วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2022, 15:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งหนึ่งสมัยพระศาสดาพระนามว่า“กัสสปะ” ยังคงประกาศสัจธรรมอยู่ สมัยนั้นอายุมนุษย์หากนับเป็นจำนวนปีเหมือนยุคปัจจุบัน มนุษย์ยุคนั้นจะมีอายุยืนยาวถึง ๒ หมื่นปีทีเดียว ขณะที่สมเด็จพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพ พุทธศาสนาถือว่ามีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ตลอดจนอินทร์พรหมยมยักษ์ พวกเขาต่างได้รับประโยชน์จากหลักธรรมคำสอนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

สัตว์ตนไหนพอจักมีปัญญาหน่อยก็สามารถเข้าถึงซึ่งมนุษย์สมบัติ ตนไหนมีปัญญามากขึ้นไปอีกก็ได้ครองสวรรค์สมบัติ หรือไม่ก็พรหมสมบัติ แลตนใดหากมีปัญญาแก่กล้าถึงที่สุด สามารถดับประหารเสียซึ่งกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นราบคาบ เขาก็สามารถครอบครองสิ่งอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของศาสนานั่นคือพระนิพพานสมบัติ ตัดขาดชาติภพไปได้โดย ไม่ต้องกลับมาเกิดให้มันยุ่งยากอีก แต่ทั้งนี้ตนใดจะได้ขั้นไหนก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของเจ้าตัวเองว่าจะมีมากมีน้อยเพียงใด ดังนั้นสรรพสัตว์ยุคนั้นจึงมีความชุ่มชื่นในธรรมกันโดยถ้วนหน้า

ครานั้นยังมีบุรุษผู้หนึ่งเขามีใจเลื่อมใสในหลักธรรมคำสอนของสมเด็จพระศาสดาเป็นอย่างยิ่ง วันหนึ่งมิทราบว่าเป็นด้วยบุญหรือกรรม อยู่ๆเขาก็เกิดเบื่อหน่ายเรื่องราวทางโลกขึ้นมา ปรารถนาจักออกจากกองทุกข์ในวัฏสงสาร จึงสละเพศฆราวาสเข้ามาบวชเป็นพุทธบุตรภายใต้ร่มเงาพระศาสนา หลังอุปสมบทแล้วภิกษุรูปนี้ก็ตั้งหน้าบำเพ็ญสมณธรรมอย่างยิ่งยวด หวังจักขจัดกิเลสที่มีในใจ ให้มันหมดสิ้นไปให้ได้ แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดท่านก็ไม่อาจพัฒนาจิตใจให้เจริญก้าวหน้าได้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่อาศัยนั้นไม่เอื้อต่อการเจริญวิปัสสนากรรมฐานก็เป็นได้ ดังนั้นท่านจึงคิดจักหาสถานที่อันสงบเงียบตามป่าตามเขา ปฏิบัติธรรมยังความเพียรให้ถึงที่สุด!

หลังจากตัดสินใจจึงจ้างเรือลำหนึ่งให้ล่องไปตามลำน้ำ เสาะหาสถานที่อันเป็นสัปปายะ เหมาะต่อการบำเพ็ญภาวนา ระหว่างที่เรือแล่นไปนั้นเนื่องจากไม่มีสิ่งใดทำ ท่านจึงเผลอยื่นมือออกไปราน้ำเล่นโดยมิได้มีความ คิดใด แต่เนื่องจากท้องน้ำบริเวณนั้นมีต้นตะไคร่น้ำขึ้นอยู่หนาแน่น ขณะที่มือราน้ำจู่ๆท่านก็รู้สึกว่านิ้วไปโดนเข้ากับอะไรสักอย่าง ลักษณะลื่นๆนิ่มๆ ด้วยความตกใจจึงยกขึ้นมาดู
ทันใดก็เห็นใบตะไคร่น้ำใบหนึ่งขาดติดอยู่ที่นิ้ว

พอเห็นดังนั้นท่านก็พลันได้สติ คิดอยู่ในใจว่าตนได้ต้องอาบัติข้อห้ามพรากของเขียวออกจากต้นเข้าแล้ว แต่เนื่องจากอยู่ระหว่างเดินทาง ไม่สะดวกต่อการปลงอาบัติ ดังนั้นท่านจึงคิดว่าขึ้นฝั่งเมื่อใดค่อยไปหาเพื่อนภิกษุแสดงอาบัติก็แล้วกัน แต่ว่าเหตุการณ์มันหาได้เป็นดั่งคิดไม่ ขณะนั้นเรือน้อยได้แล่นผ่านถ้ำแห่งหนึ่งเข้าพอดี ตั้งอยู่บนเชิงเขา ห้อมล้อมด้วยขุนเขาแลราวป่า พอเห็นแวบแรกท่านก็รู้สึกชอบใจ จึงสั่งคนเรือให้หยุดเรือ

หลังจากชำระค่าโดยสารท่าน ก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม คว้าบาตรคว้าย่ามได้ก็พรวดพราดลงจากเรือปีนขึ้นไปยังถ้ำที่เห็นทันที เมื่อขึ้นไปถึงจึงพบว่ามันเป็นถ้ำที่สะอาดสะอ้าน เหมาะจักใช้เป็นที่บำเพ็ญภาวนาจริงๆ หน้าถ้ำหันเข้าหาทิศทางลม เพดานถ้ำมีช่องโหว่ขึ้นไปเป็นปล่อง ทำให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาได้ ฉะนั้นจึงไม่มีกลิ่นอับชื้นเหมือนถ้ำทั้งหลาย

หลังจากสำรวจจนทั่วท่านก็ยิ่งพออกพอใจ ดังนั้นจึงตัดสินใจจะใช้ถ้ำนี้เป็นที่ปฏิบัติธรรม พอมาเจอสถานที่ถูกใจ จิตใจก็พลันปลอดโปร่งโล่งสบาย จนลืมไปว่าตนได้ต้องอาบัติ และที่สำคัญยังไม่ได้ปลงอาบัติด้วยต่างหาก!

นับจากขึ้นฝั่งมาท่านก็ตั้งหน้าปฏิบัติธรรมแต่เพียงอย่างเดียว มิได้มีใจเฉลียวไปนึกถึงเรื่องใด วันคืนจะผ่านเช่นไรท่านก็ไม่เคยสนใจจดจำ จนกาลเคลื่อนผ่านจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เป็นร้อยปี พันปี จนถึงสองหมื่นปี ตลอดระยะเวลาอันยาวนานถึงสองหมื่นปีหากคิดอย่างเราๆท่านๆ ก็คงคิดว่าภิกษุรูปนี้คงต้องสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วแน่นอนโดยมิต้องสงสัย แต่ทว่าในความเป็นจริงมันกลับมิได้เป็นเช่นนั้น

ระยะเวลาสองหมื่นปีมันไม่ได้ทำให้ท่านสำเร็จมรรคผลแต่อย่างใด ท่านยังคงเป็นแค่ปุถุชนคนธรรมดาเหมือนเราท่านทั้งหลาย ไม่มีปัญญาญาณหรือว่าความหยั่งรู้ใดที่จักไปขจัดกิเลสให้หมดสิ้นไปจากจิตใจได้ อาจเป็นเพราะบารมีสิบของท่านยังไม่แก่กล้าพอ หรือเป็นเพราะกรรมเก่าที่สร้างเอาไว้ตั้งแต่ครั้งไหนไม่ทราบย้อนมาสนองให้ผลก็สุดจะเดา ดังนั้นท่านจึงไม่อาจบรรลุธรรมได้

พอถึงคราวจักละธาตุขันธ์เหตุการณ์ที่ล่วงอาบัติไว้จึงผุดขึ้นในมโนทวาร คอยเผาผลาญจิตใจท่านมิให้สงบ และก็ช่างบังเอิญเสียนี่กระไร ท่านได้ถึงกาลสิ้นใจในช่วงเวลานั้นพอดี! การตายในขณะที่จิตกำลังเศร้าหมองทุกท่านก็น่าจักทราบดี ภพใหม่ภูมิใหม่ที่จะไปเกิดนั้นมันจะเป็นสุคติไปได้อยางไร ฉะนั้นพอกายท่านแตกดับ จิตท่านก็ไปปฏิสนธิในท้องของสัตว์เดรัจฉานตระกูลแห่งพญานาคทันที

พญานาคผู้มีอดีตชาติเป็นพระภิกษุตนนี้เมื่อเจริญวัยขึ้นมาก็รู้ว่าตนนั้นต่างจากเพื่อนพญานาคทั่วไป เขาสามารถที่จะระลึกชาติได้ รู้ว่าชาติที่ผ่านมาตนเคยเกิดเป็นอะไรมาก่อน ดังนั้นกิริยาที่แสดงต่อเพื่อนพญานาคด้วยกันจึงไม่เหมือนพญานาคทั้งหลาย เขาสามารถระงับความโกรธได้ดีกว่าพญานาคตนใดจักพึงกระทำได้ เขามีความสุขุมสำรวมสุภาพอ่อนน้อม เกินกว่าพญานาคตนใดจักพึงมี ยิ่งกว่านั้นหากพูดถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาเขาก็เป็นพญานาคที่มีหน้าตาคมสันสง่างามเหนือพญานาคใดๆ(เพิ่งจะรู้ว่าพญานาคก็มีสวยมีหล่อเหมือนกัน) ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเขาเคยบวชเป็นพระมาก่อนก็เป็นได้ ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติอันพิเศษเหล่านี้เหนือพญานาคทั้งมวล

แหละพอท้าวนาคราชผู้เป็นราชาแห่งนาคสิ้นชีพลง บรรดานาคทั้งหลายต่างก็เห็นพ้องต้องกัน ยกให้เขาขึ้นเป็นราชาองค์ใหม่ปกครองนาคพิภพต่อจากราชาองค์ก่อนทันที นอกจากนั้นยังตั้งชื่อให้เขาว่า พญาเอรกปัตตนาคราช

พญาเอรกปัตตนาคราชหลังขึ้นครองราชย์แทนที่จะมีความสุขกับลาภยศสรรเสริญ เพราะเป็นถึงราชาแห่งนาคทั้งหลาย ที่ไหนได้เขากลับมิได้เป็นดังนั้น บ่อยครั้งที่นาคบริวารเห็นเขาเศร้าหมองไม่สดชื่นเหมือนที่ควรเป็น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเจ้าความสามารถพิเศษที่ระลึกชาติได้นั่นเองที่ทำให้เขาต้องเป็นเช่นนี้!

ทุกครั้งที่เขานึกถึงอดีตชาติขึ้นมาคราวใด จิตใจก็มักจักโศกเศร้าทุกครั้งไป เพราะทั้งๆที่เคยเกิดเป็นถึงมนุษย์ มิหนำซ้ำยังได้บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา แถมยังถือศีลปฏิบัติธรรมมานานถึงสองหมื่นปี แต่ไฉนเขาจึงมามีอัตภาพที่ต่ำต้อยด้อยค่าถึงปานฉะนี้ ต้องมาถือกำเนิดเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งถือเป็นชาติภพที่ต่ำทราม ห่างไกลจากมรรคผลนิพพานเป็นอย่างยิ่ง! ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ได้

เขามักจักถามตัวเองอยู่เนืองๆ จึงเป็นผลสืบเนื่องทำให้จิตใจต้องทุกข์ตรม มิเคยจะแช่มชื่นสุขสมเหมือนกับพญานาคตนอื่นเขา เขาเฝ้าแต่รอว่าเมื่อใดจึงจะมีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ที่ในโลกนี้เสียที วันนั้นคงจักเป็นวันที่เขามีความสุขมากที่สุด เขาจะเข้าไปกราบพระองค์ เขาจะขอให้พระองค์ทรงแสดงธรรมให้เขาฟัง เขาจะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมใหม่ เพื่อขจัดความเศร้าในใจให้หมดสิ้นไปให้ได้ แลความปรารถนาอื่นอีกมากมายที่เขาวาดฝันไว้

โดยหารู้ไม่ว่าการที่ตนถือกำเนิดเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้น แม้จักพากเพียรกระทำความดีเพียงใด หรือจักตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมเพียงไหน มันก็ไม่อาจทำให้เขาเข้าถึงซึ่งมรรคผลนิพพานได้ในขณะที่ยังมีอัตภาพเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ดอก! จะได้อย่างมากก็สวรรค์สมบัติเท่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้มันคือความหวังเดียวของเขา ที่จะทำให้เขามีพลังต่อสู้ชีวิตต่อไปได้!

จนวันหนึ่งเขาผุดความคิดว่า “โอ้หนอ! การที่เรามัวแต่รออยู่เพียงถ่ายเดียว คงมิเป็นการดีแท้ เพราะจักรู้อย่างไรเล่าว่าบัดนี้บนโลกมนุษย์ได้มีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้แล้วหรือไม่? อย่ากระนั้นเลย ควรจักขึ้นไปดูด้วยตาตนเองจึงจักเป็นการดีที่สุด!” เมื่อคิดดังนั้นเขาจึงชวนนางนาคมานวิกาผู้เป็นธิดาขึ้นมายังโลกมนุษย์โดยพลัน จากนั้นก็ไปลอยตัวแผ่พังพานแสดงกายให้เป็นที่ปรากฏต่อหน้าประชาชนใกล้กับชายฝั่งของคงคามหานที มีนาคเทวีแปลงกายเป็นหญิงงามยืนร้องเพลงอยู่บนเศียรอีกทีหนึ่ง เกิดเป็นภาพที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ ดึงดูดผู้คนให้มามุงดูกันจนเนืองแน่นไปทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำ เนื้อหาในเพลงที่นางนาคสาวขับขานนั้น เป็นคำถามปริศนาถามกับผู้คนรอบข้างว่า :

“ ผู้เป็นใหญ่เยี่ยงไรหนอ จึงได้ชื่อว่าพระราชา
พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงได้ชื่อว่ามีพระเศียรเต็มไปด้วยธุลี
พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงได้ชื่อว่ามีพระเศียรปราศจากธุลี
คนพาล มีพฤติการณ์เยี่ยงไรหนอ ”

สองพญานาคพ่อลูกเฝ้าถามผู้คนในทุกๆวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำอย่างนี้เรื่อยมา จนกาลได้ล่วงไปถึงหนึ่งพุทธันดร แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดตอบคำถามของนางได้ จนกระทั่งสมเด็จพระสมณโคดมบรมครูของเราท่านได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

วันหนึ่งก่อนอรุณรุ่งขณะที่พระองค์ทรงปฏิบัติพุทธกิจเหมือนเคย คือทรงเล็งพระญาณสอดส่องดูว่าเช้านี้จักมีสัตว์ตนใดบ้างเข้าข่ายบรรลุธรรม ทันใดนั้นพระองค์ก็ทรงเห็นภาพของบุรุษผู้หนึ่งนามว่า อุตร ปรากฏขึ้นในมโนทวาร บุรุษผู้นี้หลังจากฟังธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้วเขาจะบรรลุโสดาปัตติผล จากนั้นจักเป็นคนไปไขปริศนาที่นางนาคเทวีถามผู้คนมาเป็นเวลาช้านานแต่ไม่มีผู้ใดตอบได้ ให้กับประชาชนทั้งหลายได้ทราบคำตอบกัน ดังนั้นครั้นถึงปัจจุสมัยพระองค์จึงเสด็จไปประทับรออยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง อยู่ใกล้กับทางเดินก่อนจักลงสู่ฝั่งแม่น้ำ

จากนั้นไม่นานก็ปรากฏกลุ่มคนจำนวนมากทั้งชายแลหญิง กำลังมุ่งมายังที่ซึ่งพระองค์ประทับ บุคคลเหล่านี้ต่างก็ปรารถนาจักไปดูความแปลกประหลาดของพญานาคพ่อลูกที่กำลังทำการแสดงอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคานั่นเอง แหละในกลุ่มคนจำนวนนี้ ก็มีอุตรมานพร่วมทางมากับเขาด้วยผู้หนึ่ง ขณะขบวนกำลังจะผ่านโคนไม้ที่ประทับสมเด็จพระศาสดาได้ตรัสเรียกให้อุตรหยุดอยู่ก่อน บุรุษหนุ่มซึ่งกำลังเดินตามผู้คนพอได้ยินพระดำรัสจึงหันไปมอง ทันใดก็เห็นที่โคนไม้ต้นหนึ่งห่างจากทางเดินออกไปไม่มาก มีสมณรูปหนึ่งกำลังมองมาที่ตน ผิวพรรณจากที่เห็นนั้นช่างผ่องใสเสีย นี่กระไร กิริยาหรือก็ดูสงบสำรวม ชวนให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงเดินออกจากกลุ่ม คิดจะเข้าไปสนทนากับท่านสักหน่อย คงไม่น่าจะเสียเวลาเท่าใด

แต่เมื่อเข้าไปใกล้จนเห็นองค์ท่านเต็มตาเท่านั้น เขาก็ถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก เนื่องจากไม่คิดว่าสมณเบื้องหน้านี้จักเป็นพระโคดมที่ผู้คนเลื่องลือว่าทรงเป็นศาสดาเอกของโลกไปได้! ดังนั้นจึงรีบคุกเข่าก้มลงกราบทันที องค์บรมครูเมื่อทรงเห็นกิริยาอันนอบน้อมที่เขาแสดง จึงตรัสว่า “ ดูก่อนอุตร เธอจักไปยังที่ใดฤา? พอจักบอกให้เรารู้ได้มั้ย? ”

บุรุษหนุ่มเมื่อเห็นพระองค์ตรัสเรียกชื่อตนถูกก็ยิ่งอัศจรรย์ใจเข้าไปใหญ่ จึงละล่ำละลักกราบทูลว่า
“ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงประเสริฐกว่าใครในโลกหล้า ข้าพระบาทมีความประสงค์จักไปชมความครึกครื้นของผู้คน แลปรารถนาจักได้ยลโฉมของนางนาคมานวิกา ผู้ที่คนเลื่องลือว่างามราวเทพนารี ณ ริมฝั่งคงคามหานทีพระพุทธเจ้าข้า ”

สมเด็จพระชินสีห์ ครั้นได้ทรงสดับถ้อยพาทีของบุรุษหนุ่มก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นจึงทรงมีพระพุทธดำรัสตรัสกับเขาว่า “ ดูก่อนอุตร เมื่อเธอจักไปดูนางนาคมานวิการ้องเพลงถามปัญหาผู้คนก็ดีแล้ว อย่างนั้นเธอจงตั้งใจฟังกถาที่เราจักแสดงต่อไปนี้ให้ดี เพื่อเธอจักได้ไปตอบคำถามของนางได้ ”

อุตรมานพพอฟังดังนั้นจึงรีบพริ้มตาลง สงบจิตสำรวมใจ รอฟังพระธรรมเทศนาที่องค์จอมปราชญ์จักทรงแสดงโปรดทันที หลังจากที่สมเด็จพระชินสีห์ทรงแสดงธรรมจบเขาก็บรรลุโสดาปัตติผล กลายเป็นพระอริยบุคคล ณ ที่นั้นเอง จากนั้นได้อยู่สนทนากับพระองค์จนสมควรแก่เวลา แล้วจึงขอพระราชอนุญาตทูลลาจอมมุนีไปตอบคำถามของนางนาคมานวิกาเป็นลำดับต่อไป

เมื่อไปถึงชายฝั่ง ปรากฏสองฟากแม่น้ำเวลานั้นได้มีผู้คนจำนวนมากมามุงดูการแสดงของพญานาคพ่อลูกกันจนเนืองแน่นล้นหลาม จนไม่มีแม้แต่ช่องว่างจะให้เขาเบียดตัวเข้าไปได้ เพื่อจะเข้าไปตอบคำถามของนางนาคสาว เขาจึงกล่าวคำขอทางด้วยเสียงอันดังว่า

“ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพวกท่านโปรดจงเปิดทางให้กับข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าจักขออาสาเป็นตัวแทนปวงชนเข้าไปตอบคำถามของนางนาคเทวีนี้เอง เพื่อให้นางรู้ว่าคำถามที่ไม่มีผู้ใดตอบได้จากอดีตจวบจนปัจจุบัน บัดนี้มีผู้มีความสามารถแล้ว! ” บรรดาคนที่ออกันอยู่เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์ กล่าวคำพูดด้วยถ้อยคำอันฉาดฉาน ก็ให้รู้สึกประหลาดใจกันไปตามๆกัน แต่อย่างไรพวกเขาก็ยอมเปิดช่องให้อุตรได้ผ่านเข้าไปจนถึงชายฝั่งแม่น้ำ

เมื่อไปถึงชายน้ำบุรุษหนุ่มได้แหงนหน้าขึ้นสบตากับนางนาคสาว รอฟังคำถามจากนางอย่างมิได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด นางนาคเทวีผู้มีรูปโฉมโสภีราวเทพธิดา เมื่อเห็นบุรุษเบื้องหน้ามิได้แสดงอาการหวาดกลัวต่อศักดานุภาพแลฤทธานุภาพของนาคราช ก็นึกนิยม ในที จากนั้นจึงเอ่ยวจีเป็นบทเพลงร้องถามไป

นาคมานวิกา : “ ผู้เป็นใหญ่เยี่ยงไรหนอ จึงได้ชื่อว่าพระราชา? ”
อุตรมานพ : “ ผู้ที่ไม่ถูกอารมณ์ทั้งมวลอันมีรูปารมณ์เป็นต้นเข้าครอบงำทวารทั้ง ๖ จึงได้
ชื่อว่าพระราชา ”
นาคมานวิกา : “ พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงชื่อว่าพระเศียรเต็มไปด้วยธุลี? ”
อุตรมานพ : “ พระราชาใดที่ยังมีความรักใคร่พอใจในอารมณ์ต่างๆ ย่อมได้ชื่อว่ามี
พระเศียรเต็มไปด้วยธุลี ”
นาคมานวิกา : “ พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงชื่อว่าพระเศียรปราศจากธุลี? ”
อุตรมานพ : “ พระราชาใดที่ไม่มีความรักใคร่พอใจในอารมณ์ต่างๆ ย่อมได้ชื่อว่ามี
พระเศียรปราศจากธุลี ”
นาคมานวิกา : “ ผู้ได้ชื่อว่าพาล มีพฤติการณ์เยี่ยงไรหนอ? ”
อุตรมานพ : “ ผู้ใดยังมีความกำหนัดพอใจในอารมณ์ต่างๆอยู่ ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าพาล ”

คำถามที่นางเฝ้าถามผู้คนมาเป็นเวลาช้านานแต่ไม่เคยมีใครตอบได้ บัดนี้ได้ถูกบุรุษเบื้องหน้าเฉลยคำตอบออกมาได้อย่างถูกต้องฉะฉาน จนเกิดเป็นเสียงโห่ร้องทุกครั้งที่เขาตอบคำถามนาง ยัง ผลทำให้นางนาคสาวรู้สึกเสียหน้าแลขัดใจ ดังนั้นพอสิ้นเสียงร้องผู้คน นางจึงกล่าวกับชายหนุ่มว่า
“ ดูก่อนบุรุษหนุ่ม คำตอบที่ท่านเฉลยแม้จักถูกทั้งหมดก็จริง แต่ก็เป็นเพียงคำถามบทแรกเท่านั้น ทว่าจากอดีตจวบจนปัจจุบันก็ยังไม่เคยมีใครตอบได้เหมือนท่าน ในเมื่อท่านตอบคำถามบทแรกของเราได้ก็ดีแล้ว อย่างนั้นเราจักขอถามคำถามบทที่สองต่อท่านในเพลานี้เลยก็แล้วกัน แลจักขอดูซิว่าท่านยังจักมีความสามารถตอบคำถามบทที่สองของเราได้หรือไม่! ” ว่าแล้วนาคมานวิกาก็เอื้อนเอ่ยวาจาเป็นบทเพลงปริศนาบทที่สอง ถามต่ออุตรมานพทันที

นาคมานวิกา : “ อะไรหนอพาให้คนพาลลอยไปในวัฏสงสงสาร? บัณฑิตจักขจัดสิ่งนั้นได้ด้วย
อะไร? ผู้ที่ชื่อว่าเกษมจากโยคะ มีได้ด้วยอาการเยี่ยงไร? ”
อุตรมานพ : “ สิ่งที่พาให้คนพาลลอยไปในวัฏสงสารก็คือห้วงน้ำทั้ง ๔ อันได้แก่กามเป็นต้น
บัณฑิตย่อมตัดห้วงน้ำนี้ได้ด้วยความเพียรโดยชอบ บุคคลที่ชื่อว่าเกษมจากโยคะ
ก็เพราะจิตของเขาปราศจากซึ่งโยคะ ”

ทันทีที่สิ้นเสียงของบุรุษหนุ่ม ปรากฏมีเสียงฟาดหางโครมใหญ่ ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งคุ้งน้ำแถบนั้น ราวว่าแผ่นฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลายก็มิปาน ยังผลให้กระแสน้ำเกิดความปั่นป่วนรุนแรงจนก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์ พัดกระแทกชายฝั่งทั้งสองฟากแม่น้ำพังทลายลงไปในพริบตา บรรดาผู้ที่อยู่แถวหน้าเพราะอยากจักเห็นการแสดงให้ถนัดตา พอพื้นที่เหยียบอยู่ทรุดตัวลง ต่างก็ร่วงหล่นลงไปในสายน้ำเชี่ยวทันที ส่วนพวกแถวหลังที่ไม่อาจแทรกขึ้นไปได้ พอเห็นแถวหน้าประสบชะตากรรมอย่างไม่คาดคิด แต่ละคนต่างก็ไม่มีความคิดจะอยู่ดูการแสดงต่อ กลับหลังหันได้ก็โกยอ้าวแตกกระเจิงกันไปคนละทิศคนละทาง จนเกิดเป็นความสับสนอลหม่านไปทั่วทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำ

สาเหตุที่จู่ๆก็เกิดคลื่นยักษ์พัดเสียจนตลิ่งพัง ก็เพราะพญาเอรกปัตนาคราชเมื่อฟังคำตอบของอุตรมานพแล้วเขาเกิดความพลุ่งพล่านใจ จึงเผลอตนสะบัดแผ่นหางอันโตใหญ่ฟาดลงบนผืนน้ำ ยังผลทำให้กระแสน้ำเกิดความปั่นป่วนจนก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์นั่นเอง แต่พอเห็นผู้คนต่างกระเสือกกระสนว่ายน้ำหนีตายท้าวเธอก็พลันได้สติ จึงแผ่พังพานโอบเอาคนเหล่านั้นขึ้นไปไว้บนบกทันที จากนั้นก็แปลงร่างเป็นมนุษย์เดินเข้าไปหาบุรุษหนุ่มเพื่อจักถามเขาว่า ทราบคำตอบเหล่านี้มาได้อย่างไร

อุตรมานพได้เล่าที่มาของคำตอบให้ทราบ พร้อมกันนั้นก็เสนอตัวที่จักนำให้ทางหากเขาปรารถนาจักไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาค ยังความปลาบปลื้มใจให้กับพญานาคสองพ่อลูกเป็นอย่างยิ่ง บรรดาผู้คนเมื่อเห็นเหตุการณ์สงบก็เริ่มคลายจากความหวาดหวั่น พอเห็นบุรุษหนุ่มและพญานาคพ่อลูกออกเดินไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระศาสดา พวกตนซึ่งไม่มีกิจใดจักทำจึงไม่รอช้า รีบตามบุคคลทั้งสามไปทันใด

หลังเดินไปได้สักพักก็เห็นโคนไม้ที่ประทับปรากฏอยู่ไม่ไกล ท้าวนาคราชพอเห็นเขาจึงหยุดเท้าทันที จากนั้นก็ค่อยๆย่อตัวก้มลงกราบ พอกราบเสร็จก็ลุกเดินแยกกลุ่มไปยังร่มไม้อีกร่มซึ่งอยู่ห่างจากที่ประทับไม่มาก ปล่อยให้อุตรนำขบวนผู้คนไปเข้าเฝ้าแต่เพียงลำพัง ขณะที่ยืนอยู่ใต้เงาไม้สายตาของเขาก็เอาแต่จ้องพระพักตร์ของจอมมุนีแต่เพียงอย่างเดียว มิได้แลเหลียวหรือว่าเหลือบซ้ายมองขวาไปดูสิ่งใดทั้งสิ้น จ้องไปก็หลั่งน้ำตาไปจนเจิ่งนองไปทั้งใบหน้า สมเด็จพระชินสีห์เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นอากัปกิริยาของท้าวนาคราช พระองค์จึงทรงมีพระดำรัสตรัสถามเขาว่า

“ ดูก่อนนาคราช ท่านมีความเศร้าในเรื่องใดฤา ไฉนจึงเอาแต่หลั่งน้ำตา? ” พญาเอรกปัตตนาคราชพอฟังจึงกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ข้าพระบาทหวนนึกถึงอดีตชาติของตนขึ้นมาจึงร้องไห้พระพทุธเจ้าข้า เดิมทีข้าพระบาทเคยบวชเป็นภิกษุในศาสนาของสมเด็จพระกัสสปะพุทธเจ้าซึ่งก็ทรงพระคุณอันประเสริฐเยี่ยงเดียวกับพระองค์ ครานั้นข้าพระบาทได้กระทำความผิดไปโดยไม่ตั้งใจ เผลอไปเด็ดเอาใบตระไคร่น้ำขาดติดมือมาใบหนึ่ง แต่แทนที่จักรีบปลงอาบัติเสีย ที่ไหนได้กลับปล่อยเสียจนตนเองหลงลืม มานึกได้อีกทีก็ตอนจักสิ้นใจ ซึ่งมิอาจแก้ไขอันใดได้แล้ว ดังนั้นพอสิ้นชีพลงกรรมจึงส่งผลให้ข้าพระบาทมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตระกูลแห่งพญานาคพระพุทธเจ้าข้า

ข้าพระบาทปรารถนาจักได้ฟังธรรมมาเป็นเวลาเนิ่นนานนักหนา แต่พุทธันดรที่ผ่านมาก็ยังมิเคยจักได้สดับตรับฟังพระสัทธรรมเลย เพิ่งจักมีครั้งนี้นี่แลที่ข้าพระบาทได้มีโอกาสทอดทัศนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่ยังทรงมีพระสรีระร่างกายตัวตนจริงๆ ข้าพระบาทหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพระองค์จักทรงเมตตางสสาร แสดงพระธรรมเทศนาโปรดสัตว์เดรัจฉาน ผู้อาภัพอับวาสนาเยี่ยงข้าพระบาทแลธิดา นี้ด้วยพระพุทธเจ้าข้า! ”

สมเด็จพระชินสีห์ครั้นได้ทรงสดับถ้อยพาทีที่แสดงถึงความน้อยเนื้อต่ำใจของท้าวนาคราชแล้ว พระองค์จึงทรงเมตตาสงสารแสดงพระธรรมเทศนาโปรดเขาแลธิดา โดยเนื้อหาใจความที่แสดงนั้นหากจักสรุปโดยย่อก็คือ :

๑.) การเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งเป็นไปโดยยาก
๒.) การมีชีวิตอยู่จนสิ้นอายุขัยของสัตว์ เป็นสิ่งเป็นไปโดยยาก
๓.) การได้สดับตรับฟังพระสัทธรรม เป็นสิ่งเป็นไปโดยยาก
๔.) การอุบัติของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งเป็นไปโดยยาก

ครั้นสมเด็จพระศาสดาทรงแสดงธรรมจบบรรดาผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็พากันบรรลุคุณธรรมกันเป็นจำนวนมากในสายของวันนั้นเอง ฝ่ายพญาเอรกปัตตนาคราชทั้งๆที่ตนเป็นผู้ปรารถนาจักเห็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคยิ่งกว่าผู้ใด มิหนำซ้ำยังมีใจเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงสุด ทว่าเขาแลธิดากลับมิได้ประโยชน์ใดๆจากการเทศนาครั้งนั้นเลย เนื่องจากตนนั้นถือกำเนิดเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งถือว่าเป็นชาติภพที่ต่ำทรามอาภัพอับวาสนา ไม่มีปัญญาจักเข้าใจในหลักธรรมคำสอนที่ลึกซึ้งได้ ดังนั้นจึงได้แต่หลั่งน้ำตาอำลาพระศาสดากลับไปยังบาดาลพิภพ ใช้ชีวิตของตนต่อไป ตามยถากรรม .

จากเรื่องที่นำมาเล่าคงเห็นแล้ว ทุคติภูมิอย่างภูมิเดรัจฉานแม้สัตว์ตนนั้นจะมีฤทธิ์เดชเพียงใดหรือมีศักดานุภาพเพียงไหน แต่เขาก็หาได้มีปัญญาขจัดทุกข์ออกไปจากจิตใจของตนได้ตราบใดที่เขายังมีอัตภาพเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่! ฉะนั้นหากผู้ใดไม่ปรารถนาจักไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภูมินี้ ก็ขอจงรีบหมั่นสร้างแต่คุณงาม หมั่นกระทำแต่ความดีให้มากเข้าไว้ ตายไปจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงๆ จะได้ไม่ต้องมาทนโศกาอาดูรเหมือนกับพญานาคราชตนนี้ .

ด้วยความปรารถนาดี

สืบ ธรรมไทย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2022, 23:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร