วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 16:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2013, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คำว่ากรรม มีความสลับซับซ้อนมากเกินกว่าสติปัญญาสามัญธรรมดาเราจะหยั่งทราบได้ นอกจากพระพุทธเจ้าและสาวกอรหันต์บางองค์เท่านั้น แต่ไม่ใช่ทั่วไปคำว่าอรหันต์ สำหรับการเชื่อกรรมนั้น พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ร้อยทั้งร้อยท่านเชื่อเพราะใจเป็นตัวสร้างกรรม เป็นหลักฐานพยานอยู่ที่ใจ ท่านรู้รอบใจผู้สร้างกรรมโดยตลอดทั่วถึงแล้ว

การตัดกรรมทั้งหลายที่จะสืบต่อไปในอนาคตให้ขาดสะบั้นออกจากใจนั้น ท่านตัดได้ด้วยข้อปฏิบัติของท่านจริง แต่การจะตัดวิบากที่เคยเป็นมานั้น แม้จะไม่สามารถเข้ากระเทือนจิตใจของท่านได้ แต่ก็มากระเทือนส่วนร่างกายธาตุขันธ์ของท่านได้เหมือนเราๆ ท่านๆ ทั้งนี้เพราะธาตุขันธ์เป็นสมมุติเสมอกันกับโลกทั่วๆ ไป จึงมีการแปรปรวนเช่นเดียวกัน

ดังพระโมคคัลลาน์ ท่านเป็นผู้มีฤทธาศักดานุภาพ และเป็นอัคคสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า รองพระสารีบุตรซึ่งเป็นพระอัคคสาวกเบื้องขวา ได้รับเอตทัคคะการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศในการแสดงฤทธาศักดานุภาพ ไม่มีสาวกองค์ใดเสมอเลยในบรรดาสาวกทุกๆ องค์ของพระพุทธเจ้า ยกพระโมคคัลลาน์เป็นที่หนึ่งเหาะเหินเดินฟ้า ดำดินบินบน นิรมิตภาพนิมิตประเภทต่างๆ เป็นมโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางจิตใจเป็นไปได้ไม่มีประมาณ ไม่มีพระสาวกองค์ใดทำได้อย่างท่าน

แต่แม้ท่านจะเป็นผู้สามารถเช่นนั้นก็ตาม พระโมคคัลลาน์ท่านก็ยอมรับกรรม เมื่อมีโจรผู้ร้ายเข้ามาปิดล้อมกุฏิจะทำลายท่าน จะทุบจะตีท่าน ท่านก็เหาะออกหนีไปเสียหลายครั้งหลายหน เพราะท่านมีฤทธาศักดานุภาพมาก แต่เมื่อเป็นหลายครั้งหลายหนเข้า ท่านก็ย้อนพิจารณามาถึงเรื่องกรรม ก็ทราบ อ้อ กรรมนี้ที่เราได้เคยสร้างไว้ในอดีต ได้ทำความไม่ดี คือเคยฆ่าบิดามารดาตั้งแต่สมัยก่อนๆ โน้น กรรมนั้นติดตามมา ยังไม่สิ้นกรรม แม้ใจท่านจะตัดขาดจากกรรมโดยประการทั้งปวงแล้ว แต่ขันธ์อันนี้มันเป็นเศษของกรรม เพราะเป็นสมมุติ กรรมก็คือสมมุติประเภทหนึ่งๆ สมมุติต่อสมมุติย่อมเข้ากันได้อย่างสนิท

เพราะฉะนั้น พระโมคคัลลาน์จึงยอมรับกรรม จะมีฤทธาศักดานุภาพขนาดไหนภายในจิตใจ ที่จะยกร่างกายนี้ให้เหาะเหินเดินฟ้าไปได้เร็วยิ่งกว่านกกว่าลมก็ตาม เมื่อทราบและเชื่อกรรมแล้วก็ถอนฤทธิ์ คือกำลังใจที่จะยกร่างกายนี้ให้พ้นภัยไปเสียดังที่เคยแสดงฤทธาศักดานุภาพมาแล้วนั้นออกเสีย ปล่อยให้โจรทุบตีจนแหลก ส่วนจิตของท่านไม่กระทบกระเทือน เพราะจิต กรรมแตะต้องไม่ได้ จิตนั้นเป็นวิมุตติจิต กรรมเป็นสมมุติ ไม่สามารถจะเข้าถึงจิตตวิมุตติของท่านได้ ท่านก็ปล่อยให้โจรย่ำยีตีแหลก คือโจรทั้งหลายย่ำยีตีแหลกร่างกายซึ่งเป็นส่วนสมมุติด้วยกัน อันเข้ากันได้กับกรรมอันเป็นสมมุติเช่นเดียวกัน จนกระทั่งโจรเหล่านั้นทุบตีเป็นที่พอใจ เข้าใจว่าท่านตายแล้วก็พากันหนีไป ท่านจึงมาประสานร่างกายของท่านเข้าด้วยสมาธิสมาบัติแล้วไปทูลลาพระพุทธเจ้าเข้าสู่นิพพาน เมื่อพระองค์รับสั่งถามว่าจะนิพพานที่ไหน ท่านก็ทูลว่าจะไปนิพพานในสถานที่ที่โจรทุบตีนั้นแล พระองค์ก็รับสั่งว่า ตามแต่อัธยาศัยและกาลอันควรของเธอเถิด

พระองค์ไม่เห็นคัดค้าน ไม่เห็นตำหนิติเตียนพระโมคคัลลาน์ว่า ก็เธอนั้นน่ะ โมคคัลลาน์ หนึ่ง. อัคคสาวกเบื้องซ้าย สอง.เป็นผู้มีฤทธาศักดานุภาพ เหาะเหินเดินฟ้าได้ โจรจะประมาณสักกี่หมื่นกี่แสนคนก็ตาม ฆ่าเธอไม่ได้ เพราะเธอมีฤทธาศักดานุภาพมาก ทำให้หายตัวก็ได้ แล้วทำไมเธอจึงยอมให้โจรมาทุบตีเอาเสียจนแหลกอย่างนั้นล่ะ ไม่เห็นพระพุทธเจ้าทรงตำหนิท่านเลย

เพราะพระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องหลักแห่งกรรมของสัตว์โลกทุกประเภท ได้เป็นอย่างดีไม่มีใครเสมอเหมือน จึงสมพระนามว่าเป็นศาสดาเอกของโลก จึงไม่ทรงตำหนิติเตียนพระโมคคัลลาน์ว่า มีฤทธาศักดานุภาพมากแต่เอาตัวไปไม่รอด ดังที่โลกทั้งหลายตำหนิติเตียนกันแบบลมๆ แล้งๆ เต็มแผ่นดินเรื่อยมา นี่เรื่องของกรรมเป็นอย่างนี้ ส่วนจิตที่บริสุทธิ์แล้วนั้น ไม่มีสมมุติใด กรรมใด ที่จะติดตามท่านเลย ตั้งแต่ขณะตรัสรู้ธรรมหรือบรรลุธรรมแล้ว จิตต้องเป็นจิตที่บริสุทธิ์ ตายในขณะใด เวลาใด อิริยาบถใด แบบใด ท่าใด ไม่สำคัญ เพราะนั้นเป็นเรื่องของร่างกายแตกสลายต่างหาก ส่วนจิตที่บริสุทธิ์แล้วเป็นวิมุตติตลอดกาลไม่มีทางเป็นอื่น

จิตผู้ที่มีคุณงามความดี แม้จะไม่ถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้นก็ตาม แต่มีหลักจิตใจด้วยคุณงามความดีเป็นเครื่องประคับประคองส่งเสริม ตายในสถานที่ใด จะตายในป่าในเขา ในถ้ำหุบเขาไม่สำคัญ สำคัญที่ผู้นั้นเป็นผู้ดี ทิ้งร่างเมื่อไรก็ผ่านไปได้ในสุคโต ไม่มีการตายท่าใดๆ มาเป็นอุปสรรคและลบล้างความดีได้ ต้องไปดี เพราะอยู่ก็อยู่ดี ทำดี เวลาไปต้องไปดี ต้นกับปลายต้องตรงกันเสมอ นี่คือหลักธรรมอันถูกต้องแม่นยำ ท่านสอนอย่างนี้

เราจึงไม่ควรสงสัยในความตายในแง่ต่างๆ ของท่านผู้ที่ตายไปแล้วในบัดนี้ก็ดีหรือที่เคยตายมาแล้วก็ดี และจะตายข้างหน้าก็ดี มันเป็นอำนาจของกรรม เป็นเรื่องของขันธ์ เป็นเรื่องของความตายจะเป็นไปตามธรรมชาติของขันธ์แต่ละขันธ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องสำหรับใจที่ดีอยู่แล้ว นอกจากจะยอมจำนนต่อกรรมว่าเป็นไปได้อย่างนี้จริงๆ โดยถ่ายเดียวไม่มีที่คัดค้าน

เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นศาสดาเอกทั้งองค์ จะไม่ทรงรู้กรรมและสอนกรรมแก่สัตว์ได้ยังไง อะไรเป็นรากฐานสำคัญของพระพุทธศาสนา ก็คือกรรมเป็นสำคัญ กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ นี่ประกาศไว้สะเทือนโลกมาเป็นเวลานานเท่าไร ถึงใจของพวกเราไหม ว่ากรรมเป็นเครื่องจำแนกแจกสัตว์ให้ประณีตเลวทรามต่างกัน ท่านได้บอกไว้ไหมว่า กรรมทำให้สัตว์โลกเสมอกันหมด ราบเหมือนกับหน้ากลองดังนี้ แม้เราอยู่รวมกันเดี๋ยวนี้ ดูอายุพรรษาก็ไม่เหมือนกัน คนนั้นเกิดวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น พ.ศ.นั้น มีก่อนมีหลัง มีรูปลักษณะกิริยาท่าทาง ฐานะ ความรู้ความฉลาด ความโง่เขลาเบาปัญญา มีสับปนกันอยู่ทุกแง่ทุกมุม ทุกรูปทุกนาม ไม่เห็นมีใครจะเสมอกันได้เลย เพราะอะไรจึงไม่เสมอกัน ก็เพราะ กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ หลักกรรมนั่นแล ไม่ใช่เพราะความสำคัญมั่นหมายป้ายแดดป้ายลมป่าๆ เถื่อนๆ ดังพวกเราตะครุบเงากันนี่

นี่แลกรรม ถ้ากรรมเป็นของไม่จริง เราจะทำให้จริงจะจริงได้ไหม ให้โลกนี้เสมอกันหมด ราบเป็นหน้ากลองเหมือนกันหมด มันก็เป็นไปไม่ได้ นี่ละกรรมเป็นของสำคัญและใหญ่โตกว่าสัตว์โลกมากเช่นนี้ โลกชาวพุทธเราจึงยอมเชื่อกรรม นอกจากโลกหม้อนรกแตกจะไม่ยอมเชื่ออะไร เอาศีรษะเหวี่ยงเข้าใส่เลย เป็นอะไรก็ยอมรับเอาเพราะสุดวิสัยเกินแก้แล้ว

ท่านสอนให้ระวังกรรม การสร้างกรรม กรรมดีเรียกว่า กุศลกรรม กรรมชั่วเรียกว่า อกุศลกรรม ให้พยายามระมัดระวังกรรมชั่ว ทำแล้วไม่ไปไหน เจ้าของเป็นผู้ทำ ตีตราไว้แล้ว แม้ไม่มีใครทราบก็คือเราเป็นผู้ทราบเสียเอง ทำเสียเอง ตีตราในเราเอง แล้วผลกรรมดีชั่วนั้นจะไปที่ไหน กรรมไม่ลำเอียงต่อผู้หนึ่งผู้ใด จำได้ไม่ได้ไม่สำคัญ สำคัญที่ทำลงไปแล้ว นอกจากจะพยายามหาวิธีแก้ไขดัดแปลงตนเสียใหม่ให้เป็นไปในทางที่ดี ย่อมมีทางทำได้ เพราะน้ำสะอาดมีไว้สำหรับชะล้างสิ่งหรือสถานที่ที่สกปรก ศาสนธรรมเป็นธรรมที่สะอาดสำหรับชะล้างสิ่งสกปรกภายในกายวาจาใจของสัตว์โลก ย่อมเป็นฐานะแก่กันและกัน

รูปภาพ


ที่มา : http://www.luangta.com/thamma/thamma_ta ... 90&CatID=2

.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2013, 18:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 14:07
โพสต์: 278


 ข้อมูลส่วนตัว


องค์หลวงตาแสดงธรรมเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสองรองท่านใดเลยคะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร