วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2013, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

เรื่องนรก สวรรค์ ที่น่าอ่านกัน คือ พระมาลัยลงไปโปรดสัตว์นรก
มีอยู่ตอนหนึ่งที่พระมาลัยถามท่านยมราชว่า

พระมาลัย.....นรกเหล่านี้น่ากลัวเหลือเกิน ใครสร้างนะ มหาบพิตร?

ท่านยมราช...ไม่มีใครสร้างหรอก พระคุณเจ้าขอรับ

พระมาลัย.....ถ้าอย่างนั้น นรกเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า มหาบพิตร?

ท่านยมราช...เกิดขึ้นได้ ด้วยผลกรรมของสัตว์ที่ทำไว้นั่นเอง

พระมาลัย.....สัตว์จะไปสู่นรกนั้น ไปด้วยกรรมอะไร มหาบพิตร?

ท่านยมราช...ไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง และไปด้วยอคติ ๔ คือ
๑. ฉันทาคติ ทำด้วยความรักใคร่ชอบใจ ไม่พิจารณาให้เป็นยุติธรรม มีความลำเอียง คือ
ลำเอียงเพราะรักใคร่กัน
๒. โทสาคติ ทำด้วยความโกรธ คือ ลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน
๓. ภยาคติ ทำด้วยความกลัว เช่น กลัวอาชญา เป็นต้น
๔. โมหาคติ ทำด้วยความหลง ไม่พิจารณาโดยรอบคอบ ไม่ตั้งอยู่ในความยุติธรรม

ดิฉันเคยฟังอาจารย์พูดถึงท่านยมบาลหรือท่านยมราช อาจารย์ที่สอนดิฉันกล่าวว่าท่านยมบาลท่านใจดี
มาก ท่านไม่อยากให้ใครลงนรก ท่านจะช่วยให้ถึงที่สุดก่อน ถ้าช่วยไม่ได้จริงๆ พวกนายนิรยบาลจึงตรูกัน
เข้าไปจับตัวผู้นั้น แล้วนำตัวไปลงโทษ ดิฉันดูจากหนังสือแล้วเห็นตอนท้ายสุดของการสนทนากัน
ระหว่างพระมาลัยและท่านยมราช

ท่านยมราชกล่าวในตอนสุดท้ายที่พระมาลัยท่านถามเกี่ยวกับเทวทูต ทั้ง ๕ ข้อ แล้วว่าท่านกล่าวต่อดังนี้

ท่านยมราช......" ถ้าตอบได้สักข้อใดข้อหนึ่ง โยมก็ปล่อยไปสวรรค์ ถ้าสัตว์เหล่านั้นทำกรรมอันลามก
หมิ่นประมาทคำสอนของนักปราชญ์ก็ระลึกไม่ได้ เมื่อระลึกไม่ได้ นายนิรยบาลก็จับสัตว์นั้น
นำตัวไปลงโทษตามยถากรรม โยมนี้มีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ เหมือนมารดาบิดา
มีเมตตากรุณาต่อบุตรธิดาฉะนั้น

เมื่อพระคุณเจ้าไปยังมนุสสโลกแล้ว ขอนิมนต์พระคุณเจ้าช่วยเทศนาสั่งสอนเหล่ามนุษย์
ให้หมั่นพิจารณาเทวทูตทั้ง ๕ นี้เป็นเนืองนิตย์ด้วย เพื่อจะได้เกิดสังเวชสลดใจ คิดหาอุบายทำตน
ให้พ้นจากกิเลสและกองทุกข์ ถึงความสุขสำราญเบิกบานใจ ตามนัยที่โยมได้แสดงมานี้เถิด
พระคุณเจ้าผู้เจริญ "

:b8: :b8: :b8:

ข้อความบางตอนจากหนังสือ พระมาลัยลงไปโปรดสัตว์นรก
รจนา พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิเถร ป.ธ.๙)

(เทวทูตทั้ง ๕ นั้นได้แก่ ทารก คนแก่ คนเจ็บป่วย คนต้องราชทัณฑ์ คนตาย)

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2013, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

อนิพฺพตฺเตน น ชาโต ปจฺจุปฺปนฺเนน ชีวติ
จิตฺตภงฺคา มโต โลโก ปญฺญตฺติ ปรมตฺถิยา.

แปลความว่า

เพราะจิตไม่เกิด สัตวโลกชื่อว่ายังไม่เกิด

เพราะจิตยังเกิดอยู่ปัจจุบัน สัตวโลกชื่อว่ามีชีวิตอยู่

เพราะจิตแตกดับ สัตวโลกชื่อว่าตาย (นี้) เป็น บัญญัติทางปรมัตถ์

:b8: :b8: :b8:
จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค หน้า ๑๐๔๕

รูปภาพ


เกิด แก่ เจ็บ ตาย

เกิด ไม่ได้หมายความแค่สเปิร์ม กับโอวุม ผสมกันแล้วเท่านั้น แต่ต้องมีวิญญาณเข้าไปปฏิสนธิด้วย
ปฏิสนธิวิญญาณนั้นมีวิญญาณเข้ามาถือครองภายใน ๓-๗ วันภายหลังที่สเปริ์มกับโอวุมผสมกันแล้ว
หากไม่มีวิญญาณเข้ามาถือครอง ก็ถือว่าสัตว์นั้นยังไม่เกิดในทางปรมัตถ์ของคัภเสยกะ(มนุษย์)
ก็กลายเป็นว่า การตั้งครรภ์นั้นเกิดการแท้งไปนั่นเองในทางโลกค่ะ
ในปฏิสนธิวิญญาณนั้นก็เหมือนจิตประเภทอื่นๆ คือมีการเกิด ตั้ง ดับ คือ อุปาทักขณะ ฐีติขณะ ภังคักขณะ

แก่ นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกที่ฐีติขณะของปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณนั้นสัตว์เกิดที่อุปาทักขณะนั้นมีรูป
ที่เกิดจากกรรมเกิดขึ้น ขณะต่อไปเป็นฐีติขณะก็มีรูปที่เกิดขึ้นจากอุตุชรูปเกิดขึ้นครั้งแรก มีเตโชธาตุ
เป็นพลังให้สัตว์นั้นสร้างร่างกายขึ้นมา ในเตโชธาตุนั้นย่อมมีชิรณเตโชเป็นหนึ่งในเตโชธาตุทั้ง4
และชริณเตโชนี้เองทำให้สัตว์นั้นมีความแก่เกิดขึ้นทุกๆ ขณะของรูป มนุษย์นั้นเมื่อเกิดขึ้นก็แก่ทันทีในขณะต่อไปซึ่งก็คือในฐีติขณะของปฏิสนธิวิญญาณเป็นต้นไปค่ะในทางปรมัตถ์

:b51: :b51: :b51: :b51: :b51: :b51: :b51:

:b42: เชิญอ่าน
วิสุทธิมรรค เล่ม ๓ ภาคปัญญา ปริเฉทที่ ๑๖ อินทริยสัจจนิเทศ หน้าที่ ๑๐๑ - ๑๐๕

(หน้าที่ 101)


อัปปฏิจฉันนทุกข์ เพราะไม่ต้องถามก็รู้ และเพราะปรากฏการกระทำด้วย เว้นทุกขทุกข์เสีย ทุกข์ที่เหลือมีชาติเป็นอาทิ ซึ่งมาในวิภังค์แห่งทุกขสัจทั้งหมด เรียกว่า ปริยายทุกข์ เพราะความเป็นวัตถุแห่งทุกข์นั้น ๆ ส่วนทุกขทุกข์ เรียกว่า นิปปริยายทุกข์


คัพโภกกันติมูลกทุกข์

ในทุกข์เหล่านั้น ชาติจัดเป็นทุกข์ เพราะความเป็นวัตถุแห่งทุกข์อันมีในอบาย ที่แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ทรงประกาศไว้ในสูตรทั้งหลายมีพาลบัณฑิตสูตรเป็นอาทิ โดยเป็นข้ออุปมา (มีอุปมาโดยหลุมถ่านเพลิงเป็นต้น) และแห่งทุกข์อันต่างโดยทุกข์มีการก้าวลงสู่ครรภ์เป็นมูลเป็นต้น ในมนุษย์โลกซึ่งเกิดขึ้นแม้ในสุคติ

ในทุกข์เหล่านั้น (ต่อไปนี้) เป็นทุกข์อันต่างโดยทุกข์มีการก้าวลงสู่ครรภ์เป็นมูลเป็นต้น

ก็แลสัตว์นี้ เมื่อเกิดในท้องมารดา ก็หาใช่เกิดในกลีบดอกไม้มี อุบล ปทุม และบุณฑริก เป็นต้นไม่ ที่แท้ย่อมเกิดในกุจฉิประเทศ (ส่วนหนึ่งของท้อง) ใต้กระเพาะอาหารใหม่ เหนือกระเพาะอาหารเก่าท่ามกลางแห่งหน้าท้องและกระดูกสันหลัง เป็นที่คับแคบอย่างยิ่ง มึดมิดอบอวลด้วยกลิ่นอายอันเหม็นยิ่งซึ่งกลิ่นซากสัตว์ (ที่กินเข้าไป) ต่าง ๆ ทำให้เกิดขึ้นน่าเกลียดยิ่งนัก ราวกับตัวหนอนเกิดอยู่ในปลาเน่า ขนมบูด และหลุมน้ำครำเป็นต้นฉะนั้น สัตว์ที่เกิดอยู่ในท้องมารดานั้นร้อนอบอยู่ด้วยสัมภวะ (น้ำ กำเนิด น้ำเลี้ยง) ในท้องของมารดา (เท่ากัน) ถูกต้อนอยู่เหมือนปุฏปากะ (ข้าวต้มมัด) (เท่ากัน) ถูกนึ่งอยู่เหมือน ปิฏฐปิณฑิ (ขนมก้อนแป้ง) ปราศจากความไหวกายมีคู้เหยียด (อวัยวะ) เป็นต้น เสวยทุกข์ขนาดหนักอยู่ตลอดทศมาส นี้เป็นคัพโภกกันติมูลกทุกข์ (ทุกข์มีการก้าวลงสู่ครรภ์เป็นมูล) เป็นอันดับแรก


คัพภปริหรณมูลกทุกข์

ประการหนึ่ง สัตว์นั้นได้เสวยทุกข์ขนาดหนักอันใด ในเพราะการลื่นล้ม การเดิน การนั่ลง การลุกขึ้นและการพลิกตัวโดยเร็วของมารดาเป็นต้น (ก็ดี) เพราะการกระทำ (ของคนอื่น) มีการฉุดกระชากลากถู การกระแทกและการผลักเป็นต้น เหมือนลูกแกะอยู่ในมือ

(หน้าที่ 102)



นักเลงสุรา และเหมือนลูกงูอยู่ในมือหมองู (ก็ดี) อนึ่ง สัตว์นั้นได้เสวยทุกข์กล้าอันใด ในเวลาที่มารดาดื่มน้ำเย็นเป็นเหมือนสัตว์ที่ตกนรกหนาว ในเวลาที่มารดากลืนข้าวต้มและข้าวสวยร้อนลงไป เหมือนถูกปรายด้วยเม็ดฝนถ่านเพลิง ในเวลาที่มารดากลืนอาหารรสจัด เช่นเค็มและเปรี้ยวเป็นต้นลงไป ก็เหมือนได้รับการลงโทษมีวิธีขาราวตัจฉิกะ (สับร่างกายแล้วราดด้วยน้ำกรด) เป็นต้น ทุกข์นี้เป็นคัพภปริหรณมูลกทุกข์ (ทุกข์มีการบริหารครรภ์เป็นมูล)


คัพภวิปัตติมูลกทุกข์

(ประการหนึ่ง) ทุกข์อันใดเกิดขึ้นแก่สัตว์นั้น ผู้ถูก (ลม) กรรมชวาตของมารดาเมื่อจะคลอดผัดผัน (ศรีษะ) ให้กลับลงตรงช่องคลอดอันน่ากลัวยิ่งประดุจปล่องเหว ถูกเบ่งออกทางช่องคลอดอันแคบยิ่งนัก ประดุจช้างใหญ่ถูกดันออกทางช่องดาล และถูกบีบด้วยภูเขาคือขื่อ (เชิงกราน) เหมือนสัตว์นรก ถูกบดด้วยสังฆาตบรรพต ทุกข์นี้เป็นวิชายนมูลกทุกข์ (ทุกข์มีการคลอดเป็นมูล)


พหินิกขมนมูลกทุกข์

ประการหนึ่ง ทุกข์อันใดที่เป็นเช่นกับการแทงและผ่าด้วยปลายเข็มและคมมีดโกน ในเวลาที่เขาลับด้วยมือให้อาบน้ำล้าง (ครรภ์มลทิน) และเช็ดด้วยผ้าเป็นต้น เกิดขึ้นแก่สัตว์ผู้เกิดแล้ว ซึ่งมีร่างกายยังละเอียดอ่อนเช่นกับแผลใหม่ ทุกข์นี้เป็น มาตุกุจฉิโตพหินิกขมนมูลกทุกข์ (ทุกข์มีการออกมานอกท้องมารดาเป็นมูล)


อัตตุปักกมมูลกทุกข์

(ประการหนึ่ง) ในความเป็นไปต่อแต่นั้นไป ทุกข์อันใดเกิดมีแก่สัตว์นั้นผู้ทำร้ายตนเองก็ดี ผู้ประกอบอาตาปนปริตาปนานุโยค (ประกอบการทรมานตัวเพื่อย่างกิเลส) ตามทำนองวัตรของเดียรถีย์ มีเจลกวัตร (วัตรของชีเปลือย) เป็นต้นก็ดี ผู้ไม่กิน (อาหาร) และแขวนคอตายด้วยอำนาจความโกรธก็ดี ทุกข์นี้ เป็นอัตตุปักกมมูลกทุกข์ (ทุกข์มีการทำตัวเองเป็นมูล)



(หน้าที่ 103)



ปรุปักกมมูลกทุกข์

ประการหนึ่ง ทุกอันใดเกิดขึ้นแก่สัตว์นั้นผู้ได้รับการกระทำมีฆ่าและจองจำเป็นต้น แก่คนอื่น ทุกข์นี้เป็นปรุปักกมมูลกทุกข์ (ทุกข์มีการถูกคนอื่นทำเอาเป็นมูล) แล


สรูปชาติทุกข์

ชาตินี้เป็นพื้น (ที่ตั้ง) แห่งทุกข์ทั้งปวงนี้แท้ ดังกล่าวมา เพราะเหตุนั้น นักปราชญ์ จึงกล่าวคำประพันธ์ไว้ว่า


ชาเยถ โน เจ นรเกสุ สตโต

ฯลฯ

ทุกขาติ สพพปฐมํ อิมมาห ชาตึ


หากว่า สัตว์ไม่พึงเกิดในนรกทั้งหลายไซร้ เขาก็ไม่

พึงได้รับทุกข์เหลือทนมีเผาด้วยไฟเป็นต้น ในนรกนั้น

(ถ้าไม่เกิด ทุกข์จะพึงได้ที่ตั้งที่ไหนเล่า) เพราะเหตุนั้น

พระมุนีเจ้าจึงตรัสความเกิดในนรกนี้ ว่าเป็นทุกข์


ทุกข์ในพวกสัตว์ดิรัจฉานเป็นอันมาก เกิดเพราะ

ถูกฆาตด้วยแส้ ปฏัก และท่อนไม้เป็นต้น อันใด ทุกข์

อันนั้น เว้นความเกิดในพวกดิรัจฉานนั้นเสีย จะพึง

มีอย่างไรเล่า เพราะเหตุนั้น แม้ความเกิดในพวก

ดิรัจฉานนั้น จึงเป็นทุกข์


อนึ่ง ทุกข์ในพวกเปรตหลายหลาก เกิดเพราะ

ความหิวกระหายลมแดดเป็นต้น ย่อมไม่มีแก่สัตว์ผู้ไม่

เกิดในพวกเปรตนั้น เหตุใด แม้เพราะเหตุนั้น พระมุนี

เจ้าจึงตรัสความเกิด (ในพวกเปรตนั้น) ว่าเป็นทุกข์



(หน้าที่ 104)



อนึ่ง ทุกข์ในพวกอสูรในโลกันตร์อันเป็นที่มืดและ

เย็นเหลือทน หากความเกิดในโลกันตร์ นั้นไม่มีไซร้

ทุกข์นั้นก็ไม่พึงมี เหตุใด แม้เพราะเหตุนั้น ความเกิดนี้

จึงเป็นทุกข์


อนึ่ง สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งเป็นเหมือนคูถนรก

เป็นเวลานาน และออกมานอกครรภ์นั้นย่อมได้รับ

ทุกข์อันร้ายกาจแม้ใด แม้ทุกข์นี้เว้นความเกิดเสีย ก็หา

มีไม่ แม้เพราะเหตุนั้น ความเกิดนี้จึงเป็นทุกข์แท้


ต้องการอะไรที่จะกล่าวไปมาก ทุกใดแม้เล็กน้อย

มีอยู่ในที่ไหน ๆ ในโลกนี้ก็ดี ทุกข์นี้ เพราะเว้นความ

เกิดเสีย ก็ไม่มีในกาลไหน ๆ เลย เหตุใด เพราะเหตุนั้น

พระมหาฤาษีเจ้าจึงตรัสความเกิดนี้ว่า เป็นทุกข์ก่อนทุกข์

ทั้งปวง นี่เป็นวินิจฉัยในชาติ เป็นข้อแรก

รูปภาพ

ชราทุกข์

ในข้อว่า “แม้ชราก็เป็นทุกข์” นี้ มีวินิจฉัยว่า ชรามี ๒ อย่าง คือ สังขตลักษณะ ๑ ความเก่าไปแห่งขันธ์ที่เนื่องอยู่ในภพอันหนึ่ง ใน(รูป)สันตติซึ่งรู้กันโดยอาการ มีฟันหักเป็นต้น ๑ ชรา (อันปรากฏ) คือความเก่าไปแห่งขันธ์นั้น (แหละ) หมายเอาในที่นี้

ก็แล ชรานี้นั้น มีความแก่แห่งขันธ์เป็นลักษณะ มีการนำไปสู่ความตายเป็นกิจ มีความเสื่อมหายไปจากความเป็นหนุ่มเป็นปัจจุปัฏฐาน ชื่อว่าทุกข์ เพราะเป็นสังขารทุกข์ และเพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ด้วย จริงอยู่ทุกข์อันเป็นไปทางกายและทางใจนี้ใด มีปัจจัยเป็นอเนก เช่นความหย่อนยานแห่งอวัยวะใหญ่น้อย ความพิการแห่งอินทรีย์ ความมีรูปร่างวิกลไปความเป็นหนุ่มหายไป ความเพียร (ความกล้า) ตกไป สติ (ความจำ) และมติ (ความคิดอ่าน)จากไป และเป็นที่ดูแคลนของคนอื่นเป็นต้น เกิดขึ้น ชราเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์นั้น เพราะเหตุนั้นนักปราชญ์จึงกล่าวคำประพันธ์นี้ว่า



(หน้าที่ 105)



องคานํ สิถีลีภาวา ฯเปฯ ยสฺมา ตสมา ชรา ทุกฺขา

มัจจะ (สัตว์ที่จะต้องตาย) ได้รับทุกข์ทางกาย และทาง

ใจอันใด (เพราะความหย่อนยานไปแห่งองคาพยพ

เพราะความวิการไปแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย เพราะความ

เสื่อมหายไปจากความเป็นหนุ่ม เพราะความถดถอยไป

แห่งกำลัง เพราะความจากไปแห่งสติ (ความจำ) เป็นต้น

เพราะลูกเมียของตนเองก็ไม่พึงใจ และเพราะ (มีแต่จะ)

ถึงซึ่งความอ่อนเพลียยิ่งขึ้น เพราะเหตุที่ทุกข์ (ที่กล่าวมา)

นั่น ล้วนแต่มีชราเป็นเหตุ เพราะเหตุนั้น ชราจึงเป็นทุกข์


นี่เป็นวินิจฉัยในชรา

รูปภาพ

มรณทุกข์

แม้ในข้อว่า “แม้มรณะก็เป็นทุกข์” นี้ มรณะก็มี ๒ คือ สังขตลักษณะ ซึ่งท่านหมายเอากล่าวไว้ว่า “ชรามรณะ สงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๒“ ดังนี้ ๑ ความขาดการติดต่อกันไปแห่งชีวิตินทรีย์ที่เนื่องอยู่ในภพอันหนึ่ง ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงตรัสไว้ว่า “ความกลัวตายมีอยู่เป็นนิจ” ดังนี้ ๑ มรณะคือความขาดชีวิตินทรีย์นั้น (แหละ) ประสงค์เอาในที่นี้ แม้คำว่า ชาติปัจจยามรณะ (ความตายมี เพราะความเกิดเป็นปัจจัย) อุปักกมมรณะ (ความตายเพราะการกระทำ) สรสมรณะ (ความตายโดยสภาพคือตายเอง) อายุกขยมรณะ (ความตายเพราะสิ้นอายุ) ปุญญขยมรณะ (ความตายเพราะสิ้นบุญ) ดังนี้ ก็เป็นชื่อของมรณะ คือ ความขาดชีวิตินทรีย์นั่นเอง

มรณะนี้นั้น มีจุติ (ความเคลื่อนไปจากปัจจุบันภพ) เป็นลักษณะ มีวิโยค (ความพรากไปจากสัตว์ และสังขารตามที่ตนได้ไว้) เป็นกิจ มีคติวิปวาส (ความพลัดจากคติตามที่ตนเข้าถึงแล้วไป) เป็นผล ส่วนที่ว่า (มรณะ) เป็นทุกข์ พึงทราบว่า เพราะความเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ เหตุนั้น นักปราชญ์จึงกล่าวคำประพันธ์นี้ไว้ว่า

(หน้าที่ 106)

ปาปสฺส ปาปกมฺมาทิ ฯเปฯ ทุกฺขมิจฺเจว ภาสิตํ


ทุกข์ทางใจอันใดมีขึ้นโดยไม่แปลก แก่คนที่กำลังจะ

ตายที่เป็นคนชั่ว เห็นนิมิตมีกรรมนิมิตฝ่ายบาปเป็นต้น

แม้ที่เป็นคนดี (แต่) ทนทาน พลัดพรากอันมีของรัก

เป็นที่ตั้งไม่ไหว อนึ่ง ทุกข์ทางกายอันใด มีข้อและ

เส้นเอ็นขาดเป็นต้น มีขึ้นแก่คนทุกคนที่มีกัมมัฏฐาน

(ตำแหน่งสำคัญของร่างกาย) ถูกลมร้ายแทงเอา ทุกข์นี้

เป็นทุกข์ คนทนไม่ไหว แก้ไขไม่ได้ เพราะเหตุที่

มรณะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ (ที่กล่าวมาทั้งหมด) นั่น เพราะ

เหตุนั้น มรณะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็น

ทุกข์แท้


นี่เป็นวินิจฉัยในมรณะ




http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%A7 ... 0%E0%B9%95

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2013, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

ข้อความบางส่วนจากหนังสือ ธรรมบทเทศนา เล่ม ๑

เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาสืบอนุสนธิต่อไป
จึงได้ตรัสพระพุทธนิพนธคาถาสุภาษิต ซึ่งมีข้องความสั้นๆ ดังนี้

ผู้เดินทางถึงจุดหมายแล้ว ความโศกเหือดแห้งแล้ว
พ้นแล้วจากธรรมทั้งปวง
ละเครื่องร้อยรัดทั้ง ๔ หมดแล้ว ย่อมไม่มีความเร่าร้อน


ในพระธรรมเทศนาพุทธนิพนธคาถานี้ เป็นพระคาถาแรกแห่งอรหันตวรรค ซึ่งเป็นวรรคที่ทรงปรารภถึง
คุณสมบัติของพระอรหันต์ทั้งนั้น ดังนั้น ในที่นี้จึงทรงแสดงถึงคุณสมบัติของพระอรหันต์ไว้ ๔ ประการ คือ
พระอรหันต์นั้น เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทาง คือไม่ต้องเดินต่อไปอีกแล้ว๑
พระอรหันต์ เป็นผู้มีความโศกเหือดแห้งหมดแล้ว๑
พระอรหันต์ เป็นผู้หลุดพ้นแล้วจากธรรมทั้งปวง๑
พระอรหันต์ เป็นผู้ละคันถะ คือกิเลสเครื่องร้อยรัดไว้ในภพ ทั้ง๔ อย่างได้หมดแล้ว๑
ดังจะได้อรรถาธิบายเป็นลำดับไป

คำว่าทางนั้นมี ๒ อย่างคือ ทางกันดาร๑ ทางวงกลม๑
ทางกันดาร ได้แก่ ทางที่ชาวโลกใช้เดินไปมาติดต่อกันตามธรรมดา ทางกันดารนี้ เมื่อผู้เดินทางได้เิดินไป
ถึงสถานที่ที่ตนประสงค์แล้ว ชื่อว่า เดินไปถึงจุดหมายแล้ว
ส่วนทางที่เป็นวงกลมนั้น ได้แก่ วัฏฏะ คือความวกวน เกิด แก่ ตายอยู่ในวัฏสงสาร คนสามัญธรรมดานั้น
ย่อมอาศัยเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอีก วกวนอยู่ในภพทั้ง ๓ อย่างนี้ ไม่ทราบว่านานนักเท่าไรก็ไม่มี
ใครพยากรณ์ได้ คนที่วนเกิดวนตายอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า กำลังเดินทางอยู่ ยังไม่ถึงจุดหมาย เพราะยังไม่ได้
ปฏิบัติทำให้วัฏฏะ๓ ประการหมดสิ้นไป วัฏฏะ๓ ประการนั้น คือ กิเลสวัฏ๑ กรรมวัฏ๑ วิปากวัฏ๑
กิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรมทั้งที่เป็นบุญและบาป กรรมทั้ง๒ นั้นย่อมอำนวยวิปากคือ ให้เกิดผลสนองต่อไป
เมื่อวิปากเกิดขึ้นแล้วเป็นเหตุให้มีกิเลสอีก กิเลสก็เป็นเหตุให้สร้างกรรมอีก กรรมก็อำนวยวิปากอีก
วนอยู่ด้วยอำนาจวัฏฏะ๓ ประการอย่างนี้ แม้พระอริยบุคคลชั้นต่ำ เช่น พระโสดาบันเป็นต้น ก็ยังชื่อว่า
กำลังเดินอยู่ เพราะยังละวัฏฏะไม่หมดสิ้น จะต้องเกิดตายอยู่เหมือนปุถุชน ต่างแต่มีข้อแน่นอน เช่น
พระโสดาบันนั้นอย่างช้าที่สุดก็จะเกิดอยู่ในสังสารวัฏอีกเพียง ๗ ชาติเท่านั้น ส่วนพระอรหันต์ขีณาสพ
อันเป็นพระอริยเจ้าขั้นสุดยอดนั้น ตัดวัฏฏะ๓ ประการขาดสูญหมดแล้ว จึงชื่อว่าเป็นผู้เดินทางไปถึง
จุดหมายแล้ว คือ ไม่ต้องเกิดแก่เจ็บตายอีกต่อไป นี้เป็นอรรถาธิบายข้อที่หนึ่ง

ตามปกติ สามัญชนคนธรรมดานั้น เพราะมีความรักอยู่จึงต้องมีความโศก อันความโศกเศร้าเสียใจซึ่งมี
ประการต่างๆ ตามเหตุที่ให้เกิดขึ้นนั้น เหตุที่ให้เกิดความโศกโดยตรงนั้น ได้แก่ความรัก คือ ความรัก
ในอารมณ์ทั้ง๖ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ความรักอยู่ในอารมณ์ชนิดใด
คือจะรูป หรือเสียง หรือกลิ่น เป็นต้น และจะมีน้ำหนักมากและน้อยเท่าไร ประณีตและทรามอย่างใด
ความโศกนี้ก็แอบสิงอยู่ในอารมณ์นั้น และมีน้ำหนักมากน้อย ประณีตหรือทรามเท่านั้น เหมือนอย่างนั้น
แต่ความโศกมันจะออกมาแสดงตัวให้ปรากฏชัดแก่คนโง่ ในเมื่อความรักนั้นได้สูญสิ้นสภาพไปเสียก่อน
สมดังพระพุทธภาษิตในปิยวรรค พระธรรมบท ว่าดังนี้

ปิยโต ชายเต โสโก ความโศกย่อมเกิดแต่สิ่งที่รัก
เปมโต ชายเต โสโก ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก
รติยา ชายแต โสโก ความโศกย่อมเกิดแต่ความยินดี
กามโต ชายเต โสโก ความโศกย่อมเกิดแต่ความใคร่
ตณฺหาย ชายเต โสโก ความโศกย่อมเกิดแต่ความอยาก


สิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดความรักก็ดี ความยินดีก็ดี ความใคร่ก็ดี ความอยากก็ดี ซึ่งปรากฏในพระพุทธภาษิต
ทั้งหลายนี้นั้น โดยความหมายเป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่สำนวนโวหารเท่านั้น เมื่อกล่าวโดยปรมัตถนัย
ก็ได้แ่ก่ตัว โลภเจตสิก มีหน้าที่ปรุงแต่งจิต ให้รัก ให้ใคร่ ให้อยากได้ ให้กำหนัดยินดีนั่นเอง ปุถุชนนั้น
ย่อมชุ่มโชกด้วยความรัก ความใคร่ ความกำหนัดยินดีในอารมณ์ที่ตนปรารถนาอยู่ตลอดเวลา ตลอดชีวิต
หรือตลอดทุกภพทุกชาติ ส่วนพระอรหันต์นั้น ท่านตัดโลภเจตสิก หรือโลภกิเลสนี้ พร้อมทั้งภพ ด้วย
อาวุธพิเศษ คือ อรหัตตมรรคญาณเสียแล้ว เมื่อโลภะอันเป็นรากฐานให้เกิดความรักสิ้นสูญไปเสียแล้ว
ความโศกอันเป็นผลจึงพลอยดับสูญไปด้วย ดังพระพุทธภาษิตว่า

เปมโต วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ.
เมื่อหลุดพ้นจากความรักแล้ว ความโศก และความกลัวจะมีมาแต่ที่ไหนเล่า


เพราะฉะนั้น พระอรหันต์จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความโศกเหือดแห้งแล้ว นี้เป็นอรรถาธิบายข้อที่สอง

รูปภาพ

ตามธรรมดาสามัญชนธรรมดานั้น ย่อมหลงติดอยู่ในสภาวธรรมทั้งหลาย คือ ขันธ์๕ อายตนะ๑๒
ธาตุ๑๘ เป็นต้น ที่ว่าหลงติดเพราะเห็นผิดเข้าใจผิดด้วยอำนาจสักกายทิฏฐิ ได้แก่ เห็นว่า ขันธ์๕ คือ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นสัตว์ บุคคล เป็นตัวเป็นตน เป็นเขา เป็นเรา เป็นของเขา
ของเรา แล้วก็หลงดีใจ หลงเสียใจไปตามความเปลี่ยนแปลงแปรผันของขันธ์๕ ถ้าขันธฺ์๕ แปรไปข้าง
ฝ่ายที่สมมุติว่าเจริญ หรือได้ดี มีลาภยศ เป็นต้น ก็หลงดีใจ หลงกำหนัดยินดี ลูบคลำพร่ำเพ้ออยู่ใน
สิ่งนั้น โดยไม่รูจักจืดจางสร่างซา ถ้าขันธ์๕ แปรไปข้างฝ่ายที่สมมุติว่าเสื่อม หรือเสื่อมลาภยศ หรือผุพัง
ไป เป็นต้น ก็หลงทุกข์โทมนัสขัดเคือง ส่วนพระอรหันต์นั้น ตรงกันข้ามคือ ท่านเห็นสภาวธรรมมีขันธ์๕
เป็นต้นเหล่านั้นตามความเป็นจริง คือ ท่านเห็นสภาวธรรมมีขันธ์๕ เป็นต้นเหล่านั้นตามความเป็นจริง คือ
ท่านเห็นสภาวธรรมมีขันธ์๕ เป็นต้้นเหล่านั้นตามความเป็นจริง คือเห็นเป็นสักว่ารูปและนาม ซึ่งเกิดมาแต่
เหตุปัจจัย และเป็นสภาพที่ไม่เที่ยง เพราะแปรเปลี่ยนไปเสมอ เป็นทุกข์เพราะทนเป็นอยู่อย่างนั้นไม่ได้
และเป็นอนัตตา เพราะไม่อยู่ในอำนาจของใคร และไม่มีสาระแก่นสารอะไร ท่านไม่เห็นขันธ์๕ เป็นต้นนั้น
ว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็นตัวตน เป็นเขา เป็นเรา เป็นของเรา หรือของใครๆ ทั้งสิ้น เห็นเป็นเพียงสภาวธรรม
ซึ่งเป็นไปตามธรรมดาเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระอรหันต์จึงชื่อว่า เป็นผู้หลุดพ้นแล้วจากธรรมทั้งปวง มี
ขันธ์๕ เป็นต้น นี้เป็นอรรถาธิบายในข้อที่สาม

กิเลส ๔ อย่าง
คือ
๑. อภิชฌา ได้แก่ความกำหนัดยินดีในอิฏฐารมณ์๑
๒. พยาบาท ได้แก่ความเกลียดชังในอนิฏฐารมณ์๑
๓. สีลัพพตปรามาส ได้แก่ความหลงลูบคลำ ยึคถืออยู่ในศีลและพรตของตน๑
๔. อิทังสัจจาภินิเวส ความหลงผิดว่าของฉันเท่านั้นถูก ของคนอื่นผิดหมด๑
ท่านเรียกว่า คันถะ เพราะเป็นเครื่องร้อยรัดรูปธรรมนามธรรม ให้ติดอยู่ในภพทั้ง๓

คันถะ คือกิเลส ๔ ประการนี้ ตามปกติย่อมร้อยรัดสัตว์สามัญไว้ในภพทั้ง๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ
กล่าวคือ อภิชฌา ร้อยรัดมัดตรึงให้ติดใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ อันเป็นส่วน
อิฏฐารมณ์ที่น่ารักใคร่ชอบใจ พยาบาท ร้อยรัดมัดตรึงให้ติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ
ธรรมารมณ์ อันเป็นส่วนอนิฏฐารมณ์ที่น่าเกลียดชัง

สีลัพพตปรามาส ร้อยรัดมัดตรึงให้ติดอยู่ในศีลและพรตที่ตนบำเพ็ญปฏิบัติด้วยอำนาจทิฏฐิที่เห็นผิดว่า
ของเขา ของเรา ถึงแม้จะเป็นศีลพรตซึ่งเป็นสิ่งที่ดีบริสุทธิ์ แต่ผู้ปฏิบัติยังยึคถือว่าเป็นของเขาของเราอยู่
ก็ชื่อว่ายังเป็นอัตตาธิปไตย หรือโลกาธิปไตย คือพรตนั้นจึงไม่เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่จะนำผู้ปฏิบัติให้พ้นไป
จากตน หรือจากโลกได้ อิทังสัจจาภินิเวส ร้อยรัดมัดตรึงให้ติดอยู่ในความรู้ความเห็นของตนโดยเฉพาะ
ไม่ยอมรับฟังความเห็นของผู้อื่นว่าของฉันเท่านั้นจริง ของคนอื่นหาจริงไม่ อันเป็นลักษณะของ
สักกายทิฏฐิอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้หลงผิดติดอยู่ในภพในชาติตลอดไป

คันถะ คือ กิเลสเครื่องร้อยรัด ๔ ประการนี้
โสดาปัตติมรรคญาณ ย่อมทำหน้าที่ประหาณสีลัพพตปรามาส กับอิทังสัจจาภินิเวสให้เป็นสมุทเฉทปหาน
คือ ประหานอย่างสูญพันธุ์ไม่เกิดขึ้นในสันดานของพระโสดาบันได้อีก

อนาคามิมรรคญาณ ย่อมทำหน้าที่ประหานพยาบาทให้เป็นสมุจเฉทปหาน หมายความว่า พระอนาคามี
ไม่มีโกรธ ไม่มีพยาบาทให้เป็นสมุจเฉทปหาน หมายความว่า พระอนาคามีไม่มีโกรธ ไม่มีพยาบาทมาดร้าย
เกิดในขันธสันดานเลย

อรหัตมรรคญาณ ย่อมทำหน้าที่ประหานอภิชฌา คือความกำหนัดยินดีให้เป็นสมุจเฉทปหาน คือ ถึงขั้น
พระอรหันต์จึงจะไม่โลภ ไม่กำหนัดยินดีในสิ่งทั้งปวง เมื่อตัดโลภะได้แล้ว ก็ชื่อว่าตัดโมหะด้วย
อรหัตตมรรคญาณในขณะเดียวกันนั้นด้วย ตามนัยนี้จะเห็นได้ว่า พระอริยเจ้าขั้นพระอรหันต์เท่านั้น จึงจะ
ละคันถกิเลสทั้ง ๔ ประการได้อย่างสิ้นเชิง นี้เป็นอรรถาธิบายในข้อที่สี่

พระอรหันต์ขีณาสพ ผู้มีคุณสมบัติดังพรรณนามานี้ ย่อมไม่มีความเร่าร้อนใดๆ
แต่ความเร่าร้อนนั้นมี ๒ อย่าง คือ ความเร่าร้อนกาย๑ ความเร่าร้อนใจ๑ ความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นทางใจนั้น
ย่อมไม่มีในพระอรหันต์ เพราะท่านไม่มีกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดความเร่าร้อนแล้ว คือความเร่าร้อนนั้นได้สิ้น
สูญไปในขณะที่อรหัตมรรคญาณเกิดขึ้นแล้ว ส่วนความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นทางกาย หรือทุกขเวทนาทางกาย
เช่น ถูกความร้อนความเย็นเผาผลาญ เป็นต้น ย่อมได้รับทุกขเวทนาทางกายอยู่ แม้สมเด็จพระบรมศาสดา
ที่ถูกสะเก็ดหินกระทบจนถึงพระโลหิตห้อ และต้องให้หมอชีวกประกอบยาถวายนั้น ความจริงพระพุทธองค์
ทรงได้เสวยทุกขเวทนาทางกายเหมือนกัน หรือทรงมีความเร่าร้อนอยู่ แต่ที่ทรงตอบหมอชีวกว่าความเร่า
ร้อนของพระองค์ได้สูญหายไปแล้ว ตั้งแต่ในขณะตรัสรู้ที่ควงต้นไม้พระศรีมหาโพธิ์นั้น เพราะพระองค์ทรง
เป็นเจ้าแห่งธรรม ทรงเป็นผู้ฉลาดในวิธีแสดงธรรม จึงตรัสโดยทางสภาวะ หรือโดยทางปรมัตถโวหาร
ซึ่งหมายเอาความเร่าร้อนทางใจอันได้สูญสิ้นไปแล้วนั้น ถ้าจะตรัสตอบความเร่าร้อนทางกาย ซึ่งยังมีอยู่
โดยธรรมดาของร่างกายนั้นก็จะเป็นเหตุให้หมอชีวกซึ่งนอนเป็นทุกข์อยู่ตลอดคืนแล้วนั้น เพิ่มความทุกข์
ขึ้นอีกเป็นส่วนทวีคูณ ความฉลาดในการแสดงพระธรรมเทศนาทำนองนี้เป็นตัวอย่างที่ดี ซึ่งมีส่วนสำคัญที่
สุด อันพระธรรมกถึกหรือผู้มีหน้าที่สอนธรรมจะพึงจดจำ และนำไปปฏิบัติโดยแท้

ด้วยเหตุผลดังพรรณนามานี้ สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ตรัสพระพุทธนิพนธคาถาสุภาษิตว่า
"ท่านผู้เดินทางถึงจุดหมายแล้ว ความโศกเหือดแห้งแล้ว หลุดพ้นแล้วจากธรรมทั้งปวง ละเครื่องร้อยรัด
ทั้ง ๔ หมดแล้ว ย่อมไม่มีความเร่าร้อน"
ซึ่งมีอรรถาธิบายดังรับประทานวิสัชนามา ด้วยประการฉะนี้

:b46: :b46: :b46: :b46: :b46: :b46: :b46: :b46: :b46:
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2013, 06:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b49: บุญมาวาสนาช่วย :b49:

รูปภาพ

เมื่อกลางปี พ.ศ.๒๔๖๔ เรือเดินสมุทรชื่อ เรือผ่านสมุทร ซึ่งมีขนาด ๓๐๐๐ตัน บรรทุกสินค้าและผู้โดยสารชาวจีน ประมาณ ๓๐๐คน ออกจากเดินทางจากอ่าวไทยไปฮ่องกง เรือลำนี้เป็นของบริษัทพาณิชย์นาวีสยาม ซึ่งรัฐบาลไทยได้จัดตั้งขึ้น มีมิสเตอร์แม็คลีน ชาวอังกฤษเป็นกัปตัน มิสเตอร์เฮ็นรี่เป็นต้นกล ต้นเรือเป็นทหารเรือไทยชื่อ เรือโทประยูร

ในสมัยนั้นการเดินเรือในมหาสมุทรนับเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายมาก เพราะขาดอุปกรณ์ที่สำคัญ เช่น เรดาห์ วิทยุ เมื่อเรือผ่านสมุทร ย่างเข้าเขตทะเลจีน ก็เริ่มมืดมนไปทุกทิศทุกทาง กัปตันต้นกลและต้นเรือได้ประชุมกัน เพื่อหาทางรับมือกับสถานการณ์อันร้ายแรง ในขณะที่คลื่นลมในทะเลเริ่มแรงขึ้นเป็นลำดับ สลาตันเริ่มพัดและส่งเสียงเหมือนปีศาจที่จ้องจะเอาชีวิตทุกคนในเรือ เรือผ่านสมุทรโยนตัวโต้คลื่นไม่ไหวแล้ว ต้องใช้วิธีมุดคลื่นที่มีขนาดเท่าภูเขาเลากา อากาศมืดลง มืดลงเป็นกำดับจนเกือบจะเป็นกลางคืน

เหตุการณ์เป็นอยู่เช่นนี้ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ไม่มีอาการกระเตื้องขึ้น มีแต่เสียงอื้ออึงของพายุหมุนและคลื่นที่สาดซัดเข้ามาท่วมลำเรือ ผู้โดยสารชาวจีนที่มีทั้งเด็กเล็ก ผู้หญิงและคนชราเริ่มหลั่งไหลออกมาที่กราบเรือ เพราะเกรงเรือจะลมลงไป เรือโทประยูรซึ่งเป็นต้นเรือเห็นว่า ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ พวกจีนที่เกะกะอยู่ตามกราบเรืออาจจะถูกคลื่นซัดหรือพายุพัดตกทะเลไปทีละคนสองคน จึงออกคำสั่งให้ทุกคนเข้าไปอยู่ในระวางท้องเรือ และให้กลาสีเอากุญแจใส่ไว้อย่างแข็งแรง พวกจีนเข้าใจว่า เรือไทยลำนี้จะขังพวกตนทั้งหมดให้จมน้ำตายพร้อมกัน ต่างพากันตบประตูและร้องตะโกนเสียงดังลั่น เด็กเล็กก็ร้องไห้กันกระจองอแง แต่ ร.ท.ประยูรสั่งเด็ดขาดไม่ให้ไขกุญแจปล่อยตัวออกมา เมื่อกัปตันแลต้นกลถามถึงเหตุผล เขาก็ตอบว่า ถ้าเรืออับปางลงก็ไม่มีหวังรอดชีวิตสักคน ถ้าโชคดีเรือรอดพ้นจากการอับปาง คนทั้งลำรวมทั้งพวกจีนที่ถูกขังก็จะรอดชีวิตทั้งหมดไม่มีตกหล่น

ทันใดนั้น คลื่นขนาดใหญ่กว่าภูเขาก็สาดซัดเข้ามาดังสนั่นหวั่นไหว กัปตันและต้นกลถูกซัดกระเด็นไปฟุบอยู่หัวเรือ โชคดีเหนี่ยวประตูเคบินแห่งหนึ่งไว้ได้ ส่วน ร.ท.ประยูรกระเด็นออกไปนอกทะเลลึกหายวับไปกับตา

เมื่อคลื่นยักษ์ผ่านไปแล้ว กัปตันพยายามมองฝ่าไปในทะเลที่กำลังเป็นบ้า เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของต้นเรือ เขาก็น้ำตาคลอ กระทำพิธีส่งวิญญาณทั้งที่ตัวเองเปียกโชกไปหมดด้วยน้ำทะเล พรางพึมพำว่า ต้นเรือได้ปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองผู้โดยสารถูกต้องแล้ว แต่ตัวเองกลับต้องเสียชีวิตลง เขาร้องออกมาเป็นคำสุดท้ายว่า มายก็อด! พระเจ้าไม่ช่วยชีวิตต้นเรือของข้าพเจ้าเสียเลย

ขาดคำของกัปตัน คลื่นมหึมาอีกลูกหนึ่งก็ซัดตึงเข้ามาที่กัปตันซ้ำ กัปตันกระเด็นไปทางหนึ่ง เมื่อลุกขึ้นมาได้ กัปตันขยี้ตาโดยไม่เชื่อสายตาของเขาเอง ร่างๆหนึ่งที่คลื่นซัดเข้ามานั้น เป็นร่างของมนุษย์ที่ยังเป็นๆ แต่เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง หน้าตาเกือบไม่ใช่คน ปากซีดตัวสั่น นอนคว่ำหน้าอยู่ที่ปลายเท้าของเขา ร่างนั้นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก ร.ท.ประยูร ต้นเรือที่เขาทำพิธีส่งวิญญาณไปเมื่อครู่นี้เอง

เมื่อกัปตันเข้าไปพลิกตัว ต้นเรือก็ลืมตาขึ้นพลางถามว่า กัปตันและต้นกลปลอดภัยหรือ กัปตันกอดเขา และตอบด้วยเสียงกระเส่าว่า พระเจ้าส่งท่านกลับคืนมาเป็นต้นเรืออีกแล้วละ

หลังจากตกอยู่ในศูนย์กลางของไต้ฝุ่นถึง ๒๐ กว่าชั่วโมง ฟ้าก็สว่าง แดดส่องจ้า เรือผ่านสมุทรก็รอดพ้นอันตรายมาได้ในสภาพที่เอียกระเท่เร่ เสากระโดงหักสะบั้น เรือโบ๊ตทุกลำแตกละเอียดหมด ประตูหน้าต่างเคบินหักวินาศ

เมื่อพยายามถูลู่ถูกังไปจนถึงฮ่องกง แทนที่จะสาปแช่งต้นเรือ พวกผู้โดยสารชาวจีนกลับพากันกราบไหว้อยู่แทบเท้าของ ต้นเรือ ร.ท.ประยูร ในฐานะที่เอาพวกเขาไปขังไว้ จนรอดตายกันถ้วนหน้าและเรี่ยไรเงินจ้างคณะงิ้วชื่อดัง ของฮ่องกงมาแสดงที่ปากเรือ ๓ วัน เพื่อเป็นการแก้บน

รูปภาพ

:b45: ต้นเรือผู้นั้นคือ จอมพลเรือหลวงยุทธศาสตร์โกศล
อดีตผู้บัญชาการทหารเรือนั่นเอง


ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
๑. คำว่า บุญ แปลว่า สะอาด ผุดผ่อง เมื่อกล่าวตามหลัก พระพุทธศาสนาอาจแบ่งความหมายได้เป็น ๓ ประการคือ
๑.๑ เมื่อกล่าวโดยสภาพของจิต ได้แก่ ความบริสุทธิ์สะอาดผ่องใสแห่งจิต
๑.๒ เมื่อกล่าวโดยเหตุ ได้แก่ การทำคุณงามความดีทุกอย่าง
๑.๓ เมื่อกล่าวโดยผล ได้แก่ ความสุข

๒. ทุกชีวิตต่างตกอยู่ใต้อิทธิพลของธรรมชาติ ต่างเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน มีทุกข์ร่วมกัน คือ ต้องแก่ เจ็บ ตาย กันถ้วนหน้า ดังนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นอกจากการช่วยเหลือและแบ่งปันซึ่งกันและกันแล้ว สัตว์ทั้งปวงหามีที่พึ่งอื่นไม่

๓. ผู้ที่ใจสูงย่อมช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังแม้เพียงคำขอบใจ หวังเพียงให้ผู้ที่มีทุกข์ได้พ้นจากทุกข์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อทำเหตุแล้ว แม้จะไม่หวังผล ผลทีสมควรแก่เหตุที่ทำย่อมเกิดเอง เรื่องที่จะนำมาเสนอนี้ย่อมเป็นอุทาหรณ์ว่า การช่วยเหลือผู้อื่นเท่ากับช่วยเหลือตนเอง

:b49: :b49: :b49: :b49: :b49:

:b8: จากหนังสือ กรรมลิขิต โดยธัมมวัฑโฒ ภิกขุ วัดโสมนัสวิหาร

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 20:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านเรื่องต้นเรื่องแล้วประทับใจจังเรย

:b20: :b20: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
อ่านเรื่องต้นเรื่องแล้วประทับใจจังเรย

:b20: :b20: :b20:


:b27: ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ เรื่อง"บุญมาวาสนาช่วย"นี้ดิฉันพิมพ์ไว้เป็นปีแล้วค่ะที่เวปอื่น นึกขึ้นได้ก็เลยไปก๊อปมาให้อ่านกันค่ะ เอามาจากหนังสือที่พ่อของดิฉันเก็บไว้ ดิฉันอ่านแล้วว่าน่าประทับใจและมหัศจรรย์มากๆ

ดิฉันพิมพ์เรื่อง อีกาปากเหล็กไว้ด้วยค่ะ จดจากพระอาจารย์เจ้าของเรื่องเล่าให้ฟังเองเลยนะคะ พิมพ์ไว้ที่เวป
อื่นอีกเหมือนกันค่ะ ก๊อปมาให้อ่านกันต่ออีกเรื่องนึงนะคะ เรื่องนี้สนุกมากๆ ค่ะ


:b8: พระอาจารย์เจ้าของเรื่องอีกาปากเหล็กค่ะ

:b8: ขอบคุณภาพทุ่งนากลางกรุงท่อประปาแตกจากเวป manager online ค่ะ

รูปภาพ

รูปภาพ

:b55: อีกาปากเหล็ก

เป็นเรื่องราวในอดีตของพระรูปหนึ่ง เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ขณะนั้นท่านอายุได้ ๘ ขวบ อาศัยอยู่ที่จังหวัดอยุธยา กับตายาย และน้องชายอายุ ๔ ขวบ ส่วนพี่ชายท่านและน้องชายท่านอีกคนอาศัยอยู่กรุงเทพฯ

ขณะนั้นเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ พี่ชายคนโต และน้องชายท่านอีกคนก็มาอยู่ด้วยที่บ้านตากับยาย บ้านตายายอยู่ริมคลอง ข้างหลังบ้านเป็นป่าละเมาะ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ

ก่อนปิดเทอมมีอยู่วันหนึ่งที่โรงเรียน เพื่อนของท่านได้นำหนังสืออ่านเล่นมาให้เพื่อนๆ อ่านกัน ในหนังสือหลายเล่มนั้น มีเล่มหนึ่งเนื้อหาในหนังสือกล่าวถึงเรื่องศีล ๕ ท่านก็อ่านไป แต่ท่านมาสะดุดใจตรง ศีลข้อ ๓ ซึ่งมีการทำโทษในนรก มีอีกาปากเหล็ก ใครที่ปีนต้นงิ้ว ก็จะมีหนามเหล็ก ๑ องคุลี(สะกดผิดขอโทษนะค่ะ เดี๋ยวจะไปหาดูให้ถูกต้องค่ะ) หนามงิ้วมีกลไกอัตโนมัติ เมื่อมีคนปีน หนามมันจะเด้งออกมา ไม่มีใครปีนหนามมันจะลู่ไปกับลำต้น นายนิรบาลก็จะเอาหอกทิ่มๆให้คนปีน พอปีนถึงยอดไม้แล้ว ก็จะมีอีกาปากเหล็ก คอยจิกไล่ให้ปีนลงมา ท่านในขณะนั้นอ่านแล้วก็สนใจมาก ตรงอีกาปากเหล็กว่ามีจริงหรือ แล้วอีกาหลังบ้านเราก็มี เพราะท่านเห็นฝูงกามากินซากสัตว์จากโรงฆ่าสัตว์ ที่หลังบ้านท่านอีกด้านหนึ่งเป็นโรงฆ่าสัตว์ จะมีฝูงกามากินซากสัตว์ให้เห็นเป็นประจำ

ในขณะนั้นท่านเป็นยังเป็นเด็ก ก็ยังไม่เข้าใจ ก็เก็บความสงสัยเรื่องอีกาปากเหล็กไว้ ท่านก็นึกสงสัยในใจถึงเรื่องอีกาปากเหล็กว่า ไอ้หลังบ้านเรามีนกนานาชนิด ท่านจึงได้ชวนน้องชาย ในตอนกลางวันของวันหนึ่งในช่วงปิดเทอมนั้น ท่านซึ่งขณะนั้นอายุ ๘ ขวบ ได้จูงมือน้องชายคนเล็กอายุ ๔ ขวบ ชวนกันกับน้องชายสองคนไปเดินหลังบ้าน จะดูอีกาปากเหล็กว่ามีมั้ย พอจะถึงต้นไผ่ ท่านก็ตะโกนเล่นๆว่า อีกาปากเหล็ก อีกาปากเหล็กๆๆ

ทันใดนั้นท่านและน้องชายก็ได้ยินเสียงเหมือนของใหญ่ๆ ตกลงมาบนพื้นดิน ดังตุบ หล่นมาใกล้ๆตัวท่านและน้องชาย จนแผ่นดินสั่นสะเทือน ปรากฏว่าได้มีนกขนาดใหญ่ สีดำ ปากเป็นเหล็ก สูงเท่ายอดไผ่ อยู่เบื้องหน้าท่าน ห่างจากท่านไปไม่กี่เมตร ท่านและน้องขยับตัวไม่ได้เลย ยืนตัวแข็งกันอยู่อย่างนั้น สักพักนึง นกยักษ์นั้นก็หายไป

น้องชายของท่านมองไม่เห็น แต่ท่านเห็นคนเดียว แต่น้องชายนั้นรู้แต่ว่า ของอะไรตกมาจากฟ้าใกล้ๆตัว จนแผ่นสะเทือนน่ากลัวมาก ท่านก็กลับไปเล่าให้พี่ชายและน้องชายของท่านคนที่ไม่ได้ไปด้วยฟัง

รุ่งขึ้นอีกวัน พี่น้องทั้ง ๔ คน ก็เข้าไปในป่าหลังบ้านอีกครั้ง เพื่อดูอีกาปากเหล็กกัน พอท่านเดินไปถึงที่เดิม ก็ร้องตะโกนเรียกเหมือนเดิมอีก อีกาปากเหล็ก อีกาปากเหล็ก ก็มีของใหญ่ๆหล่นมาใกล้ตัวท่านและพี่น้องอีกเหมือนเมื่อวาน แผ่นดินสะเทือนน่ากลัวมาก พี่น้องทั้งสี่มองดูว่ามีอะไรตกลงมามั้ย ไม่มี มีแต่เสียงของใหญ่ๆตกลงมาดังตุบ จนแผ่นดินสะเทือนเท่านั้น

พระท่านได้อธิบายให้ฟังว่า หมา อีกา สัตว์ที่ทำโทษคนในนรกนั้น แท้ที่จริงแล้ว เป็นเทวดาชั้นจาตุมฯ แปลงกายมาช่วยทำงานในนรก มีอิทธิฤทธิ์ สามารถที่จะทำให้เราเห็นท่านได้ เนื่องจากท่านก็เป็นโอปปาติกะ ท่านต้องการให้ใครได้เห็นท่านก็ปรับคลื่นให้คนที่ต้องการให้เห็น ได้เห็น สามารถบันดาลให้แผ่นดินสะเทือน และอีกพวกหนึ่งที่สามารถเห็นท่านได้คือผู้ที่ได้ฌานได้อภิญญา

แต่ขณะนั้น หลวงพ่ออายุแค่ ๘ขวบ ร้องเรียก อีกาปากเหล็กเล่นๆ ท่านก็มาให้เห็นจริงจะได้หายสงสัย หลวงพ่อท่านว่า ท่านเชื่อเรื่องนรกสวรรค์จริงๆ ใครไม่เชื่อ เดี๋ยวตายไปก็รู้เอง ท่านบอกทิ้งท้ายเรื่องไว้อย่างนี้ค่ะ

รูปภาพ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 21:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:

พระท่านได้อธิบายให้ฟังว่า หมา อีกา สัตว์ที่ทำโทษคนในนรกนั้น แท้ที่จริงแล้ว เป็นเทวดาชั้นจาตุมฯ แปลงกายมาช่วยทำงานในนรก มีอิทธิฤทธิ์ สามารถที่จะทำให้เราเห็นท่านได้ เนื่องจากท่านก็เป็นโอปปาติกะ ท่านต้องการให้ใครได้เห็นท่านก็ปรับคลื่นให้คนที่ต้องการให้เห็น ได้เห็น สามารถบันดาลให้แผ่นดินสะเทือน และอีกพวกหนึ่งที่สามารถเห็นท่านได้คือผู้ที่ได้ฌานได้อภิญญา



:b1: :b20: :b20: :b20: :b1:

:b8: :b8: :b8:

ขอบคุณ เรื่องที่คุณโสมเอามาเล่าให้ฟัง...ดีมากเลย

ทำให้เอกอนเองก็พอจะได้เข้าใจอะไรบางอย่างชัดเจนขึ้นบ้าง...

:b1: :b1: :b1:

เอกอนมีความเห็น เข้าใจในลักษณะเช่นนี้มานานแล้ว
เกี่ยวกับเรื่องเทวดาชั้นต่าง ๆ ที่ต่างก็ไปทำภาระกิจในที่ต่าง ๆ
และการจำแลงปรากฎให้มนุษย์เห็นในลักษณะต่าง ๆ

ก็ตอนที่เห็น...สิ่งที่มาปรากฎตอนที่พ่อเอกอนเสีย...นั่นล่ะ
เพราะทันทีที่เห็นเราก็จะรู้ความไปเป็นของสิ่งที่เห็น...

...

เหมือนเราเป็นผู้บริโภค เราจะไม่รู้ระบบสายงานในบริษัทซีพีออลล์...
ว่าเขามีการบริหารจัดการกันอย่างไร จนสินค้ามาถึงมือเรา
แต่เมื่อเราได้เข้าไปเป็นพนักงาน แม้เราจะเป็นแค่เด็กร้าน
แต่เราก็จะเห็นภาพสายการบริหารงานของบริษัท...

ซึ่ง...สิ่งที่ปรากฏ...เป็นองค์ประกอบโครงสร้างอะไรต่าง ๆ นานาในนรกนั้น
บางครั้งก็เป็น...การจำแลงไปทำหน้าที่ของเทวดาที่มีคุณธรรม...

:b20: :b8: :b8: :b8: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2013, 23:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง ในปี 2526 มีบุคคล หนึ่งได้เข้าปฺฏิบัติธรรมที่ กรุงเทพ...... แถว.........เป็นการปฏิบัติแนวสติปัฏฐาน 4 โดยไม่เจตนาเพราะหลังสอบ summer ที่ ม. รามคำแหง รู้สึกเครียดจึงอยากพักผ่อน ในขณะนั้นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่นี่ มีชื่อเสียง จึงอยากจะเข้าพักผ่อน แต่เนื่องจากระเบียบลำนัก ไม่ให้พักอย่างเดียว ต้องปฏิบัติธรรมด้วย จึงสมัครเข้าปฏิบัติ 7 วัน พร้อมเพื่อนอีกคน การปฏิบัติก็ไม่มีอะไรมาก เพราะเพิ่งเริ่มต้น แต่สิ่งหนึ่งที่แปลกใจคือ วันแรกพระอาจารย์เรียก เข้าพบและชวนสนทนา เหมือนมีความคุ้นเคยมานาน และบอกว่าต่อไปให้ไปปฏิบัติธรรมที่ภาคเหนือ ก่อนกลับพระอาจารย์ยังบอกว่าท่านจะขึ้นไปข้างบนและไม่ลงมาอีก ซึ่งฟังแล้วก็ยังงงๆ หลังจากนั้นบุคคลดังกล่าวก็เข้าปฏิบัติต่อเนื่อง จนกระทั่ง 5 ปีผ่านไป วันหนึ่งพระอาจารย์ก็เรียกบุคคลนั้นพร้อมเพื่อนเข้าไปพบและถามผลการปฏิบัติ พอดีเพื่อนบอกว่านั่งสมาธิแล้วเห็นว่ามีสิ่งหนึ่งเคลื่อนเข้าตัว พระอาจารย์คงดูอุปนิสัยแล้วเห็นว่าคงไม่หลงแน่ จึงบอกว่า อยากรู้หรือไม่ว่าคืออะไร ท่านจึงให้ท่อง............. และอธิษฐานดู บุคคลดังกล่าวท่องและดูอย่างไรก็ไม่เห็น เพื่อนก็ไม่เห็น ทำกี่ครั้งก็ไม่เห็น ช่วงหนึ่ง บุคคลดังกล่าวจึงคิดได้ว่าการจะรู้อะไรน่าจะต้องค่อยนำจิตไปสัมผัสสิ่งนั้นก่อน แล้วค่อยถอนกลับมาที่ตัวเอง ซึ่งทั้งการเข้าไปสัมผัสและถอนกลับต้องมีสติกำกับอย่างต่อเนื่องด้วยใจเป็นกลาง บุคคลจึงลองทำดู โดยท่อง.......และนำความรู้สึกไปกระทบตัวเพื่อนและถอยกลับมาที่ตนเอง ปรากฏว่าเกิดภาพ ขึ้นทันที และนี่คือจึงเป็นการเริ่มต้นของการสัมผัสเห็นของบุคคลนั้น ภาพที่เห็นเกิดและดับเร็วมาก เห็นประมาณ 2 วินาที และได้มีการพิสูจน์ในหลายกรณี เช่น กรณี ภพภูมิละเอียด ของหาย อนาคต ซึ่งบุคคลนั้น ได้มีการสอบทานการเห็นเพื่อการศึกษา การแปลภาพ เพราะบางครั้งภาพที่เห็นต้องมีการแปล จะเชื่อไม่ได้เพราะอาจเป็นนิมิตหลอกก็ได้

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เพื่อนสตรีที่รู้จักของบุคคลนั้นที่ไปทำบุญ หลังจากกลับมาก็มาถามว่าตายไปแล้วจะไปใหน บุคคลนั้นลองอธิษฐานดู ปรากฏว่าได้เข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่งบรรยากาศสะหยดสยอง เป็นภูเขาสูง มีคน 2 คนใส่โจงกระเบนแบบสั้นไม่สวมเสื้อกำลังจับชายคนหนึ่งโยนลงมาจากภูเขาพอมองตามลงมาก็เห็นชายที่ถูกโยน ถูกหินที่มีลักษณะเหมือนปากฉลามเสียบกลางตัวร้องโหยหวนด้วยความสยดสยอง ความโหดร้ายในโลกนี้ไม่ได้เศษเสี้ยวของดินแดนนั้น บุคคลที่อธิษฐานดูนั้นพยายามนึกในใจว่าไม่ใช่ต้องการดูเพื่อนสตรี และแล้วจิตก็เคลื่อนเข้าสู่สถานที่แห่งหนึ่งมีเปลวไฟสูงถึงหน้าอก จนสัมผัสความร้อนแรงได้ เหงื่อเริ่มซึมออกมามาก หัวใจเต้นแรงเพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าจะพบกับอะไรอีก และแล้วก็ได้เห็นต้นไม้เรียงรายอยู่ดูไกลๆก็ธรรมดา แต่พอเข้าใกล้ต้องตกใจเพราะมีคนไม่ใส่เสื้อผ้าหันหลังกำลังปีนต้นไม้นั้นอยู่ ซึ่งขณะนั้นเห็นรูปร่างก็รู้ทันทีว่าเป็นเพื่อน และแล้วหนามแหลมก็พุ่งออกมาจากลำต้น กระซวกเข้าที่กลางลำตัว เลือดแดงไหลพุ่งออกมามีเสียงกรีดร้องโหยหวน ร่างนั้นครูดลงมาและแล้วก็เห็นชายไม่ใส่เสื้อเอาหอกแทงกลางหลัง โดยมีหมาตัวใหญ่ผอมกระโดดขย้ำที่ขา ทำให้เพื่อนสตรีต้องรีบปีนขึ้นไป และแล้วก็มีนกตัวใหญ่สีดำปากคมกริบบินโฉบลงมาพร้อมจิกไปที่ลำคอ ภาพที่เห็นเกิดขึ้นต่อเนื่องเหมือน ดูหนัง บุคคลนั้นต้องถอนจิตออกมา แต่จิตไม่ยอมออกกลับดิ่งลงไปเห็นสายน้ำสีส้มดูไปก็เหมือนแม่น้ำฤดูน้ำหลาก แต่แม่น้ำแห่งนั้นมีคนลอยคอร้องโหยหวน บางคนละลายจมลง บ้างไฟลุกพรึบมอดไห้มอย่างรวดเร็ว อนิจจาทำกรรมอะไรหนอถึงเผ็ดร้อนรุนแรงเยี่ยงนี้ พอลืมตาขึ้นเพื่อนสตรีก็ถามว่าเขาจะได้ไปอยู่สวรรค์ชั้นใหน บุคคลนั้นพูดไม่ออกเพียงบอกว่าขอให้ทำบุญมากๆ ต่อมาบุคคลนั้นก็ได้ทราบข่าวจากเพื่อนคนอื่นว่าสามีของเพื่อนสตรีท่านนี้ไปมีหญิงอื่น ทำให้เพื่อนสตรีเสียใจและประชดชีวิตในลักษณะเดียวกัน ต่อมาอีก 6 ปีก็ได้ข่าวว่าเพื่อนสตรีท่านนี้เสียชีวิตเพราะถูกรถบบรทุกชน ขอให้ดวงวิญญาณของเธอจงพ้นจากทุกข์โดยเร็ว

เดี๋ยวนี้ บุคคลนั้นไม่ได้อธิษฐานดูแล้ว เพราะเมื่อศึกษาทราบความจริงแล้วก็ละ และไม่ใช่แนวทางพ้นทุกข์ เพียงแต่เห็นว่าเรื่องดังกล่าวเหมือนโพสต์ข้างบนเลยนำเรื่องของบุคคลนั้นมาเล่าสู่กันฟัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2013, 23:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

กรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2013, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอบคุณค่ะคุณเอกอน คุณsuttiyan และทุกๆ ท่าน ค่ะ

รูปภาพ

จากhttps://www.facebook.com/photo.php?fbid=669449449745885&set=a.448877801803052.105854.437152806308885&type=1&theater

:b49: :b49: :b49: :b49: :b49: :b49: :b49: :b49:

ทำได้ลงคอ

ในอดีต พระเจ้าพาราณสีทรงโปรดสุรามาก ขาดสุราเสียก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตไปได้ แม้อาหารที่ไม่มีเนื้อก็ไม่สามารถบริโภคได้ ที่พระนครไม่มีการฆ่าสัตว์ในวันอุโบสถ พ่อครัวซื้อเนื้อมาไว้ตั้งแต่วัน ๑๓ ค่ำ เนื้อนั้นเก็บไว้ไม่ดี สุนัขกินหมด พ่อครัวปรุงอาหารแล้วไม่กล้าถวายพระราชา จึงไปทูลขอคำแนะนำจากพระเทวี

พระเทวีตรัสว่า พระราชาทรงโปรดโอรสของเรามาก ขณะที่ทรงหยอกล้อโอรสของเรา ท่านค่อยนำพระกระยาหารไปถวาย พระเทวีตรัสแล้วก็ตกแต่งพระกุมาร แล้วให้นั่งบนพระเพลาของพระราชา

ขณะที่พระราชาทรงหยอกล้อกับพระโอรส พ่อครัวก็นำพระกระยาหารเข้าไปถวาย พระราชาทรงเมาสุรา ไม่ทรงเห็นเนื้อในถาด ตรัสถามว่า เนื้ออยู่ที่ไหน

พ่อครัวทูลว่า ข้าพระองค์หาเนื้อไม่ได้ วันนี้เป็นวันอุโบสถไม่มีการฆ่าสัตว์

พระราชาตรัสว่า เนื้อสำหรับเราหายากนักหรือ แล้วทรงหักคอพระโอรสที่นั่งบนเพลา จนถึงชีพิตักษัย โยนไปให้พ่อครัวและรับสั่งให้ไปปรุงมาโดยเร็ว พ่อครัวได้ทำตามรับสั่ง พระราชาก็เสวยพระกระยาหารด้วยเนื้อพระโอรส โดยไม่มีผู้ทัดทานเพราะกลัวพระราชา

รุ่งขึ้น เมื่อพระราชาทรงสร่างเมาแล้ว พระเทวีจึงทูลเรื่องที่เกิดให้ทรงทราบ พระราชาทรงกันแสงด้วยความโศกถึงพระโอรส ทรงเห็นโทษของการดื่มน้ำเมาว่า ทุกข์นี้เกิดแก่เราเพราะการดื่มน้ำเมา แล้วทรงกำฝุ่นขึ้นมาทาพระพักตร์ ทรงอธิษฐานว่า แต่นี้ไปเราจักไม่ดื่มสุรา อันทำความพินาศถึงเพียงนี้

(อรรถกถาธัมมัทธชชาดก ทุกนิบาต)

ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้

๑. คนเมาฆ่าได้แม้กระทั่งพ่อแม่หรือลูกเมียที่ตนรัก คนอื่นนอกนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

๒.แม้จะเศร้าโศกสำนึกเสียใจเมื่อหายเมาแล้ว ก็ช่วยเหลือหรือแก้ไขอะไรไม่ได้

๓.ตราบใดที่ยังไม่เลิกดื่มสุรา ตราบนั้นก็จะยังมีเรื่องที่ต้องเศร้าโศกเสียใจอยู่ร่ำไป

:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

:b8: หนังสือ กรรมลิขิต โดยธัมมวัฑโฒ ภิกขุ วัดโสมนัสวิหาร

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2013, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
รูปภาพ

ปิดทองหลังพระ

ท่านเคยท้อแท้เบื่อหน่ายในการทำความดีกันบ้างใหม่ค่ะ เช่น
ทำดีแล้วไม่ได้ดี
ทำดีแล้วไม่มีใครเห็น
ทำคุณบูชาโทษ เป็นต้น

หากทำดีโดยไม่ "ติด" ดี
ไม่ "หวัง" ดี
เพราะดีคือดี....ต้องได้ดีแน่นอน

ลองอ่านเรื่องราวต่อไปนี้ดูนะคะ

พ่อหลวง...ทรงสอนด้วยวิธีง่ายๆ ให้เราทำความดีต่อไปโดยไม่ท้อถอยและไม่หวังค่ะ
.
.
.
ในคืนวันหนึ่งของปีพ.ศ. ๒๕๑๐
(ยศในขณะนั้นพันตำรวจโท) หลังจากได้รับพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำแล้ว

ในวังไกลกังวล……..

ผมจำได้ว่า คืนนั้นผู้ที่โชคดีได้เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานพระจิตรลดา

เป็นนายตำรวจ 8 นาย และนายทหารเรือ 1 นาย

พระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงมาพร้อมด้วยกล่องใส่พระเครื่องในพระหัตถ์

ทรงอยู่ในฉลองพระองค์ชุดลำลอง

ขณะที่ทรงวางพระลงบนฝ่ามือที่ผมแบรับอยู่นั้น

ผมมีความรู้สึกว่าองค์พระร้อนเหมือนเพิ่งออกจากเตา



ภายหลัง เมื่อมีโอกาสกราบบังคมทูลถาม จึงได้ทราบว่า

พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระเครื่ององค์นั้น

ด้วยการนำเอาวัตถุมงคลหลายชนิดผสมกัน เช่น ดินจากปูชนียสถานต่างๆทั่วประเทศ

ดอกไม้ที่ประชาชนทูลเกล้าถวายในโอกาสต่างๆ และเส้นพระเจ้า(เส้นผม)ของพระองค์เอง

เมื่อผสมกันโดยใช้กาวลาเท็กซ์เป็นตัวยึดแล้ว จึงทรงกดลงในพิมพ์

(อ.ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ซึ่งต่อมาเป็นศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้แกะถวาย)

โดยไม่ได้เอาเข้าเตาเผา



หลังจากที่ได้รับพระราชทานแล้ว

ทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทมีความว่า.....

” พระที่ให้ไปน่ะ ก่อนจะเอาไปบูชา ให้ปิดทองเสียก่อน

แต่ให้ปิดเฉพาะข้างหลังพระเท่านั้น ”



……..พระราชทานพระบรมราชาธิบายด้วยว่า

ที่ให้ปิดทองหลังพระก็เพื่อเตือนตัวเองว่า

การทำความดีไม่จำเป็นต้องอวดใคร หรือประกาศให้ใครรู้

ให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่

และถือว่าความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็นบำเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว…..



ผมเอาพระเครื่องพระราชทานไปปิดทองที่หลังพระแล้ว ก็ซื้อกรอบใส่

หลังจากนั้นมา สมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินองค์นั้น

ก็เป็นพระเครื่องเพียงองค์เดียวที่ห้อยคอผม

หลังจากที่ไปเร่ร่อนปฏิบัติหน้าที่อยู่ไกลห่างพระยุคลบาท

ผมได้มีโอกาสกลับไปเฝ้าฯ ที่วังไกลกังวลอีก…..ความรู้สึกเมื่อได้เฝ้าฯ

นอกจากจะเป็นความปีติยินดีที่ได้พระยุคลบาทอีกครั้งหนึ่งแล้ว

ก็มีความน้อยใจที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ลำบาก และเผชิญอันตรายนานาชนิด

บางครั้งจนแทบเป็นอันตรายถึงชีวิต

แต่ปรากฎว่ากรมตำรวจมิได้ตอบแทนด้วยบำเหน็จใดๆ ทั้งสิ้น

ก่อนเสด็จขึ้นคืนนั้น ผมจึงก้มลงกราบบนโต๊ะเสวย แล้วกราบบังคมทูลว่า

ใคร่ขอพระราชทานอะไรสักอย่างหนึ่ง……….




……..พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า “จะเอาอะไร?”



และผมก็กราบบังคมทูลอย่างกล้าหาญชาญชัยว่า.....

จะขอพระบรมราชานุญาต ปิดทองบนหน้าพระ ที่ได้รับพระราชทานไป



พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามเหตุผลที่ผมขอปิดทองหน้าพระ…..



ผมกราบบังคมทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า พระสมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินนั้น

นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานไปห้อยคอแล้ว ต้องทำงานหนักและเหนื่อยเป็นที่สุด

เกือบได้รับอันตรายร้ายแรงก็หลายครั้ง

มิหนำซ้ำกรมตำรวจยังไม่ให้เงินเดือนขึ้นแม้แต่บาทเดียวอีกด้วย……




……พระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวจ (ยิ้ม)

ก่อนที่จะมีพระราชดำรัสตอบด้วยพระสุรเสียงที่ส่อพระเมตตาและพระกรุณาว่า

"ปิดทองไปข้างหลังพระเรื่อยๆ แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง"


ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

รูปภาพ
จากบันทึกความทรงจำของ พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร
ขอขอบคุณสนทนาธรรมของคุณไตรสรณคมน์
วันที่ 21 ม.ค. 2554 13:09
บ้านธัมมะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2013, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

ภัยทั้ง 4 นั้นคือ
1. นานาสัตถอุลโลกนภัย คือ ยังไม่พ้นจากการเคารพนับถือศาสดาต่างๆ
2. วินิปาตภัย คือ การไปเกิดในที่ไม่แน่นอน
3. อปายภัย คือ ยังไม่พ้นจากการไปเกิดในอบายภูมิ
4. ทุจริตภัย คือ ยังไม่พ้นจากการกระทำอันเป็นทุจริตต่างๆ

วิธีพ้นได้ชั่วคราว (ก่อนจะพ้นได้แน่นอนคือมรรค ผล นิพพาน)

1. นานาสัตถอุลโลกนภัย คือ ยังไม่พ้นจากการเคารพนับถือศาสดาต่างๆ แม้ในชาตินี้บางคนที่นับถือ
ศาสนาพุทธอยู่ดีๆ ยังเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิเป็นภัยอันร้ายแรงประการหนึ่ง
และชาติหน้าเราก็ยังไม่มีหลักประกันว่าชาติหน้ายังได้นับถือศาสนาพุทธอยู่หรือไม่ ท่านต้องทำการอธิษฐานจิตทุกครั้งที่ทำกุศล และอธิษฐานเรื่อยๆ ไปได้ในเวลาที่ท่านนึกถึงกุศลที่ตนเองเคยทำไว้
อธิษฐานจิตว่า ขอเกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนาทุกภพทุกชาติ ต้องการอยู่ในบรมโพธิสมภารของพระพุทธองค์ทุกภพทุกชาติจนถึงมรรค ผล นิพพาน

2. วินิปาตภัย คือ การไปเกิดในที่ไม่แน่นอนไม่มีหลักประกันว่าจะไปเกิดในภูมิเดิมอีกต่อไป
ชาตินี้เป็นมนุษย์ ชาติหน้าก็ยังไม่มีหลักประกันว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกต่อไปเหมือนเดิม
ท่านจะต้องอาศัยสติเพื่อให้พ้นจากภัยข้อนี้ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่า
จงดำเนินงานให้จิตท่องเที่ยวอยู่ในฐานทั้ง 4 เมื่อนั้นย่อมอาศัยมีจิตที่ท่องเที่ยวในฐานกาย เวทนา จิต ธรรม มีภพภูมที่ดีเป็นที่หวังได้ วันนี้ท่านมีการเบียดเบียนกายใจ อยู่หรือไม่ ถ้ายังเบียดเบียดกายใจตนเองอยู่ตลอดเวลา เป็นการอยู่ของผู้ที่อยู่ในอบายภูมิ ขาดสติอยู่ท่านก็ไม่พ้นภัยในข้อนี้ จะมีภพภูมิที่ดีได้จากนี้ ท่านต้องมีสติท่องเที่ยวในฐานทั้ง4 คือสติปัฏฐาน4 หากวันนี้ยังท่องเที่ยวในฐานทั้ง 4 อยู่ ก็บอกได้ว่าท่านก็มีภพภูมิที่ดีเป็นที่หวังได้

3. อปายภัย คือ ยังไม่พ้นจากการไปเกิดในอบายภูมิ ส่วนใหญ่อาศัยกันอยู่ในอบายภูมิเป็นส่วนใหญ่นานๆ สักครั้งจะเกิดขึ้นมาในกามสุคติภูมิสักครั้งหนึ่ง ผู้มีโทสะแรงนั้นอนุมานได้ว่าเพิ่งพ้นมาจากอบายภูมิมาใหม่ๆ คือชาตินี้เพิ่งมาเกิดในสุคติ จึงเป็นผู้ทำอกุศลง่ายๆ ทำกุศลเป็นเรื่องยาก เพราะเหตุว่าเพิ่งพ้นมาจากอบาย จึงไม่สามารถปิดอบายภูมิได้เลยในชาติต่อไป ซึ่งเป็นภัยที่ร้ายแรงที่ไม่อาจจะพ้นได้ หากไม่สามารถรู้เท่าทันในอารมณ์ ในกรรม ในวิปากของตน ก็ยังสั่งสมกรรมอันเป็นอกุศลที่ทำง่ายต่อไป ท่านจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่อง กรรม วิปาก และรู้เท่าทันในอารมณ์ที่เกิดขึ้น เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม ยอมรับเมื่อวิปากส่งผลและกระทำกรรมดีสั่งสมต่อไป เพื่อให้พ้นอปายภัย ซึ่งเป็นภัยที่ร้ายแรงน่ากลัวมากๆ ค่ะ
ผู้ที่ปิดอบายภูมิได้แน่นอนนั้นคือ พระโสดาบัน ไม่ข้องเกี่ยวกับอบายภูมิอีกต่อไปแล้ว ประหาณเป็นสมุทเฉจ แต่ผู้ที่ยังเป็นคนธรรมดานั้น ก็ยังต้องข้องเกี่ยวกับอบายภูมิอยู่แม้จะพ้นไปได้ก็พ้นได้แค่ชั่วคราวเป็นตทังคะ

4. ทุจริตภัย คือ ยังไม่พ้นจากการกระทำอันเป็นทุจริตต่างๆ เป็นการบอกถึงว่าชาตินี้ท่านมีสุจริตกายวาจา
ใจ ในบางครั้งบางคราวเป็นตทังคะ หากขณะทำกุศลยังมีบริวารเป็นอกุศลอยู่หรือไม่ อกุศลจะมีกำลังแรง
กว่าอกุศลเกิดตามลำพัง( อกุศลที่เกิดในขณะทำกุศล ) จึงต้องมีสติในขณะทำกุศล รู้จักการทำกุศลอย่างไรให้บริวารที่เป็นอกุศลแทรกไม่ได้ สร้างกาย วาจา ใจ ที่เป็นสุจริต ด้วยการมีอินทริยสังวรศีล มีสติใน
การทำกุศลละอกุศล คนส่วนใหญ่ทำกุศลแต่ไม่ได้ละอกุศลไปพร้อมๆ กัน บางคนทำกุศลด้วยการหวังอยากได้สิ่งต่างๆ ขอให้ได้สิ่งที่ตนต้องการจากการทำกุศล จึงเกิดอกุศลไปพร้อมๆ กับการทำกุศล
ต้องอาศัยการทำกุศลได้อย่างถูกต้อง และอาศัยอธิษฐานจิตให้มีกาย วาจา ใจที่สุจริต เป็นอุปนิสัยในทุกภพทุกชาติตราบจนถึงมรรค ผล นิพพาน

:b27: ขอให้หนีให้พ้นกันนะคะ แม้จะหนีแค่ตทังคะ แบบชั่วครั้งชั่วคราวแค่นี้ ก็ยังเอาตัวรอดยากเลยค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2013, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อตอนตี 3 ของวันนี้ดิฉันฝันแบบเหมือนจริงมากค่ะ ฝันว่าตนเองกำลังนั่งเลี้ยงลูกอยู่ที่ระเบียงหลังบ้าน
ปรากฏว่ามีเหมือนขาสีขาวซีดคู่หนึ่งยาวมากแค่ขาก็ยาวเลยหลังคาไปแล้ว คือเห็นแต่ขา แต่ก็ไม่แน่ใจว่า
เป็นขา ในฝันนั้นนั่งสังเกตอยู่นานไม่แน่ใจว่าคืออะไรในตอนแรกเพราะมันมีบางช่วงลีบเล็กบางช่วงก็เรียวผอม
แต่ก็เป็นส่วนที่ใหญ่กว่า คือมันไม่ใหญ่เสมอกันในความเรียวของขานั้น บางช่วงก็ลีบกว่า จึงดูไม่ค่อย
เหมือนขาคนเหมือนกิ่งไม้ที่เล็กใหญ่ไม่เท่ากันทั้งกิ่งบางช่วงเล็กบางช่วงลีบใหญ่กว่า

ขาคู่นี้ยืนอยู่แบบนั้นเห็นแต่ขา พอดิฉันสังเกตแน่ใจแล้วว่า น่าจะเป็นขาของเปรต ในฝันนั้นดิฉันก็แบ่งบุญ
ให้ทันที แต่พูดไม่ถนัดมันเหมือนปากนั้นหนักมาก พูดลำบากมากก็ฝืนเค้นพูดออกไปแบบตะกุกตะกักไม่ถนัด
ว่า แบ่งบุญให้หมดเลยไปได้แล้ว ก็มีการลุ้นแล้วในฝันตอนนี้ เพราะขาคู่นั้นขยับแล้วมีการโน้มตัวลงมาเห็น
เป็นคน เป็นผู้หญิงสาวผมหยิกยาวแต่งชุดนักศึกษาเสื้อเชิ้ตขาวกระโปรงดำก้มตัวลงพร้อมกับไหว้ขอบคุณ
แล้วก็หายไป เมื่อเห็นขนาดนี้ดิฉันก็ฝืนตะโกนออกไปอีกว่า แบ่งให้หมดเลยไม่มีส่วนเหลือ ก็รู้สึกตัวเอง
กำลังนอนตะโกนอยู่บนเตียง รู้สึกว่าเป็นความฝันที่เป็นเรื่องราวที่เหมือนจริงเหมือนไม่ใช่ความฝันค่ะ

รูปภาพ

เล่าให้อาจารย์ฟังในตอนบ่ายของวันนี้ ได้รับความเข้าใจเพิ่มเติมว่า เปรตสามารถมาขอส่วนบุญในฝันได้
เพราะในสภาพปกตินั้นเค้าไม่สามารถสื่อสารกับเราได้ ต้องในขณะนอนหลับจิตเราลงภวังค์ เค้าก็มาจูน
เราขึ้นวิถีจิตด้วยการมาทำให้ภวังค์เราไหว แล้วจิตของเราก็ขึ้นวิถีจิตติดต่อกับเค้าได้ค่ะ ไม่มีอะไรมารบ
กวนคลื่นในการสื่อสารต่อกันได้ค่ะ เพราะในฝันนั้นก็เหมือนเรื่องราวปกติค่ะ

ต้องขอขอบคุณแม่หนูคนนี้ที่มาในฝัน เพราะลุงคนก่อนหน้านั้นมาให้เห็นกันสดๆ ไม่ไหวจะเคลียร์ค่ะ :b19:
ลืมตาขึ้นมาเห็นลุงยืนอยู่กลางห้องตอนดึกๆ ไฟสว่างทั้งห้องเพราะไม่ได้ดับไฟนอน เห็นกันจะๆ เต็มๆ ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2014, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


คุยเรื่องความฝันกันค่ะ ก่อนนอนนั้นคนมักพูดกันว่า ราตรีสวัสดิ์ฝันดีนะคะ
ถ้าเราไม่เข้าใจพระธรรมก็ว่า เป็นสิ่งที่ดี แหม่ฝันแล้วฝันดี ที่จริงไม่ว่าจะฝันดีหรือฝันร้ายก็ตาม มีค่าเท่ากัน
ไม่ดีทั้ง ๒ อย่าง การที่คนเรามีความฝันได้ในขณะหลับนั้น คือการนอนหลับไม่สนิท ถ้านอนหลับไม่สนิทจะฝัน แต่ถ้านอนหลับสนิทจิตจะตกลงสู่ภวังค์ในขณะนั้นจิตไปรู้อารมณ์เก่าในอดีต ซึ่ง ณ ขณะนั้นเราจะไม่รับรู้อะไรเลยคือ หลับสนิทนั่นเอง เช่นบางคนรู้สึกตัวอีกครั้งก็เช้าแล้ว เหมือนจิตเราหายไปแป๊บเดียว บางคนก็รู้สึกว่า ราตรีนี้ยาวนานแสนทรมานนักเพราะนอนไม่หลับ หรือหลับๆ ตื่นๆ รู้สึกอ่อนเพลีย

การที่เราหลับแล้วฝันนั้น ไม่ว่าจะฝันดีหรือร้ายนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ดีทั้ง ๒ อย่างเพราะว่า เราจะฝันถึงสิ่งใดก็แล้วแต่ จิตเราต้องหมกมุ่นอยู่ในสิ่งนั้น เป็นโมหะคือความหลง เช่น หลงรักใครก็เก็บเอาเค้ามาฝัน บางคนชอบดาราคนโน้นคนนี้เป็นพิเศษก็ฝันถึงดาราก็มีค่ะ

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ปุถุชนมีความเป็นอยู่เหมือนคนบ้า
คือ ขาดสติสัมปชัญญะเพราะมีโมหะมาก ขาดการโยนิโสมนสิการ ในขณะรับรู้อารมณ์ทางทวารทั้งหกนั่นเอง อารมณ์ที่สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ ก็ได้แก่ความฝันเป็นต้น ความฝันจัดเป็นธัมมารมณ์ เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นทางใจ คืออายตนะที่๖ ในขณะที่นอนหลับไม่สนิท

แต่ก็มีฝันอย่างหนึ่งที่เกิดจากการดลบันดาลของผู้อื่น เช่น เทวดามาเข้าฝันบ้าง หรือเปรตมาขอส่วนบุญบ้าง หรือบางท่านอาจจะเห็นพญานาคได้ชัดเจนใกล้ชิดในฝัน เรียกว่าจ้องตากับพญานาคก็มีค่ะ ผู้ที่ฝันในขณะนั้นจะมีความรู้สึกเหมือนโลกแห่งความจริง ในความฝันนั้นจะไม่สับสนวุ่นวาย การฝันเหล่านี้เกิดจากอำนาจของผู้อื่นที่จิตมีอำนาจเหนือกว่าเรา สามารถดลบันดาลให้เราฝันได้ค่ะ

ผู้ที่หลับแล้วไม่ฝัน คือ พระอรหันต์ พระอรหันต์นอนหลับแล้วจะไม่ฝันค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2014, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโสมเขียน

อ้างคำพูด:
คุยเรื่องความฝันกันค่ะ




แต่ก่อน เราเป็นคนที่ไม่เคยสนใจเรื่องความฝันเลยค่ะ แต่พอเริ่มสนใจศึกษาธรรมะ
เรามีความรู้สึกว่า จริงๆแล้วความฝันไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไร้สาระเสมอไป
โดยเฉพาะก่อนนอน ถ้าจิตของเรานึกถึงแต่เรื่องที่เป็นธรรมะ

เราจะเล่าความฝันให้ฟังเรื่องหนึ่งค่ะ ตอนนั้นเราสนใจที่จะปลูกต้นหม่อนมากๆเลย
ไปหาซื้อตามร้านต้นไม้ หาอยู่นานเหมือนกัน ไม่มีร้านไหนขายเลย
เอารูปให้ดู พวกเค้าก็ไม่รู้ว่าต้นอะไร จนเราท้อไม่ไปหาซื้อแล้ว

พอตอนกลางคืนฝันเลย ฝันว่ามีผู้หญิง-ผู้ชายหลายคนนะ พวกเค้าแต่งตัว
เราบอกไม่ถูก ว่าเค้าแต่งแบบไหน มาชวนเราไปดูต้นหม่อน
บอกว่า "ป่ะจะพาไปดูต้นหม่อน" เราก็ตามไป เรามองว่าพวกเค้าเหมือนคนร่าเริง
พอไปถึงสวนเราเห็นต้นหม่อนเยอะมากๆเลย ต้นใหญ่ๆทั้งนั้นเลย
ลูกหม่อนเต็มต้นเลย เราก็เลยเด็ดลูกหม่อนมากินซิ รสชาติอย่างไง
พอเรากินเข้าไป เราก็คิด "อ๋อ!รสชาติอย่างนี้นี่เอง" ก็ตื่นขึ้นมา
ใจเราก้อนึกตำหนิตัวเอง ฟุ้งซ่านแต่เรื่องลูกหม่อน จนฝัน ไร้สาระ


พอเดินไปเปิดผ้าม่านที่ประตู มองไปที่หน้าบ้าน ก็เห็นต้นไม้ตั้งอยู่ข้างนอก4ต้น เราก็มอง
ใครเอาต้นไม้มาวางไว้ วางผิดบ้านหรือปล่าว เราก็มอง
" ห๋า!นั่นต้นหม่อนนี่นา มีลูกสีดำ-สีแดงทุกต้นเลย
แล้วสิ่งที่สำคัญคือ เป็นพันธ์ที่เราอยากจะได้ซะด้วย งงเลย!
เราไม่ได้ฝันอะไรที่เป็นเรื่งไร้สาระนี่นา ใจก็คิด
นี่เราไม่ได้ฝันนี่นา มันเป็นเรื่องความจริงนี่นา :b12:

ทีนี้ก็มาถึงเรื่อง ที่มาที่ไปของต้นหม่อนค่ะ ว่าทำไมต้นหม่อนทั้ง4ต้น
ถึงมาอยู่ที่หน้าบ้านเรา :b41: :b55: :b49:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร