วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 16:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2013, 15:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ต.ค. 2012, 10:32
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


คนเป็นนักดนตรี ครูดนตรีบาปไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2013, 18:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


panya เขียน:
คนเป็นนักดนตรี ครูดนตรีบาปไหมครับ


คุณคงจะพอรู้มาบ้างแล้ว ไม่งั้นคงไม่ถามมาอย่างนี้นะคะ อาชีพบางทีก็ไม่สามารถเลี่ยงทำอย่างอื่นได้
ก็อาจจะเลือกไปทำอาชีพอื่นแทนไม่ได้เพราะเหตุผลของแต่ละท่าน แต่ก็ขอให้ทำกุศลทุกวัน
และฝึกปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน4 ด้วยค่ะ เพราะไม่ใช่ว่าจะต้องไปทุคติภูมิทุกคน หากว่าได้สร้าง
กุศลไว้เป็นอาจิณกรรม และสามารถระลึกได้ขณะใกล้ตาย ก็สามารถพ้นไปจากอบายได้ค่ะ แต่
ก็ยังมีผลของการกระทำรอให้ผลในอนาคตอีกค่ะ ผลยังมีอยู่ แต่ยังไม่ได้รับค่ะ หากระลึกถึงกุศลได้
ในขณะที่ใกล้ตาย ดังนั้นควรทำกุศลทุกวันให้เป็นอาจิณกรรมค่ะ

การแสดงดนตรี มีโทษแน่นอนค่ะ เพราะตามธรรมดาบุคคลทั่วไปจะรู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง
นั้นยากอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ฟังเสียงเพลง ก็จะทำให้บุคคลนั้นมีความยินดีพอใจหลงใหลไปใน
กามคุณอารมณ์อีก ทำให้บุคคลที่ฟังเสียงเพลงยิ่งห่างไกลจะสภาพความเป็นจริงของปรมัตถ์ไปอีก
เพราะการฟังเพลงขณะนั้น เป็นการจูงคนออกจากปรมัตถ์ จึงเป็นการยากที่จะรู้สภาวธรรมไปอีกค่ะ

ขอให้ผู้ที่ทำงานนี้อย่าไปคิดอะไรให้มาก หากยังจำเป็นต้องประกอบอาชีพต่อไป
ทำใจสบายๆ อย่าไปย้ำคิด คิดแต่สิ่งที่เป็นกุศล ทำกุศลและมีสติให้ได้มากๆ ในแต่ละวันค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2013, 06:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


panya เขียน:
คนเป็นนักดนตรี ครูดนตรีบาปไหมครับ


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 768&Z=7822

[๕๘๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน
กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่า
ตาลบุตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ข้าพระองค์เคยได้ยินคำของนักเต้นรำ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ
กล่าวว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง
ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาผู้ร่าเริง ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อย่าเลยนายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด ท่านอย่าถามข้อนี้
กะเราเลย ฯ
[๕๙๐] แม้ครั้งที่ ๒ ... แม้ครั้งที่ ๓ พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่าตาลบุตร
ก็ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เคยได้ยินคำของ
นักเต้นรำ ผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ กล่าวว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คน
หัวเราะ รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่าม
กลางสถานมหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของ
เทวดาผู้ร่าเริง ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไร ฯ
[๕๙๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนายคามณี เราห้ามท่านไม่ได้แล้ว
ว่า อย่าเลยนายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด ท่านอย่าถามข้อนี้กะเราเลย แต่เรา
จักพยากรณ์ให้ท่าน ดูกรนายคามณี เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากราคะ
อันกิเลสเครื่องผูกคือราคะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้ง
แห่งความกำหนัด ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์
เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนสัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโทสะ อันกิเลสเครื่องผูก
คือโทสะผูกไว้ นักเต้นรำรวบรวมเข้าไว้ซึ่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ในท่ามกลาง
สถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อน
สัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากโมหะ อันกิเลสเครื่องผูกคือโมหะผูกไว้ นักเต้นรำ
ย่อมรวบรวมไว้ซึ่งธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่าม-
*กลางสถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น นักเต้นรำนั้น ตนเองก็มัวเมา
ประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท เมื่อแตกกายตายไป ย่อมบังเกิดในนรกชื่อปหาสะ
อนึ่ง ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ รื่นเริง
ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถานมหรสพ
ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชื่อปหาสะ ความ
เห็นของเขานั้นเป็นความเห็นผิด ดูกรนายคามณี ก็เราย่อมกล่าวคติสองอย่าง
คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ของบุคคลผู้มีความเห็น
ผิด ฯ
[๕๙๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พ่อบ้านนักเต้นรำนามว่า
ตาลบุตรร้องไห้สะอื้น น้ำตาไหล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรนายคามณี เราได้
ห้ามท่านแล้วมิใช่หรือว่า อย่าเลย นายคามณี ขอพักข้อนี้เสียเถิด อย่าถามข้อนี้
กะเราเลย ฯ
คามณี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ได้ร้องไห้ถึงข้อที่พระผู้มี-
*พระภาคตรัสอย่างนี้กะข้าพระองค์หรอก แต่ว่าข้าพระองค์ถูกนักเต้นรำผู้เป็นอาจารย์
และปาจารย์ก่อนๆ ล่อลวงให้หลงสิ้นกาลนานว่า นักเต้นรำคนใดทำให้คนหัวเราะ
รื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง ในท่ามกลางสถานเต้นรำ ในท่ามกลางสถาน
มหรสพ ผู้นั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาชื่อปหาสะ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศ
ธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่าเป็น
สรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบท ในสำนักของพระผู้มีพระภาคนาย
นฏคามณีนามว่าตาลบุตรได้บรรพชา ได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาคแล้ว
ท่านพระตาลบุตรอุปสมบทไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความ
เพียร มีใจแน่วแน่ ฯลฯ ก็แลท่านพระตาลบุตรเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ใน
จำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2013, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากให้ลองอ่านคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล บทนี้เพิ่มเติมค่ะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=37336

เพราะทุกอาชีพมีความผิดบาปน้อยบ้าง มากบ้างกันแน่นอน
ถ้าเลี่ยงได้เลยยิ่งดี แต่ถ้ายังต้องทำก็ให้ประกอบด้วยธรรม
เป็นครูสอนดนตรีหรือเล่นดนตรีเลี้ยงชีพ
แต่ก็ไม่ขโมยเพลงใคร ไม่ฆ่าแกงใคร
ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับสุรายาเมาก็ยิ่งได้ศีลเพิ่มเข้ามาอีก
ถ้าทำแบบนี้ได้ ใจก็ไม่เศร้าหมองในระดับหนึ่งเลยค่ะ
เป็นคนมีศีลมีธรรม มีความละอาย เกรงกลัวบาปอกุศลอยู่
เพราะคนที่ได้ไปสวรรค์ หรือ พ้นทุกข์ไม่ใช่คนที่อยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลยซะหน่อยนี่นา ใช่ไหมคะ
ทุกคนอยู่ทางโลกก็ต้องเลี้ยงชีพด้วยอาชีพสักอย่างหนึ่งแน่ๆ
ขอให้ประกอบอาชีพอย่างสุจริตไว้เป็นพื้นฐานก่อน



:b46: :b46:

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2013, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


เจริญพร

อนุโมทนาทุกความเห็นด้วยนะครับ

ตาลปุตตสูตร นักดนตรีถามว่าจะได้ไปสุคติภูมิไหม
ได้ไปเกิดในสวรรค์ไหม การประกอบอาชีพแสดง
มหรสพ ในอรรถกถาธิบาย ยังบอกไปอีกถึง มายากล
การแสดงต่างๆ ที่ทำให้คนลุ่มหลง การมีอาชีพอย่างนั้น
คือทำให้คนหลง และตัวเองก็หลง ตอนท้ายๆ พระสูตร
ตรัสถึง มิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นที่ได้ยินได้ฟังจากครูอาจารย์
สืบๆ ต่อๆ กันมาว่า เป็นนักแสดงเล่นมหรสพ จะทำให้
ไปเกิดในสุคติหรือสวรรค์ เป็นความเห็นผิด..

เทศนานี้เป็นเทศนาตรัสเฉพาะบุคคล โดยตาลปุตต มีความ
เห็นผิดคล้อยตามอาจารย์นักแสดงรุ่นก่อนๆ จึงตรัสว่า
ความเห็นผิดที่เชื่อว่า ทำหรือประกอบอาชีพนี้ จะไป
สวรรค์โดยส่วนเดียว คือจะได้ความสุขโดยส่วนเดียว
ซึ่งพุทธศาสนาไม่ได้สอนอย่างนั้น สอนให้รู้ว่า ในกาม-
สุคติภูมิ ๗ มนุษย์ ๑ เทวดา ๖ ยังติดข้องในกาม ใน
รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่ชอบที่พอใจ นั่นแปลว่า เมื่อมี
สุขตั้งอยู่ เ็ป็นฐิติสุข เมื่อความสุขแปรปรวนไป ความทุกข์
จึงปรากฏตั้งอยู่ ฯลฯ

ไม่ล่วงพ้นสุขทุกข์ไปได้ ไม่ล่วงพ้นราคะโทสะซึ่งเป็นอนุสัย
นอนเนืองเมื่อหลงยึดเอาสุขเวทนา ทุกขเวทนานั้นๆ เป็น
เราของเรา

แล้วทรงตรัสธรรมดาบุคคลประกอบกรรมทั้งกุศลและอกุศล
เมื่อยัง ทำคำจริงบ้าง คำไม่จริงบ้าง คือประกอบทั้งกุสลหรือ
อกุศล ในพระสูตรตรัสเฉพาะอกุศล คือ ทำการแสดงทำที่ตั้ง
แห่งความกำหนัด ขัดเคือง แห่งความประมาทให้กับบุคคลอื่น
ตนเองก็ยังประมาทอยู่ จึงนับ อกุศลเข้าไปไว้ แล้วชี้ให้เห็นว่า
การเข้าใจผิด ถูกอาจารย์รุ่นก่อนๆ ลวงหลอก

จะไปถึงสวรรค์หรือสุคติเข้าถึง สุขโดยส่วนเดียวย่อมไม่เป็น
ฐานะที่จะเป็นได้ จึงตรัสว่า ความเห็นผิดนี่ ย่อมนำไปสู่คติ
สองอย่าง คือนรกและสัตว์เดรัจฉาน

เหตุที่นำไปสู่คติทั้งสอง ไม่ใช่ผลเฉพาะอกุศลในทำการแสดง
เป็นมูลเหตุเท่านั้น แต่ความเห็นผิดที่เข้าใจว่า ทำให้คนอื่นหัวเราะ
ทำให้คนอื่นรัก ทำให้คนอื่นเกลียด ทำให้คนอื่นหลงไปตาม
การแสดงต่างๆ จะทำให้ตนเข้าถึงสวรรค์ อันนี้แหละ ผิด!
เข้าใจผิด ความไม่รู้ มีความเห็นผิดชนิดอย่างนี้อยู่นั่นแหละ
คือนรกแท้ๆ นั่นเอง เพราะประกอบด้วยความไม่รู้

และโดยบริบทของ กาลสมัยในเวลานั้น การแสดงนั้นๆ คง
แสดงในยามราตรี กลางค่ำกลางคืน หรือกลางวันก็ตาม
คนจำนวนมาก ก็คล้ายๆ กับคนที่หลงแสงสี เสียง ความบันเทิง
ต่างๆ (ในอรรถกถาบอกว่า นายตาลปุตต มีภรรยามากร่วมแสดง)
ทำให้คนเหมือนแมงเม่าหลงแสงสี บินหาแสงไฟจำนวนมาก
เีสียการเสียงาน ชมสุรานารี ทำชุมชนทำครอบครัว ทำสังคม
ให้ตกเป็นทาสของสื่อที่มอมเมาฯลฯ

จึงมีผลทำให้บุคคลอื่นเดือดร้อน โดยอ้อม โดยลึกซึ้ง
ซึ่งยากแก่สายตาปุถุชนธรรมดา ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงตรัสว่า
ด้วยคำจริงบ้าง คำไม่จริงบ้าง คือมีประโยชน์ก็มี ไม่มี
ประโยชน์เลยก็มี ในกรณี นักแสดงมหรสพ มายากลตามนัย
ของอรรถกถาอธิบายไว้. จึงเลี่ยงไม่ตอบถึง ๓ ครั้งทีเดียว

ส่วนความรู้ว่าการทำการแสดงมหรสพ ประกอบอาชีพนี้
ยังไม่พ้นไปจาก อบาย เพราะทำคนให้หลง ด้วยคำจริงบ้าง
ด้วยคำไม่จริงบ้าง ให้คนอื่นมีความสุขหัวเราะร้องได้ ด้วย
กรรมจากการแสดงนั้นไม่พอจะทำให้พ้นอบาย เมื่อรู้อย่างนี้
ก็ชื่อว่า มีความเห็นถูกต้อง ทำของที่คว่ำอยู่ให้หงาย
เปิดของที่ปิดอยู่ แสดงแก่ ตาลปุตต ให้รู้ตามความเป็นจริง

แล้วจะหมั่นประกอบกุศลกรรมอื่นๆ หมั่นให้ทานรักษาศีล
ภาวนา ทำให้คนอื่นไม่ตกอยู่ในที่ตั้งแห่งความประมาท
ทำตนให้ไม่ตกอยู่ในความประมาท ความรู้ความเ้ข้าใจที่
ไม่ผิดไม่คลาดเคลื่อนอย่างนี้ จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิซึ่งนำ
ออกจากอบายได้ เมื่อตรัสแสดงแก่ ตาลปุตต ให้เข้าใจ
เขาก็ขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ
แล้วก็บรรพชาออกบวช ไม่นานก็บรรลุพระอรหันต์
ตามนัยแห่งพระสูตรก็มีโดยประมาณเท่านี้


บาปเป็นผลไม่เท่ากัน คนเล่นดนตรี แสดงมายากล
ทำคนให้อยู่ในที่ตั้งแห่งความกำหนัด ขัดเคือง ประมาท
ได้เท่านาย ตาลปุตต หรือไม่ หรือมีความเชื่อความ
เห็นผิดเหมือนตาลปุตตหรือเปล่า เชื่อว่า นักดนตรี ครูดนตรี
สอนเลี้ยงชีพ สุจริตแล้ว เพียงเท่านี้ พอจะปิดอบายได้ไหม?

จะเห็นว่า การประกอบอาชีพไม่ได้เกี่ยวเนื่องพอ หรือมีเหตุปัจจัยพอ
ในการจะทำให้มีคติเป็นสองอย่างเท่ากับ ตาลปุตต เพราะว่า
ถ้าในรายครูสอนดนตรี ที่รู้ว่า ยังต้องประกอบด้วยการให้ทาน
รักษาศีล ภาวนาอีก จึงจะล่วงพ้นอบายได้ ไม่ยึดถือเห็นผิด
ชนิดเดียวกับตาลปุตตจึงจะพ้นอบาย ส่วนผู้ที่รู้แล้วว่านำคน
หมู่มาก ให้เดินทางมาถึงปากทางของอบายมุขต่างๆ หลงแสงสี
หลงความบันเทิงเริงรมณ์ต่างๆ หัวเราะและร้องไห้ มีผลทางอ้อม
ทำให้คนลุ่มหลง เผลอๆ จนติดมอมเมาต่อสิ่งที่นำเสนอด้วย
เครื่องเลี้ยงชีพ ขายคุณสมบัติ ขายรูปสมบัติ แต่ก็ไม่เป็นเหตุ
ให้ตนเองและผู้อื่นพ้นไปจากอบาย คล้ายๆ กับเมื่อตนหายจาก
ความมัวเมาประมาท ก็เหมือนนายตาลปุตต ที่เลิกแสดง
แล้วก็ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจนบรรลุพระอรหันต์ในที่สุด

กลับกันถ้าเป็นดนตรีการแสดง ที่ส่งเสริมความเห็นถูกต้อง
เป็นที่ตั้งแห่งความไม่กำหนัด ไม่ขัดเคือง ไม่ประมาท
ดนตรีก็ยังเป็นเสียงกล่อม เป็นคำร้องคำสอนที่แฝงไป
ด้วยคติธรรมก็เป็นได้ ไ่ม่จำเพาะว่า จะเป็นอกุสลไปเีสียหมด
ดนตรีก็เป็นเครื่องมือ เหมือนดาบเอาไว้ฆ่าฟันศัตรูหรือ
เอาไว้ปกป้องตนเองและคนที่เรารักก็ได้

ขึ้นอยู่กับผู้ใช้เครื่องมือหรือดนตรี ให้ประกอบกุศลหรืออกุศล
ดังนั้นผลจะเ็ป็นบุญโดยส่วนเดียว ไม่นับว่าเป็นบาปก็ไม่ได้
จะเป็นบาปโดยส่วนเดียว ไม่ันับว่าเป็นบุญก็ไม่ได้
ขึ้นอยู่กับเหตุที่เป็นกุศลหรืออกุศล ผลของบุญของบาป
ก็จะพลันแปรเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัย

ต่างจากนัยของการแสดงของตาลปุตต ที่เป็นนักแสดง
เป็นนักมายากล ได้ทรัยพ์จากชาวเมืองชาวบ้านมากมาย
หาเลี้ยงชีพเพราะเข้าใจว่า จะได้ไปสวรรค์โดยส่วนเดียว
เมื่อทำคนอื่นพอใจ นั่นเพราะเขาไม่รู้ผลที่ตามมาจาก
เหตุปัจจัยอื่นๆ คนมาดูจะเสียการเสียงานไหม ดูแล้วคิดได้
ดูแล้วคิดไม่ได้ ฟังแล้วฆ่าตัวตาย ฟังแล้วปลงไม่ปรุงแต่ง
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นการประกอบเหตุประกอบปัจจัยหลายๆ
ประการยากจะจำเพาะเจาะจงลงไปว่า บาปหรือไม่บาป
แต่เราสามารถเทียบเคียงได้ว่า จะบาปหรือไม่บาป ขึ้นอยู่
กับเหตุที่เป็นกุศลหรืออกุศลต่างๆ นั่นเอง

เจริญพร.

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2013, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:
ก่อนหน้านี้เข้ามาอ่านโยมมีความสงสัย..คิดอยู่จะถามใครดี?
แต่ตอนนี้หมดความสงสัยแล้วเจ้าค่ะ :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2013, 06:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
กราบนมัสการค่ะ ท่านพุทธฏีกา
โยมขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านค่ะ
ขออนุโมทนาบุญกับท่านที่มาตอบคำถามและทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยค่ะ
:b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2013, 12:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2013, 11:46
โพสต์: 137


 ข้อมูลส่วนตัว


panya เขียน:
คนเป็นนักดนตรี ครูดนตรีบาปไหมครับ


นักดนตรีคือ อาชีพ เราให้ความบันเทิงใจแก่ผู้อื่น ไม่บาปนะคะ เพียงแต่บางครั้งความรื่นเริงก็
ทำให้เรายึดติดหากขาดพระธรรมนำสติ แต่ขึ้นอยู่กับว่างานที่สร้างสรรค์ส่อไปในทางกุศลหรือ
อกุศล หากงานนั้นสร้างไปในทางอกุศลก็บาปไดเหมือนกันค่ะ ทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอค่ะ ขึ้น
อยู่กับว่าคนผู้นั้นจะมีพระในใจหรืมีผีในใจเท่านั้นเองค่ะ

สาธุ

.....................................................
อันความกรุณาปราณี จักมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ จากฟากฟ้าสุลาลัยสู่แดนดิน
มอง...ข้างหน้า ให้เป็นความหวัง มอง...ข้างหลัง ให้เป็นบทเรียน มอง...สิ่งที่มัน หมุนเวียน เพื่อยอมรับ...การเปลี่ยนไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2013, 20:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2013, 16:30
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในที่สุดก็ค้นคำตอบเจอแล้วครับ เพราะในพระไตรปิฏกเล่ม8 ไม่ได้บอกพระสูตรที่มา มีเป็นเพียงข้อสรุปเท่านั้น

กะแล้วต้องมีเหตุผล การเต้นรำ ร้องเพลง ทำให้คนตกนรกได้ ถ้าสมัยนี้ คงเป็นเต้นแบบ โคโยตี้ หรือรูดเสาน่ะครับ นางรำสมัยก่อน ก็เต้นยั่วแบบนี้

อีกข้อคือ ที่ตกนรก ไม่ใช่เพราะเต้นรำ แต่ตกเพราะ ความเข้าใจผิดต่างหาก อาชีพเต้นรำไม่ผิดนะครับ ขนาดขายตัวพระพุทธองค์ยังไม่เคยตำหนิเลย แล้วเต้นรำหรือขายตัว ก็ไม่ได้อยู่ใน มิจฉาวณิชชา 5
มิจฉาวณิชชา 5 ได้แก่

1.สัตถวณิชชา คือ การขายอาวุธ เป็นการสร้างความหายนะให้เกิดบนโลก
2.สัตตวณิชชา คือ การค้ามนุษย์ เป็นการสร้างความแตกแยกหรือกระทำทารุณ
3.มังสวณิชชา คือ ขายสัตว์ให้เขาเอาไปฆ่า พวกฟาร์มเลี้ยงส่งโรงฆ่าสัตว์
4.มัชชวณิชา คือ การค้าขายน้ำเมา หรือ ยาเสพติดทุกชนิด
5.วิสวณิชา คือ การค้าขายยาพิษ

ดังนั้นตัวอาชีพไม่เกี่ยวแล้วครับผมว่า การฟังเพลงก็ไม่บาปอยู่แล้ว ไม่งั้น พวกเทวดา คนคงสัตว์ที่บาป

คนธรรพ์ ก็คงบาปมากๆ เพราะวันๆเอาแต่เล่นตนตรี จัดการรื่นเริงกัน

ถ้าจะถือว่า อาชีพนักแสดง เป็นบาปตกนรก ผมว่ามันจะย้อนแย้งกันเองใน พุทธวจน แต่พุทธวจน นั้นจะต้องไม่แย้งกันเองครับ ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้

แต่ข้อเสียจากงานรื่นเริง คือเกิด โลภ โกรธ หลง 3อย่างนี้แหละที่ทำให้ตกนรก

1.โกรธ คอนเสริต สมัยนี้ตีกันบ่อยมาก งานปอยหลวง คอนเสริต เพื่อชีวิต แทงกันประจำ ผิดศีลข้อ1

2.หลง โคโยตี้ สาวสวยๆ แล้วก็อยากจะได้ นำไปสู่ผิดศีลกาเม หลงจนโงหัวไม่ขึ้น

3.โลภ อยากดูแล้วดูอีก โคโยตี้สาวสวยต่อ ให้โขมยเงินภรรยามาหรือยอมโกหกภรรยา ก็จะไปดู

สมัยนี้ก็คือ ผับ บาร์ ยังไงล่ะครับ
และ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ก็ไม่มีกล่าวถึงมหรสพ เลย ดังนั้น "ไม่บาป" ยกเว้นดูแล้วตีกัน แทงกัน ออฟนักร้อง อันนี้จึงจะผิด



สรุป แล้ว อาชีพไม่ผิด ครับ แต่ในพระสูตร หมายถึงถ้า คนๆนี้เชื่อแบบนี้ แล้วไม่ยอมทำทาน ศีล ภาวนา บาปนั้นต้องมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ตกนรกแน่ครับ เพราะบุญไม่ทำ เอาแต่จัดมหรสพ แล้วก็ทำบาปอื่นๆไปด้วยในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงตกนรกด้วยประการฉะนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2013, 20:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2013, 16:30
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดังนั้น ถ้าเอาอย่างท่านตาลปุตต ใช้ตรรกะเดียวกัน ทุกอาชีพในโลกนี้บาป ตกนรกหมดละครับ เพราะทำแต่อาชีพ ไม่ทำทาน ศีล ภาวนา เช่น คนเป่าแก้ว เป็นการส่งเสริมให้คนกินน้ำหวาน กาแฟมากขึ้น ส่งเสริมโลภะ โมหะ ซึ่งมันไม่ใช่เหตุผลมันพิลึกเกินไป ถ้าจะอ้างว่านักแสดงบาป ต้องตกอเวจี

อาชีพอะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่ มิจฉาวณิชชา 5 แล้ว ทำทาน ศีล ภาวนา ก็ไม่บาปไม่ตกนรก แน่นอนครับ rolleyes


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร