วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 19:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2013, 23:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2013, 19:15
โพสต์: 109

แนวปฏิบัติ: มีสติทุกอริยาบท
งานอดิเรก: ปฎิบัติธรรม ฟังธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ความไม่ประมาท
ชื่อเล่น: ธรรม
อายุ: 0
ที่อยู่: วัฎฎะสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


ดร. สตีเวนสัน http://en.wikipedia.org/wiki/Ian_Stevenson ได้เล่าเรื่องการระลึกชาติได้ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศศรีลังกา เป็นชีวิตของเด็กชายผู้หนึ่งมีนามว่า “เอช เอ วิรัตนี” เกิดที่ตำบลอุคคัลโตตะลังกา เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๐

เป็นบุตรที่รักของ นายเอช เอ ติเลรัตนี ฮามี” และ “นางรัตรัน ฮามี” ตั้งแต่แรกกำเนิด ปรากฏว่ามีรอยเหมือนแผลเป็นอยู่ที่หน้าอกเบื้องขวา ใต้กระดูกไหปลาร้า เป็นรอยบุ๋มลงไปประมาณ ๒ นิ้ว และแขนขวาของเด็กผู้นี้ลีบพิการ แขนข้างขวาสั้นกว่าแขนข้างซ้ายซึ่งเป็นแขนดี แขนขวาลีบเล็กกว่าธรรมดาครึ่งหนึ่ง และนิ้วมือของมือขวาพิการอีกด้วย คือ ทุกๆนิ้วมือของมือข้างขวาสั้นกุด มีข้อเพียงข้อเดียว นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนางติดกันด้วย มีหนังยึดไว้ ส่วนนิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยแยกออกได้

นายวิชรัตนี ใช้มือขวาเพียงจับปากกาหรือดินสอเขียนหนังสือได้เท่านั้น แต่จะใช้งานหนักกว่านี้ไม่ไหว ดร.สตีเวนสัน สอบถามเรื่องนี้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ เด็กชายวิชรัตนีอายุได้ ๒ ขวบเศษ เดินได้ก็มักจะพูดกับตัวเองอยู่บ่อยๆ มารดาเห็นผิดสังเกตก็ฟังดู ได้ยินเสียงบ่นว่าที่แขนขวาพิการ ก็เพราะเมื่อชาติก่อนได้ฆ่าเมียไว้ เด็กก็ได้กล่าวถึงเรื่องราวที่ได้ฆ่าภรรยาไว้มากมาย ซึ่งนางไม่เคยรู้เรื่องเลย จึงได้สอบถามสามีดู

“นายเอช ติรัตนี” จึงได้บอกว่า เด็กคงจะเล่าถึงชาติก่อนเรื่อง นายรัตรัน ฮามี ผู้เป็นน้องชายของนายเอช เอ ติเรรัตนี ได้ฆ่าภรรยาของตน ต้องโทษประหารชีวิต เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ แล้วมาเกิดเป็นเด็กนี้ นายติเลรัตนีเล่าว่า แกได้เคยบอกภรรยาตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ ว่า “น้องชายมาเกิดเป็นลูก”

เพราะสังเกตเห็นว่า เด็กคนนี้หน้าตาเหมือนนายรัตรัน และผิวคล้ำเหมือนนายรัตรัน ส่วนบุตรคนอื่นๆ นั้นผิวค่อนข้างขาวแต่นางไม่สนใจ มาได้ยินเด็กเล่าถึงชาติก่อน จึงได้ถามสามีขึ้น ภริยานายติเลรัตนีไม่เคยรู้เรื่องน้องชายของสามีฆ่าคนและถูกประหารชีวิตมาก่อนเลย เพราะนางแต่งงานกับนายติเลรัตนี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗ หลังจากเรื่องฆ่ากัน ๘-๙ ปี ที่เกิดเหตุก็ห่างไกลจากบ้านนางมาก นางไม่เคยได้ยินเรื่องราวเลย ทั้งสามีเองก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลย

เด็กชายวิชรัตนีชอบพูดเรื่องชาติก่อนมาก บิดาห้ามไม่ให้พูดก็ไม่มีใครฟัง บางทีก็พูดคนเดียว แต่ชอบพูดเมื่อคนมาทักเรื่องแขนพิการ เด็กเล่าให้มารดาฟังเป็นตอนๆ วันนี้พูดถึงตอนหนึ่ง วันต่อๆ ไปก็พูดถึงตอนอื่นๆ แม้มารดาคะยั้นคะยอเธอไม่ให้พูด เด็กก็ชอบพูด เมื่อเด็กอายุได้ ๕ ขวบ ความทราบถึงพระภิกษุ “อนันท์เมตไตรยะ” ศาสตราจารย์ฝ่ายพุทธปรัชญาวิทยาลัยวิทยาบังกาปริเวณะ เมืองโคลัมโบ ได้สอบถามเรื่องราวประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๙๔-๒๔๙๕ ต่อจากนั้นเมื่อเด็กอายุได้ ๕ ขวบเศษ ก็ค่อยๆ เลิกพูดถึงเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ ในอดีตชาติก่อน เว้นแต่เมื่อใครทักถามขึ้น จึงจะเล่าให้ฟัง

ชาติก่อน เด็กชายวิชรัตนี เป็นน้องชายนายติเลรัตนี ซึ่งเป็นบิดาของ ดช.วิชรัตนี ชื่อ “นายรัตรัน ฮามี” เป็นชาวนาอยู่ที่ตำบลอุคคัลโตตะ มีภริยาแล้ว ภรรยาตายตกเป็นพุ่มหม้าย เด็กชายวิชรัตนีจำชื่อภรรยาคนที่ตายไม่ได้ ต่อมาเขาได้เข้าสู่พิธีแต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ “โพธิมฌิเก” อยู่ตำบลนาวเนสิยะ มีพิธีแต่งงาน ณ บ้านเจ้าสาวแล้วได้เกิดฆาตกรรมที่บ้านเจ้าสาวนี้

เด็กชายวิชรัตนีบอกกับบิดาว่า ตนได้ฆ่าภรรยาด้วยมือของเขาเอง ความจริงจะใช้คำว่าภรรยาไม่ถูกนักเพราะพิธีแต่งงานยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ ด้วยยังไม่ได้ส่งตัวเจ้าสาว ฝ่ายเจ้าสาวขออยู่ที่บ้านเดิม ไม่ไปอยู่กับเจ้าบ่าว ใกล้เวลาส่งตัว เจ้าบ่าวได้ไปยังบ้านเจ้าสาวอ้อนวอนให้เจ้าสาวไปอยู่กับเขาที่บ้าน ฝ่ายเจ้าสาวนั้นไม่ยอม นางต้องการจะไปอยู่ที่บ้านของตนเท่านั้น


เจ้าบ่าวสงสัยว่า เจ้าสาวคงมีคู่รักติดพันเป็นชายอยู่ในบ้านของนางเองชื่อ “โมหัตติ ฮามี” และสงสัยว่าชายผู้นี้คงจะยุแหย่ไม่ให้นางไปอยู่กับเขา เมื่อนางปฏิเสธ เขาก็เดินกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างประมาณ ๘ กิโลเมตร มาถึงบ้านเขาก็เอากริชไปลับที่หลังบ้านใต้ต้นส้ม แล้วกลับมายังบ้านนาง

เด็กชายวิชรัตนี ยังชี้ไปที่ที่ตนลับกริชให้มารดาดู ก่อนจะไปฆ่าเจ้าสาว เขายังขอยืมเงินพี่ชายจำนวน ๕๐ รูปี ไปใช้หนี้สร้างบ้าน ซึ่งเขาเป็นหนี้อยู่ให้เสร็จสิ้นไปมาถึงบ้านเจ้าสาวมองเห็นชายซึ่งเขาคิดว่าเป็นคนรักของเจ้าสาวเขาคิดว่า “เพราะเจ้าคนนี้นี่เองเจ้าสาวจึงไม่ไปอยู่กับเขา”

เขาจึงตรงเข้าไปแทงเจ้าสาวที่เหนืออกข้างขวา เขาถูกชายผู้นั้นทุบตีด้วย ในการต่อสู้คดีเขาสู้ได้ว่าเกิดทะเลาะวิวาทต่อสู้กันขึ้น โดยฝ่ายเจ้าสาวเป็นผู้ก่อเหตุก่อน เพื่อนของเจ้าสาวเป็นผู้จับตัวไว้ไม่ให้หนี เขาจึงเกิดโทสะแทงนางโดยมิได้ตั้งใจจะแทงนางเลย ฝ่าเจ้าสาวให้การว่าเขาเป็นผู้แทงนางก่อน แล้วพวกของนางจึงรุมกันเข้าตีเขา ศาลรับฟังฝ่ายโจทก์ พิพากษาให้ประหารชีวิตให้ตายตกไปตามกัน พอศาลพิพากษาแล้ว นายติเลรัตนีก็ไปเยี่ยมน้องชายเขา เขาบอกว่าเขาไม่กลัวตายหรอก เขารู้แล้วว่าจะต้องตาย เขาเป็นห่วงแต่พี่ชายเท่านั้น นายติรัตนีบอกว่าน้องชายเป็นคนว่าง่าย


เรื่องที่ฆ่าเจ้าสาวของตนนั้น ด.ช. วิชรัตนีบอกว่า ตอนนั้นเคืองมาก อดใจไม่ไหว ไม่เคยคิดถึงโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ เด็กบอก ดร.สตีเวนสันว่า ที่ถูกแขวนคอนั้นศาลตัดสินถูกต้องแล้ว ส่วนเรื่องเหตุผลที่ฆ่าภรรยาเป็นการถูกต้องสมควรหรือไม่ แม้ชาตินี้เขาก็คิดว่าที่ฆ่าผู้หญิงผู้ไม่ตามสามีไป เป็นการถูกต้องแล้วเด็กได้เล่าว่า

“ก่อนที่เขาจะถูกแขวนคอตามคำพิพากษา ๕ วัน พี่ชายของเขา คือ นายเอช เอ ติเลรัตนี ได้ทำบุญให้แก่เขา”

เด็กจำได้ว่ามีการเลี้ยงพระจำนวน ๑๐ องค์ ตอนที่เขาทำบุญเลี้ยงพระให้เขานี้ให้เอง เขาได้บอกกับพี่ชายว่าเขาจะกลับมาเกิดอีก จะมาเกิดเป็นลูกชายของพี่ตอนถูกประหารชีวิตนั้น เด็กได้เล่าให้ฟังดังนี้ ก่อนการแขวนคอเขาตอนหนึ่งว่า


“ต้องมีการชั่งถ่วงกระสอบทราย ณ ที่ตะแลงแกง”

ซึ่งเรื่องนี้ปรากฏเป็นความจริง เพราะก่อนการชีวิตหนึ่งวัน ต้องมีการทดสอบความเหนียวของเชือก และความแข็งแรงของขื่อ โดยวิธีการ เอาทราย ๑ กระสอบแขวนขึ้นถ่วงทดลองก่อน ก่อนการแขวนคอ มีพระภิกษุ ๑ รูป มาภาวนาให้เขาก่อนจะกระตุกเชือกประหาร เจ้าหน้าที่เอาถุงผ้าสีดำมาครอบศีรษะ ตอนกระตุกเชือกรัดคอ เขาคิดถึงแต่พี่ชายของเขาคนเดียวเท่านั้น แล้วรู้สึกว่าคอของเขาถูกรัดแน่น เหมือนตัวเขาตกลงไปกลางหลุมเพลิง ต่อจากนั้นเขาจำอะไรไม่ได้อีก

จนมารู้สึกตัวเมื่ออายุได้ ๒ ขวบกว่า พ่อเขาชาตินี้ก็คือพี่ชายของเขาในชาติก่อนนั่นเอง เขาบอกด้วยว่า ตอนถูกประหารนั้น อายุได้ ๒๓ หรือ ๒๔ ปี เรื่องราวเกี่ยวกับการจดจำสิ่งของต่างๆ ได้ของเด็กชายวิชรัตนีนั้น มีอยู่เรื่องหนึ่ง คือ ก่อนที่จะเกิดเรื่องการฆ่าเจ้าสาวนั้น นายรัตรัน ฮามี ได้นำเอาเข็มขัดหนังของเขาไปฝากไว้กับน้า ดูเป็นลางชอบกล


เมื่อนายรัตรันตายแล้ว น้าสาวเอาเข็มขัดหนังให้แก่บุตรชายอันเป็นที่รักของตัวเพื่อสำหรับใช้คาดเอว พอเด็กชายวิชรัตนี อายุได้ ๖-๗ ขวบ พบลูกพี่ลูกน้องคนนี้ เห็นเข็มขัดเข้าก็จำได้ว่าเป็นของตัวเอง เรื่องนี้เป็นการรายงานผลการวิจัยการระลึกชาติได้ของ ดร.สตีเวนสัน ๑ เรื่องในจำนวนอีกหลายเรื่อง ซึ่งเขาได้ทุ่มเทค้นคว้าหาความจริงให้ปรากฏชัดเจน

.....................................................
ขอน้อม กาย วาจา จิต บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในกาลทุกเมื่อ
ในทุกทุกขณะจิต ไม่ว่าจะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ

https://www.facebook.com/Dhammalungta


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2013, 10:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2013, 14:43
โพสต์: 68

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b14: ขอบคุณค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2013, 10:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b5:

หลอน...ฝุดฝุด...

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2015, 06:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 14:07
โพสต์: 278


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 16 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร