ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=44228 |
หน้า 3 จากทั้งหมด 5 |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 14 พ.ย. 2013, 16:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
เวลาที่เอกอนเห็นคุณโสมนำอภิธรรมออกมาชี้แจง เอกอนอ่านแล้วก็รู้สึก...ชื่นชม... จริง ๆ คุณโสมดูจะนำอภิธรรมมาพูดได้ลง shot ราวกับว่า คุณโสมก็มีความเห็น(ปฏิบัติ)ได้ลงกับอภิธรรมที่แจงมา ใช้ภาษาที่ ตรง รัดกุม ฟันธง ไม่คลุมเคลือ ไม่ทิ้งร่องรอยสับสนให้ผู้อ่านต้องไปคิดอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อยเอาเอง .... พอดีเอกอนไม่ค่อยได้ศึกษาอภิธรรม... เพราะเอกอนก็ยังมองว่า อภิธรรมเป็นเรื่องยาก ถ้าจะศึกษาต้องใช้เวลากับมันมาก แต่... ...เอกอนยังไม่ค่อยจะมีเวลาเรย ทำแต่งาน.... ซึ่งเห็นแล้ว เอกอนก็ชื่นชมคุณโสมจริง ๆ ที่ดูจะศึกษาอภิธรรมและดูจะมีความเข้าใจอภิธรรมค่อนข้างลึกซึ้ง |
เจ้าของ: | bbby [ 14 พ.ย. 2013, 21:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
คุณเอกอนเขียน อ้างคำพูด: เวลาที่เอกอนเห็นคุณโสมนำอภิธรรมออกมาชี้แจง เอกอนอ่านแล้วก็รู้สึก...ชื่นชม... จริง ๆ ตรงใจพี่เต้เลยค่ะ คิดเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มคุยอย่างไรก่อน คุณโสมฯกับคุณน้ำ จะคล้ายๆกันน่ะ แต่คุณน้ำ จะมาแนวหลักปฎิบัติเยอะ เราก็เลยอ่านแล้วเข้าใจง่าย แต่คุณโสมฯ มาแบบศึกษาธรรม ก็เลยคุยไม่ถูก แต่ชอบที่คุณโสมฯเขียน |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 14 พ.ย. 2013, 21:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
จะเป็นการแอบมานินทาคุณโสมต่อหน้ารึเปล่าเนี๊ยะ... เวลาอ่านความเห็นคุณโสม... เอกอนก็จินตนาการเลย ถ้าเป็นเรื่อง แฮรี่ พ๊อตเตอร์ เธอจะเป็นประมาณ มีส แกรนเจอร์ (เฮอร์ไมโอนี่) ... คุณเต้ จะเป็นประมาณ ชื่ออะไรน๊า เด็กหญิงผมบอรนด์ยาว ... น่าจะปรากฎในภาค อัซคาบัน .. |
เจ้าของ: | SOAMUSA [ 15 พ.ย. 2013, 07:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
eragon_joe เขียน: :b1: เวลาที่เอกอนเห็นคุณโสมนำอภิธรรมออกมาชี้แจง เอกอนอ่านแล้วก็รู้สึก...ชื่นชม... จริง ๆ คุณโสมดูจะนำอภิธรรมมาพูดได้ลง shot ราวกับว่า คุณโสมก็มีความเห็น(ปฏิบัติ)ได้ลงกับอภิธรรมที่แจงมา ใช้ภาษาที่ ตรง รัดกุม ฟันธง ไม่คลุมเคลือ ไม่ทิ้งร่องรอยสับสนให้ผู้อ่านต้องไปคิดอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อยเอาเอง .... พอดีเอกอนไม่ค่อยได้ศึกษาอภิธรรม... เพราะเอกอนก็ยังมองว่า อภิธรรมเป็นเรื่องยาก ถ้าจะศึกษาต้องใช้เวลากับมันมาก แต่... ...เอกอนยังไม่ค่อยจะมีเวลาเรย ทำแต่งาน.... ซึ่งเห็นแล้ว เอกอนก็ชื่นชมคุณโสมจริง ๆ ที่ดูจะศึกษาอภิธรรมและดูจะมีความเข้าใจอภิธรรมค่อนข้างลึกซึ้ง ขอบคุณค่ะ ดิฉันยังต้องเรียนเพื่อความถูกต้องอีกเยอะค่ะ ถ้าคุณเอกอนได้ไปศึกษา จะไม่ต่างจากดิฉันหรอกค่ะ หรืออาจจะมากกว่าดิฉันด้วยซ้ำไปค่ะ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 15 พ.ย. 2013, 07:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
SOAMUSA เขียน: eragon_joe เขียน: :b1: เวลาที่เอกอนเห็นคุณโสมนำอภิธรรมออกมาชี้แจง เอกอนอ่านแล้วก็รู้สึก...ชื่นชม... จริง ๆ คุณโสมดูจะนำอภิธรรมมาพูดได้ลง shot ราวกับว่า คุณโสมก็มีความเห็น(ปฏิบัติ)ได้ลงกับอภิธรรมที่แจงมา ใช้ภาษาที่ ตรง รัดกุม ฟันธง ไม่คลุมเคลือ ไม่ทิ้งร่องรอยสับสนให้ผู้อ่านต้องไปคิดอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อยเอาเอง .... พอดีเอกอนไม่ค่อยได้ศึกษาอภิธรรม... เพราะเอกอนก็ยังมองว่า อภิธรรมเป็นเรื่องยาก ถ้าจะศึกษาต้องใช้เวลากับมันมาก แต่... ...เอกอนยังไม่ค่อยจะมีเวลาเรย ทำแต่งาน.... ซึ่งเห็นแล้ว เอกอนก็ชื่นชมคุณโสมจริง ๆ ที่ดูจะศึกษาอภิธรรมและดูจะมีความเข้าใจอภิธรรมค่อนข้างลึกซึ้ง ขอบคุณค่ะ ดิฉันยังต้องเรียนเพื่อความถูกต้องอีกเยอะค่ะ ถ้าคุณเอกอนได้ไปศึกษา จะไม่ต่างจากดิฉันหรอกค่ะ หรืออาจจะมากกว่าดิฉันด้วยซ้ำไปค่ะ ขอยืนยันตามคำพูดนี้ |
เจ้าของ: | SOAMUSA [ 15 พ.ย. 2013, 07:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
bbby เขียน: คุณเอกอนเขียน อ้างคำพูด: เวลาที่เอกอนเห็นคุณโสมนำอภิธรรมออกมาชี้แจง เอกอนอ่านแล้วก็รู้สึก...ชื่นชม... จริง ๆ ตรงใจพี่เต้เลยค่ะ คิดเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มคุยอย่างไรก่อน คุณโสมฯกับคุณน้ำ จะคล้ายๆกันน่ะ แต่คุณน้ำ จะมาแนวหลักปฎิบัติเยอะ เราก็เลยอ่านแล้วเข้าใจง่าย แต่คุณโสมฯ มาแบบศึกษาธรรม ก็เลยคุยไม่ถูก แต่ชอบที่คุณโสมฯเขียน ขอบคุณค่ะ พระอภิธรรมก็คือแผนที่ดีๆ นี่เองค่ะ บอกวิธีการทำเหตุขั้นพื้นฐานให้ถูกต้องก่อน บอกขั้นตอนต่างๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร ส่วนผลการปฏิบัตินั้นจะตามมากับเหตุที่ทำเองค่ะ เอาตามความคิดเห็นของดิฉันนะคะในเรื่องการปฏิบัตินั้น เป็นเรื่องยากพูดผิดได้ง่ายค่ะ เพราะถ้าตนเอง เกิดหลงทางขึ้นมา ก็จะพาคนอื่นลงเหวด้วย ยิ่งเป็นคนที่สร้างชื่อเสียงตนเองจนดังทั่วประเทศถ้าคนๆ นั้น ปฏิบัติแล้วหลงทาง คนๆ นั้นปฏิบัติผิดหนึ่งคนอาจจะฉุดคนเป็นหมื่น แสน ล้านให้หลงตามตนเองได้ค่ะ ดิฉันแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าดิฉันไปลากใครสักคนหนึ่งมากับความหลงของดิฉัน ดิฉันก็งานเข้าแล้วค่ะ ดิฉันเองนั้นปฏิบัติอะไรอย่างไรก็ยังต้องเข้าหาอาจารย์เพื่อรับคำปรึกษาอยู่ตลอดเวลาค่ะ |
เจ้าของ: | bbby [ 15 พ.ย. 2013, 13:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
คุณโสมฯ เขียน อ้างคำพูด: เอาตามความคิดเห็นของดิฉันนะคะในเรื่องการปฏิบัตินั้น เป็นเรื่องยากพูดผิดได้ง่ายค่ะ เพราะถ้าตนเอง เกิดหลงทางขึ้นมา ก็จะพาคนอื่นลงเหวด้วย ยิ่งเป็นคนที่สร้างชื่อเสียงตนเองจนดังทั่วประเทศถ้าคนๆ นั้น ปฏิบัติแล้วหลงทาง คนๆ นั้นปฏิบัติผิดหนึ่งคนอาจจะฉุดคนเป็นหมื่น แสน ล้านให้หลงตามตนเองได้ค่ะ เพราะเหตุนี้หรือปล่าวค่ะ เป็นเหตุให้คุณโสมฯไม่ค่อยคุยเรื่องทางปฎิบัติ แต่สำหรับเราน่ะค่ะ เราเกิดในโลกธรรมได้ เพราะเราศึกษาทางแนวการปฎิบัตินี่หละค่ะ คือเวลาอ่านแล้ว เหมือนเข้าใจง่าย คุณโสมฯเชื่อเหมือนเราหรือปล่าวค่ะ เหตุที่เกิดทั้งหมด มาจากเหตุ ที่แต่ละคน สะสมมาไม่เหมือนกัน |
เจ้าของ: | SOAMUSA [ 15 พ.ย. 2013, 15:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
bbby เขียน: คุณโสมฯ เขียน อ้างคำพูด: เอาตามความคิดเห็นของดิฉันนะคะในเรื่องการปฏิบัตินั้น เป็นเรื่องยากพูดผิดได้ง่ายค่ะ เพราะถ้าตนเอง เกิดหลงทางขึ้นมา ก็จะพาคนอื่นลงเหวด้วย ยิ่งเป็นคนที่สร้างชื่อเสียงตนเองจนดังทั่วประเทศถ้าคนๆ นั้น ปฏิบัติแล้วหลงทาง คนๆ นั้นปฏิบัติผิดหนึ่งคนอาจจะฉุดคนเป็นหมื่น แสน ล้านให้หลงตามตนเองได้ค่ะ เพราะเหตุนี้หรือปล่าวค่ะ เป็นเหตุให้คุณโสมฯไม่ค่อยคุยเรื่องทางปฎิบัติ แต่สำหรับเราน่ะค่ะ เราเกิดในโลกธรรมได้ เพราะเราศึกษาทางแนวการปฎิบัตินี่หละค่ะ คือเวลาอ่านแล้ว เหมือนเข้าใจง่าย คุณโสมฯเชื่อเหมือนเราหรือปล่าวค่ะ เหตุที่เกิดทั้งหมด มาจากเหตุ ที่แต่ละคน สะสมมาไม่เหมือนกัน เชื่อค่ะ ว่าคนเรานั้นสะสมมาต่างกัน ถึงคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องค่ะเรื่องธรรมะ ยิ่งเรื่องการปฏิบัตินั้นยิ่งคุยยาก ดิฉันจึงมักจะเอาคำสอนแนวทางการปฏิบัติจากครูอาจารย์ที่สอนปริยัติ มาให้ฟังมากกว่า ซึ่งถ้าฟังกันจริงๆ แล้วทำตามคำสอนการปฏิบัติของอาจารย์ โอกาสที่จะเจอสภาวะนั้นมีค่ะ และผลการปฏิบัตินั้นดิฉันก็เอาของพระอาจารย์มาให้ฟัง ซึ่งถ้าคนปฏิบัติฟังแล้วจะตอบปัญหา ในใจตนเองได้เคลียร์เลยค่ะ ฟัง นามรูปปริจเฉทญาณ จากอาจารย์พรชัยได้ที่ห้องพระอภิธรรมค่ะ การสะสมของคนแต่ละคนนั้น บางคนเป็นแสนชาตินะคะ แล้วยังต้องสะสมกันต่อไปค่ะ ดังนั้นถ้าเจอพระสัทธรรมแล้วไม่เข้าไปศึกษานั้น ตามความคิดเห็นของนักศึกษาปริยัตินะคะ ถือว่าน่าเสียดายค่ะ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 16 พ.ย. 2013, 05:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
อ้างคำพูด: เพราะเหตุนี้หรือปล่าวค่ะ เป็นเหตุให้คุณโสมฯไม่ค่อยคุยเรื่องทางปฎิบัติ แต่สำหรับเราน่ะค่ะ เราเกิดในโลกธรรมได้ เพราะเราศึกษาทางแนวการปฎิบัตินี่หละค่ะ คือเวลาอ่านแล้ว เหมือนเข้าใจง่าย คุณโสมฯเชื่อเหมือนเราหรือปล่าวค่ะ เหตุที่เกิดทั้งหมด มาจากเหตุ ที่แต่ละคน สะสมมาไม่เหมือนกัน ทำไมเราจึงจะต้องแยกปริยัติ กับปฏิบัติให้ห่างไกลกัน ปริยัตินั้นก็มาจากการปฏิบัติที่เป็นผล ของพระพุทธเจ้าจวบจนถึงทุกวันนี้ ถ้าเราไม่พูดแนวปริยัติ การที่จะนำเอาไปปฏิบัติมันจะเกิดขึ้นได้ยังไง ในเมื่อไม่เคยรู้เรื่องมาเลย พระองค์ก็ได้วางรากฐานไว้ให้แล้ว โดยเป็นแนวทางปริยัติ การปฏิบัตินั้นผู้นั้นต้องทำเอง ผู้ที่ปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไรก็นำมาบอกต่อ เมื่อนำมาบอกต่อก็ต้องเป็นปริยัติอีก จะเห็นได้ว่าเราจะหนีปริยัติกันได้อย่างไร บางคนอาจพูดว่าไม่ต้องศึกษาปริยัติหรอกเสียเวลาเปล่าๆ สู้ปฏิบัติเลยไม่ได้ ซึ่งเป็นการพูดที่ผิด แถมยังจะเป็นการปฏิเสธคำสอนเสียอีกด้วยว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะต้องศึกษา เมื่อเรามีการศึกษาปริยัติที่ดี มีความรู้ที่สมควรจะลงมือปฏิบัติ การผิดพลาดหรือหลงทางก็จะไม่เกิดขึ้น การที่เราปฏิบัติที่ศึกษามาดีเหมือนหนึ่งว่า มีครูบาอาจารย์ผู้คอยบอก คอยชี้ทางให้เดินว่านี้เป็นทางผิด นี้เป็นทางถูก การปฏิบัติในก่อนพุทธกาลนั้นเขาก็ปฏิบัติกันมาแล้วแต่ก็ไม่มีใครจะบรรลุธรรมกันได้เลย อย่างเช่น อาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นต้น เพราะเขาเหล่านั้นขาดปริยัติที่เป็นคำสอนที่ถูกต้อง จริงหรือไม่ แม้ทั้ง ๒ ท่านนี้จะเป็นผู้ที่มีปัญญาดีก็ยังหลงทางได้ การศึกษาปริยัตินั้นก็ใช่ว่าจะปฏิบัติร่่วมด้วยไปพร้อมๆกันไม่ได้ นะครับ |
เจ้าของ: | ปลีกวิเวก [ 16 พ.ย. 2013, 09:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
ลุงหมาน เขียน: อ้างคำพูด: เพราะเหตุนี้หรือปล่าวค่ะ เป็นเหตุให้คุณโสมฯไม่ค่อยคุยเรื่องทางปฎิบัติ แต่สำหรับเราน่ะค่ะ เราเกิดในโลกธรรมได้ เพราะเราศึกษาทางแนวการปฎิบัตินี่หละค่ะ คือเวลาอ่านแล้ว เหมือนเข้าใจง่าย คุณโสมฯเชื่อเหมือนเราหรือปล่าวค่ะ เหตุที่เกิดทั้งหมด มาจากเหตุ ที่แต่ละคน สะสมมาไม่เหมือนกัน ทำไมเราจึงจะต้องแยกปริยัติ กับปฏิบัติให้ห่างไกลกัน ปริยัตินั้นก็มาจากการปฏิบัติที่เป็นผล ของพระพุทธเจ้าจวบจนถึงทุกวันนี้ ถ้าเราไม่พูดแนวปริยัติ การที่จะนำเอาไปปฏิบัติมันจะเกิดขึ้นได้ยังไง ในเมื่อไม่เคยรู้เรื่องมาเลย พระองค์ก็ได้วางรากฐานไว้ให้แล้ว โดยเป็นแนวทางปริยัติ การปฏิบัตินั้นผู้นั้นต้องทำเอง ผู้ที่ปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไรก็นำมาบอกต่อ เมื่อนำมาบอกต่อก็ต้องเป็นปริยัติอีก จะเห็นได้ว่าเราจะหนีปริยัติกันได้อย่างไร บางคนอาจพูดว่าไม่ต้องศึกษาปริยัติหรอกเสียเวลาเปล่าๆ สู้ปฏิบัติเลยไม่ได้ ซึ่งเป็นการพูดที่ผิด แถมยังจะเป็นการปฏิเสธคำสอนเสียอีกด้วยว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะต้องศึกษา เมื่อเรามีการศึกษาปริยัติที่ดี มีความรู้ที่สมควรจะลงมือปฏิบัติ การผิดพลาดหรือหลงทางก็จะไม่เกิดขึ้น การที่เราปฏิบัติที่ศึกษามาดีเหมือนหนึ่งว่า มีครูบาอาจารย์ผู้คอยบอก คอยชี้ทางให้เดินว่านี้เป็นทางผิด นี้เป็นทางถูก การปฏิบัติในก่อนพุทธกาลนั้นเขาก็ปฏิบัติกันมาแล้วแต่ก็ไม่มีใครจะบรรลุธรรมกันได้เลย อย่างเช่น อาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นต้น เพราะเขาเหล่านั้นขาดปริยัติที่เป็นคำสอนที่ถูกต้อง จริงหรือไม่ แม้ทั้ง ๒ ท่านนี้จะเป็นผู้ที่มีปัญญาดีก็ยังหลงทางได้ การศึกษาปริยัตินั้นก็ใช่ว่าจะปฏิบัติร่่วมด้วยไปพร้อมๆกันไม่ได้ นะครับ อนุโมทนาค่ะคุณลุง ถ้าไม่มีปริยัติ...ปฏิบัติและปฏิเวธ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย...หลายคนไม่เข้าใจกับคำว่าปริยัติและไปมองแค่รูปแบบของการศึกษาเท่านั้น...แต่จริงๆเป็นเนื้อหาสาระสำคัญที่ต้องศึกษาให้ถูกต้องจึงจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง..เมื่อปฏิบัตถูก..ปฏิเวธก็ต้องถูกตรงแน่นอนอยู่แล้ว... ...จึงยังมีคนจำนวนมากที่คิดไปว่าไม่จำเป็นต้องศึกษาปริยัติก็ปฏิบัติได้... เพื่อนของปลีกวิเวกเธอจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดดังแห่งหนึ่งเป็นประจำ...ซึ่งเธอก็ปฏิบัติได้ในระดับหนึ่ง..เธอบอกว่าเธอไม่จำเป็นจะต้องศึกษาปริยัติเลยเธอก็สามารถปฏิบัติได้...เราก็เลยบอกว่าไอ้วิธีการปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์สอนเธอมาน่ะ ก็มาจากปริยัติทั้งนั้นไม่อย่างนั้นจะเอาหลักอะไรมาปฏิบัติกัน...ดูเธอจะยัง งงๆ! กับคำตอบของเรา..เพราะเธอไม่เข้าใจคำว่าปริยัติเลยเนื่องจากไม่เคยศึกษาหลักคำสอนของพุทธศาสนา... ... |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 17 พ.ย. 2013, 06:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
อ้างคำพูด: อนุโมทนาค่ะคุณลุง ถ้าไม่มีปริยัติ...ปฏิบัติและปฏิเวธ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย...หลายคนไม่เข้าใจกับคำว่าปริยัติและไปมองแค่รูปแบบของการศึกษาเท่านั้น...แต่จริงๆเป็นเนื้อหาสาระสำคัญที่ต้องศึกษาให้ถูกต้องจึงจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง..เมื่อปฏิบัตถูก..ปฏิเวธก็ต้องถูกตรงแน่นอนอยู่แล้ว... ...จึงยังมีคนจำนวนมากที่คิดไปว่าไม่จำเป็นต้องศึกษาปริยัติก็ปฏิบัติได้... เพื่อนของปลีกวิเวกเธอจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดดังแห่งหนึ่งเป็นประจำ...ซึ่งเธอก็ปฏิบัติได้ในระดับหนึ่ง..เธอบอกว่าเธอไม่จำเป็นจะต้องศึกษาปริยัติเลยเธอก็สามารถปฏิบัติได้...เราก็เลยบอกว่าไอ้วิธีการปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์สอนเธอมาน่ะ ก็มาจากปริยัติทั้งนั้นไม่อย่างนั้นจะเอาหลักอะไรมาปฏิบัติกัน...ดูเธอจะยัง งงๆ! กับคำตอบของเรา..เพราะเธอไม่เข้าใจคำว่าปริยัติเลยเนื่องจากไม่เคยศึกษาหลักคำสอนของพุทธศาสนา... ... ก็ต้องขออนุโมทนาด้วยครับ คุณปลีกวิเวก เพราะเหตุว่าเขาไม่เข้าใจ บอกตามตรงเลยว่าเมื่อก่อนหน้านั้นผมก็มีความคิดเช่นนั้นเหมือนกัน เห็นเขาไปเข้ากรรมฐานกันก็อยากไปบ้าง เป็นอยู่หลายปีที่ไปกับเขาไปแต่ละครั้ง ก็ ๗ วัน ๙ วัน ปีหนึ่งไป ๓ ครั้ง แถมยังกินอาหารเจด้วย ครั้งสุดท้ายปรากฎว่าตัวบวมแข้งขาบวม ต้องไปหาหมอ หมอตรวจปัสสวะหมอเข้าใจว่าคงเป็นโรคไต แต่ปรากฎว่าไม่เป็น หมอจึงบอกว่าผมงดอาหาร จำพวกเนื้อสัตว์ใช่หรือไม่ ผมได้ยินหมอพูดผมงงเลย ว่าเรางดจริงๆ ตั้งแต่นั้นมาผมไม่ไปอีกเลย แล้วหันมาถือศีลเข้าวัดตอนช่วงเข้าพรรษา ก็พบกับผู้สูงอายุคนหนึ่งที่อยู่วัดด้วยกันแกก็ชวนไปฟังธรรม ด้วยกัน ความที่ผมไม่เข้าใจในที่แกพูดผมก็ไม่ไป เพราะเห็นว่าการฟังธรรมนั้น มีที่ฟังเยอะเเยะไป ฟังที่ไหนก็ได้ เช่นทางวิทยุ เป็นต้น ผมก็ฟังเป็นประจำอยู่แล้ว แกชวนผมมาในช่วงที่เข้าพรรษา ถึง ๕ พรรษา พอออกพรรษา ครั้งนี้เป็นวันสุดท้ายของการออกพรรษาแกก็ชวนอีก ตอนนี้ความคิดผมเริ่มเปลี่ยนใหม่ว่า น้าคนนี้แกชวนเรามาถึงต้อง ๕ ปีแล้วนะ มันน่าจะมีอะไรดีๆบ้าง ไม่งั้นแกคงไม่ชวนหรอก และที่ไปนั้นน่ะก็เพราะเกรงใจแกด้วยที่อุตส่าห์ ชวนอยู่บ่อยๆ จึงตกลงว่าจะไปจึงนัดวันกันเจอที่สถานที่เรียนพระอภิธรม พอได้ฟังธรรมสักพัก ก็นึกว่าอย่างนี้แหละที่เรากำลังต้องการจะรู้อยู่ ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็เริ่มเอาจริงจังกับการศึกษา และเรียนวัดผลโดยการสอบด้วย กว่าจะจบก็ใช้เวลาไป ๑๐ กว่าปี ก็นับว่าผมเป็นผู้ที่โชคดีคนหนึ่งก็ได้ ที่ได้ศึกษา ไม่งั้นก็คงไม่รู้ว่าทิศทางจะไปทางไหนเหมือนกัน และในขณะที่เราศึกษาอยู่นั้นเชื่อไหมว่า...เราก็ได้ชื่อว่าปฏิบัติสติปฏิปัฏฐาน ๔ ในหมวดหนึ่งอยู่แล้ว จะเห็นได้ชัด คือ หมวดจิตตานุปัสสนา และธรรมานุปัสสนา หรือเป็นไปพร้อมกันทั้ง ๒ หมวด แต่คนเขาไม่เข้าใจเพราะติดพิธีกรรม ว่าจะต้องไปหาสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจึงจะปฏิบัติได้ แท้ที่จริงแล้วสถานที่ปฏิบัติมันก็อยู่ที่ตัวเรานี่เอง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านี้ หาได้พ้นไปจากนี้เลย สถานที่ปฏิบัตินั้นน่ะมีพร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผู้ปฏิบัติจะลงมือปฏิบัติหรือเปล่าเท่านั้นเอง คนที่มีธรรมะนั้นน่ะมีด้วยกันทุกคน แต่ว่าคนที่รู้จักธรรมะนั้นมีไม่ทั่วทุกคน |
เจ้าของ: | ปลีกวิเวก [ 18 พ.ย. 2013, 11:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
ลุงหมาน เขียน: อ้างคำพูด: อนุโมทนาค่ะคุณลุง ถ้าไม่มีปริยัติ...ปฏิบัติและปฏิเวธ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย...หลายคนไม่เข้าใจกับคำว่าปริยัติและไปมองแค่รูปแบบของการศึกษาเท่านั้น...แต่จริงๆเป็นเนื้อหาสาระสำคัญที่ต้องศึกษาให้ถูกต้องจึงจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง..เมื่อปฏิบัตถูก..ปฏิเวธก็ต้องถูกตรงแน่นอนอยู่แล้ว... ...จึงยังมีคนจำนวนมากที่คิดไปว่าไม่จำเป็นต้องศึกษาปริยัติก็ปฏิบัติได้... เพื่อนของปลีกวิเวกเธอจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดดังแห่งหนึ่งเป็นประจำ...ซึ่งเธอก็ปฏิบัติได้ในระดับหนึ่ง..เธอบอกว่าเธอไม่จำเป็นจะต้องศึกษาปริยัติเลยเธอก็สามารถปฏิบัติได้...เราก็เลยบอกว่าไอ้วิธีการปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์สอนเธอมาน่ะ ก็มาจากปริยัติทั้งนั้นไม่อย่างนั้นจะเอาหลักอะไรมาปฏิบัติกัน...ดูเธอจะยัง งงๆ! กับคำตอบของเรา..เพราะเธอไม่เข้าใจคำว่าปริยัติเลยเนื่องจากไม่เคยศึกษาหลักคำสอนของพุทธศาสนา... ... ก็ต้องขออนุโมทนาด้วยครับ คุณปลีกวิเวก เพราะเหตุว่าเขาไม่เข้าใจ บอกตามตรงเลยว่าเมื่อก่อนหน้านั้นผมก็มีความคิดเช่นนั้นเหมือนกัน เห็นเขาไปเข้ากรรมฐานกันก็อยากไปบ้าง เป็นอยู่หลายปีที่ไปกับเขาไปแต่ละครั้ง ก็ ๗ วัน ๙ วัน ปีหนึ่งไป ๓ ครั้ง แถมยังกินอาหารเจด้วย ครั้งสุดท้ายปรากฎว่าตัวบวมแข้งขาบวม ต้องไปหาหมอ หมอตรวจปัสสวะหมอเข้าใจว่าคงเป็นโรคไต แต่ปรากฎว่าไม่เป็น หมอจึงบอกว่าผมงดอาหาร จำพวกเนื้อสัตว์ใช่หรือไม่ ผมได้ยินหมอพูดผมงงเลย ว่าเรางดจริงๆ ตั้งแต่นั้นมาผมไม่ไปอีกเลย ย้อนหลังไป 5 ปีที่แล้ว ปลีกวิเวกไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพุทธศาสนา รู้จักพระพุทธเจ้าว่าเป็นพระศาสดาเพราะเรียนมาสมัยเด็กๆ แต่ไม่รู้เลยว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร พุทธศาสนาเป็นอย่างไร ได้แต่รู้ตามปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ พาเข้าวัด ทำบุญ ตักบาตตามวันสำคัญทางพุทธศาสนา เห็นตู้รับบริจาค ก็ใส่เงินอธิษฐานสารพัดจะขอ พอไม่สมปรารถนาก็เหวี่ยง “ทำดีไม่ได้ดี” ทำเพียงแต่ในรูปแบบพิธีกรรมตามๆ เขามาเท่านั้นเอง...แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่อาจตอบโจทย์ของชีวิตได้..ทุกข์มากกว่าเดิม... ลุงหมาน เขียน: แล้วหันมาถือศีลเข้าวัดตอนช่วงเข้าพรรษา ก็พบกับผู้สูงอายุคนหนึ่งที่อยู่วัดด้วยกันแกก็ชวนไปฟังธรรม ด้วยกัน ความที่ผมไม่เข้าใจในที่แกพูดผมก็ไม่ไป เพราะเห็นว่าการฟังธรรมนั้น มีที่ฟังเยอะเเยะไป ฟังที่ไหนก็ได้ เช่นทางวิทยุ เป็นต้น ผมก็ฟังเป็นประจำอยู่แล้ว แกชวนผมมาในช่วงที่เข้าพรรษา ถึง ๕ พรรษา พอออกพรรษา ครั้งนี้เป็นวันสุดท้ายของการออกพรรษาแกก็ชวนอีก ตอนนี้ความคิดผมเริ่มเปลี่ยนใหม่ว่า น้าคนนี้แกชวนเรามาถึงต้อง ๕ ปีแล้วนะ มันน่าจะมีอะไรดีๆบ้าง ไม่งั้นแกคงไม่ชวนหรอก และที่ไปนั้นน่ะก็เพราะเกรงใจแกด้วยที่อุตส่าห์ ชวนอยู่บ่อยๆ จึงตกลงว่าจะไปจึงนัดวันกันเจอที่สถานที่เรียนพระอภิธรม พอได้ฟังธรรมสักพัก ก็นึกว่าอย่างนี้แหละที่เรากำลังต้องการจะรู้อยู่ ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็เริ่มเอาจริงจังกับการศึกษา และเรียนวัดผลโดยการสอบด้วย กว่าจะจบก็ใช้เวลาไป ๑๐ กว่าปี ก็นับว่าผมเป็นผู้ที่โชคดีคนหนึ่งก็ได้ ที่ได้ศึกษา ไม่งั้นก็คงไม่รู้ว่าทิศทางจะไปทางไหนเหมือนกัน ต้องขอบคุณ คุณน้าคนนั้นจริงๆค่ะ ที่ทำให้วันนี้มีคุณลุงหมานผู้แตกฉานพระอภิธรรม... ปลีกวิเวกขอเล่าบุพนิมิต ที่ทำให้เดินเข้าสู่เส้นทางธรรม... อดีตที่ผ่านมาชีวิตเหมือนความฝัน หรือที่เค้าเรียกกันว่าฝันดี...นึกคิดอะไรมักจะได้สมปรารถนาตลอดมา...กลายเป็นสั่งสม “อัตตา” พอกพูนขึ้นทุกวัน...พ่อแม่ว่ากล่าวตักเตือนอะไรไม่ค่อยจะฟัง มีความมั่นใจในตัวตนของตนสูงส่ง..จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดคลื่นมรสุมทับโถมเข้าใส่แทบล้มทั้งยืน ถ้าจะเปรียบไปก็เหมือนคนฝันสลายหรือเพิ่งตื่นขึ้นจากฝันดี...กลายเป็นความจริงที่ทำร้ายทำลายชีวิตเราอย่างไม่เป็นท่าเลยทีเดียว...เหมือนฟ้าฝ่าลงกลางศรีษะ ...แก้ปัญหาชีวิตไม่ได้เลยตอนนั้น พ่อแม่...เพื่อนฝูงก็ให้กำลังใจ...แต่ก็ไม่สามารถตอบโจทย์ให้เราได้เลย...ตอนนั้นจิตใจมันร้อนรน...ดิ้นรนพยายามหาทางออกจากปัญหาที่ถาโถมเข้ามา..มันมีแต่ความมืด..ความทุกข์...เกือบปีได้ที่ต้องทนอยู่ในสภาพนั้น...อยู่มาวันหนึ่งนั่งเงียบๆ อยู่ตามลำพัง..ก็คิดว่า เอ!..เราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ทำอย่างไรที่เราจะหายจากความทุกข์...ก็มีความคิดก้องขึ้นมาในหัวว่า “ทำไมไม่ฟังธรรมล่ะ” ธรรมะจะทำให้เธอหายทุกข์ได้...ก็ต้องเชื่อความคิดตนเองเพราะเวลานั้นไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งให้เราได้เลย...หลังจากนั้นก็เริ่มเปิดวิทยุฟังธรรม...ก็ฟังไปเรื่อยๆเพลินดี..ลืมความทุกข์ไปได้บางขณะ...จนมาวันหนึ่งเปิดไปเจอคลื่นหนึ่งเราก็ฟังไปเรื่อยๆ...ก็เอ๊ะ! ..ขึ้นมาในใจพุทธศาสนามีสอนเรื่องแบบนี้ด้วย ทำไมเราไม่เคยรู้มาก่อนเลย...และนี่แหละคือสิ่งที่เราตามหามาตลอดชีวิต..มันตอบคำถามที่อยู่ในใจของเราได้ทั้งหมด...แสดงว่าที่ผ่านมาเราไม่เคยรู้หลักคำสอนของพุทธศาสนาเลยนี่...ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีความสนใจอยากรู้ว่าพุทธศาสนาสอนอะไร... และผู้ที่เป็นกัลยาณมิตรของปลีกวิเวกก็คือ ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์... ผู้ที่จุดประกายหรือแรงบันดาลใจให้กับเราเพื่อเข้ามาศึกษาพุทธธรรม ทำให้ปลีกวิเวกได้เกิดใหม่.. หรือมีชีวิตใหม่ในทางธรรมนั่นเอง...และอีกท่านหนึ่งก็คือท่านพระครูเกษมธรรมทัต ปลีกวิเวกฟังท่านสอนกรรมฐานติดต่อมา 3-4 ปี จนปลีกวิเวกปฏิบัติได้และได้ผลจริง...นับว่าสองท่านนี้มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของปลีกวิเวก...เปรียบเหมือนพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง... ลุงหมาน เขียน: อ้างคำพูด: และในขณะที่เราศึกษาอยู่นั้นเชื่อไหมว่า...เราก็ได้ชื่อว่าปฏิบัติสติปฏิปัฏฐาน ๔ ในหมวดหนึ่งอยู่แล้ว จะเห็นได้ชัด คือ หมวดจิตตานุปัสสนา และธรรมานุปัสสนา หรือเป็นไปพร้อมกันทั้ง ๒ หมวด แต่คนเขาไม่เข้าใจเพราะติดพิธีกรรม ว่าจะต้องไปหาสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจึงจะปฏิบัติได้ แท้ที่จริงแล้วสถานที่ปฏิบัติมันก็อยู่ที่ตัวเรานี่เอง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านี้ หาได้พ้นไปจากนี้เลย สถานที่ปฏิบัตินั้นน่ะมีพร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผู้ปฏิบัติจะลงมือปฏิบัติหรือเปล่าเท่านั้นเอง คนที่มีธรรมะนั้นน่ะมีด้วยกันทุกคน แต่ว่าคนที่รู้จักธรรมะนั้นมีไม่ทั่วทุกคน จริงดั่งที่คุณลุงกล่าวค่ะ ถ้าเราเข้าใจเราจะปฏิบัติได้ถูกตรง ดังนั้นการศึกษาเพื่อความเข้าใจจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกตรง...ปลีกวิเวกก็ไม่เคยได้ไปปฏิบัติธรรมตามสำนักแบบเป็นรูปแบบ เนื่องจากเราไม่มีเวลาหรือด้วยกิจไม่อาจทำได้ในรูปแบบนั้น ก็จะนั่งสมาธิที่บ้านหลังสวดมนต์บ้าง และก็เจริญสติปัฏฐาน 4 ในชีวิตประจำวันตลอดเวลาที่ไม่หลงลืมสติ และหมวดที่ใช้บ่อยก็เป็นอย่างที่คุณลุงบอกค่ะ คือจิตตา กับธรรมา เพราะจิตอยู่ในสภาพรู้อารมณ์ตลอดเวลาและใจก็นึกคิดตลอดเวลาเช่นกัน... มาถึงตอนนี้นึกคิดย้อนหลังกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วความคิดและการกระทำนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากจะเรียกว่าเป็นคนละคนก็ว่าได้...เรียกว่าชีวิตนี้หาสาระของชีวิตได้แล้วชีวิตมีแค่วันนี้...ไม่มีอะไรที่อยากได้ อยากเอาอีกแล้ว...มีแต่สิ่งที่ดีที่ต้องทำเป็นเครื่องอยู่...และมีหน้าที่..ต้องดูแลคนในครอบครัวให้ดีที่สุด...เท่าที่ยังมีชีวิตอยู่... |
เจ้าของ: | SOAMUSA [ 18 พ.ย. 2013, 15:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
ปลีกวิเวก เขียน: ลุงหมาน เขียน: อ้างคำพูด: อนุโมทนาค่ะคุณลุง ถ้าไม่มีปริยัติ...ปฏิบัติและปฏิเวธ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย...หลายคนไม่เข้าใจกับคำว่าปริยัติและไปมองแค่รูปแบบของการศึกษาเท่านั้น...แต่จริงๆเป็นเนื้อหาสาระสำคัญที่ต้องศึกษาให้ถูกต้องจึงจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง..เมื่อปฏิบัตถูก..ปฏิเวธก็ต้องถูกตรงแน่นอนอยู่แล้ว... ...จึงยังมีคนจำนวนมากที่คิดไปว่าไม่จำเป็นต้องศึกษาปริยัติก็ปฏิบัติได้... เพื่อนของปลีกวิเวกเธอจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดดังแห่งหนึ่งเป็นประจำ...ซึ่งเธอก็ปฏิบัติได้ในระดับหนึ่ง..เธอบอกว่าเธอไม่จำเป็นจะต้องศึกษาปริยัติเลยเธอก็สามารถปฏิบัติได้...เราก็เลยบอกว่าไอ้วิธีการปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์สอนเธอมาน่ะ ก็มาจากปริยัติทั้งนั้นไม่อย่างนั้นจะเอาหลักอะไรมาปฏิบัติกัน...ดูเธอจะยัง งงๆ! กับคำตอบของเรา..เพราะเธอไม่เข้าใจคำว่าปริยัติเลยเนื่องจากไม่เคยศึกษาหลักคำสอนของพุทธศาสนา... ... ก็ต้องขออนุโมทนาด้วยครับ คุณปลีกวิเวก เพราะเหตุว่าเขาไม่เข้าใจ บอกตามตรงเลยว่าเมื่อก่อนหน้านั้นผมก็มีความคิดเช่นนั้นเหมือนกัน เห็นเขาไปเข้ากรรมฐานกันก็อยากไปบ้าง เป็นอยู่หลายปีที่ไปกับเขาไปแต่ละครั้ง ก็ ๗ วัน ๙ วัน ปีหนึ่งไป ๓ ครั้ง แถมยังกินอาหารเจด้วย ครั้งสุดท้ายปรากฎว่าตัวบวมแข้งขาบวม ต้องไปหาหมอ หมอตรวจปัสสวะหมอเข้าใจว่าคงเป็นโรคไต แต่ปรากฎว่าไม่เป็น หมอจึงบอกว่าผมงดอาหาร จำพวกเนื้อสัตว์ใช่หรือไม่ ผมได้ยินหมอพูดผมงงเลย ว่าเรางดจริงๆ ตั้งแต่นั้นมาผมไม่ไปอีกเลย ย้อนหลังไป 5 ปีที่แล้ว ปลีกวิเวกไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพุทธศาสนา รู้จักพระพุทธเจ้าว่าเป็นพระศาสดาเพราะเรียนมาสมัยเด็กๆ แต่ไม่รู้เลยว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร พุทธศาสนาเป็นอย่างไร ได้แต่รู้ตามปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ พาเข้าวัด ทำบุญ ตักบาตตามวันสำคัญทางพุทธศาสนา เห็นตู้รับบริจาค ก็ใส่เงินอธิษฐานสารพัดจะขอ พอไม่สมปรารถนาก็เหวี่ยง “ทำดีไม่ได้ดี” ทำเพียงแต่ในรูปแบบพิธีกรรมตามๆ เขามาเท่านั้นเอง...แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่อาจตอบโจทย์ของชีวิตได้..ทุกข์มากกว่าเดิม... ลุงหมาน เขียน: แล้วหันมาถือศีลเข้าวัดตอนช่วงเข้าพรรษา ก็พบกับผู้สูงอายุคนหนึ่งที่อยู่วัดด้วยกันแกก็ชวนไปฟังธรรม ด้วยกัน ความที่ผมไม่เข้าใจในที่แกพูดผมก็ไม่ไป เพราะเห็นว่าการฟังธรรมนั้น มีที่ฟังเยอะเเยะไป ฟังที่ไหนก็ได้ เช่นทางวิทยุ เป็นต้น ผมก็ฟังเป็นประจำอยู่แล้ว แกชวนผมมาในช่วงที่เข้าพรรษา ถึง ๕ พรรษา พอออกพรรษา ครั้งนี้เป็นวันสุดท้ายของการออกพรรษาแกก็ชวนอีก ตอนนี้ความคิดผมเริ่มเปลี่ยนใหม่ว่า น้าคนนี้แกชวนเรามาถึงต้อง ๕ ปีแล้วนะ มันน่าจะมีอะไรดีๆบ้าง ไม่งั้นแกคงไม่ชวนหรอก และที่ไปนั้นน่ะก็เพราะเกรงใจแกด้วยที่อุตส่าห์ ชวนอยู่บ่อยๆ จึงตกลงว่าจะไปจึงนัดวันกันเจอที่สถานที่เรียนพระอภิธรม พอได้ฟังธรรมสักพัก ก็นึกว่าอย่างนี้แหละที่เรากำลังต้องการจะรู้อยู่ ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็เริ่มเอาจริงจังกับการศึกษา และเรียนวัดผลโดยการสอบด้วย กว่าจะจบก็ใช้เวลาไป ๑๐ กว่าปี ก็นับว่าผมเป็นผู้ที่โชคดีคนหนึ่งก็ได้ ที่ได้ศึกษา ไม่งั้นก็คงไม่รู้ว่าทิศทางจะไปทางไหนเหมือนกัน ต้องขอบคุณ คุณน้าคนนั้นจริงๆค่ะ ที่ทำให้วันนี้มีคุณลุงหมานผู้แตกฉานพระอภิธรรม... ปลีกวิเวกขอเล่าบุพนิมิต ที่ทำให้เดินเข้าสู่เส้นทางธรรม... อดีตที่ผ่านมาชีวิตเหมือนความฝัน หรือที่เค้าเรียกกันว่าฝันดี...นึกคิดอะไรมักจะได้สมปรารถนาตลอดมา...กลายเป็นสั่งสม “อัตตา” พอกพูนขึ้นทุกวัน...พ่อแม่ว่ากล่าวตักเตือนอะไรไม่ค่อยจะฟัง มีความมั่นใจในตัวตนของตนสูงส่ง..จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดคลื่นมรสุมทับโถมเข้าใส่แทบล้มทั้งยืน ถ้าจะเปรียบไปก็เหมือนคนฝันสลายหรือเพิ่งตื่นขึ้นจากฝันดี...กลายเป็นความจริงที่ทำร้ายทำลายชีวิตเราอย่างไม่เป็นท่าเลยทีเดียว...เหมือนฟ้าฝ่าลงกลางศรีษะ ...แก้ปัญหาชีวิตไม่ได้เลยตอนนั้น พ่อแม่...เพื่อนฝูงก็ให้กำลังใจ...แต่ก็ไม่สามารถตอบโจทย์ให้เราได้เลย...ตอนนั้นจิตใจมันร้อนรน...ดิ้นรนพยายามหาทางออกจากปัญหาที่ถาโถมเข้ามา..มันมีแต่ความมืด..ความทุกข์...เกือบปีได้ที่ต้องทนอยู่ในสภาพนั้น...อยู่มาวันหนึ่งนั่งเงียบๆ อยู่ตามลำพัง..ก็คิดว่า เอ!..เราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ทำอย่างไรที่เราจะหายจากความทุกข์...ก็มีความคิดก้องขึ้นมาในหัวว่า “ทำไมไม่ฟังธรรมล่ะ” ธรรมะจะทำให้เธอหายทุกข์ได้...ก็ต้องเชื่อความคิดตนเองเพราะเวลานั้นไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งให้เราได้เลย...หลังจากนั้นก็เริ่มเปิดวิทยุฟังธรรม...ก็ฟังไปเรื่อยๆเพลินดี..ลืมความทุกข์ไปได้บางขณะ...จนมาวันหนึ่งเปิดไปเจอคลื่นหนึ่งเราก็ฟังไปเรื่อยๆ...ก็เอ๊ะ! ..ขึ้นมาในใจพุทธศาสนามีสอนเรื่องแบบนี้ด้วย ทำไมเราไม่เคยรู้มาก่อนเลย...และนี่แหละคือสิ่งที่เราตามหามาตลอดชีวิต..มันตอบคำถามที่อยู่ในใจของเราได้ทั้งหมด...แสดงว่าที่ผ่านมาเราไม่เคยรู้หลักคำสอนของพุทธศาสนาเลยนี่...ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีความสนใจอยากรู้ว่าพุทธศาสนาสอนอะไร... และผู้ที่เป็นกัลยาณมิตรของปลีกวิเวกก็คือ ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์... ผู้ที่จุดประกายหรือแรงบันดาลใจให้กับเราเพื่อเข้ามาศึกษาพุทธธรรม ทำให้ปลีกวิเวกได้เกิดใหม่.. หรือมีชีวิตใหม่ในทางธรรมนั่นเอง...และอีกท่านหนึ่งก็คือท่านพระครูเกษมธรรมทัต ปลีกวิเวกฟังท่านสอนกรรมฐานติดต่อมา 3-4 ปี จนปลีกวิเวกปฏิบัติได้และได้ผลจริง...นับว่าสองท่านนี้มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของปลีกวิเวก...เปรียบเหมือนพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง... ลุงหมาน เขียน: อ้างคำพูด: และในขณะที่เราศึกษาอยู่นั้นเชื่อไหมว่า...เราก็ได้ชื่อว่าปฏิบัติสติปฏิปัฏฐาน ๔ ในหมวดหนึ่งอยู่แล้ว จะเห็นได้ชัด คือ หมวดจิตตานุปัสสนา และธรรมานุปัสสนา หรือเป็นไปพร้อมกันทั้ง ๒ หมวด แต่คนเขาไม่เข้าใจเพราะติดพิธีกรรม ว่าจะต้องไปหาสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจึงจะปฏิบัติได้ แท้ที่จริงแล้วสถานที่ปฏิบัติมันก็อยู่ที่ตัวเรานี่เอง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านี้ หาได้พ้นไปจากนี้เลย สถานที่ปฏิบัตินั้นน่ะมีพร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผู้ปฏิบัติจะลงมือปฏิบัติหรือเปล่าเท่านั้นเอง คนที่มีธรรมะนั้นน่ะมีด้วยกันทุกคน แต่ว่าคนที่รู้จักธรรมะนั้นมีไม่ทั่วทุกคน จริงดั่งที่คุณลุงกล่าวค่ะ ถ้าเราเข้าใจเราจะปฏิบัติได้ถูกตรง ดังนั้นการศึกษาเพื่อความเข้าใจจะนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกตรง...ปลีกวิเวกก็ไม่เคยได้ไปปฏิบัติธรรมตามสำนักแบบเป็นรูปแบบ เนื่องจากเราไม่มีเวลาหรือด้วยกิจไม่อาจทำได้ในรูปแบบนั้น ก็จะนั่งสมาธิที่บ้านหลังสวดมนต์บ้าง และก็เจริญสติปัฏฐาน 4 ในชีวิตประจำวันตลอดเวลาที่ไม่หลงลืมสติ และหมวดที่ใช้บ่อยก็เป็นอย่างที่คุณลุงบอกค่ะ คือจิตตา กับธรรมา เพราะจิตอยู่ในสภาพรู้อารมณ์ตลอดเวลาและใจก็นึกคิดตลอดเวลาเช่นกัน... มาถึงตอนนี้นึกคิดย้อนหลังกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วความคิดและการกระทำนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากจะเรียกว่าเป็นคนละคนก็ว่าได้...เรียกว่าชีวิตนี้หาสาระของชีวิตได้แล้วชีวิตมีแค่วันนี้...ไม่มีอะไรที่อยากได้ อยากเอาอีกแล้ว...มีแต่สิ่งที่ดีที่ต้องทำเป็นเครื่องอยู่...และมีหน้าที่..ต้องดูแลคนในครอบครัวให้ดีที่สุด...เท่าที่ยังมีชีวิตอยู่... ดีใจด้วยค่ะ ที่ได้พบครูอาจารย์ที่สอนถูกแนวทาง ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 26 พ.ย. 2013, 22:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
วันนี้ได้ไปงานฌาปนกิจรุ่นพี่ที่ทำงาน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วที่ผ่านมา ซึ่งต้นสัปดาห์ที่แล้วที่ผ่านมา ก็มีรุ่นพี่ที่ทำงาน แต่อยู่สำนักงานที่ต่างอำเภอ ก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งตอนนี้ก็มีรุ่นพี่ที่ทำงานอีกคนก็ตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็ง กำลังเข้ารับการรักษาด้วยการให้คีโม... ปีก่อน ๆ ก็มีทะยอยกันไป ด้วยโรคนี้กันเรื่อย ๆ การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ นึกถึงเพื่อน ๆ ที่นี่ทุกคน ขอให้เพื่อน ๆ นักปฏิบัติธรรม มีสุขภาพที่ดี ถ้าใครสุขภาพอ่อนแอด้วยโรคอันใด ก็ขอให้ธรรมะปฏิบัติได้เข้ามาฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ขอให้เพื่อนมีสุขภาพกายและใจที่ดี ... |
เจ้าของ: | bbby [ 30 พ.ย. 2013, 20:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ค ว า ม ต า ย และ อ า ร ม ณ์ ที่ ป ร า ก ฏ ก่ อ น ต า ย |
คนที่เป็นโรคมะเร็งนี่น่าสงสารจริงๆ ดูแล้วเค้าทรมานมาก เพื่อนพี่เต้ที่เป็นโรคมะเร็ง เค้าเลือกวิธีกินยานอนหลับ ยานอนหลับสำหรับคนเป็นโรคมะเร็งนี่ รู้สึกว่าจะหลับ24ชม.หรือมากกว่านี้จำไม่ได้ เพื่อนพี่เต้กินเม็ดเดียว เค้าก็หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานไปแล้ว การเกิดนี่คือทุกข์จริงๆ มนุษย์เราเกิดมา ไม่ว่าจะจนหรือรวยมันก็ทุกข์ทั้งนั้น |
หน้า 3 จากทั้งหมด 5 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |