพระกุมารทรงเจริญวัยได้ ๑๖ พรรษา ก็ทรงสำเร็จในศีลปะทุกประการ พระราชาทรงดำริที่จะอภิเษกในราชสมบัติ จึงทรงรับสั่งให้ช่างสำรวจพื้นที่เพื่อสร้างปราสาท

ท้าวสักกะทรงทราบเหตุนั้น ตรัสสั่ง วิษณุกรรมเทพบุตร ให้ลงไปสร้างปราสาทแก้วยาว ๙ โยชน์ กว้าง ๘ โยชน์ สูง ๒๕ โยชน์ ให้แก่มหาปนาทราชกุมารนั้น เทพบุตรนั้นจึงแปลงเพศเป็นช่าง สั่งให้ช่างเหล่านั้นไปกินข้าวเช้าแล้วค่อยมา แล้วตีพื้นด้วยไม้ค้อน

ทันใดนั้นเอง ปราสาทแก้ว ๗ ประการ ๗ ชั้น มีขนาดดังกล่าวแล้ว ก็ผุดขึ้นจากพื้นดิน มงคล ๓ ประการ คือ มงคลฉลองปราสาท มงคลอภิเษกสมโภชเศวตฉัตร และอาวาหมงคล ของพระกุมารได้มีคราวเดียวกันแล

ชาวเมืองทั้งสองได้พากันฉลองมงคลด้วยมหรสพ สิ่งทั้งหมด เช่น ผ้า เครื่อง ประดับ ของเคี่ยวกิน ของชนทั้งหลาย ได้เป็นสิ่งของราชตระกูลทั้งสิ้น

ครั้นล่าง ๗ ปี ชนทั้งหลายพากันกราบทูลต่อพระเจ้าสุรุจิมหาราชว่า เมื่อไรจะเลิกงานสมโภชเสียที พระราชาตรัสตอบว่า ตลอดงานลูกเราไม่เคยหัวเราะเลย เมื่อใดเธอหัวเราะ เมื่อนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงพากันไปเถิด

ลำดับนั้น มหาชนพากันเชิญนักฟ้อน ๖,๐๐๐ คนแบ่งเป็น ๗ ส่วนกันรำฟ้อนก็มิอาจที่จะให้พระกุมารทรงพระสรวนได้ ทั้งนี้เพราะท้าวเธอเคยทอดพระเนตรกระบวนฟ้อนรำ อันเป็นทิพย์มาช้านาน การฟ้อนของนักฟ้อนเหล่านั้น จึงมิได้เป็นที่ต้องพระหฤทัย

ครั้งนั้นจอมนักฟ้อน ๒ นาย หาอุบายต่าง ๆ เพื่อจะให้ทรงพระสรวลแต่ก็ไม่เป็นผลฝูงชนจึงพากันระส่ำระสาย

ฝ่ายท้าวสักกะทรงทราบเหตุนั้น จึงทรงส่งนักฟ้อนเทวดามายืนบนอากาศ ในท้องพระลานหลวง แสดงขบวนฟ้อนที่เรียกว่า “อปฑฒังคะ” คือมือข้างเดียว เท้าก็ข้างเดียว ตาก็ข้างดียว แม้คิ้วก็ข้างเดียว ฟ้อนไปร่ายรำไป เคลื่อนไหวไป ที่เหลือคงนิ่งไม่หวั่นไหวเลย

พระเจ้ามหาปนาททอดพระเนตรเห็นการนั้นแล้ว ทรงพระสรวลหน่อยหนึ่ง แต่มหาชนเมื่อหัวเราะ ก็สุดที่จะกลั้นความขบขันไว้สุดที่จะดำรงสติไว้ได้ ล้มกลิ้งไปในท้องพระลานหลวง มงคลเป็นอันเลิกได้ตอนนั้น พระเจ้ามหาปนาททรงกระทำบุญ มีถวายทานเป็นต้น เมื่อสิ้นพระชนม์ก็เสด็จไปสู่เทวโลกนั้นเอง

พระศาสดาทรงนำธรรมเทศนานี้แล้ว ทรงประชุมชาดดกว่า มหาปนาท ในครั้งนั้นได้มาเป็น ภัททชิ สเมธาเทวี ได้มาเป็น วิสาขาวิษณุกรรม ได้มาเป็น อานนท์ ส่วน ท้าวสักกะ ได้มาเป็นเราตถาคตแล

(เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า พระนางสุเมธาเทวี หรือ นางวิสาขา ผู้งดงามด้วยเบญกัลยาณี มีจริยาดีมาโดยตลอด ข้อวัตรปฏิบัติต่อผู้ร่วมอาศัยชายคาเดียวกัน ประพฤติได้อย่างครบถ้วนท่านจึงมีความผาสุขในการครองเรือน สมควรที่ยกย่องว่าเป็นกุลสตรีที่แท่จริง

สำหรับช่างเสื่อลำแพนสองพ่อลูก โดยเฉพาะลูกได้รับอานิสงส์มหาศาล เป็นด้วยผลจากการถวายภัตตาหาร ผ้าไตรจีวร และสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเกิดปราสาทแก้ว ๗ ประการ เพราะผลของทานร่วมกับบิดา
แต่แปลกที่ว่าบุตรทำไมจึงไปนิพพานก่อน ส่วนบิดาจะมีความเป็นอย่างไรโปรดติดตามได้ต่อไปนี้)

มหานฬการเทพบุตร
ครั้นพระเจ้ามหาปนาทสวรรคตแล้ว ปราสาทนั้นก็ได้เลื่อนลอยลงสู่แม่น้ำคงคา ในที่ตั้งบันใดปราสาทเดิมนั้น ได้กลายเป็นบ้านเมืองหนึ่ง ชื่อว่า ปยาคปติฏฐนคร ที่ตรงยอดปราสาทนั้น ได้กลายเป็นบ้านชื่อว่า โกฏิคาม
มีคำถามว่า เพราะเหตุไร ปราสาทหลังนั้นจึงย้งไม่อันตรธาน
มีคำแก้ว่า เป็นเพราะอานุภาพแห่งช่างเสื่อลำแพนซึ่งเป็นบิดาในปางก่อน มีนามกรว่า มหาฬการเทพบุตร จะจุติมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักร ปราสาทหลังนั้นจักผุดขึ้นมาเพื่อเป็นที่ประทับของพระองค์

สมัยพระศรีอารียเมตไตรย
ตามพระบาลีใน จักวัตติสูตร คัมภีร์ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค มีเนื้อความว่า
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘ หมื่นปี เด็กหญิงมีอายุ ๕๐๐ ปี จึงจักมีสามีได้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในคราวที่มนุษย์มีอายุ ๘ หมื่นปีนั้น จักเกิดมีอาพาธ ๓ อย่าง คือ ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑ ความแก่ ๑ เท่านั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘ หมื่นปี ชมพูทวีปนี้จักมีมนุษย์มีอายุ ๘ หมื่นปี ชมพูทวีปนี้จักมั่งคั่งและรุ่งเรือง มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่บินตก ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งว่าอเวจีมหานรก จักยัดเยียดไปด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อหรือป่าไม้แก่น ฉะนั้น

เกตุมดีราชธานี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘ หมื่นปี เมืองพาราณสีนี้จักเป็นราชธานีมีนามว่า “เกตุมดี” เป็นเมืองที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก และมีอาหารสมบูญณ์
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘ หมื่นปี ในชมพูมวีปนี้จักมีเมือง ๘๐,๐๐๐ เมือง มีเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข

พระเจ้าสังขจักพรรดิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘ หมื่นปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงพระนามว่า “พระเจ้าสังขจักรพรรดิ” เสวยราชสมบัติอยู่ในเกตุมดีราชธานี เป็นพระราชาโดยชอบธรรมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราอาณาจักรมั่งคงสมบูญณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ
จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปรินายกแก้ว พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชนะโดยธรรม มิต้องใช้อำนาจอาชญาหรืออาวุธประการใด

พระพุทธเจ้าทรงอุบัติ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘ หมื่นปี จักมีพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า “เมตไตรย” จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ฯลฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าสังขจักรนั้น จักเสวยราชย์อยู่ที่ปราสาทของพระพระเจ้ามหาปราทอันมีมาในอดีตกาลนั้น
แล้วจักทรงสละปราสาทนั้นให้เป็นทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้าคนเดินทางและคนขอทานทั้งหลาย แล้วจักปลงผมและหนวดนุ่งห่มผ้าย้อมฝาด ออกบรรพชาในสำนักของพระศาสดา ทรงพระนามว่า “เมตไตรย”
เมื่อพระเจ้าสังขจักรทรงบรรพชาแล้วจักออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว จักไม่ปรามาทจักมีความเพียน จักมีใจตั้งมั่น แล้วจักสำเร็จถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันเป็นสิ่งยอดเยี่ยมซึ่งเป็นที่ปรารถนาของกุลบุตร ที่พากันออกจากเรือนเป็นบรรพชิตทั้งหลาย”
(เนื่อความในพระบาลีขอนำมากล่าวไว้แต่เพียงแค่นี้)

อรรถกถา
พระอรรถกถาจารย์ท่านอธิบายคำว่า “พอไก่บินตก” คือพอไก่บินจากหลังคาบ้านหนึ่งไปตกที่หลังคาอีกบ้านหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งได้แก่ระยะทรงพอชั่วไก่เดินไปมาถึงกันได้ อันได้ใจความว่า ในครั้งนั้นมีบ้านเรือนอยู่หนาแน่น
คำว่า “เหมือนกับอเวจีนั้น” คือมีคนอยู่เต็มเป็นนิจ เหมือนกับสัตว์ในอเวจีมหานรก
คำว่า “พระเมตไตรยจักเกิดขึ้นในโลกคราวที่มนุษย์มีอายุ ๘ หมื่นปีนั้น” ไม่ใช้ตรัสด้วยความเจริญของมนุษย์ เพราะพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เกิดขึ้น ในเมื่อมนุษย์ทั้งหลายมีอายุเจริญขึ้น แต่พระพพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมเกิดขึ้น ในเมื่อมนุษย์ทั้งหลายอายุเสื่อมลง

คำที่ว่า “พระเจ้าสังขจักรทรงสละปราสาทให้เป็นทานนั้น” คือทรงสละโดยไม่มีความเสียดาย ก็ปราสาทหลังเดียวจะทรงสละให้แก่คนหลายคนได้อย่างไร?”
ได้อย่างนี้... คือพอพระเจ้าสังขจักรคิดจะสละให้เป็นทาน ปราสาทหลังนั้นก็จะหักกระจัดกระจายเป็นท้อนน้อยท้อนใหญ่ แล้วพระบาทท้าวเธอก็เปล่งวาจาว่า
ผู้ใดต้องการสิ่งใดก็จงถือเอาสิ่งนั้น...

(เนื่อความในบาลีและอรรถกถานำมาไว้โดยย่อเพียงแค่นี้ ส่วนในหนังสือ อนาคตวงศ์ ท่านพรรณนาไว้แปลกอีกนิดหน่อยดังนี้)

“พระเจ้าสังขจักรมีพระราชโอรส ๑ พัน พระองค์ พระราชโอรสผู้ใหญ่นั้น ทรงพระนามว่า อชิตราชกุมาร และมีตำแหน่งเป็น ปรินายกแก้ว แห่งสมเด็จพระราชบิดาอีกด้วย
ฝ่ายมหาปุโรหิตผู้ใหญ่ของสมเด็จพระสังขจักรนั้น มีนามว่า สุตพราหมณ์ ส่วนนางพราหมณีผู้เป็นภริยานั้น มีนามว่า นางพราหมณวดี ท่านทั้งสองนี้แหละเป็นผู้ให้กำเนิด พระศรีอาริยเมตไตรย ดังนี้”

:b8: :b8: :b8:

จบแล้วครับ

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณวรานนท์ look ใหม่น่ารักเชียวนะคะ...

มีการหันมาสายก้นด้วย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
คุณวรานนท์ look ใหม่น่ารักเชียวนะคะ...

มีการหันมาสายก้นด้วย...


s005 เห็นด้วยกับเสี่ยวจิ้งนะ...... :b32:
:b3: ดูแบบว่า.......น่าตีสัก 1ทีนะ
cry

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

มีอยุ่ในรูปให้เลือกเยอะแยะเลยครับ

เข้าไปชมกันหรือยังครับ มีเกือบ 10 แบบอย่าง :b13:


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร