วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2013, 01:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


๘. อเนกวัณณวิมาน
ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในอเนกวัณณวิมาน


พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า

ท่านอันหมู่นางเทพอัปสรแวดล้อมแล้ว ขึ้นสู่วิมานอันมีรัศมีต่างๆ เป็น
ที่ระงับความกระวนกระวาย และความเศร้าโศกมีรูปอันวิจิตรต่างๆ อัน
บุญกรรมตบแต่งดีแล้ว บันเทิงอยู่ดุจท้าวสุนิมมิตเทวราชผู้เป็นใหญ่กว่า
เทวดา ไม่มีผู้จะเสมอเหมือนท่าน ไม่มีใครแม้ที่ไหนยิ่งไปกว่าท่านด้วยยศ
บุญและฤทธิ์ เทพเจ้าทั้งหมด และเทพเจ้าชั้นไตรทศก็พากันมาประชุม
ไหว้ท่าน ดุจมนุษย์และเทวดาไหว้พระจันทร์ ซึ่งปรากฏในวันเพ็ญ
ฉะนั้น เทพบุตรและนางเทพอัปสรเหล่านี้ พากันมาฟ้อนรำขับร้องอยู่
โดยรอบเพื่อให้ท่านเบิกบานใจ ท่านเป็นผู้ถึงความเป็นเทพเจ้าผู้มีฤทธิ์
ท่านมีอานุภาพมาก เมื่อท่านเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ ท่านมีอานุภาพ
อันรุ่งเรือง และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญอะไร?

เทพบุตรนั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ
จึงพยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อน
ข้าพเจ้าเป็นสาวกของพระชินเจ้าทรงพระนามว่าสุเมธ เป็นปุถุชนยังไม่ได้
ตรัสรู้มรรคผล บวชอยู่ ๗ พรรษา เมื่อพระศาสดาทรงพระนามว่าสุเมธ
ผู้ชนะมาร มีโอฆะอันข้ามได้แล้ว ผู้คงที่ ปรินิพพานแล้ว ข้าพเจ้านั้นได้
ไหว้รัตนเจดีย์อันหุ้มด้วยข่ายทองคำ ยังใจให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น
ข้าพเจ้าไม่มีการให้ทาน เพราะข้าพเจ้าไม่มีไทยวัตถุให้ แต่ได้ชักชวนชน
เหล่าอื่นในการให้ทานนั้นว่า ท่านทั้งหลายจงบูชาพระธาตุของพระพุทธ-
เจ้าผู้ควรบูชาเถิด ได้ยินว่าพวกท่านจักไปสู่สวรรค์ เพราะการบูชา
พระบรมธาตุอย่างนี้ กุศลกรรมเท่านั้นอันข้าพเจ้าได้กระทำแล้ว ข้าพเจ้า
จึงได้เสวยสุขอันเป็นทิพย์ด้วยตนเอง บันเทิงใจอยู่ในท่ามกลางหมู่เทพ-
เจ้าชาวไตรทศ ข้าพเจ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งบุญนั้น.

จบ อเนกวัณณวิมานที่ ๘.


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 12 ต.ค. 2013, 22:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2013, 06:59 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2013, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


เสสวดีวิมาน
ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในเสสวดีวิมาน

เมื่อพระวังคีสเถระจะไต่ถามถึงบุรพกรรมของนางเทพธิดานั้น จึงสรรเสริญวิมานของ
เธอเสียก่อนเป็นปฐม ด้วยคาถา ๗ คาถา ความว่า

ดูกรแม่เทพธิดา อาตมาได้เห็นวิมานของท่านนี้ อันมุงและบังด้วย
ข่ายแก้วผลึก ข่ายเงินและข่ายทองคำ มีพื้นที่เต็มไปด้วยต้นไม้มี
ผลวิจิตรนานาพรรณเป็นระเบียบเรียบร้อย น่ารื่นรมย์ เป็นวิมาน
ซึ่งเกิดกับสำหรับบุญ มีซุ้มประตูแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ ที่ลาน
วิมานเรี่ยรายไปด้วยทรายทองงดงามมาก มีรัศมีส่องสว่างไปทั่วทุกทิศ
เหมือนพระอาทิตย์มีรัศมีตั้งพัน ซึ่งกำจัดความมืดมนได้เป็นปกติใน
ยามสรทกาล หรือเหมือนกับแสงเปลวเพลิงซึ่งกำลังลุกอยู่บนยอด
ภูเขาในเวลากลางคืน หรือคล้ายกับการลืมตาขึ้นขณะที่ฟ้าแลบในโอกาส
ฉะนั้น วิมานนี้เป็นวิมานลอยอยู่ในอากาศ ก้องกังวาลไปด้วยเสียง
ดนตรี คือ พิณเครื่องใหญ่ กลอง และกังสดาล ประโคม
อยู่มิได้ขาดระยะ สุทัสนะเทพนคร อันเป็นเมืองพระอินทร์ ซึ่ง
มั่งคั่งไปด้วยสมบัติทิพย์ฉันใด วิมานของท่านนี้ก็ฉันนั้น วิมานของ
ท่านนี้ฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมอย่างยอดเยี่ยมหลายอย่างต่างๆ กัน คือ
กลิ่นดอกปทุม ดอกโกมุท ดอกอุบล ดอกจงกลณี ดอกคัดเค้า
ดอกพุดซ้อน ดอกกุหลาบ ดอกอังกาบ ดอกรัง ดอกอโศก
แย้มกลีบ ส่งกลิ่นหอมระรื่น ทั้งตั้งอยู่ริมฝั่งสระโบกขรณี น่า
รื่นรมย์ เรียงรายไปด้วยไม้หูกวาง ขนุนสำมะรอ และต้นไม้
กลิ่นหอม มีทั้งไม้เลื้อยชูดอกออกช่อหอมระรื่น ห้อยย้อยเกาะก่ายลงมา
จากปลายใบต้นตาล และมะพร้าว คล้ายกับข่ายแก้วมณี และ
แก้วประพาฬจัดเป็นของทิพย์ มีขึ้นสำหรับท่านผู้เรืองยศ อนึ่ง ต้น
ไม้และดอกไม้ผลทั้งหลายซึ่งเป็นต้นไม้เกิดอยู่ในน้ำและบนบก ทั้ง
เป็นรุกขชาติมีอยู่ในเมืองมนุษย์ และไม่มีในเมืองมนุษย์ ตลอด
จนพรรณไม้ทิพย์ประจำเมืองสวรรค์ ก็ได้มีพร้อมอยู่ใกล้วิมานของท่าน
ท่านได้สมบัติทิพย์ทั้งนี้ เป็นผลแห่งการประพฤติทางกาย วาจา ใจ
และการฝึกฝนอินทรีย์อย่างไร เพราะผลกรรมอะไร ท่านจึงมาเกิดในวิมานนี้
ดูกรนางเทพธิดาผู้มีขนตางอนงาม ขอท่านจงตอบถึงผลกรรม เป็นเหตุได้
วิมานที่ท่านได้แล้วนี้ เป็นไปตามที่อาตมาถามท่านแล้วตามลำดับด้วย
เถิด?

ลำดับนั้น นางเทพธิดาตอบว่า
ก็วิมานที่ดิฉันได้แล้วนี้ มีฝูงหงส์ นกกระเรียน ไก่ฟ้า นกกด
และนกเขาไฟ เที่ยวร่อนร้องไปมา ทั้งเต็มไปด้วยหมู่นกนางนวล
นกกะทุง และพญาหงส์ทอง ซึ่งเป็นนกทิพย์ เที่ยวบินไปมา
อยู่ตามลำน้ำ และอึงคนึงไปด้วยฝูงนกประเภทอื่นๆ อีก คือ นก
เป็ดน้ำ นกค้อนหอย นกดุเหว่าลาย นกดุเหว่าขาว มีทั้ง
ต้นไม้ดอก ไม้ต้น ไม้ผล อันเกิดเองหลายอย่างต่างพรรณ
คือ ต้นแคฝอย ต้นหว้า ต้นอโศก พระคุณเจ้าขา ดิฉันได้วิมาน
เหตุนี้ด้วยเหตุผลอันใด ดิฉันจะเล่าเหตุผลอันนั้นถวายพระคุณเจ้า
นิมนต์ฟังเถิด คือ

มีหมู่บ้านหมู่หนึ่งชื่อนาฬกคาม ตั้งอยู่ทางทิศ
ตะวันออกของพระนครราชคฤห์ ดิฉันเป็นบุตรสะใภ้ประจำตระกูล
ของบ้านนั้นอันตั้งอยู่ภายในบุรี ชุมนุมในหมู่บ้านนั้นเรียกดิฉันว่า
เสสวดี ดิฉันมีใจชื่นบาน ได้ก่อสร้างกุศลกรรมไว้ในชาตินั้น คือ
ได้บูชาพระธาตุพระธรรมเสนาบดี นามว่า อุปติสสะ ซึ่งเป็นที่
บูชาของทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลายผู้มากไปด้วยคุณความดีมีศีลเป็นต้น
หาประมาณมิได้ ซึ่งนิพพานไปแล้ว ด้วยเครื่องสักการะหลาย
อย่าง ล้วนแต่รัตนะและดอกคำ ก็แหละครั้นบูชาพระธาตุของพระผู้
แสวงหาซึ่งคุณอย่างยอดยิ่ง ผู้ถึงอนุปทิเสสนิพพานธาตุแล้ว ซึ่ง
ในที่สุดยังเหลืออยู่แต่พระธาตุเท่านั้น ครั้นดิฉันละกายมนุษย์นั้นแล้ว
จึงได้มาเกิดในดาวดึงส์สวรรค์ชั้นไตรทศ อยู่ประจำวิมานในเทวโลก.

จบ เสสวดีวิมานที่ ๗.


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 12 ต.ค. 2013, 22:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2013, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ธาตุปูชกเถราปทานที่ ๗
ว่าด้วยผลแห่งการบำรุงพระธาตุ


เมื่อพระโลกนาถพระนามว่าสิทธัตถะ ผู้สูงสุดกว่านระ เสด็จนิพพาน
แล้ว เราได้พระธาตุองค์หนึ่ง ของพระผู้มีพระภาคจอมสัตว์ ผู้คงที่ เรา
เก็บพระธาตุของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าพันธ์พระอาทิตย์นั้นไว้บูชาตลอด ๕
ปี ดังพระองค์ผู้สูงสุดกว่านระยังดำรงอยู่ ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เรา
ได้บูชาพระธาตุใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลเพราะ
บำรุงพระธาตุ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ
อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว
ดังนี้.

ทราบว่า ท่านพระธาตุปูชกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 12 ต.ค. 2013, 22:00, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2013, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อภิรูปนันทาเถริยาปทานที่ ๖
ว่าด้วยบุพจริยาของพระอภิรูปนันทาเถรี


ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก
พระนามว่าปัสสี มีพระเนตรงาม มีพระจักษุในธรรมทั้งปวง เสด็จ
อุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลใหญ่ที่มั่งคั่งเจริญ ในพระนคร
พันธุมดี เป็นหญิงมีรูปงาม น่าพึงใจและเป็นที่บูชาของประชุมชน
ได้เข้าเฝ้าพระพุทธวิปัสสีผู้มีความเพียรมาก เป็นนายกของโลก ได้
ฟังธรรมแล้วถึงพระองค์เป็นสรณะ สำรวมอยู่ในศีล เมื่อพระผู้มี
พระภาคพระองค์นั้นผู้มีพระคุณสูงสุดกว่านรชน ปรินิพพานแล้ว
ดิฉันได้เอาฉัตรทองบูชาไว้ ณ เบื้องบนแห่งพระสถูปที่บรรจุพระธาตุ
ดิฉันเป็นผู้มีจาคะอันสละแล้ว มีศีลจนตลอดชีวิตเคลื่อนจากอัตภาพ
นั้น ละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่ภพดาวดึงส์ ครั้งนั้น ดิฉัน
ครอบงำเทพธิดาทั้งหมดด้วยฐานะ ๑๐ ประการ คือ ด้วยรูป เสียง
กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อายุ วรรณะ สุข ยศ และความเป็น
อธิบดี รุ่งโรจน์ปรากฏอยู่ ในภพหลังครั้งนี้ ดิฉันเกิดในพระนคร
กบิลพัสดุ์เป็นธิดาของศากยราชนามว่าเขมกะ มีนามปรากฏว่านันทา
ประชุมชนกล่าวว่า ดิฉันเป็นผู้หนึ่งซึ่งมีความถึงพร้อมด้วยรูปงาม
น่าชม เมื่อดิฉันเติบโตเป็นสาว (รู้จัก) ตกแต่งรูปและผิวพรรณ
พวกศากยราชมีความวิวาทกันมากเพราะตัวดิฉัน ครั้งนั้น พระบิดา
ของดิฉันกล่าวว่า พวกศากยราชอย่าฉิบหายเสียเลย จึงให้ดิฉัน
บวชเสีย ครั้นดิฉันบวชแล้วได้ฟังว่า พระตถาคตเจ้าผู้มีพระคุณ
สูงสุดกว่านรชน ทรงติรูป จึงไม่เข้าไปเฝ้า เพราะดิฉันชอบรูปกลัว
จะพบพระพุทธเจ้า จึงไม่ไปรับโอวาท ครั้งนั้น พระพิชิตมารทรง
ให้ดิฉันเข้าไปสู่สำนักของพระองค์ด้วยอุบาย พระองค์ทรงฉลาดใน
ทางอุบาย ทรงแสดงหญิง ๓ ชนิด ด้วยฤทธิ์ คือ หญิงสาวสวย
เหมือนรูปเทพอัปสร หญิงแก่ หญิงตายแล้ว ดิฉันเห็นหญิงทั้ง ๓
แล้ว มีความสลดใจ ไม่ยินดีในซากศพหญิงที่ตายแล้ว มีความ
เบื่อหน่ายในภพเฉยอยู่ ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคนายกของโลก
ตรัสกะดิฉันว่า ดูกรนักทาท่านจงดูร่างกายที่ทุรนทุราย ไม่สะอาด
โสโครก ไหลเข้าถ่ายออกอยู่ ที่พวกพลาชนปรารถนากัน ท่านจง
อบรมจิตให้เป็นสมาธิมีอารมณ์อย่างเดียวด้วยอสุภเถิด รูปนี้เป็นฉัน
ใด รูปท่านนั้นก็เป็นฉันนั้น รูปท่านนั้นเป็นฉันใด รูปนี้ก็เป็นฉัน
นั้น เมื่อท่านพิจารณาเห็นรูปนั้น อย่างนี้ มิได้เกียจคร้านทั้งกลาง
คืนกลางวัน แต่นั้นก็จะเบื่อหน่ายอยู่ด้วยปัญญาของตน ดิฉันผู้ไม่
ประมาท พิจารณาในร่างกายนี้อยู่โดยแยบคาย ก็เห็นกายนี้ทั้งกาย
ในภายนอกตามความเป็นจริง เมื่อเป็นเช่นนั้น ดิฉันจึงเบื่อหน่าย
ในกาย และไม่ยินดีเป็นภายใน ไม่ประมาท ไม่เกาะเกี่ยว เป็น
ผู้สงบเย็นแล้ว ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันเป็นผู้มีความชำนาญ
ในฤทธิ์ ในทิพโสตธาตุ และในเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสญาณ
และทิพจักษุอันหมดจดวิเศษ หม่อมฉันสิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว
บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันมีญาณในอรรถะ
ธรรมะ นิรุตติ และปฏิภาณ เกิดขึ้นแล้วในสำนักของพระองค์
ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... พระพุทธศาสนา ดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระอภิรูปนันทาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.

จบอภิรูปนันทาเถริยาปทาน.


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 12 ต.ค. 2013, 22:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2013, 21:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


สปริวาริยเถราปทานที่ ๔
ว่าด้วยผลแห่งการถวายไพรทีไม้จันทน์

พระชินสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระเชษฐบุรุษของโลก ผู้ประเสริฐกว่า
นระ รุ่งเรืองดังกองอัคคี ปรินิพพานแล้ว เมื่อพระมหาวีรเจ้านิพพานแล้ว
ได้มีสถูปอันกว้างใหญ่ ชนทั้งหลาย เอาสิ่งของอันจะพึงถวายเข้าไปตั้งไว้
ที่สถูป ในห้องพระธาตุอันประเสริฐสุด ในกาลนั้น เรามีจิตเลื่อมใส
มีใจโสมนัสได้ทำไพรที่ไม้จันทน์อันหนึ่ง อันสมบูรณ์แก่สถูปและถวายธูป
และของหอม ในภพที่เราเกิด คือ ในความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ เราไม่
เห็นความที่เราเป็นผู้ต่ำทรามเลย นี้เป็นผลแห่งบุญกรรมในกัลปที่ ๑๕๐๐
แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๘ พระองค์ ทรงพระนามว่า สมัตตะ
ทุกพระองค์ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว
ดังนี้.

ทราบว่า ท่านพระสปริวาริยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ สปริวาริยเถราปทาน.


อรรถกถาสปริวาริยเถราปทาน

อปทานของท่านพระสปริวาริยเถระมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้.
พระเถระแม้นี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สั่งสมแต่บุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานตั้งหลายชาติเป็นประจำเสมอ.

ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้เกิดในเรือนอันมีสกุล บรรลุนิติภาวะแล้ว เป็นผู้มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก.

ครั้งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ปรินิพพานแล้ว มหาชนเก็บพระบรมธาตุของพระองค์ไว้แล้ว ช่วยกันสร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่ไว้บูชา.

ในเวลานั้น อุบาสกคนนี้ได้มีส่วนสร้างเรือนครอบพระเจดีย์ด้วยแก่นไม้จันทน์ไว้เบื้องบนพระเจดีย์นั้นแล้ว ได้ทำการบูชาอย่างใหญ่ยิ่ง ด้วยบุญอันนั้นนั่นแหละ เขาจึงได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้เสวยสมบัติในโลกทั้งสองจนครบถ้วน.

ในพุทธุปบาทกาลนี้ เขาได้เกิดในเรือนอันมีสกุล เจริญวัยแล้วสร้างแต่กุศลกรรม ต่อมาได้บวชในพระศาสนาด้วยความศรัทธา ไม่นานนักก็ได้เป็นพระอรหันต์.

ในกาลต่อมา ท่านได้ระลึกถึงบุพกรรมของตนได้เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอมตฺตํ ความว่า เราไม่เห็นคือไม่รู้จักความเลวทรามต่ำช้าหรือว่าความเป็นผู้ถึงทุกข์เลย ได้แก่เราไม่เคยเห็นว่าเราต่ำช้าเลย.

คำที่เหลือมีเนื้อความปรากฏชัดแจ้งแล้วทีเดียว.

จบอรรถกถาสปริวาริยเถราปทาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2013, 21:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อุปวาณเถราปทานที่ ๒
ว่าด้วยผลแห่งการถวายธง


พระสัมพุทธชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง ทรงรุ่งเรือง
ดังกองไฟ เสด็จปรินิพพานแล้ว มหาชนมาประชุมกันบูชาพระตถาคต
กระทำจิตกาธารอย่างสวยงามแล้วปลงพระสรีระ มหาชนทั้งหมดพร้อมทั้ง
เทวดาและมนุษย์ ทำสรีรกิจเสร็จแล้ว รวบรวมพระธาตุไว้ ณ ที่นั้น ได้
สร้างพระพุทธสถูปไว้ชั้นที่ ๑ แห่งพระพุทธสถูปนั้นสำเร็จด้วยทอง ชั้นที่ ๒
สำเร็จด้วยแก้วมณี ชั้นที่ ๓ สำเร็จด้วยเงิน ชั้นที่ ๔ สำเร็จด้วยแก้วผลึก
ชั้นที่ ๕ ในพระพุทธสถูปนั้น สำเร็จด้วยแก้วทับทิม ชั้นที่ ๖ สำเร็จด้วย
แก้วลาย (เพชรตาแมว) ชั้นบนสำเร็จด้วยรัตนล้วน ทางเดินสำเร็จด้วย
แก้วมณี ไพรทีสำเร็จด้วยรัตนะ พระสถูปสำเร็จด้วยทองล้วนๆ สูงสุด
หนึ่งโยชน์ เวลานั้น เทวดาทั้งหลายมาร่วมประชุมปรึกษากัน ณ ที่นั้นว่า
แม้พวกเราก็จักสร้างพระสถูปถวายแด่พระโลกนาถผู้คงที่ พระธาตุจะได้ไม่
เรี่ยราย พระสรีระจะรวมกันเป็นอันเดียว เราทั้งหลายจักทำกุญแจใส่ใน
พระพุทธสถูปนี้ เทวดาทั้งหลายจึงยังโยชน์อื่นให้เจริญด้วยรัตนะ ๗ ประการ
(เทวดาทั้งหลายจึงนิรมิตพระสถูปให้สูงเพิ่มขึ้นอีกโยชน์หนึ่ง ด้วยรัตนะ
๗ ประการ) พระสถูปจึงสูง ๒ โยชน์ สว่างไหวขจัดความมืดได้ นาค
ทั้งหลายมาประชุมร่วมปรึกษากัน ณ ที่นั้นในเวลานั้นว่า มนุษย์และเทวดา
ได้สร้างพระพุทธสถูปแล้ว เราทั้งหลายอย่าได้ประมาทเลย ดังมนุษย์กับ
เทวดาไม่ประมาท แม้พวกเราก็จักสร้างพระสถูปถวายแด่พระโลกนาถผู้คงที่
นาคเหล่านั้น จึงร่วมกันรวบรวมแก้วอินทนิล แก้วมหานิล และแก้วมณี
มีรัศมีโชติช่วงปกปิดพระพุทธสถูป พระพุทธเจดีย์ประมาณเท่านั้น สำเร็จ
ด้วยแก้วมณีล้วน สูงสุด ๓ โยชน์ ส่งแสงสว่างไสวในเวลานั้น ฝูงครุฑ
มาประชุมร่วมปรึกษากันในเวลานั้นว่า มนุษย์เทวดาและนาคได้สร้างพระ
พุทธสถูปแล้ว เราทั้งหลายอย่าประมาทเลย ดังมนุษย์เป็นต้นกับเทวดา
ไม่ประมาท แม้พวกเราก็จักสร้างสถูปถวายแด่พระโลกนาถผู้คงที่ ฝูงครุฑ
จึงได้สร้างสถูปอันสำเร็จด้วยแก้วมณีล้วน และกุญแจก็เช่นนั้น ได้สร้าง
พระพุทธเจดีย์ต่อขึ้นไปให้สูงอีกโยชน์หนึ่ง พระพุทธสถูปสูงสุด ๔ โยชน์
รุ่งเรืองอยู่ ยังทิศทั้งปวงให้สว่างไสว ดังพระอาทิตย์อุทัยฉะนั้น และพวก
กุมภัณฑ์ก็มาประชุมร่วมปรึกษากันในเวลานั้นว่า พวกมนุษย์และพวกเทวดา
ฝูงนาคและฝูงครุฑ ได้สร้างสถูปอันอุดม ถวายเฉพาะแด่พระพุทธเจ้าผู้
ประเสริฐ พวกเราอย่าได้ประมาทเลย ดังมนุษย์เป็นต้นกับเทวดาไม่
ประมาท แม้พวกเราก็จักสร้างสถูปถวาย แต่พระโลกนาถผู้คงที่ พวก
เราจักปกปิดพระพุทธเจดีย์ต่อขึ้นไปด้วยรัตนะ พวกกุมภัณฑ์ได้สร้าง
พระพุทธเจดีย์ต่อขึ้นไปในที่สุดอีกโยชน์หนึ่ง เวลานั้นพระสถูปสูงสุด
๕ โยชน์ สว่างไสวอยู่ พวกยักษ์มาประชุมร่วมปรึกษากัน ณ ที่นั้นใน
เวลานั้นว่า เวลานั้น มนุษย์ เทวดา นาค กุมภัณฑ์ (และ) ครุฑ
ได้พากันสร้างสถูปอันอุดมถวายเฉพาะแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด พวก
เราอย่าได้ประมาทเลย ดังมนุษย์เป็นต้น พร้อมกับเทวดาไม่ประมาท
แม้พวกเราก็จักสร้างสถูปถวายแด่พระโลกนาถผู้คงที่ พวกเราจักปกปิด
พระพุทธเจดีย์ต่อขึ้นไปด้วยแก้วผลึก พวกยักษ์จึงสร้างพระพุทธเจดีย์
ต่อขึ้นไป ในที่สุดอีกโยชน์หนึ่ง เวลานั้น พระสถูปจึงสูงสุด ๖ โยชน์
สว่างไสวอยู่ พวกคนธรรพ์พากันมาประชุมร่วมปรึกษากันในเวลานั้นว่า
สัตว์ทั้งปวง คือ มนุษย์ เทวดา นาค ครุฑ กุมภัณฑ์และยักษ์
พากันสร้างพระสถูปแล้ว บรรดาสัตว์เหล่านี้ พวกเรายังไม่ได้สร้าง
แม้พวกเราก็จักสร้างสถูปถวายต่อพระโลกนาถผู้คงที่ พวกคนธรรพ์
จึงพากันสร้างไพรที ๗ ชั้น ได้สร้างตลอดทางเดิน เวลานั้น พวก
คนธรรพ์ได้สร้างสถูปสำเร็จด้วยทองคำล้วน ในกาลนั้น พระสถูปจึง
สูงสุด ๗ โยชน์ สว่างไสวอยู่ กลางคืนกลางวันไม่ปรากฏ แสง
สว่างมีอยู่เสมอไป พระจันทร์พระอาทิตย์พร้อมทั้งดาวครอบงำรัศมีพระ
สถูปนั้นไม่ได้ ก็แสงสว่างโพลงไปไกลร้อยโยชน์โดยรอบ (พระสถูป)
ในเวลานั้น มนุษย์เหล่าใดจะบูชาพระสถูป พวกเขาไม่ต้องขึ้นพระสถูป
พวกเขายกขึ้นไว้ในอากาศ ยักษ์ตนหนึ่งพวกเทวดาตั้งไว้ ชื่อว่าอภิสมมต
มันยกธงหรือพวงดอกไม้ขึ้นไปในเบื้องสูง มนุษย์เหล่านั้นมองไม่เห็นยักษ์
เห็นแต่พวงดอกไม้ขึ้นไป ครั้นเห็นเช่นนี้แล้วกลับไป มนุษย์ทั้งหมด
ย่อมไปสู่สุคติ มนุษย์เหล่าใดชอบใจในปาพจน์ และเหล่าใดเลื่อมใส
ในพระศาสนา ต้องการจะเห็นปาฏิหาริย์ ย่อมบูชาพระสถูป เวลานั้น
เราเป็นคนยากไร้อยู่ในเมืองหงสวดี เราได้เห็นหมู่ชนเบิกบาน จึงคิด
อย่างนี้ในเวลานั้นว่า เรือนพระธาตุเช่นนี้ ของพระผู้มีพระภาคพระองค์ใด
พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้โอฬาร ก็หมู่ชนเหล่านี้มีใจยินดีไม่รู้จักอิ่มใน
สักการะที่ทำอยู่ แม้เราก็จักทำสักการะแด่พระโลกนาถผู้คงที่บ้าง เราจักเป็น
ทายาทในธรรมของพระองค์ในอนาคต เราจึงเอาเชือกผูกผ้าห่มของเราอัน
ซักขาวสะอาดแล้ว คล้องไว้ที่ยอดไม้ไผ่ ยกเป็นธงขึ้นไว้ในอากาศ ยักษ์
อภิสมมตจับธงของเรานำขึ้นไปในอัมพร เราเห็นธงอันลมสะบัด ได้เกิด
ความยินดีอย่างยิ่ง เรายังจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้นแล้ว เข้าไปหา
ภิกษุรูปหนึ่ง กราบไหว้ภิกษุนั้นแล้ว ได้สอบถามถึงผลในการถวายธง
ท่านยังความเพลิดเพลินและปีติให้เกิดแก่เรา กล่าวแก่เราว่า ท่านจักได้
เสวยวิบากของธงนั้นในกาลทั้งปวง จตุรงคเสนา คือ พลช้าง พลม้า
พลรถ และพลเดินเท้า จักแวดล้อมท่านอยู่เป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการ
ถวายธง ดนตรีละ ๖ หมื่น และกลองเภรีอันประดับสวยงามจะประโคม
แวดล้อมท่านเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง หญิงสาวแปดหมื่น
หกพัน อันประดับงดงาม มีผ้าและอาภรณ์วิจิตร สวมใส่แก้วมณี และ
กุณฑล หน้าแฉล้ม แย้มยิ้ม มีตะโพกผึ่งผาย เอวเล็ก เอวบาง จักแวดล้อม
(บำเรอ) ท่านเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง ท่านจักรื่นรมย์อยู่ใน
เทวโลกตลอด ๓ หมื่นกัลป จักได้เป็นจอมเทวดาเสวยเทวรัชสมบัติอยู่
๘๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๐๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้า
ประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ ในแสนกัลป พระศาสดาทรง
พระนามว่าโคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติ
ในโลก ท่านอันกุศลมูลตักเตือน เคลื่อนจากเทวโลกแล้ว ประกอบ
ด้วยบุญกรรม จักเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ ท่านจักละทรัพย์ ๘๐ โกฏิ
ทาสและกรรมกร เป็นอันมากออกบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาค
พระนามว่าโคดม ท่านจักยังพระสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโคดมศากยบุตร
ผู้ประเสริฐให้โปรดปราณแล้ว จักได้เป็นพระสาวกของพระศาสดา มีชื่อ
ว่าอุปวาณะ กรรมที่เราทำแล้วในแสนกัลป ให้ผลแก่เราในที่นี้แล้ว
เราเผากิเลสของเราแล้ว ดุจกำลังลูกศรพ้นแล่งไปแล้ว เมื่อเราเป็น
พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ เธอทั้งหลายจักยกขึ้นโดยรอบ
๓ โยชน์ทุกเมื่อ ในแสนกัลปแต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมใดไว้ในเวลานั้น
ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายธง คุณ
วิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และแม้อภิญญา ๖ เราทำ
ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล
ทราบว่า ท่านพระอุปวาณเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ ฉะนี้แล.

จบ อุปวาณเถราปทาน.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2013, 01:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2013, 01:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจุปัฏฐานสัญญกเถราปทานที่ ๙
ว่าด้วยผลแห่งการทำกรรมที่ได้โดยยาก


ในลำดับกาล เมื่อพระสุคตเจ้าพระนามว่าอัตถทัสสีเสด็จนิพพาน ใน
กาลนั้น ข้าพระองค์เข้าถึงกำเนิดยักษ์และบรรลุถึงยศ ข้าพระองค์คิด
ว่า ความได้ด้วยยาก แสงสว่างด้วยยาก การตั้งขึ้นยาก ได้มีแก่เรา
แล้วหนอ เมื่อโภคสมบัติของเรามีอยู่ พระสุคตเจ้าผู้มีพระจักษุปรินิพพาน
เสียแล้ว ดังนี้ พระสาวกนามว่าสาคระ รู้ความดำริของข้าพระองค์
ท่านต้องการจะถอนข้าพระองค์ขึ้น จึงมาในสำนักของข้าพระองค์ กล่าวว่า
จะโศกเศร้าทำไมหนอ อย่ากลัวเลย จงประพฤติธรรมเถิด ท่านผู้มีเมธาดี
พระพุทธเจ้าทรงส่งเสริมวิทยาสมบัติของชนทั้งปวงว่า ผู้ใดพึงบูชาพระ
สัมพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ยังดำรงพระชนม์อยู่ก็ดี พึงบูชาพระธาตุ
แม้ประมาณเท่าเมล็ดผักกาดของพระพุทธเจ้า แม้นิพพานแล้วก็ดี เมื่อ
จิตอันเลื่อมใสของผู้นั้นเสมอกัน บุญก็มีผลมากเสมอกัน เพราะฉะนั้น
ท่านจงทำสถูปบูชาพระธาตุของพระชินเจ้าเถิด ข้าพระองค์ได้ฟังวาจาของ
ท่านสาคระแล้ว ได้ทำพุทธสถูป ข้าพระองค์บำรุงพระสถูปอันอุดมของ
พระมุนีอยู่ ๕ ปี ข้าแต่พระองค์ผู้จอมสัตว์ เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐ
กว่านระ ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์เสวยสมบัติแล้ว ได้บรรลุอรหัต
ในกัลปที่ ๗๐๐ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ มีพระ
นามว่าภูริปัญญา ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษ
เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ทำ
ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนา ข้าพระองค์ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระปัจจุปัฏฐานสัญญกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.

จบ ปัจจุปัฏฐานสัญญกเถราปทาน.

อรรถกถาปัจจุปัฏฐานสัญญกเถราปทาน

อปทานของท่านพระปัจจุปัฏฐานสัญญกเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า อตฺถทสฺสิมฺหิ สุคเต ดังนี้.

แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ทุกๆ ภพนั้นจะสร้างสมแต่บุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานเป็นประจำเสมอ.

ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าอัตถทัสสี ท่านได้บังเกิดในกำเนิดยักษ์ เพราะความที่ไม่ได้เข้าเฝ้าในขณะพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ภายหลังเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว เขาจึงได้รับความเศร้าโศกเป็นอย่างมาก.

จริงอยู่ ในครั้งนั้น อัครสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นมีนามว่าสาวก เมื่อจะพร่ำสอนเขาจึงกล่าวว่า การบูชาพระสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมมีผลมาก คล้ายกับทำการบูชาในขณะพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ อำนาจแห่งจิตที่เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมมีผลมากมาย จึงชักชวนเขาให้สร้างสถูปด้วยคำว่า ท่านจงสร้างสถูปเถิด.

ครั้นเขาได้บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้ว จุติจากกำเนิดยักษ์นั้นแล้ว ได้เสวยสวรรค์สมบัติในเทวโลก และจักรพรรดิสมบัติในมนุษยโลกแล้ว.

ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้เกิดในเรือนอันมีตระกูลแห่งหนึ่งในพระนครสาวัตถี บรรลุนิติภาวะแล้วเลื่อมใสในพระศาสดา บวชแล้วไม่นานนักก็ได้เป็นพระอรหันต์.

ในกาลต่อมา ท่านระลึกถึงบุพกรรมของตนเองได้ เกิดความโสมนัส เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่เคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า อตฺถทสฺสิมฺหิ สุคเต ดังนี้.

ถ้อยคำนั้นทั้งหมด ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังแล.
ส่วนในบทว่า ยกฺขโยนึ อุปปชฺชึ นี้ มีวิเคราะห์ว่า
ชื่อว่ายักษ์ เพราะเมื่อจะเคี้ยวกินเพื่อนบ้านของตน หรือสัตว์ทั้งหลายที่มาถึงเข้า ย่อมวิ่งไล่ขับจับ, กำเนิดคือชาติของพวกยักษ์ ชื่อว่ากำเนิดยักษ์. อธิบายว่า เกิดในกำเนิดยักษ์.

บทว่า ทุลฺลทฺธํ วต เม อาสิ ความว่า ยศที่เราได้รับแล้ว นับว่าเป็นยศที่ได้มาโดยยาก, เราได้รับความล้มเหลว เพราะไม่ได้ทำสักการะแด่พระศาสดาผู้เป็นพระพุทธเจ้า.

บทว่า ทุปฺปภาตํ ความว่า ราตรีนั้นรุ่งสว่างได้โดยยาก คือกระทำราตรีให้สว่างได้ยาก. อธิบายว่า เราทำปัญญาให้สว่างได้ยาก.

บทว่า ทุรุฏฺฐิตํ แปลว่า ขึ้นได้ยาก.
อธิบายว่า การขึ้นไปแห่งพระอาทิตย์ยาก หรือการลุกขึ้นทำความเพียรของเราก็ยาก.
คำที่เหลือในที่ทุกแห่งมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.

จบอรรถกถาปัจจุปัฏฐานสัญญกเถราปทาน


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 02 พ.ย. 2013, 00:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2013, 01:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


๗. อปรอุตตรเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอปรอุตตรเถระ

(พระอปรอุตตรเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)

เมื่อพระสิทธัตถโลกนาถ ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
ข้าพเจ้าได้นำหมู่ญาติของข้าพเจ้ามาทำการบูชาพระธาตุ

ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้บูชาพระธาตุไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระธาตุ

กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ

การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ

คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล


ได้ทราบว่า ท่านพระอปรอุตตรเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อปรอุตตรเถราปทานที่ ๗ จบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2013, 03:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ด้วยพระเดชแห่งพระสรีระพระพุทธเจ้านั้นแหละ
แผ่นดินนี้ชื่อว่าทรงไว้ซึ่งแก้วประดับแล้วด้วยนักพรตผู้ประเสริฐที่สุด
พระสรีระของพระพุทธเจ้าผู้มีจักษุนี้ ชื่อว่าอันเขาผู้สักการะๆ สักการะดีแล้ว
พระพุทธเจ้าพระองค์ใดอันจอมเทพจอมนาคและจอมนระบูชาแล้ว
อันจอมมนุษย์ผู้ประเสริฐสุดบูชาแล้วเหมือนกัน ขอท่านทั้งหลายจงประนมมือ
ถวายบังคมพระสรีระนั้นๆ ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธเจ้าทั้งหลายหาได้ยากโดยร้อยแห่งกัป ฯ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2014, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


กัปปรุกขิยเถราปทานที่ ๑๐ (๔๐)
ว่าด้วยผลแห่งการตั้งต้นกัลปพฤกษ์บูชา


เราได้คล้องผ้าอันวิจิตรหลายผืนไว้ตรงหน้าพระสถูปอันประเสริฐ ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ แล้วตั้งต้นกัลปพฤกษ์ไว้ เราเข้าถึงกำเนิดใดๆ คือ ความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ในกำเนิดนั้นๆ ต้นกัลปพฤกษ์อันงาม ย่อมประดิษฐานอยู่ใกล้ประตูเรา เวลานั้น เราเองบริษัทเพื่อนและคนคุ้นเคย ได้ถือเอาผ้าจากต้นกัลปพฤกษ์นั้นมานุ่งห่ม ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ เราได้ตั้งต้นกัลปพฤกษ์ใดไว้ ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการตั้งต้นกัลปพฤกษ์ และในกัลปที่ ๗ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๓ องค์ ทรงพระนามว่าสุเจละ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.

ทราบว่า ท่านพระกัปปรุกขิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.

จบ กัปปรุกขิยเถราปทาน.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2014, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


นาคสมาลเถราปทานที่ ๑ (๗๑)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาสถูปด้วยดอกแคฝอย

เราถือเอาดอกแคฝอยไปบูชาที่พระสถูป ซึ่งมหาชนสร้างไว้ที่หนทางใหญ่ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิขีผู้เผ่าพันธุ์ของโลก ในกัลปที่ ๓๑ แต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระสถูป ในกัลปที่ ๑๕ แต่กัลปนี้ ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์ พระนามว่าปุปผิยะทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเรา ได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.

ทราบว่า ท่านพระนาคสมาลเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.

จบ นาคสมาลเถราปทาน.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2014, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อธิฉัตติยเถราปทานที่ ๑ (๑๔๑)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยฉัตร

เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าอัตถทัสสี ผู้สูงสุดกว่านระ ปรินิพพานแล้ว เราให้ช่างทำฉัตรเป็นชั้นๆ บูชาไว้ที่พระสถูป ได้มานมัสการพระพุทธเจ้า ผู้เป็นนายกของโลก ตามกาลอันสมควร (และ) ได้ทำหลังคาดอกไม้บูชา (ยกขึ้น) ไว้ที่ฉัตร ใน ๑๗๐๐ กัลป เราได้เสวยเทวรัชสมบัติ ไม่ไปสู่ความเป็นมนุษย์เลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระสถูป คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.

ทราบว่า ท่านอธิฉัตติยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.

จบ อธิฉัตติยเถราปทาน.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2014, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ถัมภาโรปกเถราปทานที่ ๒ (๑๔๒)
ว่าด้วยผลแห่งการยกเสาธง

เมื่อพระโลกนาถพระนามว่าธรรมทัสสี ผู้ประเสริฐกว่านระ นิพพานแล้ว เราได้ยกเสาธงขึ้นไว้ที่เจดีย์ แห่งพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ให้นายช่างสร้างบันไดสำหรับประชาชน จะได้ขึ้นสู่สถูปอันประเสริฐ แล้วถือเอาดอกมะลิไปโปรยบูชาที่พระสถูป โอ พระพุทธเจ้า โอ พระธรรม โอ ความถึงพร้อมแห่งพระศาสดาหนอ เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระสถูป ในกัลปที่ ๙๔ แต่กัลปนี้ได้ มีพระเจ้าจักรพรรดิราช ๑๖ พระองค์ ทรงพระนามว่า ถูปสิขะ มีพลมาก คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.

ทราบว่า ท่านพระถัมภาโรปกเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ ถัมภาโรปกเถราปทาน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร