วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 12:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2009, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




animal_017_1.gif
animal_017_1.gif [ 44.33 KiB | เปิดดู 1838 ครั้ง ]


การไว้วางใจ


ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภการบริโภคปัจจัย ๔

ที่หมู่ญาติถวาย ด้วยความไว้วางใจ โดยไม่พิจารณาของหมู่ภิกษุ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง มีสมบัติมาก ในเมืองพาราณสี

เขามีโคอยู่ฝูงหนึ่ง ในฤดูทำนาได้มอบให้คนเลี้ยงโคคนหนึ่ง ต้อนฝูงโคไปตั้งคอกเลี้ยงโคอยู่ในป่า

และให้นำน้ำนมโคมามอบให้ตนตามเวลา ก็แลในที่ไม่ไกลจากคอกโคนั้น มีราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่

ด้วยความกลัวราชสีห์ ฝูงโคจึงซูบผอม น้ำนมก็ไม่เข้มข้นเหมือนเดิม

วันหนึ่ง คนเลี้ยงโค นำน้ำนมโคมามอบให้เศรษฐี ๆ เห็นแล้วจึงถามว่า

"ทำไม น้ำนมโค ถึงใส "

เขาจึงเล่าเรื่องนั้นให้เศรษฐีฟังว่า

" มีราชสีห์ตัวนั้น ติดพันแม่เนื้อตัวหนึ่งจึงไม่หนีไปไหน "

เศรษฐีจึงแนะนำว่า

" เจ้า จงจับแม่เนื้อนั้น ให้จงได้ ทายาพิษที่ขนของมัน ตั้งแต่หน้าขนผากมันขึ้นไปหลาย ๆ ครั้ง

กักไว้ สัก ๒-๓ วัน แล้วค่อยปล่อยมันไป "


เขาได้ทำเช่นนั้น ราชสีห์เห็นแม่เนื้อนั้น ก็เลียตามตัวด้วยความสิเนหา ได้ถึงความสิ้นชีวิตไป

คนเลี้ยงโค ได้นำหนังของราชสีห์ไปมอบให้เศรษฐีๆ จึงกล่าวว่าขึ้นชื่อว่าความเสน่หา

ในพวกอื่นไม่ควรกระทำ ราชสีห์เพราะอาศัยความติดพันด้วยอำนาจกิเลส

เลีียสรีระของแม่เนื้อสิ้นชีวิตแล้วกล่าวคาถานี้ว่า


" บุคคล ไม่ควรไว้วางใจ ในผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกัน

แม้ผู้ที่คุ้นเคยกันแล้ว ก็ไม่ควร ไว้วางใจ

ภัย ย่อมมีมาจากผู้ที่คุ้นเคยกัน เหมือนภัยของราชสีห์เกิดจากแม่เนื้อ "




นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน

ที่มา :หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๑ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม : เว็บไซด์ธรรมะไทย dhammathai

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2009, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




nt219.gif
nt219.gif [ 36.06 KiB | เปิดดู 1827 ครั้ง ]
อานิสงส์ของศีล

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภอุบาสกผู้มีศรัทธาคนหนึ่ง

ที่สามารถเดินข้ามแม่น้ำอจิรวดีไปฟังธรรมได้ด้วยอำนาจคุณของศีล ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สมัยพระพุทธเจ้านามว่า กัสสปะ ในวันหนึ่งมีอุบาสกคนหนึ่งซึ่งเป็น

พระโสดาบัน ได้โดยสารเรือไปค้าขายต่างเมืองกับช่างตัดผมคนหนึ่ง ก่อนออกเดินทาง

ภรรยาของช่างตัดผมได้ฝากให้อุบาสกช่วยดูแลสามีของตนพร้อมกับสั่งว่า

"ท่านเจ้าค่ะ ขอท่านได้ช่วยดูแลสามีดิฉันด้วยนะคะ สุขทุกข์ของสามี

ดิฉันขอมอบให้เป็นภาระของท่านก็แล้วกัน"

เรือออกเดินทางไปได้ ๗ วัน ก็เจอพายุกระหน่ำจนเรืออับปางลงกับทะเลราวกับเรือไทนานิคล่ม

ชายทั้ง ๒ ได้เกาะแผ่นกระดานแผ่นหนึ่งลอยคอจนมาถึงเกาะแห่งหนึ่ง

ด้วยความหิวนายช่างตัดผมได้ฆ่านกปิ้งกินและชวนอุบาสกกินด้วยกัน แต่อุบาสกไม่กินเพราะ

คิดว่า "สถานการณ์เช่นนี้ มีแต่พระรัตนตรัยเท่านั้นจะเป็นที่พึ่งเราได้" จึงนั่งระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยอยู่


ขณะนั้นพญานาคผู้บนเกาะนั้นได้เนรมิตร่างเป็นเรือลำใหญ่ มีเทวดาประจำทะเลเป็นต้นเรือ

บรรทุกทรัพย์สินเงินทองเต็มลำ มีเสากระโดงทำด้วยแก้วมณีสีอินทนิล ใบเรือทำด้วยทองเชือก

ทำด้วยเงิน แล่นมาที่เกาะนั้น พร้อมประกาศว่า

"มีใครจะไปด้วยไหม"

อุบาสกร้องตอบว่า "ข้าพเจ้าจะไปด้วย"

นายต้นเรือพูดว่า "ถ้าเช่นนั้น ท่านขึ้นมาเถอะครับ"

อุบาสกจึงชวนนายช่างตัดผมขึ้นเรือไปด้วยกัน แต่นายต้นเรือร้องห้ามไว้ว่า

"ขึ้นมาได้เฉพาะท่านคนเดียวเท่านั้น อีกคนหนึ่งขึ้นไม่ได้"

อุบาสกถามว่า "ทำไมละท่าน"

นายต้นเรือตอบว่า "เพราะคนนั้นไม่มีศีลจึงรับไปด้วยไม่ได้ เรือลำนี้รับเฉพาะคนมีศีลเท่านั้น"

อุบาสกพูดว่า "เอาเถอะ ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอแบ่งให้ส่วนบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้รักษาศีลให้แก่เขาก็แล้วกัน"

นายช่างตัดผมก็รับคำอนุโมทนาในบุญกุศลว่า "ข้าพเจ้าขออนุโมทนา"

เทวดาจึงนำชายทั้ง ๒ ขึ้นเรือแล้วนำไปส่งจนถึงฝั่งพร้อมทั้งมอบทรัพย์สมบัติให้อีกด้วย

แล้วกล่าวให้โอวาทเป็นคาถาว่า

"ดูเถิด นี่แหละผลของศรัทธา ศีล และจาคะ พญานาคแปลงตนเป็นเรือนำอุบาสกผู้มีศรัทธาไป

บุคคลพึงคบหาสัตบุรุษเท่านั้น พึงทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เพราะการอยู่ร่วมกับสัตบุรุษ

นายช่างตัดผมจึงถึงความสวัสดี"


เมื่อกล่าวจบก็พาพญานาคกลับวิมานของตนไป




นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :ผู้มีศีลตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้

ที่มา :หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม (เสนาซุย)เว็บไซด์ธรรมะไทย dhammathai

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 01:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




untitled5.bmp
untitled5.bmp [ 116.07 KiB | เปิดดู 1793 ครั้ง ]
อันตชาดก เรื่อง คนชั่วสรรเสริญกันเอง




ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตกับพระโกกาลิกะ
ต่างสรรเสริญกันเอง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดาประจำอยู่ที่ต้นละหุ่ง ในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง
วันหนึ่งมีโคแก่ตัวหนึ่งในบ้านนั้นได้ตายลง เจ้าของบ้านได้ลากซากศพมันไปทิ้งเป็นอาหารสัตว์ไว้ที่
ข้างต้นละหุ่งนั้น ต่อมาไม่นานมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมาแทะกินเนื้อโคนั้นอยู่ และมีกาตัวหนึ่งบินมาจับ
ที่ต้นละหุ่งนั้น ด้วยหวังจะกินเนื้อโคนั้นเช่นกัน จึงพูดยกย่องสุนัขจิ้งจอกขึ้นว่า
" ท่านพญาเนื้อ ผู้มีร่างกายเหมือนโคถึก มีความองอาจดังราชสีห์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแก่ท่าน
ทำอย่างไร ข้าพเจ้าจักได้อาหารสักหน่อยหนึ่ง "

สุนัขจิ้งจอกได้ฟังคำยกย่องนั้นแล้วชื่นใจพูดตอบว่า " กุลบุตรย่อมสรรเสริญกุลบุตรด้วยกัน
ท่านกาผู้มีสร้อยคองามเด่นเช่นนกยูง เชิญท่านลงมาจากต้นละหุ่ง มากินเนื้อให้สบายใจเถิด"

รุกขเทวดาเห็นกากับสุนัขจิ้งจอกกล่าวยกย่องกันตามที่ไม่เป็นจริง จึงกล่าวคาถาว่า
" บรรดามฤคชาติทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์เลวที่สุด
บรรดาปักษีทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ที่เลวที่สุด
และบรรดารุกขชาติทั้งหลาย ต้นละหุ่งเป็นต้นไม้ที่เลวที่สุด
ที่สุด ๓ อย่าง มาประจวบกันเข้าแล้ว "

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
คนเลวยกย่องกันเอง ชื่อเสียงมักไม่ปรากฏ
คนดียกย่องคนดีเหมือนกัน ชื่อเสียงย่อมปรากฏ

ที่มา :
หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม (เสนาซุย)
เว็บไซด์ธรรมะไทย dhammathai

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 03:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




701397zbug7up9ij.gif
701397zbug7up9ij.gif [ 43.15 KiB | เปิดดู 1761 ครั้ง ]
เหตุห้ามภิกษุมิให้ดื่มสุรา



สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่โฆสิตาราม เมืองโกสัมพี ทรงปรารภพระสาคตเถระเรื่องดื่มสุรา
เรื่องมีอยู่ว่า

หลังจำพรรษาที่เมืองสาวัตถีแล้ว พระพุทธองค์พร้อมพระภิกษุสงฆ์ มีพระสาคตเถระเป็นพระอุปัฏฐาก
ได้จาริกไปจนถึงภัททวติกานิคม ถึงแม้พวกชาวบ้านที่เห็นแล้วพากันมา กราบทูลไม่ให้เสด็จไปท่าอัมพะ
เพราะอัมพติฏฐกนาค มีพิษร้ายจะทำอันตรายก็ตาม ก็ทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินถ้อยคำของคนเหล่านั้น
เสด็จเข้าไปปูลาดหญ้านั่งขัดสมาธิอยู่ในที่อยู่ของนาคนั้น ส่วนพระสาคตเถระเข้าไปใกล้อาศรมนาคแล้ว
ปูลาดหญ้านั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ๆนาคนั้น นาคได้แสดงฤทธิ์ บังหวลควันและทำให้ไฟลุกไหม้ขึ้น
พระเถระก็ทำเช่นนั้นเหมือนกัน ได้ปราบนาคให้หมดฤทธิ์ตั้งอยู่ในศีล ในเวลาชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น

รุ่งเช้า พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวกได้เข้าไปในเมืองโกสัมพี เรื่องราวที่พระสาคตเถระปราบนาคได้
แพร่กระจายไปทั่วเมือง ฝูงชนชาวเมืองโกสัมพี ทำการต้อนรับพระพุทธองค์แล้วไปไหว้พระสาคตเถระ
พร้อมกับปวารณาว่า " ถ้าพระเถระต้องการอะไรที่หาได้ยาก จงบอก จะจัดถวาย " พระเถระกลับนั่งนิ่งเสีย
ไม่พูดว่าอะไร แต่พวกภิกษุหัวดื้อฉัพพัคคีย์ พากันบอกฝูงชนว่า " โยม สุราสีแดงดุจเท้านกพิราบสิ
บรรพชิตหาได้ยาก และเป็นของชอบใจของพระเถระด้วย " ชาวเมืองได้นิมนต์พระพุทธองค์พร้อม
พระสงฆ์สาวกฉันในวันพรุ่งนี้

ในตอนเช้า ชาวเมืองต่างก็พากันจัดเตรียมสุราสีแดงดุจเท้านกพิราบไว้ถวายพระเถระทุกเรือน
พระเถระดื่มสุราแล้วเมา เดินไปล้มลงที่ประตูเมืองนอนบ่นพร่ำเพ้ออยู่ เมื่อพระพุทธองค์ฉันเสร็จ
ได้เสด็จกลับ พบพระเถระนอนอยู่เช่นนั้น จึงรับสั่งให้ประคองพระเถระนอนหันศีรษะไปทางพระบาท
ของพระองค์ พระเถระกลับนอนเหยียดเท้าไปทางพระพักตร์ของพระพุทธองค์ พระองค์จึงทรงตรัสโทษ
ของการดื่มสุราว่า
" พระสาคตะเคยเคารพในเรา บัดนี้ไม่มีแล้ว เคยเป็นผู้มีความสามารถปราบพญานาคได้
บัดนี้ไม่มีแรงที่จะปราบแม้กระทั่งงูปลา ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่ดื่มแล้ว ปราศจากความจำได้หมายรู้
สิ่งนั้นภิกษุไม่ควรดื่ม "
แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทว่า เป็นปาจิตตีย์ในเพราะดื่มสุราเมรัย

ในตอนเย็น พวกภิกษุประชุมกันในธรรมสภาพูดถึงโทษของการดื่มสุรา พระพุทธองค์ได้ตรัส
อดีตนิทานมาสาธกว่า...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในกรุงพาราณสี แคว้นกาสี มีฤาษีอยู่ประมาณ ๕๐๐ รูป ได้อภิญญาและ
สมาบัติ อาศัยอยู่ในป่าหิมวันตะ ครั้นถึงฤดูฝนจึงอำลาอาจารย์เพื่อเข้าเมืองถิ่นที่อยู่ของมนุษย์
ทำให้ประชาชนและพระราชาเลื่อมใสแล้ว พักอยู่ในพระราชอุทยาน ต่อมาวันหนึ่งในเมืองพาราณสี
มีเทศกาลดื่มสุรา พระราชาดำริว่า พวกบรรพชิต หาสุราได้ยาก จึงรับสั่งให้ถวายสุราอย่างดี
เป็นอันมากแก่ฤาษี

พวกฤาษีดื่มสุราแล้วเมา บางพวกลุกขึ้นฟ้อนรำ บางพวกขับร้องจนหลับไป พอสร่างเมาพากันตื่นขึ้นมา
เห็นอาการอันแปลกของพวกตน ก็เสียใจว่าไม่ควรทำ จึงพากันกลับไปหาอาจารย์ เล่าเรื่องนั้นให้แก่
อาจารย์ฟังว่า
" พวกกระผมได้พากันดื่ม ได้พากันฟ้อนรำ พากันขับร้องแล้ว ก็พากันร้องไห้
เพราะดื่มสุราที่ทำให้สัญญาวิปริต เห็นดีแต่ที่มิได้กลายเป็นลิงไปเสียเลย "

อาจารย์ได้สอนว่า " ธรรมดานรชนที่เหินห่างจากการอยู่ร่วมกับครู ย่อมเป็นเช่นนี้ได้ทั้งนั้น "


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
โทษของการดื่มสุรา เป็นเหตุให้คนทำในสิ่งที่ไม่กล้าทำได้้



* เรื่องที่ ๑ ในอปายิมวรรค หน้า ๒๗๓-๒๗๕ พระสูตรและอรรถกถาแปล ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๒
ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๑ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 23:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




untitled.bmp
untitled.bmp [ 93.55 KiB | เปิดดู 1747 ครั้ง ]
พระปริตป้องกันสัตว์ร้าย

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง
มรณภาพเพราะถูกงูกัด ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธการ ว่า...


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤาษีบำเพ็ญสมาบัติอยู่ที่คุ้งแม่น้ำแห่งหนึ่งในป่าหิมพานต์
มีฤาษีหลายร้อยตนเป็นบริวาร ณ ที่ฝั่งแม่น้ำนั้น มีงูนานาชนิดอาศัยอยู่ งูได้กัดฤาษีเสียชีวิตไปหลายตน
พระโพธิสัตว์ทราบเรื่องนั้นแล้วจึงพูดให้โอวาทคณะฤาษีว่า

"ท่านทั้งหลาย..หากพวกท่านเจริญเมตตาให้ตระกูลพญางูทั้ง ๔ งูทั้งหลายก็จะไม่กัดพวกท่านหรอก" แล้วกล่าวคาถาว่า


"ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูวิรูปักขะ ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูเอรปถะ
ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูฉัพยาปุตตะ ขอไมตรีจิตของเราจงมี
กับตระกูลพญางูกัณหาโคตมะ"


และกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า

"ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ที่ไม่มีเท้า ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ ๒ เท้า
ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ ๔ เท้า ขอไมตรีจิตของเรา จงมีกับสัตว์ที่มีเท้ามาก"


พระโพธิสัตว์เมื่อจะแสดงธรรมด้วยการขอร้อง ได้กล่าวคาถาว่า
"ขอสัตว์ที่ไม่มีเท้า สัตว์ที่มี ๒ เท้า สัตว์ที่มี ๔ เท้า สัตว์ที่มีเท้ามาก อย่าได้เบียดเบียนเราเลย"


เมื่อจะแสดงการเจริญเมตตาโดยไม่เจาะจงได้กล่าวคาถาว่า
"ทั้งมวลจงพบกับความเจริญ ความชั่วช้าอย่าได้มาแผ้วพานสัตว์ตนใดตนหนึ่งเลย"


เพื่อระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย จึงพูดว่า
"พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระคุณหาประมาณมิได้บรรดาสัตว์เลื้อยคลาน คือ งู แมลงป่อง ตะขาบ แมลงมุม ตุ๊กแกและหนู มีคุณหาประมาณได้"


เพื่อแสดงกรรมที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ได้กล่าวคาถาว่า

"เราได้ทำการรักษา ทำการป้องกันไว้แล้ว ขอสัตว์ทั้งหลายผู้มีชีวิตจงพากันหลีกไป
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอนอบน้อมพระสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์"


ตั้งแต่นั้นมา คณะฤาษีได้เจริญเมตตารำลึกถึงพระพุทธคุณงูทั้งหลายต่างก็หลบหนีไปอยู่ที่อื่น



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
แม้อสรพิษก็ไม่เบียดเบียนผู้เจริญเมตตาภาวนา




ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม (เสนาซุย)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร