วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 15:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2012, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

น ร ก - ส ว ร ร ค์ มี จ ริ ง ห รื อ ไ ม่...
ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของนักเผยแผ่หรอกหรือ...?
พระธรรมเมธาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ) วัดบวรนิเวศวิหาร

เรื่องนรก สวรรค์ เป็นเรื่องที่ท่านผู้ได้บรรลุญาณ ที่เรียกว่า จุตูปปาตญาณ
คือ ญาณที่ทำให้ทราบการเกิด ความแตกต่างของสัตว์ทั้งหลายว่า มีได้เพราะอะไร

ท่านเห็นความมีอยู่ของนรกสวรรค์ด้วยทิพยจักขุ คือ ตาทิพย์
ซึ่งความรู้เหล่านี้จะเกิดขึ้น ก็ต้องได้ อภิญญา ซึ่งแปลว่า ความรู้อันยิ่ง
ไม่ใช่วิสัยของคนธรรมดาจะรู้ได้
เหมือนกับการรับภาพในอากาศ การฟังเสียงจากที่ไกล
เป็นวิสัยของเครื่องรับโทรทัศน์ และวิทยุ ตามลำดับ

ปัจจุบัน ใครๆ ไม่อาจปฏิเสธว่า ในบรรยากาศมีเสียง
กล่าวถึงเรื่องต่างๆ จากภายในประเทศบ้าง
แต่ถ้าเขาไม่มีวิทยุ เขาก็ไม่อาจจะทราบเสียงนั้นได้
เมื่อต้องการจะทราบฉันใด เรื่องของนรก สวรรค์ ก็มีลักษณะฉันนั้น

การถกเถียงในปัจจุบันนี้
เป็นเรื่องของคนที่ถกเถียง

รสว่าอร่อยไม่อร่อยด้วยหู

รูปภาพ
[เทพเจ้าทุกชั้นฟ้าชุมนุมกันอัญเชิญเทพบุตรโพธิสัตว์
ให้จุติมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า]



แทนที่จะพิสูจน์ด้วยลิ้นซึ่งเถียงกันอย่างไรก็ได้
แต่หาข้อยุติไม่ได้

เรื่องนรกสวรรค์ก็เหมือนกัน การรู้การเห็น นรกสวรรค์
เป็นวิสัยของญาณและทิพยจักษุ
เมื่อไม่มีเครื่องมือสองประเภทนี้
ก็ต้องเถียงกันด้วยโวหารที่ไม่มีทางจบสิ้น
เป็นการเสียเวลาโดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

ที่สำคัญคือ เรื่องนรกสวรรค์ เป็นเรื่องของผลแห่งกรรม
อันถือว่าเป็นอจินไตย คือ ไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิดเอา
แต่จะทราบได้ด้วยการลงมือปฏิบัติ
ดูเหมือนการทราบชัดรสอาหาร ด้วยการบริโภคฉะนั้น


เมื่อเป็นเช่นนี้ เราควรจับหลักอะไร?

ก็ต้องอาศัยตถาคตโพธิสัธทา
คือเชื่อพระปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
เพราะเรื่องนี้พระองค์ทรงรู้ เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว
หาได้รู้เมื่อยังครองเรือนอยู่ไม่
พระพุทธเจ้านั้นทรงมีหลักในการสอนธรรม ๓ ประการ ข้อที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ

“ทรงแสดงธรรม เพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่ง เห็นจริง ในสิ่งที่เขาควรรู้ควรเห็น”

ในเรื่องที่ทรงแสดงนั้น มีเรื่องนรก สวรรค์ อยู่ด้วย
แสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรรู้ควรเห็น

เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้นั้น
มีมากมายสุดจะนับจะประมาณได้
แต่ข้อที่นำมาสั่งสอนนั้น
อุปมาเหมือนใบไม้กำมือเดียวจากใบไม้ในป่าเท่านั้น
และในใบไม้กำมือเดียวนั้น
มีเรื่องนรกสวรรค์รวมอยู่ด้วย

เรืองเหล่านี้ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งชั้นบาลี อรรถกถา
และตำรารุ่นหลังเป็นอันมาก
จนคนผู้ทราบประมาณแห่งความรู้ตน ไม่อาจจะปฏิเสธได้

“อาจจะมีปัญหาว่า การเชื่อถือในลักษณะนี้
จะไม่เป็นการเชื่อในลักษณะนี้
จะไม่เป็นการเชื่อเพราะอ้างตำราหรอกหรือ?


เพราะในกาลมสูตร ห้ามมิให้เชื่อโดยอ้างตำรา มิใช่หรือ?

ปัญหาก็จะติดตามมาว่า

ก็กาลมสูตรเองเล่าก็มิใช่เป็นตำราเองด้วยหรือ?
เมื่อเป็นตำรา แม้กาลมสูตรเองก็ต้องเชื่อไม่ได้ด้วยซิ


ในที่สุดก็จะเกิดปัญหาวัวพันหลักขึ้นมา หมุนวนกันไปหาจุดจบไม่ได้

รูปภาพ
[ภาพจิตรกรรม : องค์อมรินทราธิราช
(ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์) ทรงช้างเอราวัณ]



(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2012, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
[ภาพจิตรกรรม “ไตรภูมิ ๑” สร้างสรรค์โดยนายบุญเพ็ง จวบศรี
: ศิลปินผู้พิการแขน ๒ ข้าง จาก มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย]



ในชั้นนี้ขอให้ข้อสังเกตเพียงว่า
แหล่งแห่งความเชื่อของคนเรานั้น อาจจำแนกได้ดังนี้

๑. ประจักษ์ประมาณ

คือ เชื่อเพราะได้เห็น ได้ยิน ได้สูดดม ได้ลิ้ม ได้จับต้อง
ได้รู้ด้วยตนเอง แล้วเกิดความเชื่อขึ้นมา

๒. อนุมานประมาณ

รู้ด้วยการอนุมาน คือการคาดคะเนเอาว่า
เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
เช่นเราเคยเห็นควันเกิดจากไฟ
ต่อมาเห็นเฉพาะควัน ไม่เห็นไฟก็อนุมานได้ว่า
ที่ตรงนั้นต้องมีไฟ เพราะที่ใดมีควันที่นั้นมีไฟ

๓. ศัพทประมาณ

คือการศึกษาจากหลักฐานต่างๆ เช่น ตำราโบราณคดี เป็นต้น

ให้สังเกตว่าแหล่งแห่งความเชื่อเหล่านี้
ไม่ใช่ข้อยุติว่าจะต้องถูกต้องเสมอไป


จำเป็นจะต้องใช้ปัญญา เข้าพิจารณาเสียก่อนทั้งนั้น
ตามที่ท่านแสดงว่า บุคคลไม่ควรเชื่อด้วยเหตุ ๑๐ ประการ
ซี่งมักจะเผยแพร่กันแบบไม่ตลอดสายอยู่เสมอนั้น


พระพุทธเจ้าทรงมุ่งไปที่ประเด็นว่า

“ไม่ควรเชื่อเพียงเพราะเป็นตำรา” เป็นต้น

แต่โดยหลักแห่งปฏิบัติแล้ว ให้นำแหล่งแห่งความรู้ เหล่านั้นเอง
ไปพินิจพิจารณาด้วยเหตุผลสติปัญญา จึงจะเชื่อในเรื่องนั้นๆ

รูปภาพ
[จักรวาล และเขาพระสุเมรุ ในคติไตรภูมิ : ภาพจากสมุดข่อยสมัยอยุธยา
ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร www.finearts.go.th]



สำหรับบางคนที่อ้างว่า ตนไม่รู้ ไม่เห็น ตนไม่เชื่อนั้น
นอกจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว

ข้อที่ไม่ควรลืมว่า การที่บุคคลผู้นั้นยอมรับว่า

ท่านผู้นั้นเป็นพ่อและตน เป็นแม่ของตน เป็นต้นนั้น
ไม่ได้เชื่อเพราะเห็น ด้วยตา เชื่อเพราะท่านบอก
และคนอื่นบอกว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้กับตน
และตนอนุมานจากพฤติกรรม
ที่ท่านแสดงวิญญาณของแม่เท่านั้น เพราะอะไร?

เพราะว่า เราไม่ได้รู้เห็น
ตอนที่ท่านเกิดเรามา ด้วยสายตาของเราเอง
จึงต้องเชื่อด้วยวิธีที่สองและที่สาม

เรื่องนรกสวรรค์จึงเหมือนคนที่เคยที่ขึ้นไปบนยอดเขาหิมาลัย
มาเล่าถึงความสวยงามของภูเขา และทิวทัศน์
ที่ตนได้เห็นมาบนภูเขาหิมาลัย

ซึ่งผู้ฟังทำได้ ๒ ประการ คือ

๑. เชื่อตามที่เขาบอกไห้ทราบ เพราะเขาไปรู้เห็นมาด้วยตนเอง

๒. ขึ้นไปดูในภูเขาในจุดที่เขาบอกว่า เขาเห็นสิ่งนั้น สิ่งนี้


“หากจะปฏิเสธไปเลยว่า เขาโกหกได้มั้ย”

“ไม่ได้หรอก ทำยังงี้ก็เสียเชิงนักวิทยาศาสตร์แย่นะซิ”
เพราะนักวิทยาศาสตร์นั้น เขามีหลักสำคัญอยู่ที่ว่า


“จะไม่ยืนยันหรือปฏิเสธอะไร ในเรื่องที่ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ทดสอบ”

แต่การพิสูจน์ทดสอบอะไรก็ตาม
ต้องพิสูจน์ด้วยเครื่องมือและกรรมวิธีเฉพาะเรื่องนั้นๆ
ไม่ใช่จะเอากล้องจุลทรรศน์ดูไปเสียทุกเรื่องนะ


รูปภาพ
[นรกภูมิ ขุม “โลหะสิมพลีนรก” สำหรับผู้กระทำผิดศีลข้อ ๓
คือ ข้อกาเมสุมิจฉาจาร คือล่วงประเวณี ประพฤติผิดลูกผิดเมีย
และผิดสามีของผู้อื่น ซึ่งเป็นที่รักที่หวงแหนของผู้ที่เป็นเจ้าของ]


รูปภาพ
[นรกภูมิ : พระยายมราชและนายนิริยบาลกำลังไต่สวนผู้ที่ตายไปแล้ว
โดยมีบัญชีเล่มใหญ่ไว้ตรวจสอบดูรายละเอียดว่า
ผู้นั้นเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เคยสร้างบุญกุศลใดไว้บ้าง]



(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2012, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
[ภาพจิตรกรรม “ไตรภูมิ ๒” สร้างสรรค์โดยนายบุญเพ็ง จวบศรี
: ศิลปินผู้พิการแขน ๒ ข้าง จากมูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย]



อย่างไรก็ตามเรื่องนรก-สวรรค์นั้น เท่าที่พบทรงมีวิธีแสดงหลายวิธี คือ

๑. แสดงถึงภพหรือภูมิ ที่คนสัตว์จะต้องไปเกิดตามสมควร

เรียกว่า ปรโลก คือ โลกอื่น ตรงกันข้ามกับโลกนี้ ที่เรียกว่า อิธโลก

๒. แสดงในรูปของกรรมที่บุคคลกระทำแล้ว
จะนำให้เขาอุบัติในคติภพนั้นๆ


เช่น ทรงแสดงอานิสงส์ คือผลอันเกิดขึ้นจากการการทำความดี
มีการให้ทาน รักษาศีล มีศรัทธา เมตตา เป็นต้น

จะจบลงด้วยคำว่า ตายแล้วไปบังเกิดในสุคติ
หรือคติหากการะทำตรงกันข้าม
หรืออย่างที่รับสั่งปรารถคน ๔ คน ผู้มีการกระทำแตกต่างกัน ได้ตายไปว่า

คพภเมเก อุปปชชนฺติ นิรยํ ปาปกมฺมิโน
สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ ปรินิพพฺพนฺติ อนาสวา

คนทั้งหลายบางพวกย่อมเกิดในครรภ์
ผู้มีบาปกรรมย่อมเข้าถึงนรก
ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติ ย่อมไปสวรรค์
ท่านผู้ไม่มีอาสวะย่อมปรินิพพาน


๓. ทรงแสดงในรูปของธรรม
อันเป็นเหตุในคนไปบังเกิดในนรกและสวรรค์
เช่น

น หิ ธมฺโม อธมฺโม จ อุโภ สมวิปากิโน
อธมฺโม นิรยํ นติ ธมฺโม ปาเปติ สุคติ

ธรรมและอธรรมทั้งสอง หามีวิบากเสมอกันไม่
อธรรมนำไปสู่นรก ธรรมยังบุคคลให้ถึงสุคติ


รูปภาพ
[วิมานของจาตุมหาราชิกา : ภาพจากสมุดข่อยสมัยอยุธยา
ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร www.finearts.go.th]



๔. ทรงแสดงในรูปของนรก สวรรค์ ที่บุคคลจะประสบ
ด้วยการกระทำของตนในปัจจุบัน


เช่น มีฐานะร่ำรวย อยู่เย็นเป็นสุขเป็นสวรรค์
ทำผิดติดคุกประสบความเดือดร้อนเป็นนรก

๕. แสดงในรูปของการเป็น พรหม สัตว์ นรก เปรต
ด้วยการปฏิบัติตามธรรมและอธรรม


เช่น เป็นเทวดาเพราะมีหิริโอตัปปะ
เป็นพรหม เพราะมีพรหมวิหารเป็นต้น

๖. แสดงในรูปของความรู้สึกด้านจิตโดยเฉพาะ

เช่น สุขกาย สบายใจเป็นสวรรค์ กลัดกลุ้มเดือดร้อนใจเป็นนรก

๗. สำหรับคนที่ไม่สมัครใจจะเชื่อ
จะด้วยเหตุผลอย่างไรก็ตาม
ให้ยึดหลักการทำความดีเอาไว้


เมื่อตายไปหากสวรรค์ นรก ไม่มีอยู่จริง
ตนก็อยู่อย่างไม่มีเวรมีภัยในปัจจุบัน
หากสวรรค์นรกมีตนก็จะได้บังเกิดในสวรรค์

หากกระทำความชั่วแล้ว
แม้ว่าจะตายไปไม่มีนรกสวรรค์
ตนก็จะได้รับความเดือดร้อนที่เห็นได้ในปัจจุบัน

หากสวรรค์นรกมีก็ต้องตกนรก

การทำความดีในปัจจุบัน
อย่างน้อยที่สุดจะได้รับความสุขในโลกนี้
เมื่อมีนรกสวรรค์ในโลกหน้า
ก็ได้บังเกิดในสวรรค์อีก
เป็นการได้ถึงสองชาติ


แต่ผู้กระทำทำความชั่วกลับตรงกันข้าม
คือต้องเดือดร้อนในโลกนี้เป็น
อย่างน้อย หากนรกสวรรค์เกิดมีเข้า
ก็เดือดร้อนทั้งสองโลก


วิธีการแสดงเรื่องนรกสวรรค์ ตามที่กล่าวมานี้
จะพบว่าผลจะออกมาในลักษณะเดียวกัน

ใครจะเชื่อระดับใดก็ตาม
หากต้องการความสุขก็ต้องทำดีหนีความชั่ว
ผลจะเกิดขึ้นให้พิสูจน์ได้ทั้งในปัจจุบัน
แลด้วยญาณของท่านผู้รู้


ให้สังเกตว่า การตกนรกหรือขึ้นสวรรค์นั้น
เป็นการใช้คำว่า “ตก” และ “ขึ้น” แห่งระดับจิตของบุคคล
คือยกจิตจากกระแสอธรรม และขึ้นสู่กระแสธรรม


เมื่อจับจุดนี้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์
หรือถกเถียงกันให้เสียเวลา
เพราะถึงจุดหนึ่งแล้วตนจะรู้เอง


ขอเพียงยึดมั่นในการยกระดับจิตของตนให้สูงไว้ก็พอแล้ว

รูปภาพ
[นรกภูมิ สำหรับผู้ที่ขาดเมตตาธรรม มีจิตใจโหดเหี้ยมทารุณ
ได้แก่ ทำลายล้างผลาญ บีดบี้บีฑากันประหัตประหารเหมือนผัก
เหมือนปลา โดยถือว่าตัวเองมีอำนาจ มีอิทธิพล มีพลกำลังจึงประหาร
หรือเบียดเบียนรังแกผู้ที่มีกำลังน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกสัตว์ที่มีคุณมาก]


รูปภาพ
[นรกภูมิ สำหรับผู้ที่มักพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ
พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้ความจริง หรือมักใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นก็เหมือนกัน
ตลอดทั้งผู้ที่มักโกหกหลอกลวง ด่าว่าบิดามารดา ครูบาอาจารย์
แม้การดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทสถาบันชาติ ศาสนา และ
สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือว่ามีพระคุณใหญ่หลวง]



(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2012, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
[พระพุทธองค์เสด็จกลับมาประทับโคนต้นต้นอชปาลนิโครธหรือต้นไทร
ด้วยทรงท้อพระทัยในอันโปรดสัตว์ ท้าวสหัมบดีพรหมจึงพร้อมด้วยเทวาคณานิกร
ลงมากราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรม]



การจะทราบชัดในเรื่องนี้ได้จริงๆ นั้น
นอกจากจะทราบด้วยญาณดังกล่าวแล้ว อีกวิธีหนึ่งคือ

“จะทราบชัดด้วยตัวเอง เมื่อตนตายไปแล้ว”

การรอคอยพิสูจน์วิธีนี้ หากทำความดีไว้ก็ไม่เสียหาย
แต่ถ้าทำความชั่วมากๆ ก็ออกจะเสี่ยงเอาการทีเดียว ทางที่ดีแล้ว คือ

“เพียรพยายามสร้างความดีในปัจจุบันให้มากๆ ไว้เป็นการปลอดภัยที่สุด”

สำหรับประเด็นที่ว่า

“ไม่ใช่เป็นเครื่องมือนักเผยแผ่หรือ?” นั้น

ออกจะเป็นการกล่าวหาที่ไร้เหตุผลเอามากทีเดียว

“ทำไมจึงได้กล่าวเช่นนั้น”

เพราะว่าเรื่องนรกสวรรค์นี้
เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย
ท่านรู้เห็นด้วยญาณ และได้แสดงแก่ชนทั้งหลาย
ในฐานะที่เป็นเรื่องควรรู้ควรเห็นประการหนึ่ง

พระพุทธเจ้านั้นทรงแสดงเรื่องนี้ด้วยพระมหากรุณาแก่สัตว์โลก
พระทัยที่เต็มเปี่ยมด้วยพระบริสุทธิคุณ
ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของพระองค์
แต่ทรงทำเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข
แก่สรรพสัตว์ พระอรหันต์ทั้งหลายก็มีนัยเดียวกัน


พระสงฆ์ทำงานเผยแผ่นั้น
ท่านไม่มีความรู้อะไรเป็นส่วนตัวของท่าน
แต่ท่านรู้เพราะการได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ท่านทำงานที่ทำไปตามหน้าที่ของท่านที่กำหนดไว้ว่า

“พระสงฆ์คือหมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
และสอนบุคคลอื่นให้ปฏิบัติตามด้วย”


หากจะถามว่า

“ปฏิบัติตามซึ่งอะไร?”

คำตอบคือ

“ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า”

เวลาพระเทศน์ทุกครั้ง จะมีคำว่า

“บัดนี้จะแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า”

ก่อนทุกครั้ง เพื่อบอกให้ทราบว่าที่จะกล่าวต่อไปนี้
ไม่ใช่คำสอนของท่านนะ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
พระสงฆ์จึงทำหน้าที่เหมือนราชทูตอ่านพระราชสาส์น

และในการสอนนี้เอง
มีหน้าทึ่ซึ่งกำหนดไว้ว่า เป็นหน้าที่ของพระคือ

“บอกทางสวรรค์ให้แก่ชาวบ้าน”

ที่ว่าเป็นเครื่องมือ
จึงไม่ทราบว่าเป็นเครื่องมือ ในทางแสวงหาผลประโยชน์จากอะไร?


เพราะถ้าเรื่องนี้นักเผยแผ่สร้างขึ้นมาเอง
นักเผยแผ่ก็กล่าวมุสา
อันเป็นเหตุอย่างหนึ่งให้ตกนรก
นักเผยแผ่ไม่กลัวนรกหรือ?

ที่ไม่ควรลืมคือ เรื่องนรกสวรรค์นั้น
เป็นเรื่องที่จะต้องรู้ได้ชัดด้วย จุตูปปาตญาณ หรือ ทิพยจักษุ


การอธิบายเรื่องนรกสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ใครจะเอาเรื่องอธิบายยากมาสอนให้ลำบากเลย
ในเมื่อเรื่องง่ายๆมีมากมายก่ายกอง
อธิบายเรื่องนั้นไม่ดีกว่าหรือ

:b8: :b8: :b8:

หมายเหตุ : บทความเรื่องนี้ ประพันธ์ไว้เมื่อครั้ง
พระธรรมเมธาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ) ยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระโสภณคณาภรณ์


:b8: :b8: :b8:

(ที่มา : ตอบปัญหาทางพระพุทธศาสนา-๒ โดย พระโสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ)
วัดบวรนิเวศวิหาร, พิมพ์เผยแผ่เพื่อเป็นพุทธบูชา และธรรมบรรณาการ พ.ศ. ๒๕๒๒, หน้า ๑๓๘-๑๔๙)


:b47: รวมคำสอน “พระธรรมเมธาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=47886


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2018, 09:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 702

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุนะครับ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2019, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b8: :b8: :b8: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2019, 09:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2013, 10:07
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2019, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2007, 13:49
โพสต์: 1012


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2019, 12:49 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร